คริส บราวน์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Chris Brown (singer))
คริส บราวน์
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดคริสโตเฟอร์ เมอร์ริซ บราวน์
รู้จักในชื่อบรีซี่
เกิด5 พฤษภาคม ค.ศ. 1989
ที่เกิดTappahannock รัฐเวอร์จิเนีย
แนวเพลงฮิปฮอป ,อาร์แอนด์บี
อาชีพนักร้อง,นักแสดง,นักเต้น
ช่วงปี2005-ปัจจุบัน
ค่ายเพลงJive Records (ยุบกิจการเป็น RCA Records ในปัจจุบัน)
เว็บไซต์chrisbrownworld.com

คริสโตเฟอร์ เมอร์ริซ บราวน์ (อังกฤษ: Christopher Maurice Brown) เกิดวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1989[1] เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แดนเซอร์ และนักแสดงชาวอเมริกัน เกิดที่ Tappahannock รัฐเวอร์จิเนีย บราวน์ฝึกฝนด้านการร้องและการเต้นด้วยตัวเองตั้งแต่วัยเยาว์ และเคยมีส่วนร่วมกับคณะประสานเสียงในโบสถ์และงานประกวดประจำท้องถิ่นหลายงาน ในปี ค.ศ. 2004 เขาเซ็นสัญญากับค่าย Jive Records และออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Chris Brown ในปีถัดมา อัลบั้มขึ้นถึงอันดับ 2 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 และมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 อย่างเพลง Run It! ทำให้บราวน์เป็นศิลปินร้องนำชายคนแรกที่ซิงเกิลเปิดตัวของเขาขึ้นถึงอันดับ 1 นับตั้งแต่ Puff Daddy เคยทำไว้ในปี ค.ศ. 1997 อัลบั้ม Chris Brown ได้รับการรับรองระดับแพลทินัมจากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา

สตูดิโออัลบั้มชุดที่สอง Exclusive ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 2007 มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จถึง 3 เพลงด้วยกัน ได้แก่เพลง Kiss Kiss (ร้องร่วมโดย T-Pain) ซึ่งเป็นเพลงที่สองที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 เพลง With You และ Forever อัลบั้ม Exclusive ได้รับการรับรองระดับดับเบิลแพลทินัมจากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา สตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของเขา Graffiti ในปี ค.ศ. 2009 มีซิงเกิลที่ติดชาร์ต 20 อันดับบนสุดอย่าง I Can Transform Ya (ร้องร่วมโดย Lil Wayne และ Swizz Beatz) ในปี ค.ศ. 2011 บราวน์ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 F.A.M.E. ที่เป็นอัลบั้มแรกของเขาที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 อัลบั้ม F.A.M.E. ทำให้บราว์ได้รับรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรกในสาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54

นอกจากงานเพลงแล้ว บราวน์ยังเคยมีผลงานการแสดง ในปี ค.ศ. 2007 เขาได้ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Stomp the Yard และปรากฏตัวในฐานะแขกรับเชิญในซีรีส์เรื่อง The O.C. ผลงานภาพยนตร์อื่นที่บราวน์เคยร่วมแสดงได้แก่ This Christmas (2007), Takers (2010) และ Think Like a Man (2012) ในด้านอาชีพการแสดงของเขา บราวน์ได้รับรางวัลมากมาย เช่น 2 รางวัลจาก NAACP Image Award 3 รางวัลจาก American Music Awards และ 9 รางวัลจาก BET Awards ในปี ค.ศ. 2009 เขาสารภาพผิดในคดีอุกฉกรรจ์ทำร้ายร่างกาย ริอานน่า นักร้องซึ่งต่อมาเป็นแฟนสาว เขาได้รับโทษคุมความประพฤติเป็นเวลา 5 ปี และต้องให้บริการสังคมเป็นเวลา 6 เดือน คดีนี้สื่อต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจ และส่งผลกระทบในแง่ลบกับอาชีพนักร้องและเอ็นเตอร์เทนเนอร์รอบด้าน

