ข้ามไปเนื้อหา

โปเกมอน เรด บลู และเยลโลว์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โปเกมอน เรด
โปเกมอน บลู
ผู้พัฒนาเกมฟรีก
ผู้จัดจำหน่ายนินเท็นโด
กำกับซาโตชิ ทาจิริ
อำนวยการผลิตชิเงรุ มิยาโมโตะ
ทาเคชิ คาวากุจิ
สึเนคาซึ อิชิฮาระ
ออกแบบ
ศิลปินเค็น ซุงิโมริ
เขียนบทซาโตชิ ทาจิริ
เรียวสุเกะ ทานิกูจิ
ฟุมิฮิโระ โนโนมุระ
ฮิโรยูกิ จินไน
แต่งเพลงจุนอิจิ มาสึดะ
ชุดโปเกมอน
เครื่องเล่นเกมบอย
วางจำหน่าย
  • พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรด และ กรีน
    • JP: 27 กุมภาพันธ์ 1996
  • พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ บลู
    • JP: 15 ตุลาคม 1996
    (โคโระโคโระคอมมิก)
    • JP: 10 ตุลาคม 1999
    (ปลีก)
  • โปเกมอน เรด และ บลู
    • NA: 28 กันยายน 1998
    • AU: 23 ตุลาคม 1998
    • EU: 5 ตุลาคม 1999
  • โปเกมอน เยลโลว์
    • JP: 12 กันยายน 1998
    • AU: 3 กันยายน 1999
    • NA: 19 ตุลาคม 1999
    • EU: 16 มิถุนายน 2000
แนววิดีโอเกมเล่นตามบทบาท
รูปแบบผู้เล่นคนเดียว, ผู้เล่นหลายคน

โปเกมอน เรด (อังกฤษ: Pokémon Red Version) และ โปเกมอน บลู (อังกฤษ: Pokémon Blue Version) เป็นวิดีโอเกมเล่นตามบทบาทพัฒนาโดยบริษัทเกมฟรีกและจำหน่ายโดยนินเท็นโดสำหรับเครื่องเล่นเกมบอย ถือเป็นภาคแรกของซีรีส์โปเกมอน โดยเปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นในชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรด[a] และ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ กรีน,[b] และตามมาด้วยภาคพิเศษ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ บลู[c] ในปีเดียวกัน เกมทั้งสองภาคออกจำหน่ายในต่างประเทศระหว่างปี 1998 และ 1999 ในชื่อโปเกมอน เรด และโปเกมอน บลู ขณะที่เวอร์ชันปรับปรุง โปเกมอน เยลโลว์ เวอร์ชัน: สเปเชียลพิคาชูเอดิชัน,[d][e] วางจำหน่ายในญี่ปุ่นปี 1998 และในภูมิภาคอื่นระหว่างปี 1999 ถึง 2000

ผู้เล่นจะบังคับตัวเอกจากมุมมองด้านบน มุ่งสำรวจภูมิภาคสมมติชื่อคันโต เพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของโปเกมอน เป้าหมายหลักคือการเป็นแชมป์ของอินดิโกลีก (Indigo League) ด้วยการเอาชนะหัวหน้ายิมทั้งแปด และเหล่าเทรนเนอร์โปเกมอนชั้นยอดที่เรียกว่าสี่จตุรเทพ (Elite Four) อีกหนึ่งเป้าหมายคือการเติมเต็มโปเกเดกซ์ หรือสารานุกรมโปเกมอนให้ครบทั้ง 151 ตัว เกมภาคเรดและบลูรองรับการใช้เกมลิงก์เคเบิลเชื่อมต่อเครื่องเกมบอยสองเครื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนหรือประลองโปเกมอนกัน ทั้งสองภาคมีเนื้อเรื่องเดียวกัน[1] และแม้จะเล่นแยกกันได้ แต่ผู้เล่นต้องแลกโปเกมอนระหว่างทั้งสองเวอร์ชันเพื่อให้ได้ครบ 151 ตัวแรก

ภาคเรดและบลู ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยนักวิจารณ์ยกย่องตัวเลือกการเล่นแบบผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะแนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอน ทั้งสองเกมได้รับคะแนนรวม 89% จากเกมแรงกิงส์ และถูกยกให้เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดตลอดกาล ติดอันดับในรายชื่อ "100 อันดับเกมตลอดกาล" ของไอจีเอ็น ต่อเนื่องอย่างน้อยสี่ปี เกมทั้งสองถือเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยมียอดขายรวมทั่วโลกมากกว่า 400 ล้านชุด ภาคเรดและบลู ถูกนำมาสร้างใหม่สำหรับเกมบอยอัดวานซ์ ในชื่อไฟร์เรด และลีฟกรีน (2004) ขณะที่ภาคเยลโลว์ ถูกสร้างใหม่สำหรับนินเท็นโด สวิตช์ ในชื่อเลตส์โก พิคาชู! และเลตส์โก อีวุย! (ปี 2018) ส่วนเกมต้นฉบับถูกนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งบนบริการเวอร์ชวลคอนโซล สำหรับนินเท็นโด 3ดีเอส ในปี 2016 เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปี

ระบบเกม

[แก้]
ฟุชิกิดาเนะ เลเวล 5 ของผู้เล่น (ล่าง) ต่อสู้กับฮิโตคาเงะ เลเวล 5 ของคู่แข่ง (บน)[2]

ภาคเรดและบลู ใช้มุมมองบุคคลที่สามจากด้านบน แบ่งการเล่นออกเป็น 3 หน้าจอหลัก ได้แก่ หน้าจอแผนที่ (Overworld) สำหรับบังคับตัวละครหลัก[3] ฉากต่อสู้แบบมองข้าง[4] และหน้าจอเมนู ซึ่งผู้เล่นสามารถตั้งค่าทีมโปเกมอน จัดการไอเทม หรือปรับการตั้งค่าการเล่นเกมได้[5]

ผู้เล่นสามารถใช้โปเกมอนของตนต่อสู้กับโปเกมอนตัวอื่นได้ เมื่อพบโปเกมอนป่าหรือถูกเทรนเนอร์ท้าสู้ หน้าจอจะเปลี่ยนไปเป็นหน้าจอต่อสู้แบบเทิร์นเบส ซึ่งจะแสดงโปเกมอนของทั้งสองฝ่าย ระหว่างการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ท่าการโจมตีสูงสุด 4 ท่า ใช้ไอเทม เปลี่ยนโปเกมอนที่อยู่ในสนาม หรือพยายามหนี (แต่การหนีจะทำไม่ได้ในแมตช์กับเทรนเนอร์) โปเกมอนมีค่าฮิตพอยต์ (HP) เมื่อฮิตพอยต์ลดลงเหลือศูนย์ โปเกมอนจะหมดสติและไม่สามารถต่อสู้ได้จนกว่ามันจะถูกชุบชีวิต เมื่อโปเกมอนของฝ่ายตรงข้ามหมดสติ โปเกมอนของผู้เล่นที่ร่วมต่อสู้จะได้รับค่าประสบการณ์ (EXP) เมื่อสะสมได้มากพอ โปเกมอนจะขึ้นเลเวลใหม่[4] ซึ่งเลเวลมีผลต่อค่าพลังต่าง ๆ ในการต่อสู้ รวมถึงท่าที่สามารถเรียนได้ โปเกมอนบางชนิดจะสามารถวิวัฒนาการเมื่อถึงเลเวลที่กำหนด การวิวัฒนาการจะเปลี่ยนค่าสถานะและส่งผลต่อเลเวลที่สามารถเรียนท่าใหม่ได้ โดยโปเกมอนในร่างวิวัฒนาการขั้นสูงจะมีค่าสถานะเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อเลเวลอัป แต่บางครั้งอาจเรียนท่าใหม่ได้ช้ากว่าหรือไม่สามารถเรียนได้เลยเมื่อเทียบกับร่างก่อนวิวัฒนาการ[6]

การจับโปเกมอนเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของเกม ระหว่างการต่อสู้กับโปเกมอนป่า ผู้เล่นสามารถขว้างโปเกบอล (Poké Ball) ใส่โปเกมอน หากจับสำเร็จ โปเกมอนนั้นจะกลายเป็นของผู้เล่น ปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสจับสำเร็จ ได้แก่ ค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนเป้าหมาย สถานะผิดปกติ และชนิดของโปเกบอลที่ใช้ โดยยิ่งฮิตพอยต์ของเป้าหมายเหลือน้อย สถานะผิดปกติรุนแรง และโปเกบอลมีคุณภาพสูง ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการจับได้มากขึ้น[7] เป้าหมายสูงสุดของเกมคือการเติมเต็มสารานุกรมโปเกมอน หรือโปเกเดกซ์ (Pokédex) โดยการจับโปเกมอน พัฒนาร่าง และแลกเปลี่ยนให้ได้โปเกมอนครบ 151 ชนิด[8]

