JF-17 ธันเดอร์
| JF-17 ธันเดอร์ | |
|---|---|
| ข้อมูลทั่วไป | |
| บทบาท | เครื่องบินขับไล่พหุภารกิจ |
| ชาติกำเนิด | |
| บริษัทผู้ผลิต | เฉิงตูแอร์คราฟท์อินดัสทรีย์ / ศูนย์การบินปากีสถาน |
| สถานะ | ประจำการอยู่ |
| ผู้ใช้งานหลัก | กองทัพอากาศปากีสถาน กองทัพอากาศพม่า กองทัพอากาศไนจีเรีย กองทัพอากาศอาเซอร์ไบจาน |
| ประวัติ | |
| เริ่มใช้งาน | 12 มีนาคม 2005 |
| เที่ยวบินแรก | 25 สิงหาคม 2003 |
JF-17 ธันเดอร์ (JF-17 Thunder) หรือ FC-1 เสี่ยวหลง (FC-1 Xiaolong) เป็นเครื่องบินขับไล่พหุภารกิจ เครื่องยนต์เดี่ยวที่ร่วมพัฒนาและสร้างขึ้นโดยเฉิงตูแอร์คราฟท์อินดัสทรีย์ (CAC) ของประเทศจีน ร่วมกับศูนย์การบินปากีสถาน (PAC) ของประเทศปากีสถาน
ความเป็นมา
[แก้]โครงการ JF-17 ธันเดอร์ เป็นผลผลิตของความร่วมมือด้านการบินระหว่างประเทศจีนและปากีสถาน โดยเริ่มต้นพัฒนาในช่วงทศวรรษ 1990 ภายใต้ชื่อโครงการ "FC-1 เสี่ยวหลง" ที่จีนรับผิดชอบหลักในการออกแบบ และปากีสถานมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ใช้งานและผู้ลงทุนร่วม จุดมุ่งหมายคือการสร้างเครื่องบินขับไล่หลายบทบาทที่มีราคาประหยัด เพื่อทดแทนเครื่องบินรุ่นเก่าอย่าง F-7 และ Mirage III/V ของกองทัพอากาศปากีสถาน[1]
การพัฒนาประสบกับความล่าช้าในระยะต้น เนื่องจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แต่ในที่สุดต้นแบบ FC-1 ได้บินครั้งแรกเมื่อปี 2003 และปากีสถานได้ตั้งชื่อว่า JF-17 (Joint Fighter-17) โดยเน้นความสามารถในการโจมตีอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น มีระบบอาวุธนำวิถีสมัยใหม่ และสามารถปรับแต่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้[2]
การพัฒนา
[แก้]
นับตั้งแต่เข้าประจำการกับกองทัพอากาศปากีสถานในปี 2007 JF-17 ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงเป็นบล็อกต่าง ๆ ได้แก่ Block I, Block II และ Block III ซึ่งรุ่นล่าสุดมีการติดตั้งเรดาร์ AESA, ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย และรองรับการยิงมิสไซล์อากาศสู่อากาศพิสัยไกล เช่น PL-15[3] ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงตอบสนองความต้องการของปากีสถาน แต่ยังเปิดตลาดส่งออก เช่น พม่าและไนจีเรีย ทำให้ JF-17 กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามด้านอุตสาหกรรมการบินของปากีสถานในการบรรลุความพึ่งพาตนเองทางทหาร[4]
- JF-17 Block I: เข้าประจำการในปี 2007 เป็นรุ่นแรกที่ส่งมอบให้ปากีสถานจำนวนกว่า 50 ลำ มุ่งเน้นการทดแทนเครื่องบินขับไล่เก่า ติดตั้งระบบเรดาร์ Grifo-S7 ของอิตาลี รองรับมิสไซล์อากาศสู่อากาศและระเบิดนำวิถีแม่นยำ แต่ยังขาดระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง[2]
- JF-17 Block II: เข้าประจำการในปี 2015 มีการปรับปรุงด้านการสื่อสารด้วยระบบเดต้าลิงก์ รองรับการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และเสริมสมรรถนะอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถปฏิบัติการในเครือข่ายการรบสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น[3]
- JF-17 Block III: เข้าประจำการในปี 2023 ติดตั้งเรดาร์ AESA ระบบเอวิโอนิกส์ที่ทันสมัย หน้าจอแสดงผลแบบใหม่ พร้อมรองรับมิสไซล์อากาศสู่อากาศพิสัยไกลรุ่น PL-15 เพิ่มขีดความสามารถในการรบเหนือชั้นและการแข่งขันกับเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 แต่ข้อเสียของ Block III คือบรรทุกได้เพียง 3,600–3,800 กิโลกรัม และอีกทั้งไม่มีคุณสมบัติกึ่งสเตลธ์เหมือนเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 รุ่นอื่น
ผู้ใช้งาน
[แก้]
ข้อมูลผู้ใช้งาน JF-17 ณ 2025
- กองทัพอากาศปากีสถาน: 161 ลำส่งมอบแล้ว, 50 ลำรอส่งมอบ
- กองทัพอากาศพม่า: 13 ลำส่งมอบแล้ว, 3 ลำรอส่งมอบ
- กองทัพอากาศไนจีเรีย: 3 ลำส่งมอบแล้ว
- กองทัพอากาศอาเซอร์ไบจาน: 40 ลำรองส่งมอบ
ข้อมูลจำเพาะ (JF-13 Block III)
[แก้]- ลูกเรือ: 1 นาย
- ความยาว: 14.3 เมตร
- ความกว้างช่วงปีก: 9.44 เมตร
- ความสูง: 4.57 เมตร
- พื้นที่ปีก: 24.4 ตร.ม.
- น้ำหนักตัวเปล่า: 7,965 กก.
- น้ำหนักสูงสุดในการขึ้นบิน: 13,500 กก.
- ความจุเชื้อเพลิง: 2,449 กก. (เฉพาะถังเชื้อเพลิงภายใน)
- เครื่องยนต์: Klimov RD-93MA จำนวนหนึ่งหน่วย ให้แรงขับสูงสุด 91.3 กิโลนิวตันพร้อมสันดาปท้าย
- ความเร็วสูงสุด: มัค 1.6 (ประมาณ 1,975 กม/ชม)
- ความเร็วเดินทาง: มัค 1.1 (ประมาณ 1,350 กม/ชม)
- รัศมีการรบ: 900 กม. เมื่อใช้แค่ถังเชื้อเพลิงภายใน
- พิสัยบินไกลสุด: 1,800 กม. เมื่อใช้แค่ถังเชื้อเพลิงภายใน
- เพดานบินใช้งาน : 55,500 ฟุต (16,900 เมตร)
- อัตราการไต่: 300 เมตร/วินาที (59,000 ฟุต/นาที)
- ตำบลติดอาวุธ: 7–8 จุด (รวมใต้ลำตัว/ใต้คาง) น้ำหนักบรรทุกสูงสุด ~3,700 กก.
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Gunston, B. The Development of the Chinese Aircraft Industry, Jane’s, 2005.
- 1 2 Sweetman, B. “Thunder Rising: Pakistan’s JF-17 Fighter,” Aviation Week & Space Technology, 2007.
- 1 2 Fisher, R. D. Asian Air Forces: Modernization and Capabilities, Routledge, 2011.
- ↑ Khan, M. “Pakistan’s JF-17 Thunder: A Case Study in Defense Collaboration,” Defense Journal, 2020.