ปี 2017 สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศยอดจำหน่ายและยอดเผยแพร่บนสตีมมิ่งทั้งหมด ของบราวน์อย่างเป็นทางการถึง 75 ล้านยูนิต (รวมทั่วโลก 150 ล้านยูนิต) และได้ติดรายชื่อศิลปินที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดทั่วโลก[2]และมีทรัพย์สินถึง 90 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ[3]

ประวัติ[แก้]

คริส บราวน์จากเมือง Tappahannock รัฐเวอร์จิเนีย ได้เซ็นสัญญากับ Jive Records ตั้งแต่เขามีอายุได้เพียง 16 ปี อัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเขาเป็นชื่ออัลบั้มได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น และยังเป็นอัลบั้มที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Artist) และอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (Best R&B Contemporary Album) อีกด้วย

อัลบั้มแรก Chris Brown มีเพลงฮิตที่เรารู้จักดีอย่าง ‘Run It’, ‘Yo (Excuse Me Miss)’ และ ‘Gimme That’ รวมทั้งซิงเกิลที่ตัดมาหลัง ๆ อย่าง ‘Say Goodbye’ และ ‘Poppin’ อัลบั้มนี้มียอดขายรวมแล้ว 3 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก

คริส บราวน์ยังมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Stomp The Yard และทีวีซีรีส์ที่เขาร่วมแสดงก็มี The O.C. และ One On One ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาคือ This Christmas แสดงร่วมกับดารารุ่นใหญ่อย่าง Loretta Devine, Delroy Lindo และ Regina King

อัลบั้มที่ 2 Exclusive ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และเพื่อนร่วมสังกัดอย่าง T-Pain ในเพลง Kiss Kiss แล้ว เขายังได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น Kanye West, Will.I.Am, Sean Garrett, The Underdogs และ Bryan-Michael Cox สำหรับเพลง ‘Kiss Kiss’ เพลงนี้สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาซึ่งคริส ร่วมกำกับร่วมกับ Erik White ผู้กำกับชื่อดัง

เขาออกอัลบั้ม Exclusive วางขายใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น Exclusive: The Forever Edition เมื่อ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โดยมีเพลง 4 เพลงใหม่ รวมถึงเพลง "Forever" ที่สามารถขึ้นถึงอันดับ 2 ในบิลบอร์ดฮ็อท 100

สตูดิโออัลบั้มที่สาม ชื่อว่า Graffiti ได้เปิดตัววันที่ 15 ธันวาคม 2009 โดยซิงเกิลแรก I Can Transform Ya ที่ได้ร่วมงาน กับ Lil Wayne และ Swizz Beatz ,สามารถขึ้นอันดับ 20 ใน บิลบอร์ดฮ็อท 100

ผลงาน[แก้]

1989–2004: วัยเด็ก[แก้]

คริสโตเฟอร์ เมอร์ริซ บราวน์ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1989 จากเมืองเล็ก ๆ Tappahannock รัฐเวอร์จิเนีย อยู่กับมารดา จอยซ์ ฮอว์คินส์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และบิดา คลินตั้น บราวน์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือนจำท้องถิ่น และมีพี่สาว ลูเทร็ลล์ บันดี้ ซึ่งทำงานที่ธนาคาร ตั้งแต่วัยเด็กของเขา เพลงเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต โดยเขาฟังอัลบั้มเพลงแนว โซล ของพ่อแม่ และจากนั้นก็มีความสนใจในเพลง ฮิพฮอพ อีกด้วย

บราวน์ เรียนรู้การร้องและเต้นด้วยตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก โดยมี ไมเคิล แจ็กสัน เป็นแรงบัลดาลใจ จากนั้นเขาเริ่มร้องเพลงในคณะประสานเสียง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา วันหนึ่ง ในขณะที่เขาล้อเลียนการแสดง เพลง "My Way" ของ อัชเชอร์ แม่ของเขาได้เห็นถึงพรสวรรค์และยอมรับในเสียงร้องของเขา พวกเขาจึงเริ่มมองหาโอกาสในการได้เซ็นสัญญา แต่ในขณะนั้น บราวน์ ได้เจอปัญหาส่วนตัว นั่นคือพ่อแม่ของเขาได้รับการหย่าร้างกัน และเขาได้กล่าวว่า แฟนใหม่ของแม่ทำให้เขากลัวเนื่องจากความรุนแรงในการทำร้ายร่างกาย ที่แม่ของเขาต้องทนจากแฟนของเธอ