โปเกมอนเรดและบลูอนุญาตให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนระหว่างตลับเกมสองตลับได้ผ่านเกมลิงก์เคเบิล[9] การแลกเปลี่ยนนี้จำเป็นต้องทำเพื่อให้โปเกเดกซ์สมบูรณ์ เนื่องจากโปเกมอนบางตัวจะพัฒนาร่างต่อเมื่อถูกแลกเปลี่ยน และเกมแต่ละภาคจะมีโปเกมอนที่ไม่พบในอีกภาคหนึ่ง[1] สายลิงก์เคเบิลยังใช้สำหรับประลองทีมโปเกมอนของผู้เล่นคนอื่นได้ด้วย[9] เมื่อเล่นภาคเรดและบลูบนเกมบอยอัดวานซ์ หรือเอสพี เกมไม่รองรับสายเชื่อมมาตรฐาน GBA/SP ผู้เล่นต้องใช้สายเชื่อมนินเท็นโดยูนิเวอร์ซัลเกมลิงก์เคเบิลแทน[10] ยิ่งไปกว่านั้น เกมภาคภาษาอังกฤษจะเชื่อมต่อกับภาคภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องจากตัวเกมใช้ภาษาและชุดตัวอักษรต่างกัน การพยายามแลกเปลี่ยนระหว่างเวอร์ชันเหล่านี้จะทำให้ไฟล์เซฟเสียหาย[11]

นอกจากการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกับ ภาคเยลโลว์ แล้ว โปเกมอน เรดและบลู ยีงสามารถแลกเปลี่ยนกับเกมโปเกมอนเจเนอเรชันที่สอง โปเกมอน โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัลได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดคือ เกมจะไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้หากในทีมของผู้เล่นมีโปเกมอนหรือท่าที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเจเนอเรชันที่สอง[12] นอกจากนี้ หากใช้ทรานสเฟอร์แพ็ก สำหรับนินเท็นโด 64 ข้อมูล เช่น โปเกมอนและไอเทมจากโปเกมอน เรดและบลู สามารถนำไปใช้ในเกม โปเกมอน สเตเดียม[13] และโปเกมอน สเตเดียม 2[14] ได้ อย่างไรก็ตาม โปเกมอน เรดและบลูจะไม่สามารถใช้งานร่วมกับเกมโปเกมอนในยุค "อัดวานซ์เจเนอเรชัน" ของเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ หรือเกมคิวบ์ได้[15]

บั๊กและกลิตช์

[แก้]

โปเกมอนเรดและบลู ยังโดดเด่นในด้านกลิตช์จำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดจากขอบเขตของเกมที่กว้างเกินประสบการณ์การพัฒนาของเกมฟรีกในขณะนั้น[16] หนึ่งในกลิตช์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการพบกับ MissingNo. (ย่อมาจาก “Missing Number”) ซึ่งเป็นโปเกมอนกลิตช์ที่มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวิธีการทำกลิตช์[17] นอกจากนี้ยังมีโปเกมอนอื่น ๆ ที่สามารถพบได้จากการใช้กลิตช์ เช่น โปเกมอนมายา มิว ที่ปกติไม่สามารถหาได้ในเกม อีกหนึ่งกลิตช์ที่มีชื่อว่า "EXP underflow glitch" ทำให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งค่าตัวเลขแบบจำนวนเต็มไม่มีเครื่องหมาย (unsigned integer) ในโค้ดของเกม สำหรับโปเกมอนที่อยู่ในกลุ่มค่าประสบการณ์ "medium slow" เพื่อทำให้โปเกมอนดังกล่าวมีเลเวลสูงสุดได้ทันที[18]

โครงเรื่อง

[แก้]

เนื้อเรื่อง

[แก้]

ผู้เล่นเริ่มต้นการผจญภัยที่บ้านเกิดในเมืองพัลเลตทาวน์ ภูมิภาคคันโต หลังจากเดินลุยเข้าไปในพงหญ้าสูงเพียงลำพัง ศาสตราจารย์ซามูเอล โอ๊ก นักวิจัยโปเกมอนชื่อดัง จะเข้ามาหยุดผู้เล่น อธิบายว่าพงหญ้าสูงอาจมีโปเกมอนป่าอยู่ และการเข้าไปคนเดียวอาจเป็นอันตรายได้[19] จากนั้นเขาจะพาผู้เล่นไปยังห้องทดลอง ซึ่งผู้เล่นจะได้พบกับหลานชายของเขาที่นั่น เขาเป็นคู่แข่งที่มีความฝันอยากเป็นโปเกมอนเทรนเนอร์ ผู้เล่นและคู่แข่งจะได้รับคำสั่งให้เลือกโปเกมอนเริ่มต้นสำหรับการเดินทาง โดยมีให้เลือก 3 ตัวคือ ฟุชิงิดาเนะ เซนิกาเมะ และฮิโตคาเงะ[20] หลานชายของโอ๊กจะเลือกโปเกมอนที่มีความได้เปรียบต่อโปเกมอนเริ่มต้นของผู้เล่นเสมอ จากนั้นเขาจะท้าสู้โปเกมอนแบตเทิลกับผู้เล่นเป็นครั้งแรก และจะกลับมาท้าสู้กับผู้เล่นอีกในบางช่วงของเกม[21]

ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้พบกับสถานที่พิเศษที่เรียกว่า "ยิม" ภายในจะมีหัวหน้ายิมรอท้าสู้ ซึ่งผู้เล่นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อสะสมเข็มกลัดยิมครบทั้ง 8 อัน เมื่อได้ครบแล้ว ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่การแข่งขันคันโตลีกที่ที่ราบสูงอินดิโก ซึ่งรวมเหล่าเทรนเนอร์โปเกมอนที่เก่งที่สุดในภูมิภาคเอาไว้ ที่นั่นผู้เล่นต้องต่อสู้กับสี่จตุรเทพ และปิดท้ายด้วยการชิงแชมป์กับแชมเปียนคนปัจจุบันของคันโตลีกซึ่งก็คือคู่แข่งของผู้เล่น[22] ตลอดการผจญภัย ผู้เล่นยังต้องต่อกรกับทีมร็อกเก็ต องค์กรอาชญากรรมที่ใช้โปเกมอนก่ออาชญากรรมหลากหลายรูปแบบ[6] พวกเขาวางแผนมากมายเพื่อขโมยโปเกมอนหายาก ซึ่งผู้เล่นต้องหยุดแผนการเหล่านั้นให้ได้[23][24]

ฉากท้องเรื่อง

[แก้]
โปเกมอน เรด กรีน และบลู เกิดขึ้นที่ภูมิภาคคันโต สร้างตามแบบภูมิภาคคันโตจริงของประเทศญี่ปุ่น]]
แผนที่ภูมิภาคคันโต ประเทศญี่ปุ่น

โปเกมอน เรดและบลู มีฉากหลังอยู่ในภูมิภาคคันโต ซึ่งอ้างอิงจากภูมิภาคคันโตในประเทศญี่ปุ่น ตัวภูมิภาคประกอบด้วยถิ่นที่อยู่อาศัยหลากหลายสำหรับโปเกมอนทั้ง 151 สายพันธุ์ เมืองและชุมชนของมนุษย์ รวมถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อพื้นที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน บางพื้นที่จะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นมีความสามารถพิเศษหรือได้ไอเทมเฉพาะ[25] คันโตมีหลายเมืองและชุมชน ได้แก่ เมืองพัลเลตทาวน์, วิริเดียนซิตี, พิวเตอร์ซิตี, เซรูเลียนซิตี, เวอร์มิเลียนซิตี, ลาเวนเดอร์ทาวน์, เซลาดอนซิตี, ฟูเชียซิตี, แซฟฟรอนซิตี, เกาะซินนาบาร์ และที่ราบสูงอินดิโก โดยทุกแห่งยกเว้นพัลเลตทาวน์, ลาเวนเดอร์ทาวน์ และที่ราบสูงอินดิโก จะมียิมพร้อมหัวหน้ายิมซึ่งทำหน้าที่เป็นบอส ส่วนการต่อสู้กับสี่จตุรเทพ และการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับคู่แข่งจะเกิดขึ้นที่ที่ราบสูงอินดิโก พื้นที่สำหรับจับโปเกมอนมีหลากหลาย ตั้งแต่ในถ้ำ เช่น ภูเขามูน, ถ้ำหิน, เกาะซีโฟม และถ้ำเซรูเลียน ไปจนถึงในทะเล ซึ่งชนิดของโปเกมอนที่พบจะต่างกันออกไป เช่น เมโนคุราเกะ (Tentacool) จะพบได้จากการตกปลา หรือเมื่อผู้เล่นอยู่ในแหล่งน้ำ ขณะที่ซูแบตจะพบได้เฉพาะในถ้ำเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]

