ไคโรแพรกติก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไคโรแพรกติก
การแพทย์ทางเลือก
นักไคโรแพรกติกกำลังจัดกระดูกสันหลัง
นักไคโรแพรกติกกำลังจัดกระดูกสันหลัง
ข้อกล่าวอ้างภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน,
การจัดกระดูกสันหลัง,
เชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด
ความเสี่ยงการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงเวอร์ทีบรอล (สโตรก),
กระดูกสันหลังหักเหตุอัด (vertebral compression fracture),
ความตาย
สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องออสทีโอพาธี, ชีวิตนิยม
ผู้สนับสนุนดั้งเดิมแดเนียล เดวิด พาลเมอร์ (Daniel David Palmer)
ผู้สนับสนุนต่อมาบี. เจ. พาลเมอร์ (B. J. Palmer)
MeSHD002684

ไคโรแพรกติก หรืออาจเรียกว่า การนวดจัดกระดูก หรือ การจัดกระดูก เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง[1] ซึ่งประกอบด้วยการวินิจฉัย รักษา และป้องกันความผิดปกติเชิงกล (physical disorder) ในระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกมนุษย์ (Human musculoskeletal system) โดยเฉพาะในกระดูกสันหลัง[2] การแพทย์ทางเลือกรูปแบบนี้มีต้นกำเนิดจากคุยหลัทธิตะวันตก (Western esotericism)[3] และตั้งอยู่บนหลายแนวคิดแนววิทยาศาสตร์เทียม[4]

นักไคโรแพรกติก[5]หลายคน โดยเฉพาะในช่วงต้นของการแพทย์ทางเลือกสาขานี้ เสนอว่าความผิดปกติเชิงกลของข้อต่อส่งผลต่อสุขภาพทั่วไป โดยเฉพาะข้อต่อที่อยู่ในกระดูกสันหลัง[2] และเสนอว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเป็นประจำ (Spinal manipulation) (หรือการจัดกระดูกสันหลัง (spinal adjustment)) สามารถส่งเสริมสุขภาพทั่วไปได้ กลวิธีการรักษาแบบไคโรแพรกติก (Chiropractic treatment techniques) ประกอบด้วยการบำบัดด้วยมือ (manual therapy) เป็นหลัก โดยเฉพาะการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง ข้อต่ออื่น ๆ กับเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue) แต่ก็อาจรวมถึงการออกกำลังกายและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตและสุขภาพ[6] นักไคโรแพรกติกอาจถือใบปริญญาดอกเตอร์อ็อฟไคโรแพรกติก (D.C.) และอาจมีคนเรียกว่า "แพทย์" แต่มิใช่แพทยศาสตรบัณฑิต (M.D.)[7][8] แม้ว่านักไคโรแพรกติกหลายคนมองว่าตนเป็นผู้ให้บริการปฐมภูมิ (primary care)[9][10] แต่การฝึกทักษะทางคลินิกสำหรับไคโรแพรกติกไม่สนองเงื่อนไขสำหรับตำแหน่งนั้น[2]

การปริทัศน์เป็นระบบของงานศึกษาทางคลินิกแบบมีกลุ่มควบคุมเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่นักไคโรแพรกติกใช้ไม่พบหลักฐานว่าการจัดกระดูกสันหลังแบบไคโรแพรกติกมีประสิทธิศักย์ (efficacy) โดยอาจมีข้อยกเว้นสำหรับการรักษาอาการปวดหลัง[9] การประเมินเชิงวิพากษ์ใน ค.ศ. 2011 ของการปริทัศน์เป็นระบบ 45 ฉบับพบว่าการจัดกระดูกสันหลังไม่มีประสิทธิผลในการรักษาอาการใด ๆ[11] การจัดกระดูกสันหลังอาจมีประสิทธิผลต่อต้นทุน (Cost-effectiveness analysis) สำหรับอาการปวดหลังเรื้อรังหรือกึ่งเฉียบพลัน แต่ไม่มีผลลัพธ์เพียงพอสำหรับอาการปวดหลังเฉียบพลัน[12] ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอซึ่งบ่งชี้ว่าการดูแลเพื่อบำรุงรักษาแบบไคโรแพรกติกสามารถป้องกันอาการหรือโรคใด ๆ ได้[13]

ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินความปลอดภัยของการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกได้[14] แต่การจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกมักสัมพันธ์กับอาการไม่พึงประสงค์ (adverse effect) ระดับอ่อนถึงปานกลาง และในกรณีหายากอาจสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหรือถึงตาย[15][16] ระดับความเสี่ยงของการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงเวอร์ทีบรอล (Vertebral artery dissection) ซึ่งอาจนำไปสู่สโตรกกับความตาย ที่เกิดจากการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอ (neck manipulation) ยังเป็นที่ถกเถียง[17] ความตายหลายกรณีเกี่ยวโยงกับเทคนิคนี้[16] และมีบุคคลเสนอว่าสัมพันธ์กันแบบก่อเหตุ (causative)[18][19] นักไคโรแพรกติกหลายคนไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว[19]

ไคโรแพรกติกมีรากฐานที่มั่นคงในสหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย[20] และทับซ้อนกับวิชาชีพการบำบัดด้วยมือสาขาอื่น เช่นออสทีโอพาธี (Osteopathy) และกายภาพบำบัด[21] ผู้คนส่วนใหญ่แสวงหาการดูแลแบบไคโรแพรกติกเนื่องด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง[22] ไคโรแพรกติกมีความเฉพาะทางในอาการปวดหลังและคอ แต่นักไคโรแพรกติกหลายคนให้การรักษาอาการอื่นนอกจากด้านกล้ามเนื้อและโครงกระดูกด้วย[9] ไคโรแพรกติกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่ม "straights" (โดยตรง) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนน้อย กลุ่ม straight ให้ความสำคัญกับแนวคิดชีวิตนิยม (vitalism) "เชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด" (innate intelligence) และถือว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน (Vertebral subluxation) เป็นเหตุของโรคทั้งมวล อีกกลุ่มคือ "mixers" (ผสม) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ กลุ่ม mixer เปิดรับมุมมองกระแสหลักและเทคนิคการแพทย์แผนปัจจุบันมากกว่า เช่นการออกกำลังกาย การนวด และการบำบัดด้วยน้ำแข็ง (ice pack therapy)[23]

แดเนียล เดวิด พาลเมอร์ (Daniel David Palmer) ก่อตั้งไคโรแพรกติกขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1890[24] หลังกล่าวว่าเขาได้รับมันมาจาก "ต่างโลก"[25] พาลเมอร์ยืนยันว่าเขาได้รับหลักความเชื่อของไคโรแพรกติกมาจากหมอคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อห้าสิบปีก่อนหน้านั้น[26] ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บี. เจ. พาลเมอร์ (B. J. Palmer) บุตรชายของเขา ช่วยเผยแพร่ไคโรแพรกติก[24] ไคโรแพรกติกตกเป็นข้อถกเถียงอยู่เสมอ (Chiropractic controversy and criticism) ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของมัน[27][28] รากฐานของการแพทย์ทางเลือกสาขานี้ขัดกับเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน และค้ำจุนด้วยแนวคิดวิทยาศาสตร์เทียมอย่างภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนและเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด[29] แม้มีหลักฐานล้นหลามว่าการให้วัคซีนเป็นการแทรกแซงทางสาธารณสุขที่ทรงประสิทธิผล แต่นักไคโรแพรกติกไม่เห็นพ้องกันอย่างมีนัยสำคัญในประเด็นนี้[30] นี่นำไปสู่ผลด้านลบต่อทั้งการให้วัคซีนกับสาธารณะและความยอมรับไคโรแพรกติกในกระแสหลัก[31] ใน ค.ศ. 1966 สมาคมการแพทย์อเมริกันเรียกไคโรแพรกติกว่าเป็น "ลัทธิไม่เป็นวิทยาศาสตร์"[32] และคว่ำบาตรจนกระทั่งแพ้คดีต่อต้านการผูกขาดเมื่อ ค.ศ. 1987 (Wilk v. American Medical Association)[10] ไคโรแพรกติกมีฐานการเมืองที่เข้มแข็งและความต้องการบริการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับความชอบธรรมและความยอมรับมากขึ้นจากแพทย์แผนปัจจุบันและประกันสุขภาพในสหรัฐ (Health insurance in the United States)[10] ในการระบาดทั่วของโควิด-19 หลายสมาคมวิชาชีพไคโรแพรกติกแนะนำให้นักไคโรแพรกติกยึดตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานอนามัยท้องถิ่น[33][34] แต่นักไคโรแพรกติกจำนวนน้อยแต่มีปากเสียงและอิทธิพลแพร่กระจายข้อมูลผิดเกี่ยวกับวัคซีน (vaccine misinformation) โดยไม่สนใจคำแนะนำเหล่านี้[35]

พื้นฐานแนวคิด[แก้]

ปรัชญา[แก้]

ไคโรแพรกติกมักถูกจัดประเภทเป็นการแพทย์ทางเลือกและผสมผสาน[1] ซึ่งให้ความสำคัญกับการจัดดัดดึงระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกมนุษย์โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง[2] ผู้ก่อตั้งดี. ดี. พาลเมอร์ เรียกมันว่าเป็น "ศาสตร์ของการรักษาโดยไม่ใช้ยา"[9]

ต้นกำเนิดของไคโรแพรกติกอยู่ในการจัดกระดูก (Traditional bone-setting) แบบการแพทย์ดั้งเดิม (traditional medicine)[9] และเมื่อมันวิวัฒนาการต่อมาก็รวมเข้ากับชีวิตนิยม การดลใจจากจิตวิญญาณ (spirituality) และเหตุผลนิยม[36] ปรัชญาแรกเริ่มมีรากฐานเป็นการนิรนัยจากลัทธิที่หักล้างไม่ได้ (dogma) ซึ่งอำนวยให้สามารถแยกแยะไคโรแพรกติกออกจากการแพทย์ได้ ซึ่งให้ข้อแก้ตัวทางกฎหมายและทางการเมืองสำหรับการปฏิบัติทางการแพทย์แบบไม่มีใบอนุญาตได้ และทำให้นักไคโรแพรกติกสามารถสถาปนาพวกตนเป็นวิชาชีพอิสระได้[36] ปรัชญา "straight" (โดยตรง) นี้ซึ่งถูกสอนให้แก่นักไคโรแพรกติกหลายรุ่นปฏิเสธการให้เหตุผลแบบอนุมานของระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์[36] และพึ่งพาการนิรนัยจากหลักการแรกเชิงชีวิตนิยมแทนวัตถุนิยมของวิทยาศาสตร์[37] อย่างไรก็ตาม นักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่มักนำเอาการวิจัยแบบวิทยาศาสตร์มาใช้ในไคโรแพรกติก[36] และนักปฏิบัติส่วนใหญ่เป็นแบบ "mixers" (ผสม) ซึ่งพยายามผสมผสานคตินิยมลดทอน (reductionism) แบบวัตถุนิยมของวิทยาศาสตร์เข้ากับอภิปรัชญาของบรรพบุรุษของพวกเขาและกระบวนทัศน์แบบองค์รวมเกี่ยวกับสุขภาวะ (Holistic medicine)[37] บทวิจารณ์จาก ค.ศ. 2008 เสนอให้ไคโรแพรกติกแยกตัวออกห่างจากปรัชญาโดยตรงอย่างเชิงรุกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์เพื่อขจัดทิ้งสิทธันต์ที่ทดสอบไม่ได้ (testability) และเข้าไปมีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์และการวิจัยอิงหลักฐาน[38]

แม้ว่าท่ามกลางนักไคโรแพรกติกจะมีความคิดที่หลากหลาย[36] แต่พวกเขามีความเชื่อร่วมกันว่ากระดูกสันหลังและสุขภาพนั้นมีความสัมพันธ์กันโดยพื้นฐาน และความสัมพันธ์นี้มีสื่อกลางเป็นระบบประสาท[39] นักไคโรแพรกติกบางคนอ้างว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังสามารถส่งผลต่อความเจ็บป่วยได้หลากหลาย ซึ่งรวมถึงกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้นและโรคหืด[40]

ปรัชญาไคโรแพรกติกประกอบไปด้วยมุมมองดังต่อไปนี้:[37]

ระบบความเชื่อของไคโรแพรกติกทั้งสองแบบจะสร้าง
หลักการที่ทดสอบได้ อุปลักษณ์ที่ทดสอบไม่ได้
การจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติก

การฟื้นฟูบูรณภาพเชิงโครงสร้าง

การปรับปรุงสถานะของสุขภาพ

เชาวน์ปัญญาสากล

เชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด

สรีรวิทยาของร่างกาย

วัตถุนิยม: ชีวิตนิยม:
  • สามารถให้นิยามการปฏิบัติการได้
  • เหมาะสมสำหรับการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์
  • ต้นกำเนิดของคติองค์รวมในไคโรแพรกติก
  • ไม่สามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จได้
นำมาจาก Mootz & Phillips 1997

คติองค์รวม (Holism) สมมุติว่าสุขภาพนั้นได้รับผลกระทบจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวคน ๆ หนึ่ง บางแหล่งอาจรวมถึงภพของวิญญาณหรือภพของอัตถิภาวะด้วย[41] ซึ่งจะตรงกันข้ามกับคติลดทอน ซึ่งในไคโรแพรกติกคือการลดทอนให้ต้นเหตุและการรักษาปัญหาทางสุขภาพกลายเป็นปัจจัยอันหนึ่งอันเดียว กล่าวคือภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน[38] ภาวะธำรงดุลจะเป็นการเน้นถึงความสามารถในการรักษาตนเองที่มีอยู่แล้วภายในร่างกาย เราสามารถมองแนวคิดว่าด้วยเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิดแบบแรก ๆ ของไคโรแพรกติกได้ว่าเป็นอุปลักษณ์ของภาวะธำรงดุล[36]

นักไคโรแพรกติกหลายคนกังวลว่าหากพวกเขาไม่แยกตัวออกห่างจากมโนทัศน์เชิงชีวิตนิยมตามดั้งเดิมเรื่องเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิดแล้ว ไคโรแพรกติกจะยังคงถูกมองเป็นวิชาชีพชายขอบต่อไป[23] ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีไคโรแพรกติกอีกชนิดหนึ่งถือกำเนิดขึ้นที่เมืองชิคาโกนามว่าแนแปรพาธี (naprapathy)[42][43] ซึ่งเชื่อว่าการจัดดัดดึงเนื้อเยื่ออ่อนด้วยมือจะสามารถลด "ความรบกวน" ภายในร่างกายและจึงสามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้[43]

แบบโดยตรงและผสม[แก้]

นักไคโรแพรกติกแบบ Straight (โดยตรง) ยึดหลักปรัชญาที่ ดี. ดี. และ บี. เจ. พาลเมอร์กล่าวไว้ และสงวนนิยามเชิงอภิปรัชญาและคุณลักษณะแบบชีวิตนิยมไว้[44] นักไคโรแพรกติกแบบโดยตรงเชื่อว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนทำให้เกิดการรบกวน "เชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด" ซึ่งสำแดงออกมาผ่านระบบประสาทมนุษย์ และเป็นปัจจัยเสี่ยงเบื้องหลังหลักของโรคหลายชนิด[44] กลุ่มโดยตรงมองว่าการวินิจฉัยทางการแพทย์ถึงอาการของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับการรักษาแบบไคโรแพรกติก พวกเขาถือว่าพวกมันเป็น "ผลลัพธ์ขั้นทุติยภูมิ" ของภาวะข้อเคลื่อนต่าง ๆ[44] นักไคโรแพรกติกแบบโดยตรงจึงสนใจกับการตรวจพบและการแก้ไขภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนด้วยการจัดกระดูกเป็นหลัก และจะไม่ "ผสม" การบำบัดชนิดอื่นเข้าในวิถีปฏิบัติของพวกเขา[44] ปรัชญาและคำอธิบายของพวกเขาจะมีธรรมชาติเป็นอภิปรัชญา และพวกเขานิยมใช้ศัพท์ไคโรแพรกติกแบบดั้งเดิมมากกว่า อาทิ "การวิเคราะห์กระดูกสันหลัง" "การตรวจหาข้อเคลื่อน" "การแก้ไขด้วยการจัด"[23] พวกเขาต้องการคงความปลีกแยกและความแตกต่างจากการดูแลสุขภาพกระแสหลักต่อไป[23] แม้จะถูกถือว่าเป็นกลุ่มส่วนน้อย "พวกเขาสามารถแปลงสถานะของตัวเองในฐานะที่เป็นสายบริสุทธิ์และทายาทของเชื้อสายให้กลายเป็นอิทธิพลซึ่งมากเกินสัดส่วนจำนวนของพวกเขาไปอย่างมาก"[i]

นักไคโรแพรกติกแบบ Mixer (ผสม) "ผสม" แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาจากมุมมองแบบไคโรแพรกติก การแพทย์ และออสทีโอพาธี และเป็นส่วนใหญ่ของนักไคโรแพรกติก[23] กลุ่มผสมเชื่อต่างจากนักไคโรแพรกติกแบบโดยตรง โดยเชื่อว่าข้อเคลื่อนนั้นเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุของโรคต่าง ๆ และจึงเปิดกว้างต่อการแพทย์กระแสหลักมากกว่า[23] หลายคนรวมเอาการวินิจฉัยทางการแพทย์กระแสหลักมาใช้และใช้การรักษาแผนปัจจุบัน เช่นกลวิธีของกายภาพบำบัดไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การยืดกล้ามเนื้อ (stretching) การนวด ไอซ์แพ็ก (ice pack) การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (electrical muscle stimulation) อัลตราซาวด์บำบัด (therapeutic ultrasound) และความร้อนชื้น (moist heat)[23] กลุ่มผสมบางส่วนใช้กลวิธีจากการแพทย์ทางเลือกด้วย เช่นอาหารเสริม การฝังเข็ม โฮมีโอพาธี ยาสมุนไพร และการตอบสนองทางชีวภาพ (biofeedback)[23]

พิสัยของมุมมองความเชื่อในไคโรแพรกติก
คุณลักษณะของมุมมอง ปลายทางความเชื่อที่เป็นไปได้
ขอบเขตการปฏิบัติ: แคบ ("straight") ← → กว้าง ("mixer")
แนวทางการตรวจวินิจฉัย: ด้วยอัชฌัตติกญาณ → ด้วยการวิเคราะห์
แนวปรัชญา: แบบชีวิตนิยม ← → แบบวัตถุนิยม
แนววิทยาศาสตร์: เชิงพรรณนา ← → เชิงทดลอง
แนวกระบวนการ: โดยปริยาย ← → แบบชัดแจ้ง
เจตคติการปฏิบัติ: แพทย์/ตัวแบบเป็นศูนย์กลาง ← → ผู้ป่วย/สถานการณ์เป็นศูนย์กลาง
บูรณาการทางวิชาชีพ: แยกกันและแตกต่างกัน ← → บูรณาการเข้ากับกระแสหลัก
นำมาจาก Mootz & Phillips 1997

แม้ว่ากลุ่มผสมจะเป็นคนส่วนใหญ่ แต่พวกเขาหลายคนยังคงเชื่อในภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน ดังที่การสำรวจจากนักไคโรแพรกติก 1,100 คนในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ ค.ศ. 2003 แสดง โดยพบว่าร้อยละ 88 ต้องการเก็บคำศัพท์ "vertebral subluxation complex" (ปมภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน) ไว้ และเมื่อถามให้ประมาณการณ์ร้อยละของความผิดปกติของอวัยวะภายในซึ่งมีส่วนมาจากภาวะข้อเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญ คำตอบโดยเฉลี่ยตอบว่าร้อยละ 62[45] การสำรวจนักไคโรแพรกติกชาวอเมริกัน 6,000 คนเมื่อ ค.ศ. 2008 แสดงให้เห็นว่านักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ดูจะเชื่อว่าแนวทางทางคลินิกที่อิงภาวะข้อเคลื่อนอาจใช้งานได้จำกัดในการจัดการกับความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน (visceral pain) และนิยมแนวทางทางคลินิกที่ไม่ได้อิงภาวะข้อเคลื่อนสำหรับอาการดังกล่าวอย่างมาก[46] การสำรวจเดียวกันแสดงให้เห็นว่านักไคโรแพรกติกโดยทั่วไปเชื่อว่าแนวทางทางคลินิกของพวกเขาส่วนใหญ่สำหรับการจัดการกับความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูก/ชีวกล อาทิอาการปวดหลัง จะอิงภาวะข้อเคลื่อน[46] นักไคโรแพรกติกมักให้การบำบัดแผนปัจจุบันด้วย เช่นกายภาพบำบัดและการให้คำปรึกษาด้านวิถีชีวิต และสำหรับคนทั่วไปแล้วอาจจะแยกแยะสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์กับที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ออกจากกันได้อย่างยากลำบาก[47]

ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน[แก้]

ในการแพทย์ที่อิงวิทยาศาสตร์ คำว่า "subluxation" (ข้อเคลื่อน) หมายถึงอาการที่ข้อต่อหลุด (Joint dislocation) ออกมาบางส่วนหรือไม่สมบูรณ์ จากภาษาละติน luxare แปลว่า 'หลุด/เคลื่อน' (dislocate)[48][49] ในขณะที่แพทย์ใช้คำนั้นเพื่อหมายถึงข้อที่หลุดแบบกายภาพเท่านั้น แต่ผู้ก่อตั้งไคโรแพรกติกดี. ดี. พาลเมอร์ ผสมความหมายเชิงอภิปรัชญาและปรัชญาเข้าไปในคำว่าข้อเคลื่อนด้วยจากประเพณีวิทยาศาสตร์เทียม อาทิชีวิตนิยม[50]

พาลเมอร์อ้างว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนรบกวนการทำงานของร่างกายและความสามารถรักษาตนเองที่มีแต่กำเนิด[51] ดี. ดี. พาลเมอร์ ทิ้งทฤษฎีเก่าของเขาไปซึ่งกล่าวว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนทำให้เส้นประสาทถูกกดอยู่ในช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลัง แล้วแทนที่ด้วยทฤษฎีที่กล่าวว่าภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนทำให้จังหวะการสั่นของเส้นประสาทเปลี่ยนไป ทำให้ตึงหรือหย่อนเกินไป และส่งผลต่อระดับเสียง (สุขภาพ) ของอวัยวะปลายทาง[50] เขายืนยันทฤษฎีนี้ด้วยการชี้ว่าไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิดก็สามารถปฏิบัติไคโรแพรกติกให้ชำนาญได้[50] ในภายหลังบุตรของเขาบี. เจ. พาลเมอร์ พัฒนาแนวคิดนี้ต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่กลายเป็นรากฐานทางกฎหมายสำหรับการแยกแยะไคโรแพรกติกออกจากการแพทย์แผนปัจจุบัน