เมื่ออายุได้ 13 ปี ทีมงานโปรดิวเซอร์ในท้องถิ่นได้เห็นความสามารถของบราวน์ ซึ่งพวกเขากำลังมองหานักร้องที่มีความสามารถ พวกเขาได้ช่วยบราวน์ ในการฝึกเสียงร้อง พร้อมกับส่งทีมงานเข้าสู่ นิวยอร์ก เพื่อหาหาโอกาสในการได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง ในเวลาเดียวกัน บราวน์จึงเข้าสู่นิวยอร์ก เพื่อออดิชั่น และได้พบกับ ทีน่า เดวิส ผู้บริหาร Def Jam Recordings กล่าวว่า เขารู้สึกทึ่งตอนที่ได้ดูการออดิชั่นของ บราวน์ จากนั้นเธอจึงพา บราวน์ ไปพบกับอดีตผู้บริหาร Island Def Jam Music Group ในทันที เขามองเห็นในความสามารถของบราวน์ ว่าเขาคือผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง

การดำเนินการล่าช้านานกว่า 2 เดือน เพราะการควบรวมกิจการบริษัทของ Def Jam และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เดวิสต้องเสียตำแหน่งของเธอไป บราวน์จึงขอให้เธอมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา และเดวิสก็ตอบตกลง ในตอนนั้น ตัวเลือกของพวกเขามีสามบรืษัทที่ติดต่อเข้ามา นั่นคือ Jive Records, J-Records และ Warner Bros. Records และบราวน์ ก็เลือก Jive Records เนื่องจากค่ายนี้ประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมกับศิลปิลอายุน้อยและทำให้พวกเขามีชื่อเสียง เช่น บริทนีย์ สเปียร์ส และ จัสติน ทิมเบอร์เลค

เขาเข้าเรียนที่ Essex High School จนถึงปี 2005 เมื่อตอนที่เขาย้ายเข้าไปที่ นิวยอร์ก เพื่อทำงานเพลง

2005–06: เริ่มการเดบิวต์[แก้]

คริส บราวน์ ในปี ค.ศ. 2005

หลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับ Jive Records ในปี 2004 บราวน์จึงเริ่มทำงานเพลงและบันทึกเสียงในเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 ในตอนนั้นพวกเขามีเพลงที่ได้บันทึกเสียงไปแล้วกว่า 50 เพลง และได้เลือกไป 14 เพลง ซึ่งเพลงเหล่านี้ได้เขียนและอำนวยการผลิตโดย Scott Storch, Cool & Dre และ Jazze Pha among ซึ่งบราวน์ยังมีส่วนร่วมในการเขียนเพลงกว่า 5 เพลงในอัลบั้มนี้ โดยมีชื่อของเขาอยู่ในเครดิตอีกด้วย ซึ่งทั้งอัลบั้มใช้เวลาน้อยกว่า 8 สัปดาห์ ในการผลิต

ในที่สุดอัลบั้มที่มีชื่อว่า Chris Brown ก็ได้ออกวางจำหน่าย โดยสามารถทำอันดับ 2 ใน Billboard 200 ได้สำเร็จ โดยในสัปดาแรกห์ สามารถขายได้กว่า 154,000 ก๊อปปี้ ในเวลานั้น บราวน์จึงเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จในยอดขายอัลบั้มในเวลานั้น ยอดขายรวมอยู่ที่ 2 ล้านก๊อปปี้ในสหรัฐอเมริกา และ 3 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และด้วยเพลงแรกในอัลบั้มอย่าง "Run It!" ทำให้บราวน์ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ใน Billboard Hot 100 โดยยังมีซิงเกิลอย่าง Yo (Excuse Me Miss)," "Gimme That" และ "Say Goodbye" ซึ่งสามารถทำอันดับ ท็อป 20 ได้ในชาร์ตเดียวกัน

ในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2006 บราวน์ออก ดีวีดี บันทึกการเดินทางในการทำงานของเขา ซึ่งบันทึกการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ เช่น อังกฤษและญี่ปุ่น การเดินทางไปยัง แกรมมี่ อวอร์ด ครั้งแรกของเขา และยังมีเบื้องหลังการถ่ายทำ มิวสิกวิดีโอของเขาอีกด้วย

17 สิงหาคม ค.ศ. 2006 เพื่อการช่วยส่งเสริมอัลบั้ม บราวน์จึงเริ่มทัวร์ และแสดงโชว์อย่างไกล้ชิดกับแฟน ๆ มากขึ้น รวมถึงได้แสดงเปิดในคอนเสิรต์ The Beyoncé Experience ของ บียอนเซ่ ที่ออสเตรเลีย

ในเดือน มกราคม ค.ศ. 2007 บราวน์ยังได้ปรากฏตัวเป็นบทเล็ก ๆ ใน One On One และ The O.C. จากนั้นเขาได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในเรื่อง Stomp the Yard ซึ่งเริ่มฉายในเดือน มกราคม ค.ศ. 2007 และจากนั้นก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์ครอบครัว แนวดราม่า เรื่อง This Christmas ซึ่งเริ่มฉายเมื่อ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม บราวน์ได้บทเด่นในตอนหนึ่งของ MTV's My Super Sweet 16 ในตอนนั้นเอง บราวน์ยังได้ฉลองวันเกิดครบรอบ 18 ปีของเขาใน นิวยอร์ก และยังได้เป็นแขกรับเชิญพิเศษโดยแสดงเป็นตัวเอง ใน The Suite Life of Zack & Cody ของ ดิสนี่ และบราวน์ยังคาดว่าจะเป็นตัวละครหลักในละครดราม่าบาสเก็ตบอล Phenom

2007–08: Exclusive[แก้]

หลังจากสิ้นสุดการทัวร์ฤดูร้อนของเขากับของ นี-โย บราวน์เริ่มต้นการทำอัลบั้มที่ 2 ของเขาอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มนี้มีชื่อว่า Exclusive ซึ่งเผยแพร่ในเดือน พฤศจิกายน 2007 โดยอัลบั้มนี้เปิดตัวเป็นอันดับ 4 บน Billboard 200 โดยทำยอดขาย 294,000 ก๊อปปี้ ในสัปดาห์แรก และสิ้นสุดการขายโดยทำยอดขายในสหรัฐอเมริกาไปได้ 1.9 ล้านก๊อปปี้

ซิงเกิลแรกในอัลบั้ม "Wall to Wall" เปิดตัวใน Billboard Hot 100 ด้วยอันดับ 69 และได้ไต่ขึ้นสูงสุดในอับดับ 79 และอันดับ 22 ในชาร์ต Billboard R&B and Hip-Hop ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับที่ต่ำมาก สำหรับการเปิดตัว จากนั้นซิงเกิลที่สองที่เผยแพร่คือ "Kiss Kiss" ร้องกับ ที-เพน สามารถแก้ตัวได้สำเร็จ และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยสามารถขึ้นอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นซิงเกิลที่สองของเขาที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ถัดจากซิงเกิล "Run It!" ในปี 2005

ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2007 บราวน์ได้ออกซิงเกิลที่ 3 "With You" ซึ่งสามารถทำอันดับ 2 ใน Billboard Hot 100 และยังประสบความสำเร็จในชาร์ตเพลงต่าง ๆ ทั่วโลก

เขานำอัลบั้ม Exclusive วางขายใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น Exclusive: The Forever Edition เมื่อ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โดยมีเพลง 4 เพลงใหม่ รวมถึงเพลง "Forever" ที่สามารถขึ้นถึงอันดับ 2 ในบิลบอร์ดฮ็อท 100