การพัฒนา

[แก้]

ผู้พัฒนาเกม ซาโตชิ ทาจิริ ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับโปเกมอนต่อทีมงานนินเท็นโด ในปี 1990[26] แต่กลับถูกมองด้วยความสงสัย หลายคนเชื่อว่าแนวคิดนี้ทะเยอทะยานเกินไปและยากที่จะเห็นถึงเสน่ห์ของมัน อย่างไรก็ตาม ชิเงรุ มิยาโมโตะมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในแนวคิดนี้ และได้โน้มน้าวให้บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อไป[27]

แนวคิดแรกเริ่มของ โปเกมอน มาจากงานอดิเรกสะสมแมลง ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ทาจิริชื่นชอบในวัยเด็ก[28] แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาสังเกตว่าบ้านเมืองเริ่มถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนแมลงในพื้นที่ลดลง เขายังเห็นว่าเด็ก ๆ หันไปเล่นอยู่ในบ้านแทนการออกไปเล่นข้างนอก ทาจิริจึงเกิดไอเดียสร้างวิดีโอเกมที่มีสิ่งมีชีวิตคล้ายแมลง เรียกว่า "โปเกมอน" เขาเชื่อว่าเด็ก ๆ จะสามารถผูกพันกับโปเกมอนได้ผ่านการตั้งชื่อให้พวกมัน และควบคุมพวกมันเพื่อสะท้อนอารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโกรธ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการระบายความเครียด อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้โปเกมอนจะไม่เลือดออกหรือเสียชีวิต แต่เพียงแค่หมดสติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทาจิริให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเขาไม่ต้องการให้โลกของเกมเต็มไปด้วย "ความรุนแรงที่ไร้ความหมาย"[29]

แนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอนมีที่มาจากประสบการณ์ที่ทำให้ทาจิริรู้สึกหงุดหงิดระหว่างเล่นดรากอนเควสต์ II: ลูมินารีส์ออฟเดอะเลเจนดารีไลน์ เขาพยายามหาของหายากที่ดรอปจากศัตรู แต่ไม่สามารถได้มา ขณะนั้นเคน สุงิโมริก็เล่นเกมเดียวกันและบังเอิญได้ของชิ้นนั้นมาสองชิ้น ทาจิริอยากได้ชิ้นที่เกินมา จึงพยายามหาวิธีว่าจะสามารถแลกไอเทมระหว่างเกมได้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็พบว่าทำไม่ได้บนเครื่องแฟมิคอม[30] เมื่อเกมบอยวางจำหน่าย ทาจิริคิดว่ามันเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับไอเดียของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมีลิงก์เคเบิล ซึ่งเขามองว่าสามารถใช้เพื่อให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันได้ แนวคิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ถือเป็นสิ่งใหม่ในวงการเกม เนื่องจากก่อนหน้านั้นสายเชื่อมต่อถูกใช้เพียงเพื่อการแข่งขันเท่านั้น[31] ทาจิริเล่าว่า "ผมจินตนาการถึงข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเมื่อเชื่อมเกมบอยสองเครื่องด้วยสายพิเศษ แล้วก็คิดว่า ว้าว นี่มันต้องเจ๋งแน่ ๆ!"[32] เมื่อมิยาโมโตะได้ยินแนวคิดเรื่องโปเกมอน เขาแนะนำให้สร้างเป็นตลับหลายเวอร์ชันที่มีโปเกมอนแตกต่างกันในแต่ละภาค เพื่อช่วยเสริมความสำคัญของการแลกเปลี่ยน[33] นอกจากนี้ทาจิริยังได้รับแรงบันดาลใจจากเกม เดอะไฟนอลแฟนตาซีเลเจนด์ บนเกมบอยของค่ายสแควร์ ซึ่งทำให้เขาเห็นว่า เครื่องเกมบอยสามารถพัฒนาเกมที่ไม่ใช่แอ็กชันเพียงอย่างเดียวได้[34]

ตัวละครหลักในเกมถูกตั้งชื่อตามบุคคลจริง โดย "ซาโตชิ" ได้แรงบันดาลใจจากทาจิริเองในวัยเด็ก ส่วน "ชิเงรุ" มาจากชิเงรุ มิยาโมโตะ เพื่อนสนิท ต้นแบบ ผู้ให้คำแนะนำ และนักพัฒนาของนินเท็นโดเช่นกัน[[29][35] เค็ง ซูงิโมริ ศิลปินและเพื่อนสนิทของทาจิริ รับหน้าที่ออกแบบและวาดโปเกมอน โดยมีทีมงานไม่ถึงสิบคนช่วยกันสร้างสรรค์ดีไซน์ของโปเกมอนทั้ง 151 ตัว อัตสึโกะ นิชิดะเป็นผู้ออกแบบพิคาชู ฟุชิกิดาเนะ ฮิโตะคาเงะ เซนิกาเมะ และโปเกมอนอีกหลายตัว[36] จากนั้นสุงิโมริจะเป็นผู้ปรับแต่งและเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้าย โดยวาดโปเกมอนในมุมมองต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกของเกมฟรีกสามารถสร้างภาพในเกมได้อย่างถูกต้อง[37][38]

เดิมทีเกมนี้มีชื่อว่า แคปซูลมอนสเตอส์ แต่เนื่องจากปัญหาด้านเครื่องหมายการค้า จึงถูกเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง เช่น CapuMon และ KapuMon ก่อนจะมาลงตัวที่ชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์[39][40] ทาจิริเคยคิดมาโดยตลอดว่า นินเท็นโดคงจะปฏิเสธเกมนี้ เพราะในตอนแรกบริษัทเองก็ไม่เข้าใจแนวคิดนัก แต่ท้ายที่สุดเกมกลับประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งทาจิริและ นินเท็นโด ไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความนิยมของเครื่อง เกมบอย กำลังลดลง[29]

ทาจิริเล่าว่าแนวคิดของโปเกบอล ได้แรงบันดาลใจมาจากแคปซูลมอนสเตอร์ ในซีรีส์โทรทัศน์ซูเปอร์ฮีโรแนวโทกูซัตสึ อุลตร้าเซเว่น (1967–1968)[41] ส่วนทางนินเท็นโดใช้งบการตลาดสำหรับ โปเกมอน เรด และบลู ในสหรัฐอเมริกามากถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[42]

ดนตรี

[แก้]

เพลงประกอบของเกมสร้างสรรค์โดยจุนอิจิ มาสึดะ ซึ่งใช้ช่องเสียงทั้งสี่ของเกมบอยในการแต่งทั้งทำนอง เอฟเฟกต์เสียง และเสียงร้องของโปเกมอนที่ได้ยินเมื่อพบพวกมัน เขาแต่งธีมเปิดเกมโดยนึกถึงฉากการต่อสู้ ใช้เสียง white noise เพื่อเลียนเสียงดนตรีแนวเดินขบวนและเสียงกลองเล็ก[43] มาสึดะเขียนเพลงที่บ้านด้วยคอมพิวเตอร์คอมโมดอร์ อะมีกา ซึ่งรองรับเพียงการเล่นเสียงแซมเปิล PCM ก่อนจะเขียนโปรแกรมแปลงให้นำมาใช้กับเกมบอยได้[44]

การจำหน่าย

[แก้]

ในญี่ปุ่น พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรด และ กรีน เป็นเวอร์ชันแรกที่วางจำหน่าย การพัฒนาเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 1995 โดยเดิมมีกำหนดวางขายวันที่ 21 ธันวาคม 1995[45] แต่ถูกเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1996[46][47] เนื่องจากสินค้าประกอบอื่น ๆ ยังไม่พร้อมสำหรับการขาย[48] แม้ช่วงแรกยอดขายจะไม่สูงนัก แต่ต่อมาก็ทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง[49] ไม่กี่เดือนต่อมา พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ บลู ก็วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นเวอร์ชันพิเศษแบบสั่งซื้อทางไปรษณีย์เท่านั้น[50] สำหรับสมาชิกนิตยสารโคโระโคโระคอมมิก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1996 ก่อนจะวางขายทั่วไปในวันที่ 10 ตุลาคม 1999[51][52] โดยเวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงงานศิลป์ในเกมและเพิ่มบทสนทนาใหม่ ๆ[53] ใช้คาเมกซ์เป็นมาสคอต และโค้ด สคริปต์ รวมถึงงานศิลป์จากเวอร์ชันบลูนี้เองถูกนำไปใช้ในเวอร์ชันสากลของ เรด และ กรีน ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เรด และ บลู[50] อย่างไรก็ตาม บลู ฉบับญี่ปุ่น มีโปเกมอนเกือบทั้งหมดจาก เรด และ กรีน แต่ยังคงมีบางชนิดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในเวอร์ชันดั้งเดิมเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]