ใน ค.ศ. 1910 ดี. ดี. พาลเมอร์ตั้งทฤษฎีซึ่งกล่าวว่าระบบประสาทเป็นสิ่งที่ควบคุมสุขภาพไว้ว่า:

"นักสรีรวิทยาแบ่งเส้นใยประสาทซึ่งประกอบขึ้นเป็นเส้นประสาทไว้สองประเภท นำเข้าและนำออก เมื่อมีการกดทับลงบนปลายเส้นใยนำเข้านอกส่วนกลาง จะทำให้เกิดความรู้สึกซึ่งถูกส่งไปยังส่วนกลางของระบบประสาท เส้นใยประสาทนำออกส่งสัญญาณจากส่วนกลางไปยังปลายของมัน ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะไปยังกล้ามเนื้อและจึงเรียกว่าสัญญาณสั่งการ บางส่วนเป็นสัญญาณคัดหลั่งและส่งไปยังต่อมต่าง ๆ ส่วนหนึ่งเป็นสัญญาณยับยั้ง หน้าที่ของมันคือการยับยั้งการคัดหลั่ง ดังนั้นแล้ว เส้นประสาทส่งสัญญาณไปภายนอกและความรู้สึกมาภายใน กิจกรรมของเส้นประสาทเหล่านี้ หรือของเส้นใยของมัน อาจถูกกระตุ้นหรือระงับได้จากการกดเบียด ผลคือการทำงานของมันถูกดัดแปลง – มีกิจกรรมที่มากเกินหรือไม่พอ – ซึ่งคือโรค"[ii]

นักไคโรแพรกติกใช้การถ่ายภาพรังสีเพื่อพิจารณาโครงสร้างกระดูกของผู้ป่วย

ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนซึ่งเป็นแก่นมโนทัศน์ของไคโรแพรกติกดั้งเดิมยังคงไม่มีน้ำหนักและไม่ถูกทดสอบโดยส่วนมาก และมีการโต้เถียงว่าควรเก็บมันไว้ในการปฏิบัติไคโรแพรกติกหรือไม่ซึ่งดำเนินมามากกว่าหลายทศวรรษ[53] โดยทั่วไปผู้วิจารณ์ไคโรแพรกติกดั้งเดิมที่อิงภาวะข้อเคลื่อน (ซึ่งรวมนักไคโรแพรกติกด้วย) เคลือบแคลงในประโยชน์ทางคลินิก ความเชื่อแบบสิทธันต์ และแนวทางเชิงอภิปรัชญาของมัน ในขณะที่นักไคโรแพรกติกแบบโดยตรงยังคงรักษากระบวนทัศน์แบบชีวิตนิยมดั้งเดิมซึ่งผู้ก่อตั้งสนับสนุนอยู่ ไคโรแพรกติกแบบอิงหลักฐานเสนอว่ามุมมองแบบเชิงกลจะทำให้การดูแลด้วยไคโรแพรกติกสามารถบูรณาการเข้ากับประชาคมบริการสุขภาพที่กว้างกว่าได้[53] นี่ยังคงเป็นข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่องภายในวิชาชีพไคโรแพรกติกเช่นกัน โรงเรียนไคโรแพรกติกบางที่ยังสอนไคโรแพรกติกอิงภาวะข้อเคลื่อนแบบดั้งเดิม/โดยตรงอยู่ ในขณะที่ที่อื่นกำลังขยับย้ายไปหาไคโรแพรกติกแบบอิงหลังฐานที่ปฏิเสธพื้นฐานเชิงอภิปรัชญาและจำกัดตัวเองไว้กับภาวะทางประสาท กล้ามเนื้อ และโครงกระดูกเป็นหลัก[54][55]

ใน ค.ศ. 2005 องค์การอนามัยโลกให้นิยามภาวะข้อเคลื่อนแบบไคโรแพรกติกไว้ว่าเป็น "รอยโรคหรือความผิดปกติในข้อต่อหรือหน่วยการเคลื่อนไหวที่ตำแหน่ง ความสมบูรณ์ของการเคลื่อนไหว และ/หรือการใช้งานทางสรีรวิทยาเปลี่ยนไป แม้ว่าผิวข้อต่อจะยังสัมผัสกันอยู่ครบถ้วน เป็นองคภาวะเชิงหน้าที่ซึ่งอาจส่งอิทธิพลต่อบูรณภาพทางชีวกลและทางประสาท"[iii] นี่ต่างจากนิยามของภาวะข้อเคลื่อนในทางการแพทย์ซึ่งเป็นการกระจัดเชิงโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญซึ่งมองเห็นได้ผ่านวิธีการถ่ายภาพนิ่ง เช่นด้วยรังสีเอกซ์[56] การใช้รังสีเอกซ์ถ่ายภาพอาการกระดูกสันหลังเคลื่อนทำให้ผู้ป่วยได้รับรังสีก่อไอออนที่เป็นอันตรายโดยไม่มีเหตุผลที่มีหลักฐานสนับสนุน[57][58] หนังสือจาก ค.ศ. 2008 Trick or Treatment ("หลอกหรือรักษา") กล่าวว่า "รังสีเอกซ์ไม่สามารถเปิดเผยให้เห็นทั้งภาวะข้อเคลื่อนหรือเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิดที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาไคโรแพรกติกได้เพราะพวกมันไม่มีอยู่จริง"[iv] เลขาธิการสหพันธ์ไคโรแพรกติกโลก (World Federation of Chiropractic) ทนายความเดวิด แชปแมน-สมิธ (David Chapman-Smith) กล่าวว่า "นักวิจารณ์ทางการแพทย์ถามมาว่าจะมีการเคลื่อนได้อย่างไรหากใช้รังสีเอกซ์แล้วมองไม่เห็น คำตอบคือความจริงแล้วภาวะเคลื่อนแบบไคโรแพรกติกนั้นเป็นองคภาวะเชิงหน้าที่ ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง และจึงฉายรังสีเอกซ์มองเห็นได้ไม่มากไปกว่าอาการเดินกะเผลก (limp) หรือปวดหัวหรือปัญหาเชิงหน้าที่อื่นใดก็ตาม"[v] สภาไคโรแพรกติกทั่วไป (General Chiropractic Council) ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมนักไคโรแพรกติกตามกฎหมายในสหราชอาณาจักรกล่าวว่าปมภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนแบบไคโรแพรกติกนั้น "ไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกใดรับรองที่จะให้สามารถอ้างได้ว่ามันเป็นต้นเหตุของโรค"[vi]

เมื่อ ค.ศ. 2014 คณะกรรมการผู้ตรวจการไคโรแพรกติกแห่งชาติ (National Board of Chiropractic Examiners) กล่าวว่า "จุดเน้นเฉพาะของการปฏิบัติไคโรแพรกติกเป็นที่รู้จักว่าคือภาวะข้อเคลื่อนแบบไคโรแพรกติกหรือการทำงานผิดปกติของข้อต่อ ภาวะข้อเคลื่อนเป็นข้อกังวลทางสุขภาพที่ปรากฏอยู่ในข้อต่อของกระดูก และส่งผลต่อระบบประสาทผ่านความสัมพันธ์ทางสรีรวิทยาและกายวิภาคที่ซับซ้อนและอาจนำไปสู่การทำงานที่ลดลง ความพิการ หรือความเจ็บป่วย"[vii]

วิทยาศาสตร์เทียมหรือการบำบัดจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[แก้]

แม้ว่านักไคโรแพรกติกบางส่วนจำกัดการปฏิบัติของตนไว้รักษาเฉพาะภาวะทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกระยะสั้นเท่านั้น หลายคนอ้างอย่างผิด ๆ ว่าสามารถรักษาภาวะอื่น ๆ อีกมากมายได้[63][64] บางส่วนห้ามปรามไม่ให้ผู้ป่วยเข้ารับบริการทางแพทย์ และบางส่วนเสแสร้งว่ามีคุณสมบัติทำหน้าที่เป็นแพทย์ครอบครัวได้[63]

แคว็กวอตช์ (Quackwatch) องค์กรตรวจสอบการแพทย์ทางเลือกเตือนว่าอย่าพบนักไคโรแพรกติกที่:[63][65]

  • รับรักษาเด็กเล็ก
  • โน้มน้าวไม่ให้สร้างภูมิคุ้มกัน
  • เสแสร้งทำเป็นแพทย์ครอบครัว
  • ฉายรังสีเอกซ์กระดูกสันหลังทั้งหมด
  • สนับสนุนอาหารเสริมที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
  • ต่อต้านการแพทย์วิทยาศาสตร์
  • อ้างว่ารักษาปัญหาที่ไม่ใช่ทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกได้

แพทย์คนหนึ่งเขียนลงในนิตยสารสเก็ปติคอลอินไควร์เรอร์ (Skeptical Inquirer) เตือนว่าอย่าพบแม้กระทั่งนักไคโรแพรกติกคนใดที่เพียงแค่อ้างว่าสามารถรักษาภาวะทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกได้:

"ฉันคิดว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง (SMT) เป็นตัวเลือกที่มีเหตุผลให้ผู้ป่วยทดลองได้ ... แต่ฉันไม่สามารถแนะนำผู้ป่วยให้พบนักไคโรแพรกติกได้ด้วยจิตสำนึกสุจริต ... เมื่อไคโรแพรกติกมีประสิทธิผล สิ่งที่มีประสิทธิผลไม่ใช่ 'ไคโรแพรกติก' แต่มันคือ SMT นักกายภาพบำบัด นักออสทีโอพาธี หรือคนอื่น ๆ ก็ให้บริการ SMT ด้วย คนพวกนี้เป็นผู้ให้บริการที่อิงวิทยาศาสตร์ ... หากฉันคิดว่าผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์จากการจัดดัดดึง ฉันก็จะแนะนำให้เขาไปหาผู้ให้บริการที่อิงวิทยาศาสตร์แทน"[viii]

ขอบเขตการปฏิบัติ[แก้]

เตียงรักษาในสถานไคโรแพรกติก

นักไคโรแพรกติกเน้นการจัดการกับระบบประสาท กล้ามเนื้อ และโครงกระดูกในเชิงอนุรักษ์โดยไม่ใช้ยาหรือการผ่าตัด[56] และเน้นกระดูกสันหลังเป็นพิเศษ[2] อาการปวดหลังและคอเป็นชำนาญการของไคโรแพรกติก แต่นักไคโรแพรกติกหลายคนรับรักษาอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ นอกจากปัญหาทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกด้วย[9] นักไคโรแพรกติกมีความคิดเห็นที่หลากหลาย บางคนเชื่อว่าการรักษาต้องจำกัดบริเวณอยู่ในกระดูกสันหลังหรืออาการปวดหลังและคอเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มอื่นไม่เห็นด้วย[66] ตัวอย่างเช่น แม้ว่าในงานสำรวจนักไคโรแพรกติกชาวอเมริกัน ค.ศ. 2009 จะพบว่าร้อยละ 73 นับว่าตนเองเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการปวดหลัง/ด้านกล้ามเนื้อและโครงกระดูก" แต่ร้อยละ 47 ถือว่าป้ายชื่อ "ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการปวดหลังและคอ" เป็นคำอธิบายถึงพวกเขาที่น่าพึงประสงค์น้อยที่สุดในงานสำรวจนานาชาติ ค.ศ. 2005[66] ไคโรแพรกติกรวมแง่มุมต่าง ๆ จากการแพทย์กระแสหลักและทางเลือก และไม่มีฉันทมติว่าควรนิยามวิชาชีพนี้ว่าอย่างไร และแม้ว่านักไคโรแพรกติกมีลักษะเป็นผู้ให้บริการปฐมภูมิหลายประการ แต่นักไคโรแพรกติกมีลักษณะคล้ายการแพทย์เฉพาะทางอย่างทันตแพทยศาสตร์หรือบาทาเวชศาสตร์ (podiatry) มากกว่า[67] เคยมีการเสนอให้นักไคโรแพรกติกเฉพาะทางในการรักษากระดูกสันหลังโดยไม่ผ่าตัดแทนที่จะพยายามรักษาปัญหาอื่น ๆ ด้วย[38][67] แต่มุมมองไคโรแพรกติกแบบเปิดกว้างกว่ายังคงมีอยู่อย่างแพร่หลาย[68]

บริการสุขภาพกระแสหลักและองค์กรรัฐอย่างองค์การอนามัยโลกมองว่าไคโรแพรกติกเป็นการแพทย์ทางเลือกและผสมผสาน [1] งานศึกษา ค.ศ. 2008 รายงานว่าร้อยละ 31 ของนักไคโรแพรกติกที่สำรวจจัดประเภทให้ไคโรแพรกติกเป็นการแพทย์ทางเลือกและผสมผสาน ร้อยละ 27 ให้เป็นการแพทย์บูรณาการ และร้อยละ 12 ให้เป็นการแพทย์กระแสหลัก[69] นักไคโรแพรกติกหลายคนเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ให้บริการปฐมภูมิ[9][10] ซึ่งรวมนักไคโรแพรกติกจากสหรัฐ[70] และสหราชอาณาจักร[71] แต่ระยะเวลา ความครอบคลุม และความเข้มข้นของการฝึกทักษะทางคลินิกของไคโรแพรกติกไม่สนองต่อข้อกำหนดในการพิจารณาเป็นผู้ให้บริการปฐมภูมิ[2] บทบาทของพวกเขาในการให้บริการขั้นปฐมภูมิจึงจำกัดและเป็นข้อพิพาท[2][10]

ไคโรแพรกติกมีส่วนซ้อนทับกับการบำบัดด้วยมือรูปแบบอื่นหลายรูปแบบ เช่นการนวดบำบัด ออสทีโอพาธี กายภาพบำบัด และเวชศาสตร์การกีฬา[21][72] ไคโรแพรกติกเป็นอิสระจากและแข่งขันกับการแพทย์กระแสหลัก[73] ออสทีโอพาธีภายนอกสหรัฐหลัก ๆ แล้วยังคงเป็นระบบการแพทย์ด้วยมือ[74] นักกายภาพบำบัดทำงานด้วยกันและร่วมมือกับการแพทย์กระแสหลัก ส่วนออสทีโอพาธีในสหรัฐผสานเข้ากับวิชาชีพการแพทย์แล้ว[73] นักปฏิบัติไคโรแพรกติกอาจแยกแยะตนเองออกจากแนวทางคู่แข่งเหล่านี้ด้วยการอ้างว่านักไคโรแพรกติกนั้น เมื่อเทียบกับนักบำบัดแขนงอื่น ๆ จะให้ความสนใจกับการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเป็นหลัก มักใช้กลวิธีการจัดดัดดึงที่กระชับกว่า และส่งเสริมการดูแลแบบบำรุงรักษา แต่นักออสทีโอพาธีจะใช้ขั้นตอนการรักษาที่หลากหลายกว่า และนักกายภาพบำบัดจะเน้นการใช้เครื่องจักรกลและการออกกำลังกาย[21]

การวินิจฉัยแบบไคโรแพรกติกอาจประกอบด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการถ่ายภาพโครงกระดูก การประเมินด้วยการสังเกตและสัมผัส และการวัดผลทางออร์โธปิดิกส์และประสาทวิทยา[56] นักไคโรแพรกติกอาจแนะนำให้ผู้ป่วยปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง หรือทำงานร่วมกับผู้ให้บริการสุขภาพอีกราย[67] การจัดการกับผู้ป่วยที่พบได้บ่อยเช่นการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง (spinal manipulation) และการบำบัดข้อต่อและเนื้อเยื่ออ่อนด้วยมือแบบอื่น ๆ การออกกำลังกายฟื้นฟูสมรรถภาพ การส่งเสริมสุขภาพ การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ขั้นตอนแบบผสมผสาน และการให้คำปรึกษาด้านการใช้ชีวิต[6]

นักไคโรแพรกติกในสหรัฐโดยปกติจะไม่มีใบอนุญาตให้เขียนใบสั่งยาหรือผ่าตัดใหญ่ได้[75] แต่รัฐนิวเม็กซิโกอนุญาตให้นักไคโรแพรกติกที่ผ่านการฝึกอบรม "ปฏิบัติการขั้นสูง" (advanced practice) สามารถเขียนใบสั่งยาบางชนิดได้[76][77] ขอบเขตการปฏิบัติของนักไคโรแพรกติกในสหรัฐแตกต่างไปตามแต่ละรัฐ โดยขึ้นอยู่กับมุมมองต่อการดูแลแบบไคโรแพรกติกที่ไม่สอดคล้องกัน บางรัฐอย่างรัฐไอโอวาอนุญาตให้รักษา "ความเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์" อย่างกว้าง ๆ ได้ หรืออย่างรัฐเดลาแวร์จะใช้คำศัพท์ที่คลุมเครือเช่น "การส่งผ่านพลังงานเส้นประสาท" ("transition of nerve energy") ในการให้นิยามขอบเขตของการปฏิบัติ ที่อื่นอย่างรัฐนิวเจอร์ซีย์จะระบุขอบเขตไว้แคบมาก[78] นักไคโรแพรกติกในสหรัฐอาจสามารถทำการทดสอบหรือขั้นตอนการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ จ่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือใช้การบำบัดรูปแบบอื่นอย่างโฮมีโอพาธีและการฝังเข็มได้หรือไม่ขึ้นกับข้อกำหนดในแต่ละรัฐ พวกเขาสามารถขอใบรับรองสำหรับการผ่าตัดเล็กและการทำคลอดธรรมชาติได้ในรัฐออริกอน[75] งานสำรวจนักไคโรแพรกติกในทวีปอเมริกาเหนือใน ค.ศ. 2003 พบว่าส่วนใหญ่ปริ่มน้ำเห็นด้วยกับการอนุญาตให้พวกเขาเขียนใบสั่งยาสำหรับยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ได้[45] งานสำรวจใน ค.ศ. 2010 พบว่าร้อยละ 72 ของนักไคโรแพรกติกชาวสวิสมองว่าการที่พวกเขาสามารถเขียนใบสั่งยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งได้เป็นข้อได้เปรียบของการรักษาแบบไคโรแพรกติก[79]

นักไคโรแพรกติกกำลังนวดจัดกระดูกม้า

ไคโรแพรกติกสัตว์ (veterinary chiropractic) เป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งประยุกต์ใช้การบำบัดด้วยมือกับสัตว์และเป็นที่ยอมรับในหลายรัฐในสหรัฐ[80] แต่ไม่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นไคโรแพรกติกโดยสมาคมไคโรแพรกติกอเมริกัน (American Chiropractic Association)[81] มันยังคงเป็นข้อพิพาทในแต่ละภาคส่วนของสาขาวิชาชีพสัตวแพทย์และไคโรแพรกติก[82]

ไม่มีวิชาชีพใด "เป็นเจ้าของ" การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังแต่เพียงผู้เดียว และยังไม่มีฉันทมติมากพอว่าวิชาชีพใดบ้างควรให้บริการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง ซึ่งทำให้นักไคโรแพรกติกกังวลว่าแพทย์ชนิดอื่น ๆ อาจ "ขโมย" ขั้นตอนจัดดัดดึงกระดูกสันหลังไปจากนักไคโรแพรกติก[83] การเน้นในงานวิจัยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังแบบอิงหลักฐานทำให้มีความกังวลว่าแนวทางการปฏิบัติอันเป็นผลนั้นจะจำกัดขอบเขตของการปฏิบัติไคโรแพรกติกไว้เฉพาะสำหรับการรักษาบริเวณหลังและคอ[83] รัฐวอชิงตันและรัฐอาร์คันซอในสหรัฐห้ามไม่ให้นักกายภาพบำบัดทำการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[84] บางรัฐอนุญาตให้ทำก็ต่อเมื่อพวกเขาสำเร็จการฝึกอบรมการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังขั้นสูงแล้วเท่านั้น และบางรัฐอนุญาตให้เฉพาะนักไคโรแพรกติกหรือเฉพาะนักไคโรแพรกติกและแพทย์เท่านั้นที่สามารถทำการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังได้ กฎหมายซึ่งห้ามไม่ให้นักปฏิบัติที่ไม่ใช่นักไคโรแพรกติกทำการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังซึ่งถูกผลักดันเข้าสภานิติบัญญัติของรัฐอยู่เสมอ และหลายองค์กรของนักกายภาพบำบัดต่อต้านกฎหมายเหล่านั้น[85]

การรักษา[แก้]

นักไคโรแพรกติกกำลังจัดกระดูกผู้ป่วย

การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังที่นักไคโรแพรกติกเรียกกว่า "การจัดกระดูกสันหลัง" หรือ "การจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติก" เป็นการรักษาที่ใช้แพร่หลายที่สุดในการให้บริการไคโรแพรกติก[86] การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเป็นการเคลื่อนที่ปมสามข้อต่อ (three-joint complex) ด้วยมือเชิงรับ ให้เลยเกินพิสัยของการเคลื่อนไหวปกติแต่ไม่เลยจนข้อต่อหลุดหรือเสียหาย[87] ปัจจัยที่สำคัญคือแรงผลักแบบพลวัต ซึ่งเป็นแรงฉับพลันที่ทำให้เกิดการปลดปล่อยที่ยินเสียงได้ และพยายามขยายพิสัยของการเคลื่อนไหวของข้อต่อ[87] การผลักในการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังด้วยความเร็วสูงและความแรงต่ำ (High-velocity, low-amplitude spinal manipulation; HVLA-SM) ส่งผลทางสรีรวิทยาซึ่งส่งสัญญาณประสาทจากเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลัง (paraspinal muscle) โดยระยะเวลาและความแรงของแรงผลักนั้นเป็นปัจจัยว่ากระสวยกล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลังจะถูกกระตุ้นในระดับใด[88] ทักษะการปฏิบัติใช้การผลักแบบ HVLA-SM ทางคลินิกขึ้นอยู่กับความสามารถของนักปฏิบัติในการควบคุมระยะเวลาและความแรงของแรงผลัก[88] โดยทั่วไปคำว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง (SMT) หมายถึงกลวิธีต่าง ๆ ซึ่งใช้มือในการจัดดัดดึง นวด ขยับ จัด กระตุ้น ลากดึง หรือส่งผลใด ๆ ต่อกระดูกสันหลังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง[87]

กลวิธีการจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติกมีอยู่หลายสำนัก แต่นักไคโรแพรกติกมักผสมกลวิธีกันจากหลายสำนัก ต่อไปนี้เป็นรายนามขั้นตอนการจัดกระดูกซึ่งผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 10 เคยได้รับบริการจากนักไคโรแพรกติกที่มีใบอนุญาตในสหรัฐจากงานสำรวจ ค.ศ. 2003:[86] กลวิธีหลากหลาย (Diversified technique) (การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเต็ม โดยใช้กลวิธีที่หลากหลาย), การจัดกระดูกรยางค์, กลวิธีแอกทิเวเตอร์ (Activator technique) (การใช้อุปกรณ์กำลังสปริงเพื่อจัดกระดูกสันหลังด้วยความแม่นยำ), กลวิธีทอมป์สัน (Thompson Technique) (ใช้เตียงรักษาแบบ drop table และมาตรการขั้นตอนที่ลงรายละเอียด), กลวิธีกอนสเตด (Gonstead technique) (ให้ความสำคัญกับการประเมินและการจัดกระดูกสันหลังในแบบที่หลีกเลี่ยงการขยับในแกนหมุน), กลวิธีค็อกซ์ (Cox technique)/การบำบัดงอ-ยืดถ่าง (flexion-distraction therapy) (ใช้ขั้นตอนการจัดกระดูกสันหลังแบบอ่อนโยนและแรงต่ำ โดยผสมหลักการไคโรแพรกติกเข้ากับออสทีโอพาธี และใช้เตียงจัดกระดูกแบบพิเศษ), อุปกรณ์จัดกระดูก, กลวิธีกระเบนเหน็บ-ท้ายทอย (Sacro-Occipital Technique) (ซึ่งจำลองกระดูกสันหลังเสมือนแท่งบิด), กลวิธีตัวรับ-ความตึงตัวของนิมโม (Nimmo Receptor-Tonus Technique), วิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ (applied kinesiology) (ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้ "การทดสอบกล้ามเนื้อ" เป็นเครื่องมือตรวจวินิจฉัย) และกลวิธีกะโหลก[89] กลวิธีชีวฟิสิกส์แบบไคโรแพรกติกใช้ฟังก์ชันผกผันของการหมุนในการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[90] กลวิธีจำเพาะของคอเริน (Koren Specific Technique; KST) ใช้มือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ชื่อว่า "ArthroStim" ในการประเมินและการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[91] ประกันสุขภาพในสหรัฐและสหราชอาณาจักรที่ครอบคลุมกลวิธีไคโรแพรกติกอื่น ๆ ไม่ครอบคลุม KST เพราะพวกเขาถือว่ามันเป็นกลวิธี "เชิงทดลองและสอบสวน"[91][92][93][94] การจัดดัดดึงโดยใช้ยาช่วย เช่นการจัดดัดดึงภายใต้การดมยาสลบ (manipulation under anesthesia) ใช้ยาระงับประสาทหรือยาชาเฉพาะที่และกระทำโดยกลุ่มผู้รักษาที่มีวิสัญญีแพทย์ร่วมด้วย การปริทัศน์เป็นระบบจาก ค.ศ. 2008 ไม่พบหลักฐานเพียงพอที่จะแนะนำการใช้ประโยชน์กลวิธีนี้สำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง[95]

การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนเอว (lumbar) ส่วนคอ (cervical) และส่วนอก (thoracic) แบบไคโรแพรกติก

นักไคโรแพรกติกยังใช้กระบวนการอื่น ๆ หลากหลายแบบในการรักษากระดูกสันหลัง ข้อต่ออื่น ๆ และเนื้อเยื่อ และปัญหาด้านสุขภาพทั่วไป ต่อไปนี้เป็นรายนามกระบวนการต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยกว่าหนึ่งในสามเคยได้รับบริการจากนักไคโรแพรกติกที่มีใบอนุญาตในสหรัฐจากงานสำรวจ ค.ศ. 2003: กลวิธีหลากหลาย, การส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย/การออกกำลังกาย, การออกกำลังกายบำบัดหรือแก้ไข, คำแนะนำด้านการยศาสตร์ (ergonomics)/การวางท่าทาง (spinal posture), ยุทธศาสตร์การดูแลตนเอง, กิจวัตรประจำวัน (activities of daily living), การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ/มีความเสี่ยง, คำแนะนำด้านอาหาร (Diet (nutrition))/โภชนาการ, คำแนะนำด้านเทคนิคการผ่อนคลาย (Relaxation technique)/การจัดการความเครียด, ไอซ์แพ็ก/การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy), การจัดกระดูกรยางค์, การบำบัดจุดกดเจ็บ (Myofascial trigger point) และคำแนะนำด้านการป้องกันโรค/การคัดกรองโรคแต่แรกเริ่ม (Screening (medicine))[86]

งานศึกษา ค.ศ. 2010 เกี่ยวกับนักไคโรแพรกติกชาวเบลเยียมและผู้ป่วยพบว่านักไคโรแพรกติกในประเทศเบลเยียมส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับอาการทางประสาท กล้ามเนื้อ และโครงกระดูกของผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง[96] กลวิธีหลากหลายเป็นกลวิธีที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดที่ร้อยละ 93 ตามมาด้วยกลวิธีที่ใช้กลไกแอกทิเวเตอร์ที่ร้อยละ 41[96] งานศึกษา ค.ศ. 2009 เกี่ยวกับนักเรียนไคโรแพรกติดที่กำลังให้บริการหรือรับบริการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังอยู่ระหว่างการเข้าศึกษาในวิทยาลัยไคโรแพรกติกในประเทศสหรัฐพบว่าวิธีการรักษาที่ถูกนำมาใช้บ่อยมีแบบหลากหลาย แบบกอนสเตด และการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอส่วนบน[97]

แนวปฏิบัติ[แก้]

หลายปริทัศน์งานศึกษาวิจัยภายในประชาคมไคโรแพรกติกถูกนำมาสร้างแนวปฏิบัติซึ่งวางมาตรฐานที่จะระบุว่าการรักษาแบบไคโรแพรกติกแบบใดถูกต้อง (กล่าวคือ มีหลักฐานสนับสนุน) และสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายได้ภายใต้ระบบการชำระค่าการบริการจัดการ (managed care) สุขกาพ[83] แนวปฏิบัติอิงหลักฐานได้รับการสนับสนุนจากนักไคโรแพรกติกฝั่งหนึ่งของแนวต่อเนื่องเชิงอุดมการณ์ อีกฝั่งหนึ่งใช้การให้เหตุผลแบบต่อต้านวิทยาศาสตร์ (Antiscience) และใช้ข้อกล่าวอ้างที่ไร้น้ำหนัก[2][29][53][98][99] ไคโรแพรกตักยังคงเป็นทางสองแพร่ง โดยที่จะต้องยอมรับวิทยาศาสตร์เพื่อเดินไปข้างหน้า คนบางกลุ่มที่เสนอมันเป็นยาสารพัดโรคนั้น "หลงทางและไม่มีเหตุผล"[100] งานสำรวจนักไคโรแพรกติกในรัฐแอลเบอร์ตาใน ค.ศ. 2007 พบว่าพวกเขาไม่มีความสม่ำเสมอในการนำงานวิจัยมาใช้ในทางปฏิบัติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการขาดการศึกษาและทักษะเกี่ยวกับการทำวิจัย[101] แนวปฏิบัติว่าด้วยการรักษาอาการปวดหลังแบบไม่จำเพาะ (กล่าวคือ ไม่รู้สาเหตุ) ไม่มีความสอดคล้องกันระหว่างแต่ละประเทศ[102]

ประสิทธิผล[แก้]

มีการทำงานศึกษาทางคลินิกแบบมีกลุ่มควบคุมถึงวิธีการรักษาที่นักไคโรแพรกติกใช้หลายชิ้นและมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน[9] ไม่มีหลักฐานสรุปได้ว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกมีประสิทธิผลในการรักษาอาการทางแพทย์ใด ๆ ยกเว้นอาการปวดหลังบางชนิดเท่านั้น[9][11][103]

โดยทั่วไป งานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของไคโรแพรกติกมักมีคุณภาพต่ำ[104][105] งานวิจัยที่นักไคโรแพรกติกเผยแพร่มีความลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด งานปริทัศน์ถึงการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังมักพบข้อสรุปที่เป็นบวกเมื่อผู้เขียนเป็นนักไคโรแพรกติก ในขณะที่งานปริทัศน์ที่มีผู้เขียนกระแสหลักไม่ได้เป็นเช่นนั้น[9]

มีวิธีการวัดผลลัพธ์ของการรักษาหลากหลายวิธี[106] การดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติกได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ยาหลอก[107] แต่การสร้างยาหลอกที่น่าเชื่อถือขึ้นสำหรับทำการทดลองทางคลินิกของการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเป็นเรื่องยาก[108] ประสิทธิผลของไคโรแพรกติกในฐานะการดูแลแบบบำรุงรักษายังไม่เป็นที่ทราบ[109]

หลักฐานที่มีอยู่ครอบคลุมถึงอาการดังต่อไปนี้:

  • อาการปวดหลังส่วนล่าง งานปริทัศน์คอเครน ค.ศ. 2013 พบหลักฐานระดับต่ำถึงปานกลางว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังไม่ได้มีประสิทธิผลมากไปกว่าการรักษาซึ่งไม่มีฤทธิ์ การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังแบบปลอม หรือในฐานะเป็นการบำบัดเสริมสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลัน[110] งานปริทัศน์ชิ้นเดียวกันพบว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังไม่ปรากฏว่าดีไปกว่าการบำบัดที่แนะนำชนิดอื่น ๆ[110] งานสรุปของงานปริทัศน์เป็นระบบหลายชิ้น ค.ศ. 2012 พบว่าโดยรวมแล้ว ไม่ปรากฏว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเป็นการรักษาที่มีประสิทธิผลสำหรับอาการปวด[111] งานปริทัศน์คอเครน ค.ศ. 2011 พบหลักฐานแน่นหนาซึ่งเสนอว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกระหว่างการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังและการรักษารูปแบบอื่นในการลดอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง[112] งานปริทัศน์คอเครน ค.ศ. 2010 ไม่พบความแตกต่างระหว่างผลลัพธ์ของการรักษาแบบไคโรแพรกติกแบบผสมกับการรักษารูปแบบอื่นสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังหรือระยะเวลาผสม[113] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2010 พบว่างานศึกษาส่วนใหญ่เสนอว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังบรรลุผลการฟื้นฟูอาการปวดและการทำงานเท่ากับหรือมากกว่าการรักษารูปแบบอื่น ๆ ซึ่งมักถูกใช้ในการติดตามผลระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว[114]
  • โรครากประสาท (Radiculopathy) งานปริทัศน์เป็นระบบและงานวิเคราะห์อภิมาน ค.ศ. 2013 พบพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญโดยรวมในการฟื้นฟูจากอาการปวดหลังร้าวไปขา (sciatica) หลังจากการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังเมื่อเทียบกับการรักษาโดยปกติ และเสนอว่าอาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังได้[115] มีหลักฐานคุณภาพปานกลางที่สนับสนุนการใช้การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังในการรักษากระดูกสันหลังส่วนเอวกดทับเส้นประสาท (lumbar radiculopathy) เฉียบพลัน [116] และหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อน (lumbar disc herniation) เฉียบพลันที่มีโรครากประสาทร่วมด้วย[117] มีหลักฐานน้อยหรือน้อยมากที่สนับสนุนการจัดดัดดึงกระดูกสันสำหรับอาการส่วนรยางค์เรื้อรังที่เกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังส่วนเอวและส่วนคอระยะเวลาใด ๆ และไม่มีหลักฐานสำหรับการรักษากระดูกสันหลังส่วนอกกดทับเส้นประสาท (thoracic radiculopathy)[116]
  • คอสะบัด (Whiplash (medicine)) และอาการปวดคอ (neck pain) ไม่มีฉันทมติถึงประสิทธิผลของการบำบัดด้วยมือสำหรับอาการปวดคอ[118] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2013 พบว่าข้อมูลแสดงนัยว่ามีความแตกต่างในการรักษาอาการปวดคอระยะสั้นและระยะยาวที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างการจัดดัดดึงหรือการขยับกระดูกสันหลังส่วนคอกับกายภาพบำบัดหรือการออกกำลังกาย[119] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2013 พบว่าแม้ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนอกจะมีประสิทธิผลมากกว่าการรักษารูปแบบอื่น แต่ก็เป็นการแทรกแซงที่เหมาะสมสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยบางรายซึ่งมีอาการปวดคอแบบไม่จำเพาะ[120] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2011 พบว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนอกอาจช่วยส่งเสริมการรักษาอาการปวดคอเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันที่เกิดจากโครงสร้าง (mechanical) ในระยะสั้นได้ แต่วรรณกรรมส่วนใหญ่ยังไม่หนักแน่นมากพอ[121] งานปริทัศน์คอเครน ค.ศ. 2010 พบว่ามีหลักฐานคุณภาพต่ำซึ่งเสนอว่าการจัดดัดดึงส่วนคออาจให้การบรรเทาอาการปวดระยะสั้นได้ดีกว่าการควบคุมอาการปวดคอ และมีหลักฐานปานกลางว่าการจัดดัดดึงและการขยับส่วนคอให้ผลลัพธ์กับอาการปวด การทำงาน และความพึงพอใจของผู้ป่วยในทางคล้ายกัน[122] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2010 พบหลักฐานระดับต่ำซึ่งเสนอว่าการดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติกช่วยฟื้นฟูพิสัยการเคลื่อนไหวและอาการปวดส่วนคอได้ในการจัดการอาการคอสะบัดหรือวิพแลช (whiplash)[123]
  • อาการปวดศีรษะ หลักฐานเกี่ยวกับการใช้งานการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังสำหรับการรักษาและป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนมีความขัดแย้งกัน[124][125] งานปริทัศน์ ค.ศ. 2006 ไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดซึ่งสนับสนุนการใช้งานการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังหรือการบำบัดด้วยมือชนิดอื่น ๆ สำหรับอาการปวดศีรษะจากความเครียด (tension headache)[126] งานปริทัศน์ ค.ศ. 2005 พบว่าหลักฐานถึงประสิทธิผลของการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกสำหรับอาการปวดศีรษะจากความเครียดนั้นอ่อนแอ และอาจมีประสิทธิผลสำหรับอาการปวดศีรษะจากความเครียดมากกว่าสำหรับไมเกรน[127]
  • อาการรยางค์ งานปริทัศน์เป็นระบบและงานวิเคราะห์อภิมาน ค.ศ. 2011 สรุปว่าการเสริมกำหนดการออกกำลังกายด้วยการขยับด้วยมือสำหรับการรักษาข้อเข่าเสื่อมให้ผลลัพธ์บรรเทาอาการปวดได้ดีกว่าการใช้กำหนดการออกกำลังกายแบบมีผู้ให้คำแนะนำแต่เพียงอย่างเดียว และเสนอให้นักบำบัดด้วยมือพิจารณาเพิ่มการขยับด้วยมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกำหนดการออกกำลังกายด้วยตนเองแบบมีผู้ให้คำแนะนำ[128] มีหลักฐานระดับ "silver" ว่าการบำบัดด้วยมือมีประสิทธิผลมากกว่าการออกกำลังกายสำหรับการรักษาข้อสะโพกเสื่อม ทว่าหลักฐานชิ้นนี้อาจถือได้ว่าไม่สามารถสรุปผลได้[129] มีงานวิจัยจำนวนน้อยถึงประสิทธิศักย์ของการรักษาแบบไคโรแพรกติกสำหรับรยางค์บน[130] ซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะหลักฐานระดับต่ำที่สนับสนุนการใช้ไคโรแพรกติกในการจัดการอาการปวดไหล่ (shoulder pain)[131] และมีหลักฐานจำกัดและพอใช้ได้ที่สนับสนุนการใช้ไคโรแพรกติกในการจัดการอาการบริเวณขา[132]

ความปลอดภัย[แก้]

เด็กกำลังได้รับจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติก

องค์การอนามัยโลกพบว่าการดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติกโดยทั่วไปมีความปลอดภัยเมื่อปฏิบัติใช้อย่างมีทักษะและถูกต้องเหมาะสม[56] ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปถึงความปลอดภัยของการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกได้[14] การจัดดัดดึงถูกนับว่าปลอดภัยพอสมควรแต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยมีผลร้าย ความเสี่ยง และข้อห้ามใช้ที่ทราบกันอยู่[56] ข้อห้ามใช้การบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังโดยเด็ดขาด (Absolute contraindications) หมายถึงอาการต่าง ๆ ที่มิควรใช้การจัดดัดดึง ข้อห้ามใช้ตัวอย่างเช่นข้ออักเสบรูมาตอยด์และอาการอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่ทราบว่าส่งผลให้เกิดข้อต่อที่ไม่มั่นคง[56] ข้อห้ามใช้สัมพัทธ์ (Relative contraindications) หมายถึงอาการที่ในบางสถานการณ์ความเสี่ยงที่มากขึ้นเป็นที่ยอมรับได้ และเมื่อเทคนิคสำหรับเนื้อเยื่ออ่อนที่ใช้แรงต่ำเป็นวิธีการรักษาที่ต้องการ ข้อห้ามใช้ชนิดนี้เช่นโรคกระดูกพรุน[56] แม้ว่าข้อห้ามส่วนใหญ่มีผลบังคับใช้กับการจัดดัดดึงในบริเวณที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น สัญญาณทางประสาทบางประเภทบ่งถึงการส่งต่อให้กับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เช่นอาการปวดหลังหรือปวดคอที่เฉียบพลันและรุนแรงต่างไปจากที่เคยประสบพบเจอ[151] ความเสี่ยงทางอ้อมของไคโรแพรกติกประกอบด้วยการวินิจฉัยโรคที่ช้าหรือพลาดไปโดยเกิดจากการปรึกษากับนักไคโรแพรกติก[9]

การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังสัมพันธ์กับอาการไม่พึงประสงค์ที่ชั่วคราว เบา และเกิดบ่อยครั้ง[16][151] ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดอันใหม่หรือที่แย่ลง หรืออาการตึงในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ[152] เหล่านี้ถูกประมาณว่าเกิดขึ้นในผู้ป่วยร้อยละ 33 ถึง 61 และเกิดขึ้นบ่อยครั้งภายในหนึ่งชั่วโมงหลังการรักษาและหายไปภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมง[14] อาการไม่พึงประสงค์ปรากฎขึ้นบ่อยหลังการจัดดัดดึงมากกว่าหลังการขยับข้อต่อ[153] อาการไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งที่สุดประกอบด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อย อาการปวดระบม อาการปวดที่เพิ่มขึ้นชั่วครู่ และอาการล้า[154] ไคโรแพรกติกมีความสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ที่มากของอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อย[9] และน้อยครั้ง[56] การจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะกระดูกสันหลังส่วนบน อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สามารถนำไปสู่ความพิการถาวรหรือความตายได้ นี่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ใหญ่[16] และในเด็ก[155] ประมาณการของอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีความแตกต่างอย่างมาก[14] และอุบัติการณ์จริงของมันไม่เป็นที่ทราบ เนื่องจากอัตราการรายงานที่ต่ำมากและความยากลำบากในการเชื่อมโยงอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้เข้ากับการจัดดัดดึง อาทิสโตรก ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักประการหนึ่ง[16] อาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ มีการรายงานต่ำในงานศึกษาที่สอบสวนเกี่ยวกับการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติก[156] งานปริทัศน์ ค.ศ. 2016 สรุปว่าระดับของการรายงานนั้นไม่มากพอและไม่สามารถยอมรับได้[157] เคยมีการรายงานอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงซึ่งเกิดจากการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังในส่วนเอวและเชิงกราน[158] ประมาณการของอุบัติการณ์ของอาการข้างเคียงร้ายแรงมีตั้งแต่สโตรก 5 กรณีต่อการจัดดัดดึง 100,000 ครั้ง ไปจนถึงเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ 1.46 กรณีต่อการจัดดัดดึง 10 ล้านครั้ง และความตาย 2.68 กรณีต่อการจัดดัดดึง 10 ล้านครั้ง ทว่าได้รับพิจารณาว่าข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสรุปผลได้[14] หลายกรณีแสดงถึงความสัมพันธ์ต่อเวลาระหว่างการรักษากับภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เป็นไปได้[159] วรรณกรรมแพทย์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาประกอบด้วยรายงานความตาย 26 กรณีภายหลังจากการจัดดัดดึงแบบไคโรแพรกติกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1934 และมีอีกหลายกรณีซึ่งยังไม่ถูกเผยแพร่[19]

สโตรกหลอดเลือดแดงเวอร์ทีโบรเบซิลาร์ (Vertebrobasilar artery stroke; VAS) มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับการให้บริการไคโรแพรกติกแก่บุคคลอายุต่ำกว่า 45 ปี แต่เป็นความสัมพันธ์ที่คล้ายกับการให้บริการของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป แสดงนัยว่าความสัมพันธ์นี้อาจอธิบายได้จากสภาวะที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว[159][160] มีหลักฐานตั้งแต่อย่างอ่อนถึงปานกลางที่สนับสนุนว่ามีเหตุภาพ (ซึ่งไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางสถิติ) ระหว่างการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical manipulative therapy; CMT) และภาวะ VAS[161] มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนว่าการจัดดัดดึงส่วนคอมีความสัมพันธ์อย่างเข้มหรือว่าไม่มีเลยกับสโตรก[17] แม้จะไม่มีหลักฐานทางชีวกลมากพอที่จะสามารถสนับสนุนได้ว่า CMT ก่อให้เกิดการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงที่คอ (Cervical artery dissection; CD) แต่รายงานทางคลินิกเสนอว่าแรงเชิงกลมีส่วนในการเกิด CD ปริมาณที่มากพอสมควร และงานศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมของประชากรส่วนใหญ่พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการทำ CMT กับภาวะ VAS ในกลุ่มคนอายุน้อย[162] เป็นการแนะนำอย่างยิ่งที่นักปฏิบัติจะพิจารณาถึง CD ว่าเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ และที่ผู้คนจะสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเกิด CD และการทำ CMT ก่อนการให้บริการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอ[162] มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับระดับของความเสี่ยงของการเป็นสโตรกจากการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคออยู่[17] นักไคโรแพรกติกหลายคนกล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างการบำบัดแบบไคโรแพรกติกกับการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงเวอร์ทีบรอลนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์[19] อย่างไรก็ตามก็มีการเสนอว่าอาจเป็นไปได้[19] หรืออาจเป็นได้อย่างแน่นอน[18] ว่ามีความสัมพันธ์แบบก่อเหตุอยู่ระหว่างการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอแบบไคโรแพรกติกซึ่งไปไกลเกินกว่าพิสัยของการเคลื่อนไหวปกติกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับหลอดเลือด[19] มีหลักฐานต่ำที่สนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์เล็กน้อยระหว่าง การฉีกเซาะของของผนังหลอดเลือดแดงอินเทอร์นัลคาโรติด (carotid artery dissection) กับการจัดดัดดึงส่วนคอแบบไคโรแพรกติก[163] อุบัติการณ์ของการฉีกเซาะของของผนังหลอดเลือดแดงอินเทอร์นัลคาโรติดภายหลังการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอไม่เป็นที่ทราบ[164] วรรณกรรมรายงานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอ การฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงที่คอ กับสโตรก ให้ดียิ่งขึ้นอย่างไม่บ่อยมากนัก[165] หลักฐานจำกัดไม่สามารถสรุปผลได้ว่าการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังแบบไคโรแพรกติกไม่ได้เป็นเหตุอย่างหนึ่งของภาวะความดันในกะโหลกศีรษะต่ำ (intracranial hypotension)[166] หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเคลื่อนในเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Cervical intradural disc herniation) พบเจอได้ยากภายหลังการบำบัดด้วยการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[167]

