โปเกมอน เรด บลู และเยลโลว์
| โปเกมอน เรด โปเกมอน บลู | |
|---|---|
| ผู้พัฒนา | เกมฟรีก |
| ผู้จัดจำหน่าย | นินเท็นโด |
| กำกับ | ซาโตชิ ทาจิริ |
| อำนวยการผลิต | ชิเงรุ มิยาโมโตะ ทาเคชิ คาวากุจิ สึเนคาซึ อิชิฮาระ |
| ออกแบบ | |
| ศิลปิน | เค็น ซุงิโมริ |
| เขียนบท | ซาโตชิ ทาจิริ เรียวสุเกะ ทานิกูจิ ฟุมิฮิโระ โนโนมุระ ฮิโรยูกิ จินไน |
| แต่งเพลง | จุนอิจิ มาสึดะ |
| ชุด | โปเกมอน |
| เครื่องเล่น | เกมบอย |
| วางจำหน่าย | |
| แนว | วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท |
| รูปแบบ | ผู้เล่นคนเดียว, ผู้เล่นหลายคน |
โปเกมอน เรด (อังกฤษ: Pokémon Red Version) และ โปเกมอน บลู (อังกฤษ: Pokémon Blue Version) เป็นวิดีโอเกมเล่นตามบทบาทพัฒนาโดยบริษัทเกมฟรีกและจำหน่ายโดยนินเท็นโดสำหรับเครื่องเล่นเกมบอย ถือเป็นภาคแรกของซีรีส์โปเกมอน โดยเปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นในชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรด[a] และ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ กรีน,[b] และตามมาด้วยภาคพิเศษ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ บลู[c] ในปีเดียวกัน เกมทั้งสองภาคออกจำหน่ายในต่างประเทศระหว่างปี 1998 และ 1999 ในชื่อโปเกมอน เรด และโปเกมอน บลู ขณะที่เวอร์ชันปรับปรุง โปเกมอน เยลโลว์ เวอร์ชัน: สเปเชียลพิคาชูเอดิชัน,[d][e] วางจำหน่ายในญี่ปุ่นปี 1998 และในภูมิภาคอื่นระหว่างปี 1999 ถึง 2000
ผู้เล่นจะบังคับตัวเอกจากมุมมองด้านบน มุ่งสำรวจภูมิภาคสมมติชื่อคันโต เพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของโปเกมอน เป้าหมายหลักคือการเป็นแชมป์ของอินดิโกลีก (Indigo League) ด้วยการเอาชนะหัวหน้ายิมทั้งแปด และเหล่าเทรนเนอร์โปเกมอนชั้นยอดที่เรียกว่าสี่จตุรเทพ (Elite Four) อีกหนึ่งเป้าหมายคือการเติมเต็มโปเกเดกซ์ หรือสารานุกรมโปเกมอนให้ครบทั้ง 151 ตัว เกมภาคเรดและบลูรองรับการใช้เกมลิงก์เคเบิลเชื่อมต่อเครื่องเกมบอยสองเครื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนหรือประลองโปเกมอนกัน ทั้งสองภาคมีเนื้อเรื่องเดียวกัน[1] และแม้จะเล่นแยกกันได้ แต่ผู้เล่นต้องแลกโปเกมอนระหว่างทั้งสองเวอร์ชันเพื่อให้ได้ครบ 151 ตัวแรก
ภาคเรดและบลู ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยนักวิจารณ์ยกย่องตัวเลือกการเล่นแบบผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะแนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอน ทั้งสองเกมได้รับคะแนนรวม 89% จากเกมแรงกิงส์ และถูกยกให้เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดตลอดกาล ติดอันดับในรายชื่อ "100 อันดับเกมตลอดกาล" ของไอจีเอ็น ต่อเนื่องอย่างน้อยสี่ปี เกมทั้งสองถือเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยมียอดขายรวมทั่วโลกมากกว่า 400 ล้านชุด ภาคเรดและบลู ถูกนำมาสร้างใหม่สำหรับเกมบอยอัดวานซ์ ในชื่อไฟร์เรด และลีฟกรีน (2004) ขณะที่ภาคเยลโลว์ ถูกสร้างใหม่สำหรับนินเท็นโด สวิตช์ ในชื่อเลตส์โก พิคาชู! และเลตส์โก อีวุย! (ปี 2018) ส่วนเกมต้นฉบับถูกนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งบนบริการเวอร์ชวลคอนโซล สำหรับนินเท็นโด 3ดีเอส ในปี 2016 เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปี
ระบบเกม
[แก้]
ภาคเรดและบลู ใช้มุมมองบุคคลที่สามจากด้านบน แบ่งการเล่นออกเป็น 3 หน้าจอหลัก ได้แก่ หน้าจอแผนที่ (Overworld) สำหรับบังคับตัวละครหลัก[3] ฉากต่อสู้แบบมองข้าง[4] และหน้าจอเมนู ซึ่งผู้เล่นสามารถตั้งค่าทีมโปเกมอน จัดการไอเทม หรือปรับการตั้งค่าการเล่นเกมได้[5]
ผู้เล่นสามารถใช้โปเกมอนของตนต่อสู้กับโปเกมอนตัวอื่นได้ เมื่อพบโปเกมอนป่าหรือถูกเทรนเนอร์ท้าสู้ หน้าจอจะเปลี่ยนไปเป็นหน้าจอต่อสู้แบบเทิร์นเบส ซึ่งจะแสดงโปเกมอนของทั้งสองฝ่าย ระหว่างการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ท่าการโจมตีสูงสุด 4 ท่า ใช้ไอเทม เปลี่ยนโปเกมอนที่อยู่ในสนาม หรือพยายามหนี (แต่การหนีจะทำไม่ได้ในแมตช์กับเทรนเนอร์) โปเกมอนมีค่าฮิตพอยต์ (HP) เมื่อฮิตพอยต์ลดลงเหลือศูนย์ โปเกมอนจะหมดสติและไม่สามารถต่อสู้ได้จนกว่ามันจะถูกชุบชีวิต เมื่อโปเกมอนของฝ่ายตรงข้ามหมดสติ โปเกมอนของผู้เล่นที่ร่วมต่อสู้จะได้รับค่าประสบการณ์ (EXP) เมื่อสะสมได้มากพอ โปเกมอนจะขึ้นเลเวลใหม่[4] ซึ่งเลเวลมีผลต่อค่าพลังต่าง ๆ ในการต่อสู้ รวมถึงท่าที่สามารถเรียนได้ โปเกมอนบางชนิดจะสามารถวิวัฒนาการเมื่อถึงเลเวลที่กำหนด การวิวัฒนาการจะเปลี่ยนค่าสถานะและส่งผลต่อเลเวลที่สามารถเรียนท่าใหม่ได้ โดยโปเกมอนในร่างวิวัฒนาการขั้นสูงจะมีค่าสถานะเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อเลเวลอัป แต่บางครั้งอาจเรียนท่าใหม่ได้ช้ากว่าหรือไม่สามารถเรียนได้เลยเมื่อเทียบกับร่างก่อนวิวัฒนาการ[6]
การจับโปเกมอนเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของเกม ระหว่างการต่อสู้กับโปเกมอนป่า ผู้เล่นสามารถขว้างโปเกบอล (Poké Ball) ใส่โปเกมอน หากจับสำเร็จ โปเกมอนนั้นจะกลายเป็นของผู้เล่น ปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสจับสำเร็จ ได้แก่ ค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนเป้าหมาย สถานะผิดปกติ และชนิดของโปเกบอลที่ใช้ โดยยิ่งฮิตพอยต์ของเป้าหมายเหลือน้อย สถานะผิดปกติรุนแรง และโปเกบอลมีคุณภาพสูง ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการจับได้มากขึ้น[7] เป้าหมายสูงสุดของเกมคือการเติมเต็มสารานุกรมโปเกมอน หรือโปเกเดกซ์ (Pokédex) โดยการจับโปเกมอน พัฒนาร่าง และแลกเปลี่ยนให้ได้โปเกมอนครบ 151 ชนิด[8]