เพื่อสร้างความน่าสนใจ ทาจิริได้เปิดเผยโปเกมอนลับที่ชื่อว่า มิว ซึ่งเขาเชื่อว่า "ก่อให้เกิดข่าวลือและตำนานมากมายเกี่ยวกับเกม" และ "ช่วยทำให้ความสนใจยังคงอยู่ต่อไป"[29] แท้จริงแล้ว ชิเงกิ โมริโมโตะใส่มิวเข้าไปในเกม ในฐานะมุกเล่นภายในทีม และไม่ได้ตั้งใจให้ผู้เล่นทั่วไปได้พบเห็น[54] ต่อมา นินเท็นโดจึงตัดสินใจแจกมิวผ่านกิจกรรมโปรโมชันอย่างเป็นทางการ แต่ในปี 2003 มีการค้นพบบั๊กที่ทำให้ผู้เล่นสามารถได้มิว โดยไม่ต้องพึ่งกิจกรรมจากนินเท็นโดเลย[55]

ระหว่างการทำโลคัลไลซ์เวอร์ชันอเมริกาเหนือของโปเกมอน ทีมเล็ก ๆ ที่นำโดย ฮิโระ นากามูระ ได้ตรวจสอบโปเกมอนแต่ละตัว และตั้งชื่อใหม่สำหรับผู้เล่นตะวันตกตามรูปลักษณ์และลักษณะเฉพาะ หลังจากได้รับการอนุมัติจาก นินเท็นโด แล้ว นอกจากนี้ นินเท็นโด ยังได้จดเครื่องหมายการค้าให้กับชื่อโปเกมอนทั้ง 151 ตัว เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นชื่อเฉพาะของแฟรนไชส์[56] ระหว่างกระบวนการแปลพบว่า การแค่เปลี่ยนข้อความจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากซอร์สโค้ดอยู่ในสภาพเปราะบางจากระยะเวลาการพัฒนาที่นานผิดปกติ เกมจึงต้องถูกเขียนโปรแกรมขึ้นใหม่ทั้งหมด[38] โดยอ้างอิงจากเวอร์ชันญี่ปุ่น บลู ที่ใหม่กว่า ทั้งในแง่ของโค้ดและงานศิลป์ แต่ยังคงการกระจายโปเกมอนเหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่น เรด และ กรีน[50]

ขณะที่โปเกมอน เรด และ บลู ฉบับสมบูรณ์กำลังเตรียมวางจำหน่าย มีรายงานว่านินเท็นโดใช้งบโปรโมชันมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากกังวลว่าเกมอาจไม่ดึงดูดเด็กชาวอเมริกัน[57] ทีมโลคัลไลซ์ฝั่งตะวันตกเตือนว่า "สัตว์ประหลาดน่ารัก ๆ" อาจไม่เป็นที่ยอมรับในอเมริกา และแนะนำให้ปรับดีไซน์ให้ดุดันมากขึ้น แต่ประธานนินเท็นโดในขณะนั้น ฮิโรชิ ยามาอุจิปฏิเสธ พร้อมมองว่าการตอบรับจากอเมริกาเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญ[58] แม้จะมีอุปสรรค แต่สุดท้ายเวอร์ชันที่รีโปรแกรมใหม่ของเรด และ บลู พร้อมดีไซน์ดั้งเดิมก็ได้วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1998 กว่าสองปีครึ่งหลังจากเรด และ กรีน เปิดตัวในญี่ปุ่น[59][60] และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนโปเกมอนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรอย่างมหาศาลในอเมริกา[58] หลังจากนั้นเวอร์ชันเดียวกันถูกวางจำหน่ายในออสเตรเลียช่วงปลายปี 1998[61] และในยุโรปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1999[62][63] โดยถือเป็นเกมรองสุดท้ายที่ออกสำหรับเครื่อง เกมบอย ดั้งเดิมในยุโรป ก่อนที่โปเกมอน เยลโลว์เวอร์ชัน: สเปเชียลพิคาชูเอดิชัน จะเป็นเกมสุดท้าย[ต้องการอ้างอิง]

โปเกมอน เยลโลว์

[แก้]

สองปีหลังจากการวางจำหน่ายภาคเรด และ กรีน ทางนินเท็นโดได้ออกเกมโปเกมอน เยลโลว์ ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงของเรด และ บลู โดยวางจำหน่ายในญี่ปุ่นปี 1998[64][65] และตามมาด้วยอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 1999[66] และ 2000[67] เกมนี้ถูกออกแบบให้ใกล้เคียงกับอนิเมะซีรีส์ของโปเกมอน โดยผู้เล่นจะได้รับพิคาชู เป็นโปเกมอนเริ่มต้น ขณะที่คู่แข่งจะได้อีวุย นอกจากนี้ยังมีตัวละครบางส่วนที่อ้างอิงจากอนิเมะ เช่น มุซาชิ และโคจิโร จากทีมร็อกเก็ต[68]

โปเกมอน เยลโลว์ มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มลูกเล่นหลายอย่างจากเกมต้นฉบับ โดยผู้เล่นจะได้พิคาชูเป็นโปเกมอนเริ่มต้นเพียงตัวเดียว ซึ่งมีทั้งเสียงพิเศษและบุคลิกเฉพาะแตกต่างจากโปเกมอนอื่น มันจะเดินตามผู้เล่นบนแผนที่ และผู้เล่นสามารถโต้ตอบกับมันได้ พิคาชูสามารถรักหรือเกลียดผู้เล่นขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น หากเลเวลเพิ่มบ่อย ๆ มันจะมีความสุข แต่หากหมดสติบ่อย ๆ มันจะไม่พอใจ คุณสมบัตินี้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในโปเกมอน ฮาร์ตโกลด์ และ โซลซิลเวอร์ ภาครีเมกของโปเกมอน โกลด์ และ ซิลเวอร์ รวมถึงโปเกมอน: เลตส์โก, พิคาชู! และ เลตส์โก, อีวุย! ภาครีเมกของเยลโลว์[69] นอกจากนี้ เยลโลว์ยังมีมินิเกม "พิคาชูส์บีช" ที่จะปลดล็อกได้เฉพาะผู้เล่นที่ชนะการประกวดของนินเท็นโด หรือผ่านความท้าทายในเกมโปเกมอน สเตเดียม แล้วโอนข้อมูลระหว่างเกมด้วยทรานส์เฟอร์แพ็ก[70] ตัวเกมยังปรับกราฟิกให้ดีขึ้นเล็กน้อย และสามารถพิมพ์ข้อมูลโปเกเดกซ์ ออกมาเป็นสติกเกอร์ได้ด้วยเกมบอยพรินเตอร์[69][71]

โปเกมอน เยลโลว์ ถูกพัฒนาโดยเกมฟรีก หลังจากที่เวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของโปเกมอน บลู เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีข้อมูลจากซอร์สโค้ดที่รั่วออกมาของ นินเท็นโดบ่งชี้ว่า บริษัทอาจเคยพิจารณาทำเวอร์ชัน "โปเกมอน พิงก์" คู่กับเยลโลว์ด้วย[72]

การวางจำหน่ายของโปเกมอน เยลโลว์ เกิดขึ้นพร้อมกับการออกฉายของโปเกมอน เดอะมูฟวี่ ตอน ความแค้นของมิวทู โดยมีการประกาศในญี่ปุ่นครั้งแรกในชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์เยลโลว์[73] ต่อมา ซาโตรุ อิวาตะ ประธานนินเท็นโดในเวลาต่อมาได้กล่าวว่า ผู้คนอาจมองว่าเยลโลว์เป็นเกมที่ไม่จำเป็น เนื่องจากโปเกมอน โกลด์ และ ซิลเวอร์ กำลังจะออกในปีเดียวกัน[74] เกมนี้วางจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 1998 จากนั้นตามมาที่ออสเตรเลียวันที่ 3 กันยายน 1999[75] อเมริกาเหนือวันที่ 19 ตุลาคม 1999 และยุโรปวันที่ 16 มิถุนายน 2000[76] พร้อมกันนั้นยังมีการออกเครื่องเกมบอยคัลเลอร์ลายพิเศษธีมพิคาชูในอเมริกาเหนือช่วงตุลาคม 1999 ด้วย[77] ในการส่งเสริมการวางจำหน่าย ฟ็อลคส์วาเกิน และนินเท็นโดได้ร่วมกันสร้างฟ็อลคส์วาเกิน นิวบีเทิล สีเหลืองที่ตกแต่งด้วยแรงบันดาลใจจากพิคาชู[78] ทั้งนี้ นินเท็นโดเวิลด์รีพอร์ตได้ยกให้โปเกมอน เยลโลว์ เป็นหนึ่งในเกมพกพาที่โดดเด่นที่สุดของปี 1999[79]