นักไคโรแพรกติกบางโอกาสใช้กลวิธีถ่ายภาพเพื่อตรวจวินิจฉัยเหมือนผู้ให้บริการปฐมภูมิอื่น ๆ เช่นด้วยการฉายรังสีเอกซ์และการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้รังสีก่อไอออน[168] แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่สนับสนุนแนวปฏิบัตินี้ แต่นักไคโรแพรกติกบางคนอาจยังคงฉายรังสีเอกซ์ใส่ผู้ป่วยหลายครั้งต่อปี[59] แนวปฏิบัติมุ่งลดการได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น[168] ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งที่แปรโดยตรงกับปริมาณรังสีที่ได้รับ[169] งานวิจัยแสดงนัยว่าโรงเรียนไคโรแพรกติกทั่วโลกให้การสั่งสอนเรื่องรังสีสิทยาแบบอิงหลักฐาน[58] ทว่าปรากฏว่ามีความแตกต่างกันในบางสถานศึกษาและในหลักฐานที่เกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของการใช้การถ่ายภาพรังสีสำหรับผู้ป่วยอาการปวดหลังส่วนล่างที่ไม่มีสัญญาณของโรคร้ายแรง ซึ่งอาจเป็นส่วนให้เกิดการใช้การถ่ายภาพรังสีเยอะเกินไปสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง[58]

ความเสี่ยงต่อคุณประโยชน์[แก้]

งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2012 สรุปว่าไม่มีการประเมินความเสี่ยงต่อคุณประโยชน์ของการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่แม่นยำอยู่[17] งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2010 กล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่ดีพอที่จะกล่าวว่าการจัดดัดดึงคอเป็นการรักษาที่มีประสิทธิผลของอาการทางแพทย์ใด ๆ และเสนอให้บริการสุขภาพใช้หลักระวังไว้ก่อนสำหรับการรักษาแบบไคโรแพรกติก แม้เพียงถ้าหากการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงเวอร์ทีบรอลมีความน่าจะเป็นแม้แต่น้อยที่จะมีต้นเหตุมาจากการจัดดัดดึงคอก็ตาม[19] งานปริทัศน์ชิ้นเดียวกันสรุปว่าความเสี่ยงเสียชีวิตจากการจัดดัดดึงคอไม่คุ้มค่าแลกกับคุณประโยชน์ของมัน[19] นักไคโรแพรกติกวิจารณ์ข้อสรุปนี้ โดยอ้างว่าผู้เขียนมิได้ประเมินคุณประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ซึ่งแฝงอยู่ในการจัดดัดดึงกระดูกสันหลัง[170] เอ็ทซาร์ท แอ็นสท์ (Edzard Ernst) กล่าวว่า "ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นหัวข้อของงานปริทัศน์ของผม อย่างไรก็ตามผมกล่าวถึงการประเมินเหล่านั้นแล้ว และสมควรที่จะเสริมว่ารายงานที่สภาไคโรแพรกติกทั่วไปเพิ่งมอบหมายไปก็ไม่ได้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างแปลกพิลึกหลายประการของนักไคโรแพรกติกหลายคนจากทั่วทั้งโลก"[ix] งานปริทัศน์ ค.ศ. 1999 ว่าด้วยรายงานการบาดเจ็บ 177 กรณีระหว่าง ค.ศ. 1925 และ 1997 ซึ่งถูกระบุว่าเกิดจากการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอ (MCS) ได้สรุปว่า "วรรณกรรมไม่แสดงว่าคุณประโยชน์ของ MCS คุ้มค่าต่อความเสี่ยง"[x] วิชาชีพซึ่งถูกสัมพันธ์กับอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ถูกประเมิน นักกายภาพบำบัดมีส่วนในการบาดเจ็บน้อยกว่าร้อยละ 2 จากกรณีทั้งหมดโดยไม่มีความตายเหตุจากนักกายภาพบำบัดเลย นักไคโรแพรกติกมีส่วนในกว่าร้อยละ 60 ของกรณีทั้งหมด ซึ่งรวมถึงความตาย 32 กรณี[171]

งานปริทัศน์ ค.ศ. 2009 ประเมินการให้บริการบำรุงรักษาแบบไคโรแพรกติกและพบว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังมีความสัมพันธ์กับอาการบาดเจ็บอย่างมีนัยสำคัญ และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่ชี้ว่ามันสามารถป้องกันอาการหรือโรคต่าง ๆ ได้โดยสมควร ฉะนั้นคุณประโยชน์ต่อความเสี่ยงจึงไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ[13]

ประสิทธิผลต่อต้นทุน[แก้]

งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2012 เสนอว่าการใช้การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังอย่างเดียวหรือร่วมกับแนวทางการรักษาแบบอื่นในการปฏิบัติทางคลินิกเป็นการรักษาที่มีประสิทธิผลต่อต้นทุน (Cost-effectiveness analysis)[172] งานปริทัศน์ ค.ศ. 2011 พบหลักฐานซึ่งสนับสนุนว่าการใช้การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังสำหรับการรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังหรือกึ่งเฉียบพลันมีประสิทธิผลต่อต้นทุน ผลลัพธ์สำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลันมีไม่เพียงพอ[12]

งานปริทัศน์เป็นระบบ ค.ศ. 2006 เกี่ยวกับต้นทุน-ประสิทธิผลพบว่าต้นทุน-ประสิทธิผลของการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังที่ถูกรายงานในสหราชอาณาจักรมีความน่าพึงพอใจเมื่อเทียบกับการรักษาอาการปวดหลังรูปแบบอื่น แต่ว่ารายงานเหล่านั้นมาจากข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่ไม่ใช้กลุ่มควบคุมด้วยยาหลอก และต้นทุน-ประสิทธิผลจำเพาะของการรักษานั้น (ต่างจากผลลัพธ์ที่ไม่จำเพาะ) ยังคงไม่แน่นอน[173] งานปริทัศน์เป็นระบบจากอเมริกา ค.ศ. 2005 เกี่ยวกับการประเมินทางเศรษฐกิจของการรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างเชิงอนุรักษ์พบว่างานศึกษาที่มีอยู่มีปัญหาด้านคุณภาพอย่างมีนัยสำคัญและจึงไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่มีประสิทธิผลต่อต้นทุนมากที่สุดได้อย่างแน่นอนได้.[174] ต้นทุน-ประสิทธิผลของการดูแลบำรุงรักษาแบบไคโรแพรกติกไม่เป็นที่ทราบ[109]

งานวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานทางคลินิกและต้นทุนจาก ค.ศ. 2003 ถึง 2005 โดยสมาคมเวชปฏิบัติอิสระ (independent physician association) แพทย์บูรณาการซึ่งตรวจสอบการใช้งานบริการไคโรแพรกติกพบว่า การใช้งานทางคลินิกและต้นทุนของบริการไคโรแพรกติกอิงจากสมาชิก 70,274 คน-เดือน ตลอดระยะเวลา 7 ปีทำให้ต้นทุนของผู้ป่วยซึ่งสัมพันธ์กับการเข้าใช้บริการครั้งต่อไปลดลงร้อยละ 60 สำหรับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ร้อยละ 59 สำหรับจำนวนวันในโรงพยาบาล ร้อยละ 62 สำหรับการผ่าตัดและหัตถการของผู้ป่วยนอก และร้อยละ 85 สำหรับค่าเภสัชกรรม เมื่อเทียบกับสมาคมเวชปฏิบัติอิสระแพทย์แผนปัจจุบัน สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพขององค์กรบำรุงรักษาสุขภาพ (Health maintenance organization) แผนเดียวกัน ในภูมิภาคและช่วงเวลาเดียวกัน[175]

การศึกษา ใบอนุญาต และระเบียบข้อบังคับ[แก้]

แต่ละประเทศมีข้อกำหนดที่ต่างกัน ในประเทศไทย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลทําการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยศาสตร์ไคโรแพรกติก พ.ศ. 2557 คุณสมบัติของบุคคลที่จะขอหนังสืออนุญาตทําการประกอบโรคศิลปะไคโรแพรกติกโดยสรุปแล้วประกอบด้วย ต้องได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาในสาขาไคโรแพรกติกจากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะรับรอง และต้องผ่านการสอบความรู้จากคณะกรรมการฯ และหากเป็นบุคคลสัญชาติอื่นจะต้องได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีติดต่อกัน[176]

ในสหรัฐ นักไคโรแพรกติกได้รับใบอนุปริญญาที่ได้รับการรับรองในสาขาของไคโรแพรกติกซึ่งมิใช่แพทยศาสตร์[177] การศึกษาไคโรแพรกติกในสหรัฐถูกวิจารณ์ว่าล้มเหลวในการบรรลุมาตรฐานที่ยอมรับโดยทั่วไปของเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน[178] เนื้อหาหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (basic science) และวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (clinical science) ระหว่างวิทยาลัยแพทย์กับวิทยาลัยไคโรแพรกติกในทวีปอเมริกาเหนือไม่ค่อยมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งด้านประเภทของวิชาที่มีและจำนวนเวลาที่กำหนดต่อแต่ละวิชา[179] แผนการเรียนสาขาไคโรแพรกติกที่ได้รับการรับรองคุณภาพในสหรัฐกำหนดว่าผู้เข้าศึกษาต้องได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวน 90 ชั่วโมงต่อภาคการศึกษาและมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.0 ในระบบตัวเลข 4.0 แผนการเรียนหลายแผนกำหนดว่าต้องได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างน้อยสามปี และหลายแผนกำหนดให้มีวุฒิระดับปริญญาตรี[180]

ประเทศแคนาดากำหนดให้ผู้สมัครต้องได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างน้อยสามปี และอย่างน้อยต้องได้เข้ารับจำนวนชั่วโมงการฝึกสอนไคโรแพรกติกเต็มเวลา 4200 ชั่วโมง (หรือเทียบเท่า) เพื่อที่จะสามารถเข้ารับการศึกษาในแผนการเรียนไคโรแพรกติกที่ได้รับการรับรองได้[181] บัณฑิตของ Canadian Memorial Chiropractic College (CMCC) ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นเวลา 7-8 ปีเป็นอย่างน้อย[182][183] แนวปฏิบัติขององค์การอนามัยโลกเสนอให้เป็นการศึกษาแบบเต็มเวลาจำนวนสามแนวทางระดับปริญญาดอกเตอร์อ็อฟไคโรแพรกติก (DC) ปริญญาเอกสาขาเวชศาสตร์คลินิก (DCM) วิทยาศาสตรบัณฑิต (BSc) หรือวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (MSc) นอกจากแบบเต็มเวลาแล้ว ก็เสนอให้มีหลักสูตรข้ามสายสำหรับผู้ที่มีการศึกษาการบริการสุขภาพสาขาอื่น ๆ และหลักสูตรอบรมแบบจำกัดสำหรับภูมิภาคซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติควบคุมไคโรแพรกติก[56]

เมื่อจบการศึกษา อาจมีข้อกำหนดให้ผ่านการสอบความรู้จากคณะกรรมการระดับจังหวัด รัฐ หรือระดับชาติก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตในการปฏิบัติในแต่ละเขตอำนาจ[184][185] อาจต้องเข้ารับการศึกษาต่อเนื่อง (continuing education) เพื่อต่ออายุใบอนุญาตใหม่โดยขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่[186][187] อาจมีการฝึกอบรมเฉพาะทางผ่านหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษานอกเวลาเช่นออร์โทพีดิกส์ไคโรแพรกติกและไคโรแพรกติกการกีฬา หรือผ่านหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านเต็มเวลาเช่นรังสีวิทยาหรือออร์โทพีดิกส์[188]

ในสหรัฐ โรงเรียนไคโรแพรกติกได้รับการรับรองจาก Council on Chiropractic Education (CCE) ในขณะที่ General Chiropractic Council (GCC) เป็นองค์กรรัฐที่รับผิดชอบควบคุมไคโรแพรกติกตามกฎหมายในสหราชอาณาจักร[189][190] สภา CCE ในสหรัฐกำหนดหลักสูตรแบบผสม ซึ่งหมายความว่านักไคโรแพรกติกที่ได้รับการศึกษาแบบโดยตรงจะไม่สามารถขอใบอนุญาตในรัฐที่กำหนดให้ได้รับการรับรองจาก CCE ได้[78] CCE ในสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย และทวีปยุโรปได้รวมกันก่อตั้งองค์กรนานาชาติ CCE-International (CCE-I) เพื่อเป็นตัวแบบของมาตรฐานการให้การรับรอง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ใบรับรองสามารถใช้ได้ในระดับนานาชาติ[191] ปัจจุบันมีหลักสูตรดอกเตอร์อ็อฟไคโรแพรกติกที่ได้รับการรับรอง 18 หลักสูตรในสหรัฐ[192] 2 หลักสูตรในแคนาดา[193] 6 หลักสูตรในแถบออสตราเลเชีย[194] และ 5 หลักสูตรในทวีปยุโรป[195] วิทยาลัยไคโรแพรกติกเกือบทุกแห่งในสหรัฐเป็นของเอกชนยกเว้นแห่งเดียว แต่ในประเทศอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่สนับสนุนโดยรัฐ[27] จากสองวิทยาลัยไคโรแพรกติกในแคนาดามีหนึ่งแห่งเป็นของรัฐ (Université du Québec à Trois-Rivières; UQTR) และอีกแห่งเป็นของเอกชน (Canadian Memorial Chiropractic College; CMCC) ใน ค.ศ. 2005 CMCC ได้รับสิทธิในการมอบปริญญาบัตรสาขาบริการสุขภาพวิชาชีพภายใต้พระราชบัญญัติ Post-secondary Education Choice and Excellence ซึ่งกำหนดให้หลักสูตรนั้นอยู่ในลำดับชั้นระดับการศึกษาในแคนาดาระดับที่เทียบได้กับของวิชาชีพบริการสุขภาพลำดับปฐมภูมิ อาทิแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และทัศนมาตรศาสตร์[182][183]

คณะกรรมการควบคุมวิทยาลัยและไคโรแพรกติกในสหรัฐ แคนาดา เม็กซิโก และออสเตรเลีย มีหน้าที่รับผิดชอบการปกป้องสาธารณชน มาตรฐานการปฏิบัติ ปัญหาทางวินัย การประกันคุณภาพ และการทำนุบำรุงความสามารถ[196][197] นักไคโรแพรกติกในสหรัฐมีอยู่ประมาณ 49,000 คน (ค.ศ. 2008)[198] 6,500 คนในแคนาดา (ค.ศ. 2010)[199] 2,500 คนในออสเตรเลีย (2000)[31] 1,500 คนในสหราชอาณาจักร (ค.ศ. 2000)[200] และอย่างน้อย 36 คนในประเทศไทย อ้างอิงตามสมาคมการแพทย์ทางเลือกไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย[201]

นักไคโรแพรกติกมักอ้างว่าการศึกษาแบบนี้ดีเท่ากับหรือดีกว่าของแพทย์ แต่การฝึกอบรมไคโรแพรกติกส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในห้องเรียนและใช้เวลาส่วนมากไปกับการเรียนทฤษฎี การจัดกระดูก และการตลาด[78] ปีที่สี่ของการศึกษาไคโรแพรกติกแสดงระดับความเครียดที่สูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง[202] นักศึกษาทุกคน ไม่ว่าอยู่ในปีใด ประสบกับความเครียดระดับต่าง ๆ ระหว่างการศึกษา[202] ผู้นำไคโรแพรกติกกับวิทยาลัยไคโรแพรกติกเคยมีความขัดแย้งภายในอยู่[203] และมีการต่อสู้กันเองระหว่างฝักฝ่ายต่าง ๆ มากกว่าการร่วมมือกัน[203]

จรรยาบรรณ[แก้]

คำปฏิญาณไคโรแพรกติกเป็นฉบับสมัยใหม่ของคำปฏิญาณของฮิปพอคราทีส (Hippocratic Oath) แบบดั้งเดิมที่แพทย์และผู้ประกอบอาชีพบริการสุขภาพอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์สาบานว่าจะปฏิบัติวิชาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ[204] สมาคมไคโรแพรกติกอเมริกัน (ACA) มีประมวลจรรยาบรรณที่ "อยู่บนฐานของการรับรู้ว่าสัญญาประชาคมเป็นสิ่งที่กำหนดความรับผิดชอบที่วิชาชีพมีต่อผู้ป่วย สาธารณะ และวิชาชีพเอง และค้ำจุนหลักการขั้นพื้นฐานว่าความมุ่งหมายอันสูงสุดของบริการวิชาชีพแพทย์ไคโรแพรกติกคือการเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย"[xi] สมาคม International Chiropractors Association (ICA) ก็มีประมวลจรรยาบรรณชุดหนึ่ง[206]

บทวิจารณ์ ค.ศ. 2008 เสนอให้วิชาชีพไคโรแพรกติกคอยควบคุมบังคับตนเองเพื่อต่อกรกับกลฉ้อฉล การต้มตุ๋น (quackery) และการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งแพร่หลายในไคโรแพรกติกมากกว่าในวิชาชีพบริการสุขภาพชนิดอื่น ๆ และเป็นการละเมิดสัญญาประชาคมที่มีอยู่ระหว่างผู้ป่วยและแพทย์[38] อ้างอิงตามผลโพลผู้ใหญ่ในสหรัฐ ค.ศ. 2015 ของบริษัทแกลลัพ ภาพพจน์ของนักไคโรแพรกติกโดยทั่วไปเป็นที่น่าพึงพอใจ ผู้ใหญ่อเมริกันสองในสามส่วนเห็นด้วยว่านักไคโรแพรกติกยึดมั่นในผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วย และกว่าครึ่งเห็นด้วยว่านักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่มีความน่าเชื่อถือ ผู้ใหญ่ในสหรัฐน้อยกว่าร้อยละ 10 ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่านักไคโรแพรกติกมีความน่าเชื่อถือ[207][208]

องค์กรการกุศล Sense about Science ปล่อยตัวการรณรงค์เรียกร้องความสนใจแก่คดีระหว่างสมาคมไคโรแพรกติกสหราชอาณาจักรกับนักเขียนวิทยาศาสตร์ไซมอน สิงห์[209] ใน ค.ศ. 2009 หลายองค์กรและบุคคลสาธารณะได้ลงนามในแถลงการณ์จั่วหัวว่า "กฎหมายไม่ควรยุ่งกับข้อพิพาททางวิทยาศาสตร์"[210]

นักไคโรแพรกติก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงในด้านการรักษาผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น[59] ในหลายโอกาส มักมุ่งเน้นเรื่องเศรษฐศาสตร์มากกว่าเรื่องการให้บริการสุขภาพ[59] การดูแลแบบไคโรแพรกติกอย่างต่อเนื่องถูกส่งเสริมว่าเป็นเครื่องมือป้องกัน แต่การจัดดัดดึงโดยไม่จำเป็นอาจเป็นการทำให้ผู้ป่วยเผชิญกับความเสี่ยง [9] นักไคโรแพรกติกบางคนเป็นกังวลต่อคำกล่าวอ้างซึ่งไร้เหตุผลที่นักไคโรแพรกติกทำเป็นกิจวัตร[9] งานวิเคราะห์เว็บไซต์ไคโรแพรกติกใน ค.ศ. 2010 พบว่านักไคโรแพรกติกและสมาคมของพวกเขาส่วนใหญ่อ้างถึงประสิทธิผลซึ่งไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ในขณะที่เว็บไซต์ไคโรแพรกติกร้อยละ 28 สนับสนุนการดูแลรักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง ซึ่งมีหลักฐานที่สมบูรณ์อยู่บ้าง[211]

สำนักงานผู้ตรวจการสหรัฐ (Office of Inspector General (United States)) ประมาณการณ์ว่าในปีปฏิทิน ค.ศ. 2013 การจ่ายค่ารักษาให้นักไคโรแพรกติกผ่านประกันสุขภาพเมดิแคร์ส่วน B (Medicare (United States)) ร้อยละ 82 จากทั้งหมด 359 ล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของเมดิแคร์[212] สำนักงานผู้ตรวจการได้ทำรายงานความผิดปรกติในการเรียกเก็บค่าบริการไคโรแพรกติกมาอย่างน้อย 15 ฉบับนับตั้งแต่ ค.ศ. 1986[212]

ใน ค.ศ. 2009 กระแสโต้กลับ (Backlash (sociology)) ต่อคดีหมิ่นประมาทที่สมาคมไคโรแพรกติกสหราชอาณาจักรฟ้องร้อง (British Chiropractic Association v Singh) นักเขียนวิทยาศาสตร์ไซมอน สิงห์ (Simon Singh) นำพาให้มีการร้องทุกข์การโฆษณาหลอกลวงของนักไคโรแพรกติกมากกว่า 500 คนภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง[213][214] และกระตุ้นให้สมาคมไคโรแพรกติกแม็คทิโมนี (McTimoney Chiropractic Association) เขียนแนะนำไปยังสมาชิกให้เอาใบปลิวต่าง ๆ ซึ่งอ้างถึงอาการคอสะบัด (วิปแลช) และปวดบิดในทารก (โคลิค) จากการปฏิบัติของพวกเขาออก ให้ระวังผู้ป่วยรายใหม่ ๆ และสายโทรสอบถาม และกล่าวต่อสมาชิกว่า "ถ้าคุณมีเว็บไซต์ ปิดมันลงเดี๋ยวนี้" และ "สุดท้าย เราขอเตือนคุณว่าอย่าพูดคุยเรื่องนี้กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ป่วย"[xii] บทบรรณาธิการใน เนเจอร์ เสนอว่าสมาคมไคโรแพรกติกสหราชอาณาจักรอาจกำลังพยายามห้ามไม่ให้มีการโต้เถียง และการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทอังกฤษครั้งนี้เป็นอุปสรรคต่อสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (European Convention on Human Rights)[215] คดีหมิ่นประมาทจบลงด้วยการที่สมาคมฯ ถอนฟ้องไปใน ค.ศ. 2010[216][217]

การตอบรับ[แก้]

ไคโรแพรกติกมีรากฐานดีแล้วในสหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย และมีอยู่ในประเทศอื่น ๆ ในระดับลดหลั่นลงมา[20] โดยถูกมองว่าเป็นความพยายามชายขอบของการแพทย์ทางเลือกและผสมผสานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิก และไม่ได้บูรณาการเข้ากับการแพทย์กระแสหลัก[66] เงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐถูกใช้จ่ายไปสำหรับบริการไคโรแพรกติกในสหรัฐ[9]

