Aquilolamna

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Aquilolamna
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ยุคครีเทเชียสตอนปลาย, 93Ma
ภาพจำลอง A. milarcae
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอตา
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น: ปลากระดูกอ่อน
อันดับ: อันดับปลาฉลามขาว (?)
วงศ์: Aquilolamnidae
Vullo, Frey, Ifrim, González González, Stinnesbeck, & Stinnesbeck, 2021
สกุล: Aquilolamna
Vullo, Frey, Ifrim, González González, Stinnesbeck, & Stinnesbeck, 2021
ชนิดต้นแบบ
Aquilolamna milarcae
Vullo, Frey, Ifrim, González González, Stinnesbeck, & Stinnesbeck, 2021

Aquilolamna เป็นสกุลที่สูญพันธุ์แล้วของสัตว์คล้ายฉลามจากยุคครีเทเชียสตอนปลาย (ช่วงทูโรเนียน) ค้นพบในชั้นหินอากวานวยวา (Agua Nueva Formation) แห่งเม็กซิโก สปีชีส์ที่ทราบมีเพียงสปีชีส์เดียว คือ A. milarcae หรือ ฉลามอินทรี และถูกจัดไว้ในวงศ์ของมันเอง คือ Aquilolamnidae และขณะนี้ถูกจัดไว้กับอันดับปลาฉลามขาวเป็นการชั่วคราว[1][2]

อนุกรมวิธาน[แก้]

แม้จะเชื่อกันว่า Aquilolamna อยู่ในกลุ่มเดียวกับฉลามและกระเบน และสิ่งมีชีวิตตัวอย่างแรกเป็นฟอสซิลที่ถูกคงสภาพไว้อย่างดีก็ตาม การจัดจำแนกทางอนุกรมวิธานก็ยังเป็นปัญหา เนื่องจากไม่พบฟันในตัวอย่าง ซึ่งเชื่อว่าหลุดออกไปเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงหรืออาจฝังลึกอยู่ในเนื้อกระดูก (matrix) โดยฟันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพิจารณาความสัมพันธ์ทางอนุกรมวิธานของซากดึกดำบรรพ์ฉลาม สิ่งที่อาจเป็นรอยพับบนผิวหนังของตัวอย่างอาจเป็นเพียงซากดึกดำบรรพ์ของพรมแบคทีเรีย (bacterial mat) แต่เดิมมันถูกจัดให้อยู่ในอันดับปลาฉลามขาวไว้ชั่วคราวจากการอธิบายรูปพรรณในครั้งแรกที่อาศัยความคล้ายคลึงทางสัณฐานวิทยาที่มีต่อสมาชิกอื่นในอันดับ อย่างไรก็ตาม จากการที่ฉลามชนิดนี้มีลักษณะที่ผิดประหลาดอย่างยิ่ง นักบรรพชีวินวิทยาบางคนจึงยังคงลังเลที่จะจัดจำแนกมันไว้ในอันดับดังกล่าว และต้องมีการศึกษาต่อไปในอนาคต[3] นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยว่า Aquilolamna มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Cretomanta ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อนที่สูญพันธุ์แล้วในกลุ่มนีโอเซลาเคียน ที่ยังหาความสัมพันธ์ทางอนุกรมวิธานที่แน่ชัดไม่ได้ โดยได้ทำการอธิบายรูปพรรณจากซากของฟันที่ขุดค้นได้ในเท็กซัสเมื่อ ค.ศ. 1990 (ต่อมามีการค้นพบชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่แคนาดาและโคโลราโด) Cretomanta มีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกันกับ Aquilolamna หากว่าพวกมันมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ก็เป็นไปได้ว่าทั้งสองสกุลนี้จะอยู่ในวงศ์เดียวกัน[4][5]

ลักษณะ[แก้]

Aquilolamna แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง อันทำให้มันไม่เหมือนฉลามใด ๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้วหรือยังคงมีชีวิตอยู่ โดยมีลำตัวเป็นทรงกระสวยและหางที่ลักษณะคล้ายกับฉลามส่วนใหญ่ แต่มีครีบอกที่ยาวเป็นพิเศษจนมีลักษณะคล้ายปีก ความกว้างจากปลายครีบข้างหนึ่งไปยังอีกข้างมีความยาวมากกว่าลำตัว กอปรกับส่วนหัวที่มีความกว้าง จึงนำไปสู่สมมติฐานที่ว่า Aquilolamna เป็นสัตว์ที่กรองแพลงก์ตอนกินเป็นอาหาร และเกิดข้อเสนอแนะว่ารูปร่างที่คล้ายกับกระเบนราหูเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการเบนเข้า ซึ่งปรากฏขึ้นในปลากระเบนในอีกหลายล้านปีต่อมา ตามบันทึกซากดึกดำบรรพ์ แต่มีข้อแตกต่างที่กระเบนราหูใช้การ "โผบิน" ไปในน้ำด้วยการกระพือครีบ แต่ Aquilolamna ใช้การ "ร่อน" ไปในน้ำอย่างเชื่องช้า โดยมีครีบอกที่เรียวยาวช่วยในการทรงตัวและมีครีบหางขับเคลื่อน[1][6]