การจำหน่ายซ้ำ

[แก้]

ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการวางจำหน่ายเกมโปเกมอนเจเนอเรชันแรกในญี่ปุ่น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016 นินเท็นโด ได้นำภาคเรด บลู และเยลโลว์ กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งบนบริการเวอร์ชวลคอนโซลของนินเท็นโด 3ดีเอส โดยมาพร้อมคุณสมบัติใหม่เป็นครั้งแรกของ เวอร์ชวลคอนโซล คือการจำลองการทำงานของสายลิงก์เคเบิล เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนและประลองโปเกมอนระหว่างเกมได้[80] ส่วนภาคกรีนยังคงเป็นเวอร์ชันพิเศษที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น[81] และเวอร์ชันเหล่านี้สามารถโอนโปเกมอนไปยัง โปเกมอน ซัน และ มูน ได้ผ่านแอปโปเกมอนแบงก์[82]

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2016 มีการวางจำหน่ายชุดพิเศษ นินเท็นโด 2ดีเอส บันเดิล ในญี่ปุ่น ยุโรป และออสเตรเลีย โดยตัวเครื่องออกแบบให้มีสีตรงกับเวอร์ชันของเกม[83] ขณะที่อเมริกาเหนือได้รับชุดพิเศษ นิวนินเท็นโด 3ดีเอส บันเดิล พร้อมฝาครอบที่ออกแบบตามลวดลายหน้ากล่องของภาคเรด และบลู[84] ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2016 ยอดขายรวมของเวอร์ชันรีรีลีสทั้งหมดทำได้ถึง 1.5 ล้านชุด โดยกว่าครึ่งหนึ่งมาจากตลาดอเมริกาเหนือ[85]

การตอบรับ

[แก้]
การตอบรับ
คะแนนรวม
ผู้รวมคะแนน
เกมแรงกิงส์(เรด) 88%[86]
(บลู) 88%[87]
คะแนนปฏิทรรศน์
สิ่งพิมพ์เผยแพร่คะแนน
ออลเกม(บลู) 4.5/5 stars[88]
อิเล็กทรอนิกเกมมิงมันท์ลี(เรด) 8.5/10[86]
แฟมิซือ29/40[89]
เกมสปอต(บลู) 8.8/10[6]
ไอจีเอ็น(เรด) 10/10[1]
นินเท็นโดเพาเวอร์7.2/10[90]

โปเกมอน เรด และ บลู ได้รับเสียงรีวิวเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 88% บนเกมแรงกิงส์[86] โดยเฉพาะคุณลักษณะผู้เล่นหลายคนอย่างการแลกเปลี่ยนและการต่อสู้โปเกมอนที่ได้รับคำชมเป็นพิเศษ เครก แฮร์ริส จากไอจีเอ็นให้คะแนนเต็ม 10/10 พร้อมกล่าวว่า "แม้คุณจะเล่นจบแล้ว ก็อาจยังไม่ได้โปเกมอนครบทุกตัว ความท้าทายในการจับให้ครบทุกตัวนี่แหละคือเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกม" เขายังพูดถึงความนิยมของเกม โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ ว่าเป็นเหมือน "กระแสนิยม"[1] ด้านปีเตอร์ บาร์โธโลว์ จากเกมสปอต ให้คะแนน 8.8/10 โดยมองว่ากราฟิกและเสียงค่อนข้างล้าสมัย แต่ถือเป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อย เขายกย่องความคุ้มค่าที่เล่นซ้ำได้สูงจากการปรับแต่งและความหลากหลาย พร้อมชี้ว่าเกมนี้มีเสน่ห์สากล "ภายใต้รูปลักษณ์น่ารัก โปเกมอนคือเกมเล่นตามบทบาทที่จริงจังและไม่เหมือนใคร เต็มไปด้วยความลึกซึ้งและระบบผู้เล่นหลายคนที่ยอดเยี่ยม ในฐานะเกมเล่นตามบทบาท มันเข้าถึงได้ง่ายสำหรับมือใหม่ แต่ก็ยังมอบความสนุกให้แฟนเกมสายฮาร์ดคอร์ได้เช่นกัน นี่คือหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของเกมบอยอย่างไม่ต้องสงสัย"[6]

ความสำเร็จของเกมโปเกมอน เรด และ บลู มักถูกยกเครดิตให้กับประสบการณ์การเล่นที่แปลกใหม่มากกว่าด้านภาพหรือเสียง งานวิจัยจากโคลัมเบียบิซิเนสสกูลจนถึงปี 1999 ชี้ว่า เด็กทั้งชาวอเมริกันและญี่ปุ่นต่างให้ความสำคัญกับรูปแบบการเล่นจริง ๆ มากกว่าลูกเล่นทางภาพและเสียงพิเศษ ในกรณีของโปเกมอน การที่เกมไม่ได้พึ่งพาลูกเล่นเหล่านี้ กลับช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ได้มากขึ้น[91] หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนแสดงความคิดเห็นว่า "ท่ามกลางการพูดถึงเกมเอนจินและการกำหนดลวดลายพื้นผิวมากมาย การได้เจอกับระบบเกมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มันช่างสดชื่น และทำให้คุณลืมไปเลยว่ากราฟิกยังเป็นแบบ 8 บิตน่ารัก ๆ"[92]

ในการประกาศรางวัล อินเตอร์แอ็กทีฟอะชีฟเมนต์ ครั้งที่ 2 ของสถาบันศิลปะและวิทยาศาสตร์เชิงปฏิสัมพันธ์ (AIAS) โปเกมอน เรด และ บลู คว้ารางวัล "รางวัลความเป็นเลิศด้านการพัฒนาตัวละครหรือโครงเรื่อง" มาครอง พร้อมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในอีกสามสาขา ได้แก่ "เกมคอนโซลแห่งปี", "เกมเล่นตามบทบาทบนเครื่องคอนโซลแห่งปี" และ "รางวัลความเป็นเลิศด้านการออกแบบเชิงปฏิสัมพันธ์"[93][94]

โปเกมอน เยลโลว์

[แก้]

โปเกมอน เยลโลว์ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ โดยมีคะแนนเฉลี่ย 85% บนเกมแรงกิงส์ และถูกจัดให้เป็นเกมบนเกมบอยที่ได้คะแนนสูงที่สุดอันดับ 5 ตลอดกาล[95] หนังสือพิมพ์ซาราโซตาเฮรัลด์ทริบูน แนะนำว่าเยลโลว์เป็นเกมที่เหมาะสำหรับเด็ก[96] ขณะที่อาร์พีจีแฟน ระบุว่าเกมนี้ "เสพติดอย่างร้ายกาจจนผู้เล่นไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องจับให้ครบทุกตัว" แต่ก็วิจารณ์ว่าเยลโลว์ "น่าผิดหวัง" ตรงที่เพิ่มเนื้อหาใหม่จาก เรด และ บลู ค่อนข้างน้อย[97] ด้านเครก แฮร์ริส จากไอจีเอ็น ให้คะแนนเต็ม พร้อมชื่นชมระบบการเล่น โดยเขามองว่าเยลโลว์คือเกมที่เหมาะที่สุดสำหรับการเริ่มต้นในบรรดาทั้งสามภาค[71]

คาเมรอน เดวิส จากเกมสปอต มองว่าโปเกมอน เยลโลว์ เป็นเพียง "ตัวคั่นเวลา" เพื่อเอาใจผู้เล่นก่อนที่ภาคโกลด์ และ ซิลเวอร์ จะออก โดยกล่าวว่า "ความท้าทายใหม่ ๆ พอจะเติมช่องว่างได้ – แต่ก็แค่พอเท่านั้น"[98] คริส บัฟฟา จากเกมเดลี จัดให้เยลโลว์เป็นหนึ่งในเกมโปเกมอนที่ดีที่สุด โดยให้ความเห็นว่า แม้จะเป็นการนำของเก่ามาใช้ซ้ำ แต่ก็มีสิ่งใหม่ ๆ เพียงพอให้คุ้มค่าที่จะเล่น[99] แบรด คุก จากออลเกม เห็นว่า สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น เรด และ บลู มาก่อน เยลโลว์ ถือว่าเป็นเกมที่ดี แต่ถ้าเคยเล่นแล้ว เขาแนะนำให้รอจนกว่าโกลด์ และ ซิลเวอร์ จะออกจะดีกว่า[100] ส่วนสตีฟ บ็อกเซอร์ จากเดอะเดลีเทเลกราฟ แสดงความคิดเห็นว่า แม้ เยลโลว์ จะมีระบบการเล่นที่ดี แต่กลับถูกจำกัดด้วยการขาดฟีเจอร์ใหม่ ๆ พร้อมวิจารณ์การตัดสินใจของ นินเท็นโด ว่า "เยลโลว์ คือจุดที่ โปเกมอน เลิกเป็นแค่เกม และกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด/ตัวสนองความคลั่งไคล้แทน"[101]