ออสเตรเลีย[แก้]

ในประเทศออสเตรเลีย มีนักไคโรแพรกติกประมาณ 2488 คน หรือมีนักไคโรแพรกติกหนึ่งคนต่อประชากร 7980 คน[218] ประกันสุขภาพส่วนใหญ่ในออสเตรเลียครอบคลุมถึงการดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติก และรัฐบาลกลางจ่ายค่าการดูแลรักษาไคโรแพรกติกให้เมื่อแพทย์เวชปฏิบัติเป็นผู้ส่งต่อผู้ป่วย[219] ใน ค.ศ. 2014 กำลังแรงงานนักปฏิบัติวิชาชีพไคโรแพรกติกที่ลงทะเบียนอยู่มี 4,684 รายในประเทศออสเตรเลีย โดยมีตัวแทนเป็นองค์กรหลักสองแห่ง สมาคมนักไคโรแพรกติกแห่งประเทศออสเตรเลีย (Chiropractors' Association of Australia; CAA) และวิทยาลัยไคโรแพรกติกและออสทีโอพาธีแห่งออสตราเลเชีย (Chiropractic and Osteopathic College of Australasia; COCA)[220] ค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติกต่อปี (อย่างเดียวหรือร่วมกับออสทีโอพาธี) ในออสเตรเลียถูกประมาณไว้ว่าอยู่ระหว่าง 750-988 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยการให้คำปรึกษาส่วนมากเกี่ยวกับอาการทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกเช่นอาการปวดหลังและคอ และสัดส่วนของการใช้จ่ายนั้นคล้ายกับที่พบเจอในประเทศอื่น ๆ[220] ในขณะที่เมดิแคร์ (ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐในประเทศออสเตรเลีย) จำกัดความครอบคลุมการบริการไคโรแพรกติกไว้เฉพาะพวกที่ทำผ่านการส่งต่อจากแพทย์เพื่อเอื้ออำนวยการจัดการโรคเรื้อรังเท่านั้น บริษัทประกันสุขภาพเอกชนส่วนใหญ่ในออสเตรเลียให้บริการเบิกจ่ายบางส่วนของค่าบริการไคโรแพรกติกโดยครอบคลุมอย่างกว้างขวางนอกเหนือจากบริการตัวกลางชำระเงินแบบจำกัดสำหรับเงินทดแทนคนงานและอุบัติเหตุยานยนต์[220]

จากนักไคโรแพรกติก 2,005 คนซึ่งมีส่วนร่วมในงานสำรวจ ค.ศ. 2015 ร้อยละ 62.4 เป็นผู้ชายและอายุโดยเฉลี่ยเท่ากับ 42.1 (SD = 12.1) ปี[220] นักไคโรแพริกติกเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 97.1) มีวุฒิปริญญาตรีหรือสูงกว่า โดยส่วนใหญ่วุฒิวิชาชีพระดับสูงสุดของนักไคโรแพรกติกเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาตรีคู่ (ร้อยละ 34.6) ตามมาด้วยปริญญาโท (ร้อยละ 32.7) ปริญญาดอกเตอร์อ็อฟไคโรแพรกติก (ร้อยละ 28.9) และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ร้อยละ 0.9)[220] นักไคโรแพรกติกส่วนน้อยมีวุฒิสูงสุดเป็นอนุปริญญา (ร้อยละ 2.1) และอนุปริญญาขั้นสูง (ร้อยละ 0.8)[220]

สหราชอาณาจักร[แก้]

ในสหราชอาณาจักร มีนักไคโรแพรกติกกว่า 2000 คน หรือมีนักไคโรแพรกติกหนึ่งคนต่อประชากร 29,206 คน[218] ไคโรแพรกติกมีอยู่ในบริการสุขภาพแห่งชาติในบางพื้นที่ เช่นคอร์นวอลล์ โดยให้การรักษาเฉพาะอาการปวดคอหรือหลัง[221]

งานศึกษา ค.ศ. 2010 ผ่านแบบสอบถามนักไคโรแพรกติกในสหราชอาณาจักรชี้ว่านักไคโรแพรกติกเพียงร้อยละ 45 เท่านั้นที่เปิดเผยถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่การจัดดัดดึงกระดูกสันหลังส่วนคอมีให้กับผู้ป่วย และร้อยละ 46 เชื่อว่าผู้ป่วยอาจปฏิเสธไม่รับการรักษาหากอธิบายความเสี่ยงให้อย่างถูกต้อง ทว่าร้อยละ 80 ยอมรับว่าการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงต่อผู้ป่วยนั้นเป็นความรับผิดชอบทางจรรยาบรรณและจริยธรรม[222]

สหรัฐและแคนาดา[แก้]

อัตราร้อยละของประชากรซึ่งรับบริการไคโณแพรกติก ณ ช่วงเวลาใด ๆ โดยทั่วไปตกอยู่ระหว่างร้อยละ 6 ถึง 12 ในสหรัฐและประเทศแคนาดา[223] โดยมีค่าสูงสุดร้อยละ 20 ในรัฐแอลเบอร์ตาเมื่อ ค.ศ. 2006[224] ใน ค.ศ. 2008 มีรายงานว่านักไคโรแพรกติกเป็นผู้ให้บริการการแพทย์ทางเลือกและผสมผสานแก่เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากที่สุด โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 14 ของผู้เข้ารับการรักษากับนักไคโรแพรกติกทั้งหมด[225]

มีนักไคโรแพรกติกทำการปฏิบัติในทวีปอเมริกาเหนือ 50,330 คนใน ค.ศ. 2000[218] และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 เป็น 60,000 คนใน ค.ศ. 2008[9] ระหว่าง ค.ศ. 2002–2003 ผู้ที่แสวงหารับบริการไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ไปเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังและคอ และอาการทางกล้ามเนื้อและโครงกระดูกอื่น ๆ[22] และส่วนใหญ่นั้นไปสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างโดยเฉพาะ[22][223] นักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ในสหรัฐเข้าร่วมในแผนการบริการจัดการรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง[10] แม้ว่านักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ในสหรัฐมองว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ และโครงกระดูก แต่หลายคนก็นับว่าไคโรแพรกติกเป็นการดูแลขั้นปฐมภูมิชนิดหนึ่ง[10] ในกรณีส่วนใหญ่ ตลาดการบริการของนักไคโรแพรกติกกับแพทย์จะแยกจากกัน ทว่าในบางกรณีก็ให้บริการผสมผสานกัน[10]

การรักษาแบบจัดดัดดึงในสหรัฐกว่าร้อยละ 90 จากทั้งหมดกระทำโดยนักไคโรแพรกติก[226] อัตราความพึงพอใจสำหรับการบริการไคโรแพรกติกโดยทั่วไปจะสูงกว่าของการบริการทางการแพทย์ โดยงานสำรวจใน ค.ศ. 1998 ในสหรัฐรายงานว่าผู้ตอบสนองร้อยละ 83 ได้รับความพึงพอใจหรือความพึงพอใจอย่างยิ่งจากการบริการที่พวกเขาได้รับ คุณภาพของการสื่อสารดูจะเป็นตัวคาดการณ์ความพึงพอใจที่ผู้ป่วยมีต่อนักไคโรแพรกติกได้อย่างสม่ำเสมอ[227]

อัตราการใช้สอยการบริการไคโรแพรกติกตอบสนองกับต้นทุนที่เกิดจากการร่วมจ่าย (copayment) ของผู้ป่วย[1] การใช้บริการไคโรแพรกติกในกลุ่มผู้ใหญ่ในสหรัฐลดลงจากร้อยละ 9.9 ใน ค.ศ. 1997 เหลือร้อยละ 7.4 ใน ค.ศ. 2002 การลดต่ำลงครั้งนี้เยอะที่สุดโดยสัมพัทธ์ในกลุ่มวิชาชีพการแพทย์ทางเลือกและผสมผสาน ที่โดยรวมแล้วมีอัตราการใช้บริการที่เสถียร[228] ใน ค.ศ. 2007 ไคโรแพรกติกเข้าถึงประชากรสหรัฐร้อยละ 7[229] ใน ค.ศ. 2002 ไคโรแพรกติกเป็นวิชาชีพการแพทย์ขนาดใหญ่เป็นลำดับที่สามในสหรัฐ ตามหลังแพทย์และทันตแพทย์[230] มีการคาดการณ์การเติบโตของอัตราจ้างงานนักไคโรแพรกติกในสหรัฐระหว่าง ค.ศ. 2006 และ 2016 ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาชีพทุกอาชีพ[198]

ในสหรัฐ รัฐส่วนใหญ่กำหนดบริษัทประกันสุขภาพครอบกลุ่มการดูแลรักษาแบบไคโรแพรกติก และองค์กรบำรุงรักษาสุขภาพส่วนใหญ่ครอบคลุมบริการเหล่านี้[225]

ประวัติ[แก้]

แดเนียล เดวิด (ดี. ดี.) พาลเมอร์ ผู้ก่อตั้งไคโรแพรกติก

ไคโรแพรกติกมีต้นกำเนิดเป็นการจัดกระดูกของการแพทย์ดั้งเดิม ที่นักปฏิบัติที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมกระทำการจัดดัดดึงข้อต่อหรือจัดกระดูกที่แตกหักใหม่[9] ไคโรแพรกติกถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1895 โดยแดเนียล เดวิด (ดี. ดี.) พาลเมอร์ ในแดเวนพอร์ต รัฐไอโอวา พาลเมอร์ผู้เป็นนักบำบัดแม่เหล็ก (Magnet therapy) สันนิษฐานว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังด้วยมือสามารถรักษาโรคได้[231] ผู้รับการรักษาแบบไคโรแพรกติกคนแรกของ ดี. ดี. พาลเมอร์ คือฮาร์วีย์ ลิลลาร์ด (William Harvey Lillard) คนงานในอาคารเดียวกันกับสำนักงานของพาลเมอร์[44] เขากล่าวว่าเขาสูญเสียการได้ยินมานาน 17 ปี ซึ่งเริ่มขึ้นหลังจากที่เกิด "pop" ในกระดูกสันหลังของเขา[44] ภายหลังจากการจัดกระดูกไม่กี่วัน ลิลลาร์ดกล่าวว่าเขากลับมาได้ยินเกือบสมบูรณ์[44] ผู้ป่วยอีกคนของพาลเมอร์ ซามูเอล วีด (Samuel Weed) บัญญัติคำว่า chiropractic ขึ้นมาจากคำว่า chiro- ไคโร จากศัพท์ภาษากรีก χειρο- ชีโร- ที่แปลว่า 'มือ' (จากศัพท์ภาษากรีกโบราณ χείρ เคร์ ที่แปลว่า 'มือ' อีกที) และคำว่า πρακτικός praktikos ปรักติโกส ที่แปลว่า 'ปฏิบัติ'[232][233] ไคโรแพรกติกถูกจัดประเภทเป็นสาขาวิชาการแพทย์เทียมด้วยเหตุว่ามีต้นกำเนิดแบบคุยหลัทธิตะวันตก[3]

ไคโรแพรกติกแข่งขันกับออสทีโอพาธีที่เกิดมาก่อน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์อีกแผนซึ่งวางอยู่บนฐานของแม่เหล็กบำบัด ทั้งสองระบบถูกก่อตั้งขึ้นโดยชาวสหรัฐภาคตะวันตกกลาง (Midwestern United States) ที่มีสเน่ห์ ซึ่งต่างไปจากการแพทย์แผนปัจจุบันในสมัยนั้น และทั้งสองสันนิษฐานว่าการจัดดัดดึงช่วยส่งเสริมสุขภาพ[231] แม้ในช่วงแรกไคโรแพรกติกถูกเก็บไว้เป็นความลับของครอบครัว แต่ใน ค.ศ. 1898 พาลเมอร์ได้เริ่มสอนมันให้กับศิษย์น้อยคนที่โรงเรียนไคโรแพรกติกพาลเมอร์ (Palmer College of Chiropractic) แห่งใหม่ของเขาเอง[24] นักเรียนคนหนึ่ง ลูกชายของเขา บาร์ตเลตต์ โจชัว (บี. เจ.) พาลเมอร์ ได้อุทิศตนต่อการส่งเสริมไคโรแพรกติก รับช่วงต่อดำเนินการโรงเรียนพาลเมอร์ไปใน ค.ศ. 1906 และขยับขยายจำนวนการรับสมัครเข้าเรียนอย่างรวดเร็ว[24]

นักไคโรแพรกติกสมัยแรกเชื่อว่าสารพัดโรคล้วนเกิดจากอุปสรรคที่ขัดขวางกระแสการไหลเวียนของเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิด กล่าวคือ พลังงานทางประสาทแบบชีวิตนิยมหรือพลังชีวิตรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งแสดงแทนของการดำรงอยู่ของพระเจ้าในมนุษย์ ผู้นำไคโรแพรกติกมักอัญเชิญจินตภาพทางศาสนาและจารีตประเพณีทางจรรยามาใช้[24] ดี. ดี. พาลเมอร์ เคยกล่าวว่าเขาได้รับไคโรแพรกติกมาจาก "ต่างโลก"[25] ทั้ง ดี. ดี. และ บี. เจ. เคยพิจารณาประกาศให้ไคโรแพรกติกเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจทำให้สามารถรับการคุ้มครองทางกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐได้ (Free Exercise Clause) แต่ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสับสนกับวิทยาศาสตร์คริสเตียน (Christian Science)[24][25] นักไคโรแพรกติกสมัยแรกยังได้ใช้ประโยชน์จากขบวนการประชานิยม โดยเน้นเรื่องหัตถกรรม การทำงานหนัก การแข่งขัน และการโฆษณา ซึ่งได้ปรับแนวตนเองเข้ากับสามัญชนต่อต้านปัญญาชนและการผูกขาด (Trust (business)) ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงสมาคมการแพทย์อเมริกัน (AMA) ด้วย[24]

บี. เจ. พาลเมอร์ ผู้พัฒนาไคโรแพรกติกช่วงเริ่มแรก

มีข้อถกเถียงและข้อวิจารณ์เกี่ยวกับไคโรแพรกติกอยู่อย่างมีนัยสำคัญ[27][28] แม้ว่า ดี. ดี. และ บี. เจ. เป็นพวก "โดยตรง" และดูถูกการใช้อุปกรณ์ แต่นักไคโรแพรกติกสมัยแรกที่ บี. เจ. เรียกสบประมาทว่าเป็น "พวกผสม" สนับสนุนการใช้อุปกรณ์[24] ใน ค.ศ. 1910 บี. เจ. เปลี่ยนใจมาสนับสนุนให้รังสีเอกซ์เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการวินิจฉัย นี่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่และนักเรียนจำนวนมากซึ่งอนุรักษ์นิยมกว่าออกจากโรงเรียนพาลเมอร์[24] ฝั่งของแบบผสมเติบโตขึ้นจนกระทั่งใน ค.ศ. 1924 บี. เจ. ประมาณว่ามีนักไคโรแพรกติกแบบโดยตรงหลงเหลืออยู่เพียง 3,000 คนเท่านั้นจากนักไคโรแพรกติกในสหรัฐทั้งหมด 25,000 คน[24] ในปีนั้นเอง สิ่งประดิษฐ์ของ บี. เจ. neurocalometer อุปกรณ์วัดอุณหภูมิ และการส่งเสริมมันโดยเขากลายเป็นข้อถกเถียงท่ามกลางเพื่อนนักไคโรแพรกติกแบบโดยตรงของเขา และในคริสต์ทศวรรษ 1930 ไคโรแพรกติกได้กลายเป็นวิชาชีพการแพทย์ทางเลือกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ[24]

ฮาร์วีย์ ลิลลาร์ด ผู้รับการรักษาแบบไคโรแพรกติกรายแรก

ไคโรแพรกติกถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากสถาบันการแพทย์[44] ดี. ดี. พาลเมอร์ถูกจำคุกใน ค.ศ. 1907 เพราะให้บริการทางการแพทย์โดยไม่มีใบอนุญาต[234] นักไคโรแพรกติกหลายพันคนถูกดำเนินคดีเพราะให้บริการสุขภาพโดยไม่มีใบอนุญาต (Health care provider) และหลายคนถูกจำคุกไปเช่นกันกับ ดี. ดี.[44] เพื่อเป็นการป้องกันจากกฎหมายเกี่ยวกับการแพทย์ บี. เจ. อ้างว่าไคโรแพรกติกเป็นสิ่งที่แยกจากและแตกต่างจากการแพทย์ โดยอ้างว่านักไคโรแพรกติก "วิเคราะห์" แทนที่จะ "วินิจฉัย" และ "ปรับ" ภาวะข้อเคลื่อนแทนที่จะ "รักษา" โรค[44] บี. เจ. ได้ร่วมก่อตั้งสมาคม Universal Chiropractors' Association (UCA) เพื่อให้บริการด้านกฎหมายแก่นักไคโรแพรกติกซึ่งถูกจับกุม[44] แม้ว่าสมาคม UCA จะชนะคดีทดสอบตัวบทกฎหมายเป็นครั้งแรกในรัฐวิสคอนซินใน ค.ศ. 1907 แต่คณะกรรมการการแพทย์ของรัฐก็ยังคงดำเนินคดีบ่อยยิ่งขึ้นและในหลายกรณีก็เป็นผลสำเร็จ นักไคโรแพรกติกจึงได้รณรงค์ทางการเมืองตอบโต้เพื่อให้มีกฎหมายออกใบอนุญาตแยกออกมาเป็นของตัวเอง ซึ่งในที่สุดประสบความสำเร็จในทุก 50 รัฐ ตั้งแต่รัฐแคนซัสใน ค.ศ. 1913 จนกระทั่งรัฐลุยเซียนาใน ค.ศ. 1974[44] ความบาดหมางระหว่างนักไคโรแพรกติกกับแพทย์ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลายาวนานหลายทศวรรษ สมาคมการแพทย์อเมริกันเรียกไคโรแพรกติกว่าเป็น "ลัทธิไม่เป็นวิทยาศาสตร์" ใน ค.ศ. 1966[32] และจนถึง ค.ศ. 1980 ก็ได้แนะนำแพทย์สมาชิกว่าการคบค้าสมาคมกับ "นักปฏิบัติที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" เป็นสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณแพทย์[235] นี่ถึงจุดสูงสุดในคำพิพากษาครั้งสำคัญในคดีระหว่างวิลก์กับสมาคมการแพทย์อเมริกันใน ค.ศ. 1987 โดยศาลวินิจฉัยว่าสมาคมฯ นั้นได้กระทำการอันไม่ชอบด้วยเหตุผลในการจำกัดการแข่งขันทางการค้าและการสบคบคิด ซึ่งได้ทำให้การคว่ำบาตรไคโรแพรกติกโดยพฤตินัยของสมาคมฯ ต้องสิ้นสุดลง[10]

กว่าจะเริ่มมีการวิจัยอย่างจริงจังเพื่อทดสอบทฤษฎีของไคโรแพรกติกก็ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และยังคงถูกขัดขวางโดยแนวคิดต่อต้านวิทยาศาสตร์และแบบวิทยาศาสตร์เทียมซึ่งได้ยังชีพของวิชาชีพนี้ไว้ในช่วงของการต่อสู้เป็นเวลายาวนานกับสถาบันการแพทย[44] แต่ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็เริ่มมีความสนใจทางวิชาการในไคโรแพรกติกซึ่งเอื้อต่อความพยายามในการพัฒนาคุณภาพการบริการและการสถาปนาแนวปฏิบัติทางคลินิกที่แนะนำการใช้การบำบัดด้วยมือสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างเฉียบพลัน[44] ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ไคโรแพรกติกได้รับความชอบธรรมและการยอมรับยิ่งขึ้นจากแพทย์และประกันสุขภาพ และยังมีฐานการเมืองที่เข้มแข็งและความต้องการบริการของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง[10] ทว่าอนาคตของมันกลับดูไม่แน่นอน เมื่อจำนวนนักปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น การแพทย์อิงหลักฐานยึดในการรักษาที่มีคุณค่าซึ่งพิสูจน์แล้ว การบริการจัดการจำกัดการชำระเงิน และการแข่งขันจากนักนวดบำบัดและวิชาชีพสาขาสุขภาพอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น[10] วิชาชีพนี้ตอบสนองด้วยการทำการตลาดผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ธรรมชาติที่เข้มข้นขึ้น และการหยั่งลึกลงไปในการแพทย์ทางเลือกและการบริการขั้นปฐมภูมิยิ่งขึ้น[10]

สาธารณสุข[แก้]

นักไคโรแพรกติกบางรายต่อต้านการให้วัคซีนและน้ำผสมฟลูออไรด์ (water fluoridation) ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของสาธารณสุขที่พบได้ทั่วไป[38] มีความไม่ลงรอยกันอย่างมีนัยสำคัญภายในประชาคมไคโรแพรกติกเกี่ยวกับการให้วัคซีน ซึ่งเป็นหนึ่งในการแทรกแซงทางสาธารณสุขซึ่งมีประสิทธิผลต่อต้นทุนสูงที่สุดเท่าที่มีอยู่[236] งานเขียนไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแง่มุมเชิงลบของวัคซีน[30] โดยอ้างว่าเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ไร้ประสิทธิผล และไม่จำเป็น[31] นักไคโรแพรกติกบางคนยอมรับการให้วัคซีน แต่ส่วนมากของวิชาชีพก็ยังคงปฏิเสธมัน เพราะปรัชญาไคโรแพรกติกต้นตำรับตามรอยโรคภัยไข้เจ็บว่าถือกำเนิดขึ้นในกระดูกสันหลัง และกล่าวว่าวัคซีนจะขัดขวางการรักษา[31] มุมมองต่อต้านการให้วัคซีนนั้นเป็นสิ่งที่ส่งแรงหนุนวิชาชีพไคโรแพรกติกในปัจจุบันในระดับใดนั้นไม่เป็นที่แน่นอน[30] สมาคมไคโรแพรกติกอเมริกันและสมาคมนักไคโรแพรกติกนานาชาติ (ICA) สนับสนุนการละเว้นเป็นรายบุคคลของกฎหมายบังคับรับวัคซีน และงานสำรวจนักไคโรแพรกติกในสหรับ ค.ศ. 1995 พบว่าหนึ่งในสามเชื่อว่าไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสามารถป้องกันโรคได้[31] สมาคมไคโรแพรกติกแคนาดาสนับสนุนการให้วัคซีน[30] และงานวิจัยในรัฐแอลเบอร์ตาใน ค.ศ. 2002 พบว่านักไคโรแพรกติกร้อยละ 25 แนะนำให้ผู้ป่วยและลูกหลานของเขารับวัคซีน และอีกร้อยละ 27 ต่อต้านการให้วัคซีน[237]