เพื่อการสนับสนุนอัลบั้ม เขาจึงเริ่มต้นการทัวร์ The Exclusive Holiday ซึ่งแสดงใน 30 สถานที่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา และเริ่มการทัวร์ใน Cincinnati, Ohio เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2007 และเสร็จสิ้นใน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2008 ที่ Honolulu, Hawaii และเขายังได้บันทึกเบื้องหลังการทัวร์มาไว้ในอัลบั้ม Exclusive: The Forever Edition บราวน์ได้โชว์เพลง "With You" ในงาน BET Awards '08 ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 2008 และได้ร่วมแสดงเพลง "Take You Down" ร่วมกับ ซิเอรา อีกด้วย

บราวน์ ร่วมกับ เดอะเกม ในการทำงานกับ นาส ในอัลบั้ม untitled album กับซิงเกิล "Make the World Go Round" ซึ่งร่วมผลิตโดย เดอะเกม และ Cool & Dre และยังได้ร่วมกับ Sean Garrett เพื่อทำงานในซิงเกิลของ ลูดาคริส ชื่อว่า "What Them Girls Like" ในอัลบั้ม Theater of the Mind บราวน์ยังได้ร่วมงานกับ ที-เพน ในซิงเกิล "Freeze" ซึ่งเป็นซิงเกิลที่สามในอัลบั้ม Thr33 Ringz ของ ที-เพน บราวน์ยังได้มีชื่ออยู่บน ศิลปินแห่งปี 2008 โดย Billboard magazine บราวน์ยังได้ ออกซิงเกิล "Take You Down" ในเดือน มกราคม ค.ศ. 2009 ในประเทศ อังกฤษ

2009–10: Graffiti[แก้]

บราวน์กลับมาทำงานที่สตูดีโออีกครั้ง เขาพยายามหาทิศทางดนตรีที่แตกต่างสำหรับอัลบั้มใหม่ของเขา สตูดิโออัลบั้มที่สาม ชื่อว่า Graffiti ได้เปิดตัววันที่ 15 ธันวาคม 2009 โดยซิลเกิ้ลแรก "I Can Transform Ya" ที่ได้ร่วมงาน กับ ลิล เวย์น และ Swizz Beatz ซึ่งออก ดิจิทัลดาวน์โหลดในเดือน กันยายน 2009 และเปิดตัวมิวสิกวิดีโอใน MTV เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2009 ซึ่งสามารถขึ้นอันดับ 20 ใน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ และซิงเกิลที่ 2 "Crawl" ซึ่งสามารถทำอันดับ 53 ใน Billboard Hot 100 และเขาได้ออก มิวสิกวิดีโอ ออกมาในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 บราวน์ได้กล่าวว่า ซิงเกิลต่อไปของเขาคือ "Pass Out" ซึ่งได้ร่วมงานกับ Eva Simons และ "Sing Like Me" ซึ่งในที่สุดก็ไม่ได้เป็นซิงเกิลแต่อย่างใด

ขณะที่บราวน์ร่วมการแสดงสรรเสริญ ไมเคิล แจ็กสัน ใน BET Awards 2010 บราวน์เริ่มร้องไห้ในขณะที่เขาร้องเพลง "Man in the Mirror" ซึ่งทำให้สะเทือนอารมณ์และความรู้สึกของนักร้องหลายคน ที่มาร่วมงาน

ในเดือน พฤษภาคม 2010 บราวน์ออก มิกซ์เทป ซึ่งได้ทำงานร่วมกับ Tyga ในชื่อว่า Fan of a Fan และได้ออกเพลง "Deuces" ซึ่งฟีทเจอริ่งกับ Tyga และ Kevin McCall ซึ่งได้เผยแพร่ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2010 สามารถทำอันดับ 1 ใน U.S. R&B/Hip-Hop Songs และอันดับ 14 ใน Billboard Hot 100

ในเดือน สิงหาคม ค.ศ. 2010 บราวน์ ได้มีบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Takers ซึ่งได้แสดงร่วมกับนักแสดงมากมายหลายท่าน