โปเกมอน เยลโลว์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในงานประกาศรางวัล อินเตอร์แอ็กทีฟอะชีฟเมนต์ ครั้งที่ 3 ถึงสองสาขา ได้แก่ "เกมแห่งปี" และ "เกมคอนโซลแห่งปี"[102][103]

สิ่งสืบทอด

[แก้]
พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ กรีน (ขวาสุด) ในกล่องบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิม จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เกมสตอกโฮล์ม

เว็บไซต์เกมวันอัปดอตคอม ได้จัดอันดับ "5 อันดับเกมที่มาทีหลัง'" รวมเกมที่ "พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังไม่ถูกใช้" ของเครื่องเกม และเป็นหนึ่งในเกมท้าย ๆ ของคอนโซลนั้น ๆ โดย เรด และบลู ถูกจัดอยู่อันดับหนึ่ง และถูกเรียกว่าเป็น "อาวุธลับ" ของนินเท็นโด เมื่อออกบนเกมบอย ในช่วงปลายยุค 1990[32] ความสำเร็จนี้ช่วยปลุกกระแส เกมบอย ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง[104] นินเท็นโดเพาเวอร์จัดภาคเรด และบลู รวมกันให้อันดับ 3 ของเกมยอดเยี่ยมบนเกมบอย และเกมบอยคัลเลอร์ โดยให้เหตุผลว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผู้เล่นอยากเล่นต่อไปจนกว่าจะจับโปเกมอนได้ครบทุกตัว[105] ขณะที่เบน รีฟส์ จากเกมอินฟอร์มเมอร์ ยกให้ เรด บลู (รวมถึง เยลโลว์, โกลด์, ซิลเวอร์ และ คริสตัล) เป็นเกมอันดับสองของเกมบอย โดยกล่าวว่ามีความลึกซึ้งเกินกว่าที่เห็นภายนอก[106] ออฟฟิเชียลนินเท็นโดแมกกาซีน ยกให้เรด และบลู เป็นหนึ่งในเกมนินเท็นโดที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยอยู่อันดับ 52 จาก 100 อันดับเกม[107] ส่วนไอจีเอ็นจัดให้อยู่ในอันดับ 72 ของ "100 อันดับเกมตลอดกาล" ปี 2003 โดยระบุว่าทั้งสองเกม "คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ" และชื่นชมดีไซน์เกมที่ลึกซึ้ง กลยุทธ์ที่ซับซ้อน รวมถึงระบบการแลกเปลี่ยนโปเกมอน[108] ต่อมาในปี 2005 เกมทั้งสองขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 70 พร้อมถูกย้ำอีกครั้งว่ามรดกของมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่อ เกมอื่น ๆ ภาพยนตร์ ซีรีส์ทีวี และสินค้ามากมาย กลายเป็นรากฐานสำคัญในวัฒนธรรมสมัยนิยม[109] ในปี 2019 พีซีแมกกาซีนจัดให้อยู่ใน "10 อันดับเกมเกมบอยยอดเยี่ยม"[110] และในปี 2023 ไทม์เอกซ์เทนชันใส่ไว้ในรายชื่อ "เกมเจอาร์พีจียอดเยี่ยมตลอดกาล"[111] นอกจากนี้ ในปี 2007 เรด และ บลู ถูกจัดอยู่อันดับ 37 โดยรีวิวระบุถึงความยืนยาวของเกมว่า:

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทศวรรษถัดมา เริ่มต้นที่นี่กับโปเกมอน เรด/บลู การผสมผสานของการสำรวจ การฝึกฝน การต่อสู้ และการแลกเปลี่ยน สร้างเกมที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น และยังบังคับให้ผู้เล่นต้องเข้าสังคมเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดที่เกมมีให้ เกมนี้ทั้งยาว น่าดื่มด่ำ และเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ติดงอมแงมอย่างที่มีเพียงเกมชั้นยอดเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร แต่มีไม่กี่แฟรนไชส์เกมที่ยังคงได้รับความนิยมมหาศาลแม้เวลาผ่านไปสิบปีหลังจากออกวางจำหน่ายครั้งแรก[35]

เกมมักได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดเริ่มต้นและปูทางสู่ความสำเร็จของแฟรนไชส์ที่เติบโตจนมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์[32] ห้าปีหลังจากการเปิดตัว เรด และบลู ทางนินเท็นโดได้จัดฉลอง "โปเกมอนนิเวอร์แซรี" โดยจอร์จ แฮร์ริสัน รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กรของนินเท็นโดออฟอเมริกา กล่าวไว้ว่า "อัญมณีล้ำค่าเหล่านั้น [โปเกมอน เรด และบลู] ได้วิวัฒนาการมาเป็นรูบี และแซฟไฟร์ การเปิดตัวโปเกมอน พินบอล คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ของโปเกมอนอีกมากมายที่จะทยอยเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า"[112] นับแต่นั้นมา ซีรีส์โปเกมอนได้มียอดขายเกมรวมมากกว่า 300 ล้านชุด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเรด และบลู รุ่นดั้งเดิม[32][113]

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014 โปรแกรมเมอร์ชาวออสเตรเลียที่ไม่เปิดเผยชื่อได้เปิดตัวทวิตช์เพลส์โปเกมอน ซึ่งเป็น "การทดลองทางสังคม" บนเว็บไซต์สตรีมมิง ทวิตช์ โดยโครงการนี้ให้ผู้ชมจำนวนมากร่วมกันเล่นเกม โปเกมอน เรด รุ่นดัดแปลง ผ่านการพิมพ์คำสั่งลงในช่องสนทนา โดยมีผู้เข้าร่วมพร้อมกันเฉลี่ยถึง 50,000 คน ผลลัพธ์ถูกเปรียบเปรยว่าเหมือนกับ "การดูอุบัติเหตุรถชนแบบภาพช้า"[114] เกมดังกล่าวถูกเล่นจนจบในวันที่ 1 มีนาคม 2014 โดยใช้เวลารวมกว่า 390 ชั่วโมง ของการเล่นต่อเนื่องที่ผู้เล่นหลายหมื่นคนควบคุมพร้อมกัน[115]

ในปี 2017 พิพิธภัณฑ์ The Strong National Museum of Play ได้บรรจุโปเกมอน เรด และกรีน เข้าสู่ World Video Game Hall of Fame[116] ต่อมาในเดือนตุลาคม 2021 สมาคมซูโม่ญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกับบริษัทโปเกมอน เพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีของโปเกมอน เรด และบลู โดยในทัวร์นาเมนต์เดือนมกราคม 2022 พบว่ามีเกียวจิ (gyōji) หรือกรรมการซูโม่ สวมกิโมโนลายโปเกบอล[117][118]

รีเมก

[แก้]

โปเกมอน ไฟร์เรด[f] และโปเกมอน ลีฟกรีน[g] เป็นเกมรีเมกฉบับปรับปรุงของโปเกมอน เรด และบลู พัฒนาโดยเกมฟรีก และจัดจำหน่ายโดยนินเท็นโด สำหรับเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ โดยรองรับการใช้งานร่วมกับเกมบอยอัดวานซ์ไวร์เลสอะแดปเตอร์ ซึ่งเดิมแถมมากับตัวเกม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไฟร์เรด และลีฟกรีน มีการเพิ่มตัวแปรใหม่ เช่น การแยกค่าสถานะ "Special" ออกเป็น Special Attack และ Special Defense เกมเหล่านี้จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับเวอร์ชันเก่าที่อยู่นอกเหนือจากเจเนอเรชัน 3 ได้ ไฟร์เรด และลีฟกรีน วางจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2004[119][120] ก่อนจะวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือวันที่ 9 กันยายน 2004[121] และในยุโรปวันที่ 1 ตุลาคม 2004[122] เกือบสองปีหลังจากนั้น นินเท็นโดได้นำเกมทั้งสองกลับมาวางจำหน่ายใหม่ในกลุ่มเพลเยอส์ชอยส์[123]