การต่อต้านการผสมฟลูออไรด์ลงในน้ำช่วงแรก ๆ มีนักไคโรแพรกติกด้วย ซึ่งบางรายยังคงต่อต้านต่อไปด้วยเหตุผลว่าเข้ากันไม่ได้กับปรัชญาไคโรแพรกติกและเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล นักไคโรแพรกติกคนอื่น ๆ สนับสนุนการผสมฟลูออไรด์อย่างแข็งขัน และหลายองค์กรไคโรแพรกติกสนับสนุนหลักการทางวิทยาศาสตร์ของสาธารณสุข[238] นอกเหนือจากการต่อต้านน้ำผสมฟลูออไรด์ของไคโรแพรกติกแบบดั้งเดิมแล้ว ชื่อเสียงของนักไคโรแพรกติกที่แนะนำการรักษาไคโรแพรกติกตลอดชีพอย่างซ้ำ ๆ ก็ได้ทำให้ความพยายามในการสถาปนาชื่อเสียงเชิงบวกของบทบาทของตนในสาธารณสุขต้องล้มเหลวไป[38]

ข้อถกเถียง[แก้]

ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของไคโรแพรกติกมีข้อถกเถียงและข้อวิจารณ์ทั้งจากภายในและภายนอกอยู่เสมอ[23][239] หากอ้างอิงตามแดเนียล เดวิด พาลเมอร์ ผู้ก่อตั้งไคโรแพรกติก ภาวะข้อเคลื่อนเป็นสาเหตุหนึ่งเดียวของโรคภัยไข้เจ็บ และการจัดดัดดึงเป็นยารักษาสารพัดโรคของมนุษย์[9][52] งานสำรวจทั่ววงการวิชาชีพใน ค.ศ. 2003[45] พบว่า "นักไคโรแพรกติกส่วนใหญ่ (ไม่ว่า 'โดยตรง' หรือ 'แบบผสม') ยังคงยึดถือมุมมองเรื่องเชาวน์ปัญญาแต่กำเนิดและเรื่องสาเหตุและการรักษาโรค (ไม่ใช่เฉพาะอาการปวดหลัง) ที่สอดคล้องกับของครอบครัวพาลเมอร์"[xiii] งานประเมินเชิงวิพากษ์ชิ้นหนึ่งกล่าวว่า "ไคโรแพรกติกมีรากฐานอยู่ในมโนทัศน์เชิงรหัสยะ นี่นำไปสู่ความขัดแย้งภายในวิชาชีพไคโรแพรกติกเอง ซึ่งยังคงดำเนินมาเรื่อยจนวันนี้"[xiv] นักไคโรแพรกติกหลายคน ซึ่งรวมถึงตัว ดี. ดี. พาลเมอร์ ด้วย เคยต้องถูกจำคุกด้วยข้อหาให้บริการสุขภาพโดยไม่มีใบอนุญาต[9] ตั้งแต่กำเนิด ไคโรแพรกติกใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต่อสู้กับการแพทย์กระแสหลัก และคงยังชีพอยู่ได้ด้วยแนวคิดต่อต้านวิทยาศาสตร์และแบบวิทยาศาสตร์เทียม เช่นภาวะข้อเคลื่อน[44] งานปริทัศน์เป็นระบบโดยรวมยังไม่บ่งชี้ว่าการจัดดัดดึงกระดูกสันหลังซึ่งเป็นกลวิธีการรักษาหลักที่นักไคโรแพรกติกใช้มีประสิทธิศักย์กับอาการทางแพทย์ใด ๆ โดยมีข้อยกเว้นที่เป็นไปได้สำหรับการรักษาอาการปวดหลัง[9] ไคโรแพรกติกยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ แม้ว่าจะลดระดับน้อยลงกว่าในหลายปีก่อน ๆ[27]

ดูเพิ่ม[แก้]

หมายเหตุ[แก้]