2010–2012: F.A.M.E. และ Fortune[แก้]

คริส บราวน์ ในปี ค.ศ. 2012

บราวน์ได้ประกาศว่า สตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของเขานั้นจะมีชื่อว่า F.A.M.E. (Forgiving All My Enemies) โดยซิงเกิลแรก "Yeah 3x" เผยแพร่ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งสามารถขึ้นอันดับ 15 ใน สหรัฐ และ แคนาดา และยังขึ้นอันดับ ท็อป 5 ในออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ซิงเกิลที่ 2 "Look at Me Now" พีทเจอริ่งกับ ลิล เวย์น และ บัสตา ไรมส์ ซึ่งออก ในเดือน มกราคม 2011 ซึ่งสามารถขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ซิงเกิลอันดับ 3 "Beautiful People" พีทเจอริ่ง Benny Benassi เผยแพร่ในเดือน มีนาคม ค.ศ. 2011 ซิงเกิลที่ 4 "She Ain't You" ซึ่งเป็นเพลงที่ได้รับแรงบัลดาลใจและต้นแบบจากเพลง "Human Nature" ของ ไมเคิล แจ็กสัน ซิงเกิลที่ 5 "Next to You" ฟีทเจอริ่ง โดยศิลปินชาวแคนาดา จัสติน บีเบอร์ ได้เผยแพร่เป็นอันดับ 5 จากอัลบั้มนี้ และเพื่อการโปรโมตอัลบั้ม บราวน์จึงได้จัดทัวร์คอนเสิร์ตเพิ่มเติมที่ ออสเตเลีย และ อเมริกาเหนือ อีกด้วย

บราวน์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 6 รางวัลที่งาน BET Awards และในท้ายที่สุด สามารถคว้าไปได้ 5 รางวัล

รวมไปถึงงาน Soul Train Music Awards 2011 อัลบั้ม F.A.M.E. สามารถคว้ารางวัล อัลบั้มแห่งปีได้สำเร็จ

นอกจากนั้น ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 3 รางวัล ในงานประกาศผลรางวัลเพลง แกรมมี่ครั้งที่ 54 โดย สามารถคว้าไปได้ 1 รางวัล นั่นคือ รางวัล Best R&B Album โดยบราวน์ได้ขึ้นแสดงโชว์ ถึง 2 รอบ เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในงานนี้ หลังจากเหตุการณ์ถูกทำโทษจากกรณีทำร้ายร่างกาย

ในวันที่ 7 ตุลาคม 2011 RCA Music Group ประกาศยุบกิจการ Jive Records รวมไปถึง Arista Records และ J Records ทำให้ บราวน์ รวมถึงศิลปินคนอื่น ๆ ที่มีสัญญาใน 3 บริษัทนี้ ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ RCA Records

บราวน์ ได้ออกสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเขา Fortune ในเดือน มีนาคม 2012 โดย "Turn Up the Music" ได้เผยแพร่เป็นซิลเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012 จากนั้นบราวน์ได้ออก "Sweet Love" และ "Till I Die" ออกมาเป็นซิงเกิลที่ 2 และ 3 ของอัลบั้ม ตามลำดับ จากนั้น บราวน์ ได้ออกซิงเกิลที่ 4 "Don't Wake Me Up" ออกมา ซึ่งสามารถติดอันดับ ท็อป 10 ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก จากนั้น บราวน์ได้ออก "Don't Judge Me" ออกมาเป็นซิงเกิลที่ 5 ซึ่งเป็นซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้ม Fortune

2013–ปัจจุบัน: X[แก้]

บราวน์ เตรียมออกสตูดิโออัลบั้มที่ 6 ของเขา X ประเดิมซิลเกิ้ลแรก Fine China ในวันที่ 1 เมษายน 2013 ได้นักเขียนเพลงคู่บุญของบราวน์อย่าง Eric Bellinger และ Sevyn Streeter มาร่วมเขียนเพลงนี้ด้วย, ใน MV เพลงนี้ได้แรงบรรดาลใจจากเพลง Beat It ของ Michael Jackson,