เกมโปเกมอน ไฟร์เรด และลีฟกรีน ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 81% บนเมทาคริติก[124] นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกย่องที่เกมสามารถใส่คุณสมบัติใหม่ ๆ เข้ามาได้ โดยยังคงรักษาระบบการเล่นแบบดั้งเดิมของซีรีส์ไว้ ขณะที่ด้านกราฟิกและเสียงมีเสียงตอบรับที่หลากหลาย บางคนมองว่ายังคงเรียบง่ายเกินไปและไม่ได้พัฒนามากนักเมื่อเทียบกับโปเกมอน รูบี และ แซฟไฟร์ อย่างไรก็ตาม ไฟร์เรด และ ลีฟกรีน ประสบความสำเร็จทางการค้า มียอดขายรวมทั่วโลกประมาณ 12 ล้านชุด[125]

โปเกมอน: เลตส์โก, พิคาชู![h] และPokémon: Let's Go, Eevee![i] เป็นรีเมกฉบับปรับปรุงของโปเกมอน เยลโลว์ วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2018 สำหรับเครื่อง นินเท็นโด สวิตช์ โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้เล่นใหม่ของซีรีส์ และได้นำกลไกบางอย่างจากโปเกมอน โก เข้ามาใช้[126] ตัวเกมมีฉากหลังในภูมิภาคคันโต และรวมเฉพาะโปเกมอนรุ่นแรกทั้ง 151 ตัวเท่านั้น คุณสมบัติที่ให้โปเกมอนเดินตามตัวละครกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเคยมีในโปเกมอน ฮาร์ตโกลด์ และโซลซิลเวอร์ บนเครื่องนินเท็นโด ดีเอส แต่คราวนี้นอกจากโปเกมอนที่เลือกให้เดินตามได้แล้ว ผู้เล่นยังมี พิคาชู หรือ อีวุย ซึ่งเป็นโปเกมอนเริ่มต้นร่วมเดินทางด้วยเสมอ ตามภาคที่เลือกเล่น[127]

ทั้งสองเกมมียอดขายรวมทั่วโลกมากกว่า 13 ล้านชุด[128]

เกมที่เกี่ยวข้อง

[แก้]

เกมโปเกมอน สเตเดียม สำหรับเครื่องนินเท็นโด 64 วางจำหน่ายในปี 1999[129] โดยมีระบบการต่อสู้แบบเทิร์นเบสในรูปแบบ 3 มิติ และรวมโปเกมอนทั้ง 151 ตัวจากภาค เรด บลู และเยลโลว์[ต้องการอ้างอิง]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ポケットモンスター 赤 Poketto Monsutā Aka
  2. ポケットモンスター 緑 Poketto Monsutā Midori
  3. ポケットモンスター 青 Poketto Monsutā Ao
  4. ポケットモンスターピカチュウ Poketto Monsutā Pikachū, lit. "Pocket Monsters Pikachu"
  5. มักเรียกว่า โปเกมอน เยลโลว์
  6. ポケットモンスター ファイアレッド Poketto Monsutā Faiareddo, lit. "Pocket Monsters FireRed"
  7. ポケットモンスター リーフグリーン Poketto Monsutā Rīfugurīn, lit. "Pocket Monsters LeafGreen"
  8. ポケットモンスター Let's Go! ピカチュウ Poketto Monsutā Let's GO! Pikachū
  9. ポケットモンスター Let's Go! イーブイ Poketto Monsutā Let's GO! Ībui