การค้นพบ[แก้]

มีการอธิบายลักษณะของ Aquilolamna จากตัวอย่างชิ้นหนึ่งที่ถูกคงสภาพไว้อย่างดี มีทั้งโครงกระดูกในสภาพสมบูรณ์และส่วนที่อาจเป็นรอยกดบนผิวหนัง ตัวอย่างนี้ถูกค้นพบใน ค.ศ. 2012 โดยคนงานเหมืองไม่ทราบชื่อที่ทำงานในวัลเลซิลโล รัฐนวยโวเลออง ประเทศเม็กซิโก ตัวอย่างนั้นได้กลายมาเป็นจุดสนใจของมาร์การิโต กอนซาเลซ กอนซาเลซ (Margarito González González) นักบรรพชีวินวิทยาในพื้นที่ ผู้ซึ่งเก็บรวบรวมและจัดเตรียมตัวอย่าง ตลอดหลายปีถัดมา มันได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในการสัมมนาทางบรรพชีวินวิทยาหลายครั้ง และในที่สุดก็ได้มีการอธิบายลักษณะใน ค.ศ. 2021[3]

นิเวศวิทยาบรรพกาล[แก้]

ภาพร่างดินสอของ Aquilolamna

เป็นไปได้ว่า Aquilolamna อาศัยอยู่บริเวณทะเลเปิดในช่วงทูโรเนียน (Turonian) ของยุคครีเทเชียสตอนปลาย ประมาณ 93 ล้านปีก่อน ชั้นหินอากวานวยวาที่พบฟอสซิลเชื่อว่าประกอบขึ้นจากตะกอนที่ทับถมกันอยู่บริเวณขอบนอกของไหล่ทวีปส่วนตื้น[7] Aquilolamna อาจมีถิ่นอาศัยร่วมกับสัตว์เลื้อยคลานทะเล เช่น Mauriciosaurus ในวงศ์ Polycotylidae, แอมโมไนต์, และปลากระดูกแข็งอีกหลายชนิด อาทิ Vallecillichthys ในอันดับ Ichthyodectiformes และ Goulmimichthys กับ Araripichthys ในอันดับ[7] Crossognathiformes ผู้ล่าขั้นสูงสุดในระบบนิเวศที่ Aquilolamna อาศัยอยู่ เป็นไปได้ว่าคือ Cretoxyrhina ซึ่งเป็นฉลามขาวขนาดใหญ่ พงศ์พันธุ์ของ Aquilolamna อาจสูญพันธุ์ไปหลังจากการลดจำนวนของแพลงก์ตอน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการกลายเป็นกรดของมหาสมุทรในเหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน ซึ่งในเวลาต่อมา กระเบนนกและกระเบนชนิดอื่น ๆ ได้เข้ามาแทนที่บทบาททางนิเวศวิทยา (ecological niche) ที่เหลือจากการสูญพันธุ์[1][6]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 Vullo, Romain; Frey, Eberhard; Ifrim, Christina; González, Margarito A. González; Stinnesbeck, Eva S.; Stinnesbeck, Wolfgang (2021-03-19). "Manta-like planktivorous sharks in Late Cretaceous oceans". Science (ภาษาอังกฤษ). 371 (6535): 1253–1256. doi:10.1126/science.abc1490. ISSN 0036-8075.
  2. "The 'eagle shark' that glided through ancient seas". phys.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-03-19.
  3. 3.0 3.1 "Shark-like fossil with manta 'wings' is unlike anything seen before". Science (ภาษาอังกฤษ). 2021-03-18. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  4. "Meet Aquilolamna, a shark wider than it is long". www.abc.net.au (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2021-03-18. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  5. "Fossilworks: Cretomanta". fossilworks.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-07. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  6. 6.0 6.1 Dunham, Will (2021-03-18). "Bizarre ancient shark glided through the sea with lengthy wing-like fins". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  7. 7.0 7.1 "New Teleostei from the Agua Nueva Formation (Turonian), Vallecillo (NE Mexico)". Comptes Rendus Palevol (ภาษาอังกฤษ). 2 (5): 299–306. 2003-07-01. doi:10.1016/S1631-0683(03)00064-2. ISSN 1631-0683.