  1. แปลจาก "they have been able to transform their status as purists and heirs of the lineage into influence dramatically out of proportion to their numbers."[23]
  2. แปลจาก "Physiologists divide nerve-fibers, which form the nerves, into two classes, afferent and efferent. Impressions are made on the peripheral afferent fiber-endings; these create sensations that are transmitted to the center of the nervous system. Efferent nerve-fibers carry impulses out from the center to their endings. Most of these go to muscles and are therefore called motor impulses; some are secretory and enter glands; a portion are inhibitory, their function being to restrain secretion. Thus, nerves carry impulses outward and sensations inward. The activity of these nerves, or rather their fibers, may become excited or allayed by impingement, the result being a modification of functionality – too much or not enough action – which is disease."[52]
  3. แปลจาก "a lesion or dysfunction in a joint or motion segment in which alignment, movement integrity and/or physiological function are altered, although contact between joint surfaces remains intact. It is essentially a functional entity, which may influence biomechanical and neural integrity."[56]
  4. แปลจาก "X-rays can reveal neither the subluxations nor the innate intelligence associated with chiropractic philosophy, because they do not exist."[59]
  5. แปลจาก "Medical critics have asked how there can be a subluxation if it cannot be seen on X-ray. The answer is that the chiropractic subluxation is essentially a functional entity, not structural, and is therefore no more visible on static X-ray than a limp or headache or any other functional problem."[60]
  6. แปลจาก "is not supported by any clinical research evidence that would allow claims to be made that it is the cause of disease."[61]
  7. แปลจาก "The specific focus of chiropractic practice is known as the chiropractic subluxation or joint dysfunction. A subluxation is a health concern that manifests in the skeletal joints, and, through complex anatomical and physiological relationships, affects the nervous system and may lead to reduced function, disability or illness."[62][29]
  8. แปลจาก "I think Spinal Manipulation Therapy (SMT) is a reasonable option for patients to try ... But I could not in good conscience refer a patient to a chiropractor... When chiropractic is effective, what is effective is not 'chiropractic': it is SMT. SMT is also offered by physical therapists, DOs, and others. These are science-based providers ... If I thought a patient might benefit from manipulation, I would rather refer him or her to a science-based provider."[63]
  9. แปลจาก "This detail was not the subject of my review. I do, however, refer to such evaluations and should add that a report recently commissioned by the General Chiropractic Council did not support many of the outlandish claims made by many chiropractors across the world."[170]
  10. แปลจาก "The literature does not demonstrate that the benefits of MCS outweigh the risks."[171]
  11. แปลจาก "based upon the acknowledgement that the social contract dictates the profession's responsibilities to the patient, the public, and the profession; and upholds the fundamental principle that the paramount purpose of the chiropractic doctor's professional services shall be to benefit the patient."[205]
  12. แปลจาก "If you have a website, take it down NOW" และ "Finally, we strongly suggest you do NOT discuss this with others, especially patients."[213]
  13. แปลจาก "most chiropractors (whether 'straights' or 'mixers') still hold views of innate intelligence and of the cause and cure of disease (not just back pain) consistent with those of the Palmers."[240]
  14. แปลจาก "Chiropractic is rooted in mystical concepts. This led to an internal conflict within the chiropractic profession, which continues today."[9]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 Chapman-Smith DA, Cleveland CS III (2005). "International status, standards, and education of the chiropractic profession". ใน Haldeman S, Dagenais S, Budgell B, และคณะ (บ.ก.). Principles and Practice of Chiropractic (3rd ed.). McGraw-Hill. pp. 111–34. ISBN 978-0-07-137534-4.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 Nelson CF, Lawrence DJ, Triano JJ, Bronfort G, Perle SM, Metz RD, Hegetschweiler K, LaBrot T (2005). "Chiropractic as spine care: a model for the profession". Chiropractic & Osteopathy. 13 (1): 9. doi:10.1186/1746-1340-13-9. PMC 1185558. PMID 16000175.
  3. 3.0 3.1 Swanson ES (2015). "Pseudoscience". Science and Society: Understanding Scientific Methodology, Energy, Climate, and Sustainability. Springer. p. 65. ISBN 978-3-319-21987-5.
  4. สำหรับคำอธิบายถึงการบรรยายไคโรแพรกติกเป็นวิทยาศาสตร์เทียม ดูที่:
  5. เสก อักษรานุเคราะห์ (มีนาคม–เมษายน 2010). "มารู้จักหมอไคโรแพรกติกกันเถอะ (บทบรรณาธิการ)" (PDF). Chulalongkorn Medical Journal. 54 (2): 99. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 กรกฎาคม 2020. นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด ... ก็เป็นระดับปริญญาตรี ... แต่เขาไม่ได้ตั้งชื่อปริญญาว่า Doctor of Physical Therapy หรือ Doctor of Occupational Therapy เขาจึงเรียกตัวเขาเองว่า นักกายภาพบำบัด และนักกิจกรรมบำบัด ฉะนั้น Doctor of chiropractic ... ก็ต้องเป็นเพียงนักไคโรแพรกติก ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ แพทย์{{cite journal}}: CS1 maint: date format (ลิงก์)
  6. 6.0 6.1 Mootz RD, Shekelle PG (1997). "Content of practice". ใน Cherkin DC, Mootz RD (บ.ก.). Chiropractic in the United States: Training, Practice, and Research. Rockville, MD: Agency for Health Care Policy and Research. pp. 67–91. OCLC 39856366. AHCPR Pub No. 98-N002.
  7. "The DC as PCP? Drug Wars Resume – Science-Based Medicine". sciencebasedmedicine.org. 18 ธันวาคม 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 ธันวาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2020.
  8. Bellamy, Jann (20 ธันวาคม 2018). "Legislative Alchemy 2018: Chiropractors rebranding as primary care physicians continues". sciencebasedmedicine.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ธันวาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2019.
  9. 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 9.13 9.14 9.15 9.16 9.17 9.18 9.19 9.20 Ernst E (พฤษภาคม 2008). "Chiropractic: a critical evaluation". Journal of Pain and Symptom Management. 35 (5): 544–62. doi:10.1016/j.jpainsymman.2007.07.004. PMID 18280103.
  10. 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 10.10 10.11 Cooper RA, McKee HJ (2003). "Chiropractic in the United States: trends and issues". Milbank Quarterly. 81 (1): 107–38, table of contents. doi:10.1111/1468-0009.00040. PMC 2690192. PMID 12669653.
  11. 11.0 11.1 Posadzki P, Ernst E (2011). "Spinal manipulation: an update of a systematic review of systematic reviews". The New Zealand Medical Journal. 124 (1340): 55–71. PMID 21952385.
  12. 12.0 12.1 Lin CW, Haas M, Maher CG, Machado LA, van Tulder MW (2011). "Cost-effectiveness of guideline-endorsed treatments for low back pain: a systematic review". European Spine Journal. 20 (7): 1024–1038. doi:10.1007/s00586-010-1676-3. PMC 3176706. PMID 21229367.
  13. 13.0 13.1 Ernst, E. (2009). "Chiropractic maintenance treatment, a useful preventative approach?". Preventive Medicine. 49 (2–3): 99–100. doi:10.1016/j.ypmed.2009.05.004. PMID 19465044.
  14. 14.0 14.1 14.2 14.3 14.4 Gouveia LO, Castanho P, Ferreira JJ (2009). "Safety of chiropractic interventions: a systematic review" (PDF). Spine. 34 (11): E405–E413. doi:10.1097/BRS.0b013e3181a16d63. PMID 19444054. S2CID 21279308. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-09-19. สืบค้นเมื่อ 2022-11-11.
  15. Chu, Eric Chun-Pu; Trager, Robert J.; Lee, Linda Yin-King; Niazi, Imran Khan (2023-01-23). "A retrospective analysis of the incidence of severe adverse events among recipients of chiropractic spinal manipulative therapy". Scientific Reports (ภาษาอังกฤษ). 13 (1): 1254. doi:10.1038/s41598-023-28520-4. ISSN 2045-2322.
  16. 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 Ernst E (2007). "Adverse effects of spinal manipulation: a systematic review". Journal of the Royal Society of Medicine. 100 (7): 330–338. doi:10.1177/014107680710000716. PMC 1905885. PMID 17606755. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤษภาคม 2010.
    Christian Nordqvist (2 กรกฎาคม 2007). "Spinal Manipulation Should Not Be Routinely Used, New Study Warns". Med News Today.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 Haynes MJ, Vincent K, Fischhoff C, Bremner AP, Lanlo O, Hankey GJ (2012). "Assessing the risk of stroke from neck manipulation: a systematic review". International Journal of Clinical Practice. 66 (10): 940–947. doi:10.1111/j.1742-1241.2012.03004.x. PMC 3506737. PMID 22994328.
  18. 18.0 18.1 Ernst E (2010). "Vascular accidents after neck manipulation: cause or coincidence?". International Journal of Clinical Practice. 64 (6): 673–677. doi:10.1111/j.1742-1241.2009.02237.x. PMID 20518945. S2CID 38571730.
  19. 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 19.5 19.6 19.7 Ernst E (2010). "Deaths after chiropractic: a review of published cases". International Journal of Clinical Practice. 64 (8): 1162–1165. doi:10.1111/j.1742-1241.2010.02352.x. PMID 20642715. S2CID 45225661.
  20. 20.0 20.1 Tetrault M (2004). "Global professional strategy for chiropractic" (PDF). Chiropractic Diplomatic Corps. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 มิถุนายน 2008. สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2008.
  21. 21.0 21.1 21.2 Norris P (2001). "How 'we' are different from 'them': occupational boundary maintenance in the treatment of musculo-skeletal problems". Sociology of Health and Illness. 23 (1): 24–43. doi:10.1111/1467-9566.00239.
  22. 22.0 22.1 22.2 Hurwitz EL, Chiang LM (2006). "A comparative analysis of chiropractic and general practitioner patients in North America: findings from the joint Canada/United States Survey of Health, 2002-03". BMC Health Services Research. 6: 49. doi:10.1186/1472-6963-6-49. PMC 1458338. PMID 16600038.
  23. 23.00 23.01 23.02 23.03 23.04 23.05 23.06 23.07 23.08 23.09 Kaptchuk TJ, Eisenberg DM (พฤศจิกายน 1998). "Chiropractic: origins, controversies, and contributions". Archives of Internal Medicine. 158 (20): 2215–2224. doi:10.1001/archinte.158.20.2215. PMID 9818801.
  24. 24.00 24.01 24.02 24.03 24.04 24.05 24.06 24.07 24.08 24.09 24.10 Martin SC (ตุลาคม 1993). "Chiropractic and the social context of medical technology, 1895-1925". Technology and Culture. 34 (4): 808–834. doi:10.2307/3106416. JSTOR 3106416. PMID 11623404.
  25. 25.0 25.1 25.2 "D.D. Palmer's Religion of Chiropractic" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2022. I have received chiropractic from the other world, [...] – จดหมายจาก ดี. ดี. พาลเมอร์ ถึง พี. ดับเบิลยู. จอห์นสัน ที่วอชิงตัน ดี.ซี. วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1911 ในจดหมายเขามักเรียกตัวเองด้วยสรรพนามที่เจ้านายมักใช้ (royal we) แล้วก็คำว่า "Old Dad" (พ่อแก่)
  26. Lazarus, David (30 มิถุนายน 2017). "Column: Chiropractic treatment, a $15-billion industry, has its roots in a ghost story". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2019. Daniel David Palmer, the 'father' of chiropractic who performed the first chiropractic adjustment in 1895, was an avid spiritualist. He maintained that the notion and basic principles of chiropractic treatment were passed along to him during a seance by a long-dead doctor. 'The knowledge and philosophy given me by Dr. Jim Atkinson, an intelligent spiritual being ... appealed to my reason,' Palmer wrote in his memoir The Chiropractor, which was published in 1914 after his death in Los Angeles. Atkinson had died 50 years prior to Palmer's epiphany.
  27. 27.0 27.1 27.2 27.3 DeVocht JW (2006). "History and overview of theories and methods of chiropractic: a counterpoint". Clinical Orthopaedics and Related Research. 444: 243–249. doi:10.1097/01.blo.0000203460.89887.8d. PMID 16523145. S2CID 35775630.
  28. 28.0 28.1 Homola S (2006). "Chiropractic: history and overview of theories and methods". Clinical Orthopaedics and Related Research. 444: 236–242. doi:10.1097/01.blo.0000200258.95865.87. PMID 16446588.
  29. 29.0 29.1 29.2 Joseph C. Keating Jr.; Cleveland CS III; Menke M (2005). "Chiropractic history: a primer" (PDF). Association for the History of Chiropractic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 16 มิถุนายน 2008. A significant and continuing barrier to scientific progress within chiropractic are the anti-scientific and pseudo-scientific ideas (Keating 1997b) which have sustained the profession throughout a century of intense struggle with political medicine. Chiropractors' tendency to assert the meaningfulness of various theories and methods as a counterpoint to allopathic charges of quackery has created a defensiveness which can make critical examination of chiropractic concepts difficult (Keating and Mootz 1989). One example of this conundrum is the continuing controversy about the presumptive target of DCs' adjustive interventions: subluxation (Gatterman 1995; Leach 1994).
  30. 30.0 30.1 30.2 30.3 Busse JW, Morgan L, Campbell JB (2005). "Chiropractic antivaccination arguments". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 28 (5): 367–73. doi:10.1016/j.jmpt.2005.04.011. PMID 15965414.
  31. 31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 Campbell JB, Busse JW, Injeyan HS (2000). "Chiropractors and vaccination: a historical perspective". Pediatrics. 105 (4): e43. doi:10.1542/peds.105.4.e43. PMID 10742364.
  32. 32.0 32.1 Johnson C, Baird R, Dougherty PE, Globe G, Green BN, Haneline M, Hawk C, Injeyan HS, Killinger L, Kopansky-Giles D, Lisi AJ, Mior SA, Smith M (2008). "Chiropractic and public health: current state and future vision". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 31 (6): 397–410. doi:10.1016/j.jmpt.2008.07.001. PMID 18722194.
  33. WFC Public Health Committee; WFC Research Committee (17 มีนาคม 2020). COVID-19 Advice for Chiropractors (PDF) (Report). World Federation of Chiropractic. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 ตุลาคม 2022.
  34. Jones, Robert C.; และคณะ. "Not Business as Usual: A Safe, Responsible Response to COVID-19". American Chiropractic Association.
  35. Smith, Michelle R.; Bauer, Scott; Catalani, Mike (8 ตุลาคม 2021). "Anti-vaccine chiropractors rising force of misinformation". แอสโซซิเอเต็ดเพรส. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 กันยายน 2022.
  36. 36.0 36.1 36.2 36.3 36.4 36.5 Keating JC Jr (2005). "Philosophy in chiropractic". ใน Haldeman S, Dagenais S, Budgell B, และคณะ (บ.ก.). Principles and Practice of Chiropractic (3rd ed.). McGraw-Hill. pp. 77–98. ISBN 978-0-07-137534-4.
  37. 37.0 37.1 37.2 Mootz RD, Phillips RB (1997). "Chiropractic belief systems". ใน Cherkin DC, Mootz RD (บ.ก.). Chiropractic in the United States: Training, Practice, and Research. Rockville, MD: Agency for Health Care Policy and Research. pp. 9–16. OCLC 39856366. AHCPR Pub No. 98-N002.
  38. 38.0 38.1 38.2 38.3 38.4 38.5 Murphy DR, Schneider MJ, Seaman DR, Perle SM, Nelson CF (สิงหาคม 2008). "How can chiropractic become a respected mainstream profession? The example of podiatry" (PDF). Chiropractic & Osteopathy. 16: 10. doi:10.1186/1746-1340-16-10. PMC 2538524. PMID 18759966. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 มีนาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2008.
  39. Gay RE, Nelson CF (2003). "Chiropractic philosophy". ใน Wainapel SF, Fast A (บ.ก.). Alternative Medicine and Rehabilitation: a Guide for Practitioners. นิวยอร์ก: Demos Medical Publishing. ISBN 978-1-888799-66-8.
  40. "Chiropractic". NHS Choices. 20 สิงหาคม 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 กันยายน 2016. สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2016.
  41. Freeman J (กุมภาพันธ์ 2005). "Towards a definition of holism". The British Journal of General Practice. 55 (511): 154–155. PMC 1463203. PMID 15720949.
  42. Martin Gardner (1 มิถุนายน 1957). Fads and Fallacies in the Name of Science. Courier Corporation. pp. 227–. ISBN 978-0-486-20394-2.
  43. 43.0 43.1 Raso J (1997). "Naprapathy". Dictionary of Metaphysical Healthcare – Glossary. Quackwatch. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2016.
  44. 44.00 44.01 44.02 44.03 44.04 44.05 44.06 44.07 44.08 44.09 44.10 44.11 44.12 44.13 44.14 Keating, Cleveland & Menke 2005
  45. 45.0 45.1 45.2 McDonald WP, Durkin KF, Pfefer M, และคณะ (2003). How Chiropractors Think and Practice: The Survey of North American Chiropractors. Ada, OH: Institute for Social Research, Ohio Northern University. ISBN 978-0-9728055-5-1.
  46. 46.0 46.1 Smith M, Carber LA (2008). "Survey of US Chiropractor Attitudes and Behaviors about Subluxation" (PDF). Journal of Chiropractic Humanities. 15: 19–26. doi:10.1016/s1556-3499(13)60166-7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 เมษายน 2012.
  47. Benedetti & MacPhail 2002, p. 18.
  48. "Definition of Subluxation". Merriam-Webster. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2022. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2018.
  49. Harper, Douglas. "luxation (n.)". Online Etymology Dictionary. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤษภาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2021.
  50. 50.0 50.1 50.2 Joseph C. Keating Jr. (18 กุมภาพันธ์ 1995). "D. D. Palmer's forgotten theories of chiropractic" (PDF). Association for the History of Chiropractic. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2022. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2008.
  51. Joseph C. Keating Jr. (2005). "A brief history of the chiropractic profession". ใน Haldeman S, Dagenais S, Budgell B, และคณะ (บ.ก.). Principles and Practice of Chiropractic (3rd ed.). McGraw-Hill. pp. 23–64. ISBN 978-0-07-137534-4.
  52. 52.0 52.1 Palmer DD (1910). The Chiropractor's Adjuster: Text-book of the Science, Art and Philosophy of Chiropractic for Students and Practitioners. Portland, OR: Portland Printing House Co. OCLC 17205743. A subluxated vertebra ... is the cause of 95 percent of all diseases ... The other five percent is caused by displaced joints other than those of the vertebral column.
  53. 53.0 53.1 53.2 Keating JC, Charlton KH, Grod JP, Perle SM, Sikorski D, Winterstein JF (สิงหาคม 2005). "Subluxation: dogma or science?". Chiropractic & Osteopathy. 13: 17. doi:10.1186/1746-1340-13-17. PMC 1208927. PMID 16092955.
  54. Rose KA, Adams A (2000). "A survey of the use of evidence-based health care in chiropractic college clinics" (PDF). Journal of Chiropractic Education. 14 (2): 71–77. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 ตุลาคม 2008.
  55. Homola S (2006). "Can chiropractors and evidence-based manual therapists work together? an opinion from a veteran chiropractor" (PDF). Journal of Manual & Manipulative Therapy. 14 (2): E14–18. CiteSeerX 10.1.1.366.2817. doi:10.1179/jmt.2006.14.2.14E. S2CID 71826135. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-06-25. สืบค้นเมื่อ 2022-11-17.
  56. 56.00 56.01 56.02 56.03 56.04 56.05 56.06 56.07 56.08 56.09 องค์การอนามัยโลก (2005). WHO guidelines on basic training and safety in chiropractic (PDF). ISBN 978-92-4-159371-7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 13 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2008.
  57. Jenkins, HJ (5 ตุลาคม 2016). "Awareness of radiographic guidelines for low back pain: a survey of Australian chiropractors". Chiropractic & Manual Therapies. 24: 39. doi:10.1186/s12998-016-0118-7. PMC 5051064. PMID 27713818.
  58. 58.0 58.1 58.2 Ammendolia C, Taylor JA, Pennick V, Côté P, Hogg-Johnson S, Bombardier C (2008). "Adherence to radiography guidelines for low back pain: A survey of chiropractic schools worldwide". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 31 (6): 412–418. doi:10.1016/j.jmpt.2008.06.010. PMID 18722195.
  59. 59.0 59.1 59.2 59.3 Singh, S; Ernst, E (2008). "The truth about chiropractic therapy". Trick or Treatment: The Undeniable Facts about Alternative Medicine. W.W. Norton. pp. 145–90. ISBN 978-0-393-06661-6.
  60. David Chapman-Smith (2000). "Principles and Goals of Chiropractic Care". The Chiropractic Profession: Its Education, Practice, Research and Future Directions. NCMIC Group. p. 160. ISBN 978-1-892734-02-0.
  61. "Guidance on claims made for the chiropractic vertebral subluxation complex" (PDF). General Chiropractic Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 เมษายน 2011. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2010.
  62. NBCE (2014), About Chiropractic, National Board of Chiropractic Examiners, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มิถุนายน 2015, สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2015
  63. 63.0 63.1 63.2 63.3 Hall, Harriet (1 มิถุนายน 2017). "Chiropractors: Pro and Con". Skeptical Inquirer. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 สิงหาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2021.
  64. Benedetti & MacPhail 2002, p. 198.
  65. "Chirobase". Quackwatch. 7 พฤษภาคม 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2021.
  66. 66.0 66.1 66.2 Villanueva-Russell Y (มิถุนายน 2011). "Caught in the crosshairs: identity and cultural authority within chiropractic". Social Science & Medicine. 72 (11): 1826–37. doi:10.1016/j.socscimed.2011.03.038. PMID 21531061.
  67. 67.0 67.1 67.2 Meeker WC, Haldeman S (2002). "Chiropractic: a profession at the crossroads of mainstream and alternative medicine". Annals of Internal Medicine. 136 (3): 216–27. CiteSeerX 10.1.1.694.4126. doi:10.7326/0003-4819-136-3-200202050-00010. PMID 11827498. S2CID 16782086.
  68. Gleberzon BJ, Cooperstein R, Perle SM (2005). "Can chiropractic survive its chimerical nature?". The Journal of the Canadian Chiropractic Association. 49 (2): 69–73. PMC 1840015. PMID 17549192.
  69. Redwood D, Hawk C, Cambron J, Vinjamury SP, Bedard J (2008). "Do chiropractors identify with complementary and alternative medicine? results of a survey". The Journal of Alternative and Complementary Medicine. 14 (4): 361–368. doi:10.1089/acm.2007.0766. PMID 18435599.
  70. Bellamy, Jann J (2010). "Legislative alchemy: the US state chiropractic practice acts". Focus on Alternative and Complementary Therapies. 15 (3): 214–22. doi:10.1111/j.2042-7166.2010.01032.x.
  71. Jones-Harris, Amanda R (ตุลาคม 2010). "Are chiropractors in the uk primary healthcare or primary contact practitioners?: a mixed methods study". Chiropractic & Osteopathy. 18 (28): 28. doi:10.1186/1746-1340-18-28. PMC 3161390. PMID 20979615.
  72. Theberge N (มกราคม 2008). "The integration of chiropractors into healthcare teams: a case study from sport medicine". Sociology of Health & Illness. 30 (1): 19–34. doi:10.1111/j.1467-9566.2007.01026.x. PMID 18254831.
  73. 73.0 73.1 Pettman E (2007). "A history of manipulative therapy". Journal of Manual & Manipulative Therapy. 15 (3): 165–74. doi:10.1179/106698107790819873. PMC 2565620. PMID 19066664.
  74. Baer HA (2006). "The drive for legitimization by osteopathy and chiropractic in Australia: between heterodoxy and orthodoxy". Complementary Health Practice Review. 11 (2): 77–94. doi:10.1177/1533210106292467.
  75. 75.0 75.1 Parkman CA (2004). "Issues in credentialing CAM providers". The Case Manager. 15 (4): 24–27. doi:10.1016/j.casemgr.2004.05.004. PMID 15247891.
  76. "Chiropractic Board". New Mexico Regulation and Licensing Department. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 พฤษภาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2022.
  77. 2010 APC Formulary (PDF) (Report). New Mexico Board of Chiropractic Examiners. 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2022.
  78. 78.0 78.1 78.2 Morrison P (2009). "Adjusting the role of chiropractors in the United States: why narrowing chiropractor scope of practice statutes will protect patients". Health Matrix. 19 (2): 493–537. PMID 19715143.
  79. Wangler M, Zaugg B, Faigaux E (2010). "Medication Prescription: A Pilot Survey of Bernese Doctors of Chiropractic Practicing in Switzerland". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 33 (3): 231–37. doi:10.1016/j.jmpt.2010.01.013. PMID 20350678.
  80. "Scope of Practice: Complementary and alternative veterinary medicine (CAVM) and other practice act exemptions". American Veterinary Medical Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2016.
  81. ACA House of Delegates (1994). "'Veterinary' chiropractic". American Chiropractic Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2008.
  82. Kamen, Daniel (18 มิถุนายน 2001). "Politics and technique". Dynamic Chiropractic. Vol. 19 no. 13. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2022.
  83. 83.0 83.1 83.2 Villanueva-Russell Y (2005). "Evidence-based medicine and its implications for the profession of chiropractic". Social Science & Medicine. 60 (3): 545–561. doi:10.1016/j.socscimed.2004.05.017. PMID 15550303.
  84. Anderson, Chantal (22 มกราคม 2009). "Physical therapists, chiropractors square off over bill". The Seattle Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กันยายน 2010. สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2010.
  85. Hilliard JW, Johnson ME (2004). "State practice acts of licensed health professions: scope of practice". DePaul Journal of Health Care Law. 8 (1): 237–261. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2022.
  86. 86.0 86.1 86.2 Christensen MG, Kollasch MW (2005). "Professional functions and treatment procedures" (PDF). Job Analysis of Chiropractic (PDF). Greeley, CO: National Board of Chiropractic Examiners. pp. 121–138. ISBN 978-1-884457-05-0. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 10 กันยายน 2008. สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2008.
  87. 87.0 87.1 87.2 Winkler K, Hegetschweiler-Goertz C, Jackson PS, และคณะ (2003). "Spinal manipulation policy statement" (PDF). American Chiropractic Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 20 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2008.
  88. 88.0 88.1 Pickar JG, Sung PS, Kang YM, Ge W (2007). "Response of lumbar paraspinal muscles spindles is greater to spinal manipulative loading compared with slower loading under length control". The Spine Journal. 7 (5): 583–595. doi:10.1016/j.spinee.2006.10.006. PMC 2075482. PMID 17905321.
  89. Cooperstein R, Gleberzon BJ (2004). Technique Systems in Chiropractic. Churchill Livingstone. ISBN 978-0-443-07413-4.[ต้องการเลขหน้า]
  90. Harrison DD, Janik TJ, Harrison GR, Troyanovich S, Harrison DE, Harrison SO (1996). "Chiropractic biophysics technique: a linear algebra approach to posture in chiropractic". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 19 (8): 525–535. PMID 8902664.
  91. 91.0 91.1 "Provider Manual for Chiropractic Services" (PDF). North Dakota Department of Human Services. State of North Dakota. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2016.
  92. NHS Leeds West CCG Assurance Committee (2 มกราคม 2014). "Complementary and Alternative Therapies Evidence Based Decision Making Framework" (PDF). leedswestccg.nhs.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2015.
  93. "Chiropractic Services - Policy", Aetna, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มีนาคม 2016, สืบค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2016
  94. "Chiropractic Policy" (PDF). Oklahoma State University Health Plan. 1 เมษายน 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 มกราคม 2017. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2016.
  95. Dagenais S, Mayer J, Wooley JR, Haldeman S (2008). "Evidence-informed management of chronic low back pain with medicine-assisted manipulation". The Spine Journal. 8 (1): 142–149. doi:10.1016/j.spinee.2007.09.010. PMID 18164462.
  96. 96.0 96.1 Ailliet L, Rubinstein SM, de Vet HC (ตุลาคม 2010). "Characteristics of chiropractors and their patients in Belgium". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 33 (8): 618–625. doi:10.1016/j.jmpt.2010.08.011. PMID 21036284.
  97. Ndetan HT, Rupert RL, Bae S, Singh KP (กุมภาพันธ์ 2009). "Prevalence of musculoskeletal injuries sustained by students while attending a chiropractic college". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 32 (2): 140–148. doi:10.1016/j.jmpt.2008.12.012. PMID 19243726.
  98. Keating JC (1997). "Chiropractic: science and antiscience and pseudoscience side by side". Skeptical Inquirer. 21 (4): 37–43.
  99. Phillips RB (2005). "The evolution of vitalism and materialism and its impact on philosophy". ใน Haldeman S, Dagenais S, Budgell B, และคณะ (บ.ก.). Principles and Practice of Chiropractic (3rd ed.). McGraw-Hill. pp. 65–76. ISBN 978-0-07-137534-4.
  100. Reggars JW (2011). "Chiropractic at the crossroads or are we just going around in circles?". Chiropractic & Manual Therapies. 19: 11. doi:10.1186/2045-709X-19-11. PMC 3119029. PMID 21599991.
  101. Suter E, Vanderheyden LC, Trojan LS, Verhoef MJ, Armitage GD (กุมภาพันธ์ 2007). "How important is research-based practice to chiropractors and massage therapists?". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 30 (2): 109–15. doi:10.1016/j.jmpt.2006.12.013. PMID 17320731.
  102. Murphy AY, van Teijlingen ER, Gobbi MO (กันยายน 2006). "Inconsistent grading of evidence across countries: a review of low back pain guidelines". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 29 (7): 576–581, 581.e1–2. doi:10.1016/j.jmpt.2006.07.005. PMID 16949948.
  103. "Back treatment 'has few benefits'". BBC News. 22 มีนาคม 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ธันวาคม 2022.
  104. Ernst E, Canter PH (เมษายน 2006). "A systematic review of systematic reviews of spinal manipulation". Journal of the Royal Society of Medicine. 99 (4): 192–96. doi:10.1177/014107680609900418. PMC 1420782. PMID 16574972.
  105. Johnston BC, da Costa BR, Devereaux PJ, Akl EA, Busse JW (เมษายน 2008). "The use of expertise-based randomized controlled trials to assess spinal manipulation and acupuncture for low back pain: a systematic review". Spine. 33 (8): 914–918. doi:10.1097/BRS.0b013e31816b4be4. PMID 18404113. S2CID 28092478.
  106. Khorsan R, Coulter ID, Hawk C, Choate CG (มิถุนายน 2008). "Measures in chiropractic research: choosing patient-based outcome assessments". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 31 (5): 355–375. doi:10.1016/j.jmpt.2008.04.007. PMID 18558278.
  107. Kaptchuk TJ (มิถุนายน 2002). "The placebo effect in alternative medicine: can the performance of a healing ritual have clinical significance?". Annals of Internal Medicine. 136 (11): 817–825. CiteSeerX 10.1.1.694.4848. doi:10.7326/0003-4819-136-11-200206040-00011. PMID 12044130. S2CID 207535762.
  108. Hancock MJ, Maher CG, Latimer J, McAuley JH (2006). "Selecting an appropriate placebo for a trial of spinal manipulative therapy". Australian Journal of Physiotherapy. 52 (2): 135–138. doi:10.1016/S0004-9514(06)70049-6. PMID 16764551.
  109. 109.0 109.1 Leboeuf-Yde C, Hestbaek L (2008). "Maintenance care in chiropractic – what do we know?". Chiropractic & Osteopathy. 16: 3. doi:10.1186/1746-1340-16-3. PMC 2396648. PMID 18466623.
  110. 110.0 110.1 Rubinstein SM, Terwee CB, Assendelft WJ, de Boer MR, van Tulder MW (กุมภาพันธ์ 2013). "Spinal manipulative therapy for acute low back pain: an update of the cochrane review". Spine (การปริทัศน์เป็นระบบ). 38 (3): E158–177. doi:10.1097/BRS.0b013e31827dd89d. hdl:2066/109576. PMID 23169072. S2CID 28795577.