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 Harris, Craig (1999-06-23). "Pokemon Red Version Review". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
  2. MacDonald, Mark; Brokaw, Brian; Arnold; J. Douglas; Elies, Mark (1999). Pokémon Trainer's Guide. Sandwich Islands Publishing. p. 73. ISBN 0-439-15404-9.
  3. Game Freak (1997-12-09). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 8.
  4. 1 2 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 17.
  5. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 10.
  6. 1 2 3 4 Bartholow, Peter (2000-01-28). "GameSpot review". GameSpot. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-06. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
  7. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 21.
  8. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 7.
  9. 1 2 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 36.
  10. "nintendo.com.au – GBC – Frequently Asked Questions". Nintendo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-22. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
  11. "Game Boy Game Pak Troubleshooting – Specific Games". Nintendo of America Inc. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2008. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09. MissingNO is a programming quirk, and not a real part of the game
  12. "Pokemon Gold and Silver Strategy Guide: Trading". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
  13. Gerstmann, Jeff (2000-02-29). "Pokemon Stadium for Nintendo 64 Review". GameSpot. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
  14. Villoria, Gerald (2001-03-26). "Pokemon Stadium 2 for Nintendo 64 Review". GameSpot. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
  15. Harris, Craig (2003-03-17). "IGN: Pokemon Ruby Version Review". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-25.
  16. bitmob (2011-12-08). "The 7 Freakiest Pokemon Red/Blue/Yellow Glitches". VentureBeat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
  17. Preskey, Natasha (2019-02-18). "The mythos and meaning behind Pokémon's most famous glitch". Ars Technica (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 20, 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
  18. Hernandez, Patricia (2014-03-11). "Two Incredible Glitches Make The First Pokémon Games Way Easier". Kotaku (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 14, 2020. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
  19. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 2.
  20. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 3.
  21. IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 113. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
  22. IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 67. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
  23. IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 99. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
  24. IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 165. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
  25. Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 20.
  26. Godfrey, Chris (2019-05-09). "Detective Pikachu and the case of the highest grossing media franchise of all time". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 30, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-06-30.
  27. Harding, Alex. "Satoshi Tajiri: The Man Behind Pokémon". Switchaboo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 25, 2022. สืบค้นเมื่อ April 12, 2022.
  28. Plaza, Amadeo (2006-02-06). "A Salute to Japanese Game Designers". Amped IGO. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2007. สืบค้นเมื่อ 2006-06-25.
  29. 1 2 3 4 Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
  30. Baird, Scott (January 9, 2021). "This Annoying Dragon Quest Monster Inspired Pokemon Trading". TheGamer. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2023. สืบค้นเมื่อ 3 September 2023.
  31. Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
  32. 1 2 3 4 1UP Staff. "Best Games to Come Out Late in a System's Life". 1UP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
  33. Nutt, Christian (2009-04-03). "The Art of Balance: Pokémon's Masuda on Complexity and Simplicity". Gamasutra. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
  34. "Pokémon interview" (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-06-06.
  35. 1 2 "IGN's Top 100 Games 2007 | 37 Pokemon Blue Version". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-14. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
  36. "Creator Profile: The Creators of Pikachu | Pokemon.com". www.pokemon.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-10-30.
  37. Staff. "2. 一新されたポケモンの世界". Nintendo.com (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 September 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-09-10.
  38. 1 2 Kohler, Chris (2004). Power-Up: How Japanese Video Games Gave the World an Extra Life (1st ed.). BradyGames. pp. 237–250. ISBN 0-7440-0424-1.
  39. Staff (2004-02-18). 写真で綴るレベルX~完全保存版! (ภาษาญี่ปุ่น). AllAbout.co.jp. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2010-05-21.
  40. Tomisawa, Akihito (August 2000). ゲームフリーク 遊びの世界標準を塗り替えるクリエイティブ集団 (ภาษาญี่ปุ่น). メディアファクトリー. ISBN 4-8401-0118-3.
  41. 大月隆寛+ポケモン事件緊急取材班 (1998). ポケモンの魔力. Mainichi Newspaper Co. Ltd. ISBN 4-620-31218-5.
  42. "Pokemon to get big rollout". The Cincinnati Enquirer. August 29, 1998. p. 22. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ December 1, 2021 โดยทาง Newspapers.com.
  43. Masuda, Junichi (2009-02-28). "HIDDEN POWER of Masuda: No. 125". Game Freak. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
  44. Hanson, Ben (May 13, 2014). "Pokémon's Music Master: The Man Behind The Catchiest Songs". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2014.
  45. Baird, Scott (2021-01-31). "Why The Pokémon Red & Blue Intros Have The Wrong Date". ScreenRant (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-04-21.
  46. "ポケットモンスター 赤・緑". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2017. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  47. "ポケットモンスター赤・緑". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  48. Iwata, Satoru. "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & Pokémon SoulSilver Version – Page 1". Nintendo (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-28. สืบค้นเมื่อ 2023-04-21.
  49. "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo of Europe GmbH (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-11-29.
  50. 1 2 3 Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly. No. 124. p. 216.
  51. "ポケットモンスター 青". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  52. "ポケットモンスター青". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2012. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  53. Chen, Charlotte (December 1999). "Pokémon Report". Tips & Tricks. Larry Flynt Publications: 111.
  54. "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-10-16.
  55. DeVries, Jack (2008-11-24). "IGN: Pokemon Report: OMG Hacks". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2010. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
  56. Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly. No. 124. p. 172.
  57. Tobin, Joseph Jay (2004). Pikachu's Global Adventure: The Rise and Fall of Pokémon. Duke University Press. p. 66. ISBN 0-8223-3287-6.
  58. 1 2 Ashcraft, Brian (2009-05-18). "Pokemon Could Have Been Muscular Monsters". Kotaku. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-06-26.
  59. IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 62. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
  60. "Game Boy's Pokémon Unleashed on September 28!". Redmond, Washington: Nintendo. September 28, 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 1999. สืบค้นเมื่อ 29 March 2014.
  61. "What Is Pokémon?". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2020. สืบค้นเมื่อ October 24, 2020.
  62. "Pokémon Red Version". Nintendo of Europe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2013. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
  63. "Pokémon Blue Version". Nintendo of Europe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2013. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
  64. "ポケットモンスター ピカチュウ". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  65. "ポケットモンスター ピカチュウ". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  66. "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  67. "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  68. Searle, Tyler B. (September 15, 2022). "10 Best Characters From the Pokémon Anime Who Aren't In the Games". Collider (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2023. สืบค้นเมื่อ June 22, 2023.
  69. 1 2 "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". Pokémon/Nintendo. March 10, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 19, 2013. สืบค้นเมื่อ April 21, 2014.
  70. "Snag a Surfing Pikachu". IGN. 2000-03-07. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 8, 2011. สืบค้นเมื่อ 2021-10-17.
  71. 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ review
  72. "Fans think Nintendo originally planned a Pokémon Pink". Eurogamer. 2020-04-14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 30, 2022. สืบค้นเมื่อ 2020-08-04.
  73. "「ポケットモンスター黄(仮)」映画にあわせて夏発売!!". The 64Dream. Mycom. 1998-04-21. pp. 100, 102.
  74. "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 12, 2021. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  75. "Pikachu Down Under". IGN. 1999-08-31. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  76. "List of Release Dates for Pokémon Yellow: Special Pikachu Edition". Gamewise. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-01. สืบค้นเมื่อ 2013-07-26.
  77. "Special Edition Pokemon GBC Revealed". IGN. 1999-07-14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  78. "Nintendo Feature: History Of Pokémon Part 2". Official Nintendo Magazine. 2009-05-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-06. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  79. "1999: The Year in Review". Nintendo World Report. 2009-03-07. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 17, 2023. สืบค้นเมื่อ 2020-02-20.
  80. "Nintendo Direct – 11 December 2015". Nintendo. 2015-11-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-30. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
  81. "Nintendo Direct 2015.5.31 プレゼンテーション映像". Nintendo. 2015-11-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-31. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
  82. Conditt, Jessica (February 26, 2016). "Pokemon Sun And Moon Hit The Nintendo 3DS This Holiday". Engadget. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2016. สืบค้นเมื่อ 26 February 2016.
  83. Kamen, Matt (12 January 2016). "Pokémon marks 20th birthday with retro 2DS bundles". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
  84. Farokhmanesh, Megan (12 January 2016). "Pokémon celebrates its 20th anniversary with a New Nintendo 3DS bundle this February". Polygon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
  85. "Financial Results Briefing for Fiscal Year Ended March 2016". Nintendo. April 28, 2016. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2017. สืบค้นเมื่อ May 1, 2016.
  86. 1 2 3 "Pokemon Red Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-05. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
  87. "Pokemon Blue Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
  88. McCaul, Scott. "Pokemon Blue Version -Review". Allgame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 14, 2014. สืบค้นเมื่อ December 4, 2012.
  89. "ポケットモンスター 赤/緑 まとめ [ゲームボーイ]". Famitsu (ภาษาญี่ปุ่น). Enterbrain, Inc.
  90. "Now Playing: Pokémon". Nintendo Power. 113: 112. October 1998.
  91. Safier, Joshua; Nakaya, Sumie (2000-02-07). "Pokemania: Secrets Behind the International Phenomenon". Columbia Business School. doi:10.7916/D8V12CPD. hdl:10022/AC:P:28. สืบค้นเมื่อ 2011-08-05.
  92. Bodle, Andy and Greg Howson (1999-09-30). "Monsters to the rescue". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 December 2014. สืบค้นเมื่อ 2009-01-15.
  93. "Second Interactive Achievement Awards – Console". Interactive.org. Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 1999. สืบค้นเมื่อ 28 December 2022.
  94. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ IAA_Craft1999
  95. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ gr
  96. "'Donkey Kong', Dreamcast dominate". Google News. Sarasota Herald-Tribune. 1999-11-16. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ December 16, 2022.
  97. "RPGFan Reviews – Pokémon Yellow". Rpgfan.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 30, 2012. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  98. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ gs
  99. Chris Buffa (2008-08-26). "Best and Worst Pokemon Games". GameDaily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-06. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  100. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ag-review
  101. Boxer, Steve (2000-06-08). "Pokémon Yellow". London: Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-25. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
  102. "Third Interactive Achievement Awards – Game of the Year". Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 2000. สืบค้นเมื่อ 27 January 2023.
  103. "Third Interactive Achievement Awards – Console". Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 2000. สืบค้นเมื่อ 11 January 2023.
  104. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :0
  105. "Best of the Best: Game Boy & Game Boy Color". Nintendo Power – The 20th Anniversary Issue! (Magazine). Nintendo Power. Vol. 231 no. 231. San Francisco, California: Future US. August 2008. p. 72.
  106. Reeves, Ben (2011-06-24). "The 25 Best Game Boy Games Of All Time". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2018. สืบค้นเมื่อ 2013-12-06.
  107. East, Tom (2009-03-02). "Feature: 100 Best Nintendo Games". Official Nintendo Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-29. สืบค้นเมื่อ 2009-03-18.
  108. Staff (2003-04-30). "The Top 100: 71–80". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-10. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
  109. "IGN's Top 100 Games 061–070". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-09. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
  110. Edwards, Benji (October 17, 2019). "The 10 Best Game Boy Games". PCMAG (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 24, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-01-24.
  111. Bell, Lowell (25 February 2023). "Best JRPGs Of All Time". Time Extension. Hookshot Media. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2023. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
  112. Harris, Craig (2003-08-29). "IGN: Nintendo Celebrates Pokemoniversary". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2011. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
  113. Makuch, Eddie (2017-11-27). "Pokemon Game Sales Pass 300 Million Units". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2018. สืบค้นเมื่อ 2018-12-31.
  114. "Twitch plays Pokémon: The largest 'massively multiplayer' Pokémon game is beautiful chaos". The Independent. 20 February 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2015. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
  115. "Twitch Plays Pokemon conquers Elite Four, beating game after 390 hours". CNET. CBS Interactive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2014. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
  116. "Pokémon Red and Green". The Strong National Museum of Play. The Strong. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 6, 2022. สืบค้นเมื่อ 6 May 2022.
  117. "ポケモンの行司装束も 大相撲初場所、9日初日". Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). 7 January 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 17, 2023. สืบค้นเมื่อ 9 November 2023.
  118. "大相撲とポケモンが異色タッグ 懸賞旗から行事の装束まで". Mainichi Shimbun. 11 January 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2022. สืบค้นเมื่อ 30 November 2023.
  119. "ポケットモンスター ファイアレッド・リーフグリーン". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  120. "ポケットモンスター ファイアレッド・リーフグリーン". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  121. "Pokémon FireRed Version and Pokémon LeafGreen Version". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  122. "Pokémon FireRed Version and Pokémon LeafGreen Version". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
  123. Harris, Craig (2006-07-26). "IGN: Player's Choice, Round Two". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
  124. "Pokemon FireRed (gba: 2004): Reviews". Metacritic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-18. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
  125. "Financial Results Briefing for Fiscal Year Ended March 2008" (PDF). Nintendo. 2008-04-25. p. 6. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2019. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
  126. Frank, Allegra (May 29, 2018). "Pokémon: Let's Go! is the series' big Switch debut, and it's targeting newcomers". Polygon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2018. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
  127. Farokhmanesh, Megan (12 June 2018). "Pokémon: Let's Go is a simple game improved by its pricey pokéball controller". The Verge. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2018. สืบค้นเมื่อ 10 May 2024.
  128. "IR Information: Financial Data – Top Selling Title Sales Units". Nintendo. March 31, 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 30, 2020. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
  129. IGN Staff (April 23, 1999). "Pokemon Stadium 2 Garners Praise". IGN. News Corporation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2016. สืบค้นเมื่อ May 7, 2024.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]