ในอัลบั้มนี้มีแขกรับเชิญและโปรดิวเซอร์อาทิ Pharrell, Kendrick Lamar, R. Kelly, Nicki Minaj, Brandy, Diplo, Danja, Akon อาร์แอนบีไฟแรงอย่าง Jhené Aiko และ Trey Songz คนอื่น, 20 มิถุนายน 2013 ได้ออกซิ้งเกิ้ลที่ 2 Don't Think They Know ได้เติมท่อนของ Aaliyah ที่ไม่ได้ออกที่ไหนมาก่อนลงไปด้วย, บราวน์ ปล่อยซิงเกิล 3 Love More ได้ Nicki Minaj มาร่วมแจม

2014 บราวน์ ปล่อยซิงเกิลซิงเกิลที่ 4 "Loyal" ได้ Lil Wayne และ เฟกช์ โมเทนน่า หรือ ทูซ๊อก ในท่อนสุดท้าย ให้เลือกดาวน์โหลด แต่สุดท้ายต้องนำ ไทก้า มาร้องท่อนสุดท้ายในภาคซิงเกิล ทำให้เพลงนี้เข้าสู่ท๊อป 10 บิลบอร์ดชาร์ต ซิงเกิลที่ 5 New Flame ร่วมกับ Rick Ross หลังจากร่วมงานกับ DJ Khaled ด้วยกัน แต่อัชเชอร์ได้ยินเพลงนี้เข้า จึงได้ปรับใหม่เป็นเวอร์ชันเป็นทางการ ก่อนหน้านั้นจะปล่อยซิงเกิล "Don't Be Gone Too Long" แต่ตอนนั้น ด้วยความไม่ลงตัวของทั้ง 2 ค่าย จึงยังไม่พร้อมปล่อยได้

2015 บราวน์ ได้ร่วมทำอัลบั้มกับไทก้า ในชื่อว่า Fan of a Fan: The Album หลังจากไทก้าร่วมงานกับบราวน์ เขาทั้งสองสนิทกันจนทำมิกซ์เทป Fan of a Fan ในซิงเกิล "Deuces" และ ซิงเกิล "Loyal" จนประสบความสำเร็จ เขาทั้งสองตัดสินใจทำอัลบั้มด้วยกัน หลังไทก้าพักงานอัลบัมเดี่ยวในชื่อว่า The Gold Album: 18th Dynasty หลังมีปัญหากับ Lil Wayne ด้วยซิงเกิล "Ayo"

อัลบั้ม[แก้]

  • Chris Brown (2005)
  • Exclusive (2007)
  • Graffiti (2009)
  • F.A.M.E. (2011)
  • Fortune (2012)
  • X (2014)
  • Fan of a Fan: The Album (ร่วมกับ ไทก้า) (2015)
  • Royalty (2015)
  • Heartbreak on a Full Moon (2017)
  • Indigo (2019)
  • Slime & B (ร่วมกับ ยังตัก) (มิกซ์เทปเชิงพานิชย์) (2020)
  • Breezy (2022)
  • 11:11 (2023)

ผลงานการแสดง[แก้]

โทรทัศน์
ปี ชื่อ บทบาท หมายเหตุ
2006 Christmas in Washington Himself television special (TNT)
2007 The O.C. Will Tutt three episodes
2008 The Suite Life of Zack and Cody Himself guest star
ภาพยนตร์
ปี ชื่อ บทบาท หมายเหตุ
2007 Stomp the Yard Duron small role/film debut
This Christmas Michael 'Baby' Whitfield main role
2010 Takers Jessie Attica Executive Producer
Phenom TBA pre-production

อ้างอิง[แก้]

  1. "Chris Brown". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-12. สืบค้นเมื่อ 2008-08-24.
  2. https://www.hotnewhiphop.com/chris-brown-sold-745-million-single-and-album-units-in-the-us-this-year-news.40522.html
  3. https://heavy.com/money/2018/06/chris-brown-net-worth/

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]