  111. Posadzki P (2012). "Is spinal manipulation effective for pain? An overview of systematic reviews". Pain Medicine. 13 (6): 754–61. doi:10.1111/j.1526-4637.2012.01397.x. PMID 22621391.
  112. Rubinstein SM, van Middelkoop M, Assendelft WJ, de Boer MR, van Tulder MW (มิถุนายน 2011). "Spinal manipulative therapy for chronic low-back pain: an update of a Cochrane review". Spine (การปริทัศน์เป็นระบบ). 36 (13): E825–46. doi:10.1097/BRS.0b013e3182197fe1. hdl:1887/117578. PMID 21593658. S2CID 5061433.
  113. Walker BF, French SD, Grant W, Green S (2010). Walker BF (บ.ก.). "Combined chiropractic interventions for low-back pain". Cochrane Database of Systematic Reviews. 2010 (4): CD005427. doi:10.1002/14651858.CD005427.pub2. PMC 6984631. PMID 20393942.
  114. Dagenais S, Gay RE, Tricco AC, Freeman MD, Mayer JM (ตุลาคม 2010). "NASS Contemporary Concepts in Spine Care: spinal manipulation therapy for acute low back pain". The Spine Journal. 10 (10): 918–940. doi:10.1016/j.spinee.2010.07.389. PMID 20869008.
  115. Lewis RA, Williams NH, Sutton AJ, Burton K, Din NU, Matar HE, Hendry M, Phillips CJ, Nafees S, Fitzsimmons D, Rickard I, Wilkinson C (2013). "Comparative clinical effectiveness of management strategies for sciatica: systematic review and network meta-analyses" (PDF). The Spine Journal. 15 (6): 1461–1477. doi:10.1016/j.spinee.2013.08.049. PMID 24412033.
  116. 116.0 116.1 Leininger B, Bronfort G, Evans R, Reiter T (กุมภาพันธ์ 2011). "Spinal manipulation or mobilization for radiculopathy: a systematic review". Physical Medicine and Rehabilitation Clinics of North America. 22 (1): 105–125. doi:10.1016/j.pmr.2010.11.002. PMID 21292148.
  117. Hahne AJ, Ford JJ, McMeeken JM (พฤษภาคม 2010). "Conservative management of lumbar disc herniation with associated radiculopathy: a systematic review". Spine. 35 (11): E488–504. doi:10.1097/BRS.0b013e3181cc3f56. PMID 20421859. S2CID 19121111.
  118. Vernon H, Humphreys BK (2007). "Manual therapy for neck pain: an overview of randomized clinical trials and systematic reviews" (PDF). Europa Medicophysica. 43 (1): 91–118. PMID 17369783.
  119. Schroeder J, Kaplan L, Fischer DJ, Skelly AC (2013). "The Outcomes of Manipulation or Mobilization Therapy Compared with Physical Therapy or Exercise for Neck Pain: A Systematic Review". Evidence-Based Spine-Care Journal. 4 (1): 30–41. doi:10.1055/s-0033-1341605. PMC 3699243. PMID 24436697.
  120. Huisman PA, Speksnijder CM, de Wijer A (มกราคม 2013). "The effect of thoracic spine manipulation on pain and disability in patients with non-specific neck pain: a systematic review". Disability and Rehabilitation. 35 (20): 1677–1685. doi:10.3109/09638288.2012.750689. PMID 23339721. S2CID 12159586.
  121. Cross KM, Kuenze C, Grindstaff TL, Hertel J (กันยายน 2011). "Thoracic spine thrust manipulation improves pain, range of motion, and self-reported function in patients with mechanical neck pain: a systematic review". Journal of Orthopaedic & Sports Physical Therapy. 41 (9): 633–42. doi:10.2519/jospt.2011.3670. PMID 21885904.
  122. Gross A, Miller J, D'Sylva J, Burnie SJ, Goldsmith CH, Graham N, Haines T, Brønfort G, Hoving JL (สิงหาคม 2010). "Manipulation or mobilisation for neck pain: a Cochrane Review". Manual Therapy. 15 (4): 315–333. doi:10.1016/j.math.2010.04.002. PMID 20510644.
  123. Shaw L, Descarreaux M, Bryans R, Duranleau M, Marcoux H, Potter B, Ruegg R, Watkin R, White E (2010). "A systematic review of chiropractic management of adults with Whiplash-Associated Disorders: recommendations for advancing evidence-based practice and research". Work. 35 (3): 369–394. doi:10.3233/WOR-2010-0996. PMID 20364057.
  124. Chaibi A, Tuchin PJ, Russell MB (เมษายน 2011). "Manual therapies for migraine: a systematic review". The Journal of Headache and Pain. 12 (2): 127–33. doi:10.1007/s10194-011-0296-6. PMC 3072494. PMID 21298314.
  125. Posadzki P, Ernst E (มิถุนายน 2011). "Spinal manipulations for the treatment of migraine: a systematic review of randomized clinical trials". Cephalalgia. 31 (8): 964–970. doi:10.1177/0333102411405226. PMID 21511952. S2CID 31205541.
  126. Fernández-de-Las-Peñas C, Alonso-Blanco C, Cuadrado ML, Miangolarra JC, Barriga FJ, Pareja JA (2006). "Are manual therapies effective in reducing pain from tension-type headache?: a systematic review". The Clinical Journal of Pain. 22 (3): 278–285. doi:10.1097/01.ajp.0000173017.64741.86. PMID 16514329. S2CID 23367185.
  127. Biondi DM (มิถุนายน 2005). "Physical treatments for headache: a structured review". Headache. 45 (6): 738–746. doi:10.1111/j.1526-4610.2005.05141.x. PMID 15953306. S2CID 42640492.
  128. Jansen MJ, Viechtbauer W, Lenssen AF, Hendriks EJ, de Bie RA (2011). "Strength training alone, exercise therapy alone, and exercise therapy with passive manual mobilisation each reduce pain and disability in people with knee osteoarthritis: a systematic review". Journal of Physiotherapy. 57 (1): 11–20. doi:10.1016/S1836-9553(11)70002-9. PMID 21402325.
  129. French HP, Brennan A, White B, Cusack T (เมษายน 2011). "Manual therapy for osteoarthritis of the hip or knee - a systematic review". Manual Therapy. 16 (2): 109–117. doi:10.1016/j.math.2010.10.011. PMID 21146444.
  130. McHardy A, Hoskins W, Pollard H, Onley R, Windsham R (กุมภาพันธ์ 2008). "Chiropractic treatment of upper extremity conditions: a systematic review". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 31 (2): 146–59. doi:10.1016/j.jmpt.2007.12.004. PMID 18328941.
  131. Pribicevic M, Pollard H, Bonello R, de Luca K (2010). "A systematic review of manipulative therapy for the treatment of shoulder pain". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 33 (9): 679–689. doi:10.1016/j.jmpt.2010.08.019. PMID 21109059.
  132. Brantingham, James W.; Bonnefin, Debra; Perle, Stephen M.; Cassa, Tammy Kay; Globe, Gary; Pribicevic, Mario; Hicks, Marian; Korporaal, Charmaine (2012). "Manipulative Therapy for Lower Extremity Conditions: Update of a Literature Review". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 35 (2): 127–166. doi:10.1016/j.jmpt.2012.01.001. PMID 22325966.
  133. Mangum K, Partna L, Vavrek D (2012). "Spinal manipulation for the treatment of hypertension: a systematic qualitative literature review". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 35 (3): 235–243. doi:10.1016/j.jmpt.2012.01.005. PMID 22341795.
  134. Lystad RP, Bell G, Bonnevie-Svendsen M, Carter CV (2011). "Manual therapy with and without vestibular rehabilitation for cervicogenic dizziness: a systematic review". Chiropractic & Manual Therapies. 19 (1): 21. doi:10.1186/2045-709X-19-21. PMC 3182131. PMID 21923933.
  135. Everett CR, Patel RK (กันยายน 2007). "A systematic literature review of nonsurgical treatment in adult scoliosis". Spine. 32 (19 Suppl): S130–134. doi:10.1097/BRS.0b013e318134ea88. PMID 17728680. S2CID 9339782.
  136. Romano M, Negrini S (2008). "Manual therapy as a conservative treatment for adolescent idiopathic scoliosis: a systematic review". Scoliosis. 3: 2. doi:10.1186/1748-7161-3-2. PMC 2262872. PMID 18211702.
  137. Hawk C, Khorsan R, Lisi AJ, Ferrance RJ, Evans MW (มิถุนายน 2007). "Chiropractic care for nonmusculoskeletal conditions: a systematic review with implications for whole systems research". The Journal of Alternative and Complementary Medicine. 13 (5): 491–512. doi:10.1089/acm.2007.7088. PMID 17604553.
  138. Ernst E (ธันวาคม 2009). "Spinal manipulation for asthma: a systematic review of randomised clinical trials". Respiratory Medicine. 103 (12): 1791–1795. doi:10.1016/j.rmed.2009.06.017. PMID 19646855.
  139. Hondras MA, Linde K, Jones AP (2005). "Manual therapy for asthma". Cochrane Database of Systematic Reviews (2): CD001002. doi:10.1002/14651858.CD001002.pub2. PMID 15846609.
  140. 140.0 140.1 Gotlib A, Rupert R (2008). "Chiropractic manipulation in pediatric health conditions--an updated systematic review". Chiropractic & Osteopathy. 16: 11. doi:10.1186/1746-1340-16-11. PMC 2553791. PMID 18789139.
  141. ปวดบิดในทารก:
  142. Huang, Tao; Shu, Xu; Huang, Yu Shan; Cheuk, Daniel KL; Huang, Tao (2011). "Complementary and miscellaneous interventions for nocturnal enuresis in children". Cochrane Database of Systematic Reviews (12): CD005230. doi:10.1002/14651858.CD005230.pub2. PMID 22161390.
  143. O'Connor D, Marshall S, Massy-Westropp N, Pitt V (2003). "Non-surgical treatment (other than steroid injection) for carpal tunnel syndrome". Cochrane Database of Systematic Reviews. 2003 (1): CD003219. doi:10.1002/14651858.CD003219. PMC 6486195. PMID 12535461.
  144. ไฟโบรไมอัลเจีย:
  145. Ernst E (2011). "Chiropractic treatment for gastrointestinal problems: A systematic review of clinical trials". Canadian Journal of Gastroenterology. 25 (1): 39–49. doi:10.1155/2011/910469. PMC 3027333. PMID 21258667.
  146. Brand PL, Engelbert RH, Helders PJ, Offringa M (2005). "Systematic review of the effects of therapy in infants with the KISS-syndrome (kinetic imbalance due to suboccipital strain)". Nederlands Tijdschrift voor Geneeskunde (ภาษาดัตช์). 149 (13): 703–707. PMID 15819137.
  147. Proctor ML, Hing W, Johnson TC, Murphy PA, Brown J (2006). "Spinal manipulation for primary and secondary dysmenorrhoea". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 3 (3): CD002119. doi:10.1002/14651858.CD002119.pub3. PMC 6718213. PMID 16855988.
  148. 148.0 148.1 Goto, Viviane; Frange, Cristina; Andersen, Monica L.; Júnior, José M. S.; Tufik, Sergio; Hachul, Helena (พฤษภาคม 2014). "Chiropractic intervention in the treatment of postmenopausal climacteric symptoms and insomnia: A review". Maturitas. 78 (1): 3–7. doi:10.1016/j.maturitas.2014.02.004. PMID 24656717.
  149. Liddle, Sarah D.; Pennick, Victoria (30 กันยายน 2015). "Interventions for preventing and treating low-back and pelvic pain during pregnancy". Cochrane Database of Systematic Reviews. 2015 (9): CD001139. doi:10.1002/14651858.CD001139.pub4. PMC 7053516. PMID 26422811.
  150. Camilleri M, Park SY, Scarpato E, Staiano A (2017). "Exploring hypotheses and rationale for causes of infantile colic". Neurogastroenterology & Motility (การปริทัศน์). 29 (2): e12943. doi:10.1111/nmo.12943. PMC 5276723. PMID 27647578.
  151. 151.0 151.1
  152. Thiel HW, Bolton JE, Docherty S, Portlock JC (2007). "Safety of chiropractic manipulation of the cervical spine: a prospective national survey". Spine. 32 (21): 2375–2378. doi:10.1097/BRS.0b013e3181557bb1. PMID 17906581. S2CID 42353750.
  153. Hurwitz EL, Morgenstern H, Vassilaki M, Chiang LM (กรกฎาคม 2005). "Frequency and clinical predictors of adverse reactions to chiropractic care in the UCLA neck pain study". Spine. 30 (13): 1477–1484. doi:10.1097/01.brs.0000167821.39373.c1. PMID 15990659. S2CID 45678522.
  154. "Safety and regulation of chiropractic". NHS Choices. 20 สิงหาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-09-16. สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2016.
  155. Vohra S, Johnston BC, Cramer K, Humphreys K (2007). "Adverse events associated with pediatric spinal manipulation: a systematic review". Pediatrics. 119 (1): e275–283. doi:10.1542/peds.2006-1392. PMID 17178922. S2CID 43683198.
  156. Ernst E, Posadzki P (2012). "Reporting of adverse effects in randomised clinical trials of chiropractic manipulations: a systematic review". The New Zealand Medical Journal. 125 (1353): 87–140. PMID 22522273.
  157. Gorrell LM, Engel RM, Brown B, Lystad RP (2016). "The reporting of adverse events following spinal manipulation in randomized clinical trials-a systematic review". The Spine Journal (Systematic Review). 16 (9): 1143–51. doi:10.1016/j.spinee.2016.05.018. PMID 27241208.
  158. Hebert JJ, Stomski NJ, French SD, Rubinstein SM (2013). "Serious Adverse Events and Spinal Manipulative Therapy of the Low Back Region: A Systematic Review of Cases". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 38 (9): 677–691. doi:10.1016/j.jmpt.2013.05.009. PMID 23787298.
  159. 159.0 159.1 Hurwitz EL, Carragee EJ, van der Velde G, Carroll LJ, Nordin M, Guzman J, Peloso PM, Holm LW, Côté P, Hogg-Johnson S, Cassidy JD, Haldeman S (2008). "Treatment of neck pain: noninvasive interventions: results of the Bone and Joint Decade 2000–2010 Task Force on Neck Pain and Its Associated Disorders". Spine. 33 (4 Suppl): S123–152. doi:10.1097/BRS.0b013e3181644b1d. PMID 18204386. S2CID 27261997.
  160. Paciaroni M, Bogousslavsky J (2009). "Cerebrovascular complications of neck manipulation". European Neurology. 61 (2): 112–118. doi:10.1159/000180314. PMID 19065058.
  161. Miley ML, Wellik KE, Wingerchuk DM, Demaerschalk BM (2008). "Does cervical manipulative therapy cause vertebral artery dissection and stroke?". The Neurologist. 14 (1): 66–73. doi:10.1097/NRL.0b013e318164e53d. PMID 18195663. S2CID 18062970.
  162. 162.0 162.1 Biller, J.; Sacco, R. L.; Albuquerque, F. C.; Demaerschalk, B. M.; Fayad, P.; Long, P. H.; Noorollah, L. D.; Panagos, P. D.; Schievink, W. I.; Schwartz, N. E.; Shuaib, A.; Thaler, D. E.; Tirschwell, D. L. (2014). "Cervical Arterial Dissections and Association With Cervical Manipulative Therapy: A Statement for Healthcare Professionals From the American Heart Association/American Stroke Association". Stroke. 45 (10): 3155–3174. doi:10.1161/STR.0000000000000016. PMID 25104849.
  163. Church, Ephraim W; Sieg, Emily P; Zalatimo, Omar; Hussain, Namath S; Glantz, Michael; Harbaugh, Robert E (2016). "Systematic Review and Meta-analysis of Chiropractic Care and Cervical Artery Dissection: No Evidence for Causation". Cureus. 8 (2): e498. doi:10.7759/cureus.498. PMC 4794386. PMID 27014532.
  164. Chung CL, Côté P, Stern P, L'espérance G (2014). "The Association Between Cervical Spine Manipulation and Carotid Artery Dissection: A Systematic Review of the Literature". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 38 (9): 672–676. doi:10.1016/j.jmpt.2013.09.005. PMID 24387889.
  165. Wynd S, Westaway M, Vohra S, Kawchuk G (2013). "The quality of reports on cervical arterial dissection following cervical spinal manipulation". PLOS ONE. 8 (3): e59170. Bibcode:2013PLoSO...859170W. doi:10.1371/journal.pone.0059170. PMC 3604043. PMID 23527121.
  166. Tuchin, P. (2014). "A systematic literature review of intracranial hypotension following chiropractic". International Journal of Clinical Practice. 68 (3): 396–402. doi:10.1111/ijcp.12247. PMID 24372942. S2CID 5315779.
  167. Yang, Hwan-Seo; Oh, Young-Min; Eun, Jong-Pil (2016). "Cervical Intradural Disc Herniation Causing Progressive Quadriparesis After Spinal Manipulation Therapy". Medicine. 95 (6): e2797. doi:10.1097/MD.0000000000002797. PMC 4753938. PMID 26871842.
  168. 168.0 168.1 Bussières AE, Taylor JA, Peterson C (2008). "Diagnostic imaging practice guidelines for musculoskeletal complaints in adults – an evidence-based approach – part 3: spinal disorders". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 31 (1): 33–88. doi:10.1016/j.jmpt.2007.11.003. PMID 18308153.
  169. Committee to Assess Health Risks from Exposure to Low Levels of Ionizing Radiation, Board on Radiation Effects Research, Division on Earth and Life Studies, NATIONAL RESEARCH COUNCIL OF THE NATIONAL ACADEMIES (2006). Health Risks from Exposure to Low Levels of Ionizing Radiation: BEIR VII Phase 2. วอชิงตัน ดี.ซี.: The National Academies Press. doi:10.17226/11340. ISBN 978-0-309-09156-5.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  170. 170.0 170.1 Ernst, E. (2011). "Response to critiques of deaths after chiropractic". International Journal of Clinical Practice. 65 (1): 106. doi:10.1111/j.1742-1241.2010.02568.x. S2CID 72845939.
  171. 171.0 171.1 Di Fabio, Richard P (1 มกราคม 1999). "Manipulation of the Cervical Spine: Risks and Benefits". Physical Therapy. doi:10.1093/ptj/79.1.50. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2021. Although the risk of injury associated with MCS appears to be small, this type of therapy has the potential to expose patients to vertebral artery damage that can be avoided with the use of mobilization (nonthrust passive movements). The literature does not demonstrate that the benefits of MCS outweigh the risks. Several recommendations for future studies and for the practice of MCS are discussed.
  172. Michaleff ZA, Lin CW, Maher CG, van Tulder MW (2012). "Spinal manipulation epidemiology: Systematic review of cost effectiveness studies". Journal of Electromyography and Kinesiology. 22 (5): 655–662. doi:10.1016/j.jelekin.2012.02.011. PMID 22429823.
  173. Canter PH, Coon JT, Ernst E (2006). "Cost-Effectiveness of Complementary Therapies in the United Kingdom – A Systematic Review†". Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine. 3 (4): 425–432. doi:10.1093/ecam/nel044. PMC 1697737. PMID 17173105. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 พฤษภาคม 2008.
  174. van der Roer N, Goossens ME, Evers SM, van Tulder MW (2005). "What is the most cost-effective treatment for patients with low back pain? a systematic review". Best Practice & Research Clinical Rheumatology. 19 (4): 671–684. doi:10.1016/j.berh.2005.03.007. PMID 15949783.
  175. Sarnat RL, Winterstein J, Cambron JA (พฤษภาคม 2007). "Clinical Utilization and Cost Outcomes From an Integrative Medicine Independent Physician Association: An Additional 3-Year Update". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 30 (4): 263–269. doi:10.1016/j.jmpt.2007.03.004. PMID 17509435.
  176. พิมสิริ วิเศษโอฬารนนท์ (21 กันยายน 2021). "๓.๒ ศาสตร์ไคโรแพรคติก". การประกอบโรคศิลปะ (Report). สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. p. 15. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 มกราคม 2023. สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2023.
  177. "Glossary". National Center for Education Statistics, U.S. Dept. of Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-04. สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2009.
  178. Marcus DM, McCullough L (2009). "An evaluation of the evidence in 'evidence-based' integrative medicine programs". Academic Medicine. 84 (9): 1229–1234. doi:10.1097/ACM.0b013e3181b185f4. PMID 19707062.
  179. Coulter I, Adams A, Coggan P, Wilkes M, Gonyea M (กันยายน 1998). "A comparative study of chiropractic and medical education". Alternative Therapies in Health and Medicine. 4 (5): 64–75. PMID 9737032.
  180. "Prospective students". Association of Chiropractic Colleges. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 สิงหาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 2 กรกฎาคม 2009.
  181. "Standards for Accreditation of Doctor of Chiropractic Programmes" (PDF). Canadian Federation of Chiropractic Regulatory and Educational Accrediting Boards. 26 พฤศจิกายน 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2014.
  182. 182.0 182.1 "CMCC Backgrounder 2015" (PDF). Canadian Memorial Chiropractic College. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2019. สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2019.
  183. 183.0 183.1 "Degree Authority in Ontario". Ontario Ministry of Training, Colleges and Universities. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 สิงหาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2010.
  184. "State chiropractic licensure". Life University. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 สิงหาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2009.
  185. "Becoming a chiropractor". Canadian Federation of Chiropractic Regulatory and Educational Accrediting Boards. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2009.
  186. Grod JP (2006). "Continuing health education in Canada". The Journal of the Canadian Chiropractic Association. 50 (1): 14–17. PMC 1839972. PMID 17549163.
  187. Stuber KJ, Grod JP, Smith DL, Powers P (2005). "An online survey of chiropractors' opinions of Continuing Education". Chiropractic & Osteopathy. 13 (1): 22. doi:10.1186/1746-1340-13-22. PMC 1282582. PMID 16242035.
  188. Coulter ID, Adams AH, Sandefur R (1997). "Chiropractic training" (PDF). ใน Cherkin DC, Mootz RD (บ.ก.). Chiropractic in the United States: Training, Practice, and Research (PDF). Rockville, MD: Agency for Health Care Policy and Research. pp. 17–28. OCLC 39856366. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มิถุนายน 2008. สืบค้นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2008. AHCPR Pub No. 98-N002.
  189. "The Council on Chiropractic Education (CCE)". The Council on Chiropractic Education. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2008.
  190. "The General Chiropractic Council". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023. สืบค้นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2020.
  191. "About Us". Councils on Chiropractic Education International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2010. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2010.
  192. "Accredited Doctor of Chiropractic programs". The Council on Chiropractic Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2008. สืบค้นเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2008.
  193. "Accreditation of educational programmes". Canadian Federation of Chiropractic Regulatory and Educational Accrediting Boards. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2009.
  194. "Program Accreditation Status". Council on Chiropractic Education Australasia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2011. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2010.
  195. "Institutions holding Accredited Status with the ECCE". European Council On Chiropractic Education. 1 พฤศจิกายน 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กรกฎาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2014.
  196. "Canadian Chiropractic Association FAQs". Canadian Chiropractic Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 สิงหาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2010.
  197. "Federation of Chiropractic Licensing Boards FAQ". Federation of Chiropractic Licensing Boards. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 มกราคม 2011. สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2010.
  198. 198.0 198.1 "Chiropractors". U.S. Bureau of Labor Statistics. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กันยายน 2008. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2008.
  199. "Canadian Chiropractic Association: Chiropractic in Canada". Canadian Chiropractic Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 พฤษภาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2010.
  200. Chapman-Smith D (2000). "Current status of the profession". The Chiropractic Profession: Its Education, Practice, Research and Future Directions. West Des Moines, IA: NCMIC. ISBN 978-1-892734-02-0.
  201. "กฎระเบียบ". สมาคมการแพทย์ทางเลือกไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2023.
  202. 202.0 202.1 Hester H, Cunliffe C, Hunnisett A (2013). "Stress in chiropractic education: a student survey of a five-year course". Journal of Chiropractic Education. 27 (2): 147–151. doi:10.7899/JCE-13-4. PMC 3791907. PMID 23957319.
  203. 203.0 203.1 Johnson C (ธันวาคม 2010). "Reflecting on 115 years: the chiropractic profession's philosophical path". Journal of Chiropractic Humanities. 17 (1): 1–5. doi:10.1016/j.echu.2010.11.001. PMC 3342796. PMID 22693471.
  204. Simpson JK, Losco B, Young KJ (2010). "Development of the murdoch chiropractic graduate pledge". Journal of Chiropractic Education. 24 (2): 175–186. doi:10.7899/1042-5055-24.2.175. PMC 2967342. PMID 21048880.
  205. "Code of Ethics". American Chiropractic Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2014.
  206. "ICA code of Ethics". International Chiropractor's Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 เมษายน 2014.
  207. English, Cynthia; Keating, Elizabeth (8 กันยายน 2015). "Majority in U.S. Say Chiropractic Works for Neck, Back Pain". Gallup, Inc. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2022. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2015.
  208. Weeks, William B; Goertz, Christine M; Meeker, William C; Marchiori, Dennis M (1 มกราคม 2015). "Public Perceptions of Doctors of Chiropractic: Results of a National Survey and Examination of Variation According to Respondents' Likelihood to Use Chiropractic, Experience With Chiropractic, and Chiropractic Supply in Local Health Care Markets". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 38 (8): 533–544. doi:10.1016/j.jmpt.2015.08.001. PMID 26362263.
  209. "A pivotal moment for free speech in Britain". เดอะการ์เดียน. 15 เมษายน 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023.
  210. "The BHA re-publishes Simon Singh's article on chiropractic therapy". British Humanist Association. 29 กรกฎาคม 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023. [...] joined many other organisations and public figures in signing a statement headed 'The law has no place in scientific disputes'
  211. Ernst E, Gilbey A (2010). "Chiropractic claims in the English-speaking world". The New Zealand Medical Journal. 123 (1312): 36–44. PMID 20389316.
  212. 212.0 212.1 Barrett, Stephen (2 มกราคม 2017). "Medicare Overpayments to Chiropractors Are Widespread". American Council on Science and Health. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023.
  213. 213.0 213.1 Laursen, Lucas. "The Great Beyond: Chiropractic group advises members to 'withdraw from the battleground'". Nature.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2009.
  214. Laursen, Lucas. "The Great Beyond: Complaints converge on chiropractors". Nature.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2009.
  215. "Unjust burdens of proof". Nature. 459 (7248): 751. มิถุนายน 2009. Bibcode:2009Natur.459Q.751.. doi:10.1038/459751a. PMID 19516290.
  216. Ghosh, Pallab (15 เมษายน 2010). "Case dropped against Simon Singh". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มกราคม 2023.
  217. Henderson, Mark (16 เมษายน 2010). "Science writer Simon Singh wins bitter libel battle". เดอะไทมส์. ลอนดอน. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มิถุนายน 2011.
  218. 218.0 218.1 218.2 Leach, Matthew J. (1 สิงหาคม 2013). "Profile of the complementary and alternative medicine workforce across Australia, New Zealand, Canada, United States and United Kingdom". Complementary Therapies in Medicine. 21 (4): 364–378. doi:10.1016/j.ctim.2013.04.004. ISSN 0965-2299. PMID 23876568.
  219. Xue CC, Zhang AL, Lin V, Myers R, Polus B, Story DF (2008). "Acupuncture, chiropractic and osteopathy use in Australia: a national population survey". BMC Public Health. 8: 105. doi:10.1186/1471-2458-8-105. PMC 2322980. PMID 18377663.
  220. 220.0 220.1 220.2 220.3 220.4 220.5 Adams, Jon; Lauche, Romy; Peng, Wenbo; Steel, Amie; Moore, Craig; Amorin-Woods, Lyndon G.; Sibbritt, David (2017). "A workforce survey of Australian chiropractic: the profile and practice features of a nationally representative sample of 2,005 chiropractors". BMC Complementary and Alternative Medicine. 17 (1): 14. doi:10.1186/s12906-016-1542-x. ISSN 1472-6882. PMC 5217252. PMID 28056964.สัญญาอนุญาต CC BY 4.0 บทความนี้รวมข้อความโดย Jon Adams, Romy Lauche, Wenbo Peng, Amie Steel, Craig Moore, Lyndon G. Amorin-Woods, และ David Sibbritt ซึ่งใช้ประโยชน์ได้ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY 4.0
  221. "Chiropractic treatment available on NHS in Cornwall". บีบีซี. 13 สิงหาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มกราคม 2023. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2013.
  222. Langworthy JM, Forrest L (2010). "Withdrawal rates as a consequence of disclosure of risk associated with manipulation of the cervical spine". Chiropractic & Osteopathy. 18: 27. doi:10.1186/1746-1340-18-27. PMC 3161389. PMID 20977721.
  223. 223.0 223.1 Lawrence DJ, Meeker WC (2007). "Chiropractic and CAM utilization: a descriptive review". Chiropractic & Osteopathy. 15: 2. doi:10.1186/1746-1340-15-2. PMC 1784103. PMID 17241465.
  224. Crownfield PW (12 มีนาคม 2007). "Chiropractic in Alberta: a model of consumer utilization and satisfaction". Dynamic Chiropractic. Vol. 25 no. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มกราคม 2023.
  225. 225.0 225.1 Kemper KJ, Vohra S, Walls R, the Task Force on Complementary and Alternative Medicine, the Provisional Section on Complementary, Holistic, and Integrative Medicine (ธันวาคม 2008). "American Academy of Pediatrics. The use of complementary and alternative medicine in pediatrics". Pediatrics. 122 (6): 1374–1386. doi:10.1542/peds.2008-2173. PMID 19047261.
  226. Cherkin, Daniel C.; Mootz, Robert D. (2010). "Chiropractic in the United States:Training, Practice, and Research". Chirobase. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 สิงหาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2010.
  227. Gaumer G (2006). "Factors associated with patient satisfaction with chiropractic care: survey and review of the literature". Journal of Manipulative and Physiological Therapeutics. 29 (6): 455–62. doi:10.1016/j.jmpt.2006.06.013. PMID 16904491.
  228. Tindle HA, Davis RB, Phillips RS, Eisenberg DM (2005). "Trends in use of complementary and alternative medicine by US adults: 1997-2002". Alternative Therapies in Health and Medicine. 11 (1): 42–49. PMID 15712765.
  229. Stanley, G. (10 กันยายน 2007). "The Sustainability of Chiropractic". Dynamic Chiropractic. Vol. 25 no. 19. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มกราคม 2023.
  230. Bailey, Eric J. (2002). African American Alternative Medicine: Using Alternative Medicine to Prevent and Control Chronic Diseases. Greenwood Publishing Group. pp. 26–. ISBN 978-0-89789-747-1.
  231. 231.0 231.1 Baer HA (1987). "Divergence and convergence in two systems of manual medicine: osteopathy and chiropractic in the United States". Medical Anthropology Quarterly. 1 (2): 176–193. doi:10.1525/maq.1987.1.2.02a00030.
  232. "chiropractic". Oxford English Dictionary. Oxford University Press. 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 3, 2013.
  233. "chiro-". Oxford English Dictionary. Oxford University Press. 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 12, 2014.
  234. Joseph C. Keating Jr. "Chronology of Alva Gregory, M.D., D.C." (PDF). Chiro.org. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 30 มกราคม 2023.
  235. Cherkin D (November 1989). "AMA policy on chiropractic". American Journal of Public Health. 79 (11): 1569–70. doi:10.2105/AJPH.79.11.1569-a. PMC 1349822. PMID 2817179.
  236. Wardle, Jon; Frawley, Jane; Steel, Amie; Sullivan, Elizabeth (2016). "Complementary medicine and childhood immunisation: A critical review". Vaccine. 34 (38): 4484–4500. doi:10.1016/j.vaccine.2016.07.026. PMID 27475472.
  237. Russell ML, Injeyan HS, Verhoef MJ, Eliasziw M (2004). "Beliefs and behaviours: understanding chiropractors and immunization". Vaccine. 23 (3): 372–379. doi:10.1016/j.vaccine.2004.05.027. PMID 15530683.
  238. Jones RB, Mormann DN, Durtsche TB (1989). "Fluoridation referendum in La Crosse, Wisconsin: contributing factors to success". American Journal of Public Health. 79 (10): 1405–1408. doi:10.2105/AJPH.79.10.1405. PMC 1350185. PMID 2782512.
  239. Jaroff, Leon (27 กุมภาพันธ์ 2002). "Back Off, Chiropractors!". ไทม์. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-02. สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2009.
  240. Gunther Brown, Candy (7 กรกฎาคม 2014). "Chiropractic: Is it Nature, Medicine or Religion?". HuffPost. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-02. สืบค้นเมื่อ 2023-02-03.

บรรณานุกรม[แก้]

อ่านเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]