โปเกมอนเรดและบลูอนุญาตให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนระหว่างตลับเกมสองตลับได้ผ่านเกมลิงก์เคเบิล[9] การแลกเปลี่ยนนี้จำเป็นต้องทำเพื่อให้โปเกเดกซ์สมบูรณ์ เนื่องจากโปเกมอนบางตัวจะพัฒนาร่างต่อเมื่อถูกแลกเปลี่ยน และเกมแต่ละภาคจะมีโปเกมอนที่ไม่พบในอีกภาคหนึ่ง[1] สายลิงก์เคเบิลยังใช้สำหรับประลองทีมโปเกมอนของผู้เล่นคนอื่นได้ด้วย[9] เมื่อเล่นภาคเรดและบลูบนเกมบอยอัดวานซ์ หรือเอสพี เกมไม่รองรับสายเชื่อมมาตรฐาน GBA/SP ผู้เล่นต้องใช้สายเชื่อมนินเท็นโดยูนิเวอร์ซัลเกมลิงก์เคเบิลแทน[10] ยิ่งไปกว่านั้น เกมภาคภาษาอังกฤษจะเชื่อมต่อกับภาคภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องจากตัวเกมใช้ภาษาและชุดตัวอักษรต่างกัน การพยายามแลกเปลี่ยนระหว่างเวอร์ชันเหล่านี้จะทำให้ไฟล์เซฟเสียหาย[11]
นอกจากการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกับ ภาคเยลโลว์ แล้ว โปเกมอน เรดและบลู ยีงสามารถแลกเปลี่ยนกับเกมโปเกมอนเจเนอเรชันที่สอง โปเกมอน โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัลได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดคือ เกมจะไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้หากในทีมของผู้เล่นมีโปเกมอนหรือท่าที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเจเนอเรชันที่สอง[12] นอกจากนี้ หากใช้ทรานสเฟอร์แพ็ก สำหรับนินเท็นโด 64 ข้อมูล เช่น โปเกมอนและไอเทมจากโปเกมอน เรดและบลู สามารถนำไปใช้ในเกม โปเกมอน สเตเดียม[13] และโปเกมอน สเตเดียม 2[14] ได้ อย่างไรก็ตาม โปเกมอน เรดและบลูจะไม่สามารถใช้งานร่วมกับเกมโปเกมอนในยุค "อัดวานซ์เจเนอเรชัน" ของเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ หรือเกมคิวบ์ได้[15]
บั๊กและกลิตช์
[แก้]โปเกมอนเรดและบลู ยังโดดเด่นในด้านกลิตช์จำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดจากขอบเขตของเกมที่กว้างเกินประสบการณ์การพัฒนาของเกมฟรีกในขณะนั้น[16] หนึ่งในกลิตช์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการพบกับ MissingNo. (ย่อมาจาก “Missing Number”) ซึ่งเป็นโปเกมอนกลิตช์ที่มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวิธีการทำกลิตช์[17] นอกจากนี้ยังมีโปเกมอนอื่น ๆ ที่สามารถพบได้จากการใช้กลิตช์ เช่น โปเกมอนมายา มิว ที่ปกติไม่สามารถหาได้ในเกม อีกหนึ่งกลิตช์ที่มีชื่อว่า "EXP underflow glitch" ทำให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งค่าตัวเลขแบบจำนวนเต็มไม่มีเครื่องหมาย (unsigned integer) ในโค้ดของเกม สำหรับโปเกมอนที่อยู่ในกลุ่มค่าประสบการณ์ "medium slow" เพื่อทำให้โปเกมอนดังกล่าวมีเลเวลสูงสุดได้ทันที[18]
โครงเรื่อง
[แก้]เนื้อเรื่อง
[แก้]ผู้เล่นเริ่มต้นการผจญภัยที่บ้านเกิดในเมืองพัลเลตทาวน์ ภูมิภาคคันโต หลังจากเดินลุยเข้าไปในพงหญ้าสูงเพียงลำพัง ศาสตราจารย์ซามูเอล โอ๊ก นักวิจัยโปเกมอนชื่อดัง จะเข้ามาหยุดผู้เล่น อธิบายว่าพงหญ้าสูงอาจมีโปเกมอนป่าอยู่ และการเข้าไปคนเดียวอาจเป็นอันตรายได้[19] จากนั้นเขาจะพาผู้เล่นไปยังห้องทดลอง ซึ่งผู้เล่นจะได้พบกับหลานชายของเขาที่นั่น เขาเป็นคู่แข่งที่มีความฝันอยากเป็นโปเกมอนเทรนเนอร์ ผู้เล่นและคู่แข่งจะได้รับคำสั่งให้เลือกโปเกมอนเริ่มต้นสำหรับการเดินทาง โดยมีให้เลือก 3 ตัวคือ ฟุชิงิดาเนะ เซนิกาเมะ และฮิโตคาเงะ[20] หลานชายของโอ๊กจะเลือกโปเกมอนที่มีความได้เปรียบต่อโปเกมอนเริ่มต้นของผู้เล่นเสมอ จากนั้นเขาจะท้าสู้โปเกมอนแบตเทิลกับผู้เล่นเป็นครั้งแรก และจะกลับมาท้าสู้กับผู้เล่นอีกในบางช่วงของเกม[21]
ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้พบกับสถานที่พิเศษที่เรียกว่า "ยิม" ภายในจะมีหัวหน้ายิมรอท้าสู้ ซึ่งผู้เล่นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อสะสมเข็มกลัดยิมครบทั้ง 8 อัน เมื่อได้ครบแล้ว ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่การแข่งขันคันโตลีกที่ที่ราบสูงอินดิโก ซึ่งรวมเหล่าเทรนเนอร์โปเกมอนที่เก่งที่สุดในภูมิภาคเอาไว้ ที่นั่นผู้เล่นต้องต่อสู้กับสี่จตุรเทพ และปิดท้ายด้วยการชิงแชมป์กับแชมเปียนคนปัจจุบันของคันโตลีกซึ่งก็คือคู่แข่งของผู้เล่น[22] ตลอดการผจญภัย ผู้เล่นยังต้องต่อกรกับทีมร็อกเก็ต องค์กรอาชญากรรมที่ใช้โปเกมอนก่ออาชญากรรมหลากหลายรูปแบบ[6] พวกเขาวางแผนมากมายเพื่อขโมยโปเกมอนหายาก ซึ่งผู้เล่นต้องหยุดแผนการเหล่านั้นให้ได้[23][24]
ฉากท้องเรื่อง
[แก้]โปเกมอน เรดและบลู มีฉากหลังอยู่ในภูมิภาคคันโต ซึ่งอ้างอิงจากภูมิภาคคันโตในประเทศญี่ปุ่น ตัวภูมิภาคประกอบด้วยถิ่นที่อยู่อาศัยหลากหลายสำหรับโปเกมอนทั้ง 151 สายพันธุ์ เมืองและชุมชนของมนุษย์ รวมถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อพื้นที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน บางพื้นที่จะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นมีความสามารถพิเศษหรือได้ไอเทมเฉพาะ[25] คันโตมีหลายเมืองและชุมชน ได้แก่ เมืองพัลเลตทาวน์, วิริเดียนซิตี, พิวเตอร์ซิตี, เซรูเลียนซิตี, เวอร์มิเลียนซิตี, ลาเวนเดอร์ทาวน์, เซลาดอนซิตี, ฟูเชียซิตี, แซฟฟรอนซิตี, เกาะซินนาบาร์ และที่ราบสูงอินดิโก โดยทุกแห่งยกเว้นพัลเลตทาวน์, ลาเวนเดอร์ทาวน์ และที่ราบสูงอินดิโก จะมียิมพร้อมหัวหน้ายิมซึ่งทำหน้าที่เป็นบอส ส่วนการต่อสู้กับสี่จตุรเทพ และการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับคู่แข่งจะเกิดขึ้นที่ที่ราบสูงอินดิโก พื้นที่สำหรับจับโปเกมอนมีหลากหลาย ตั้งแต่ในถ้ำ เช่น ภูเขามูน, ถ้ำหิน, เกาะซีโฟม และถ้ำเซรูเลียน ไปจนถึงในทะเล ซึ่งชนิดของโปเกมอนที่พบจะต่างกันออกไป เช่น เมโนคุราเกะ (Tentacool) จะพบได้จากการตกปลา หรือเมื่อผู้เล่นอยู่ในแหล่งน้ำ ขณะที่ซูแบตจะพบได้เฉพาะในถ้ำเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]
การพัฒนา
[แก้]ผู้พัฒนาเกม ซาโตชิ ทาจิริ ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับโปเกมอนต่อทีมงานนินเท็นโด ในปี 1990[26] แต่กลับถูกมองด้วยความสงสัย หลายคนเชื่อว่าแนวคิดนี้ทะเยอทะยานเกินไปและยากที่จะเห็นถึงเสน่ห์ของมัน อย่างไรก็ตาม ชิเงรุ มิยาโมโตะมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในแนวคิดนี้ และได้โน้มน้าวให้บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อไป[27]
แนวคิดแรกเริ่มของ โปเกมอน มาจากงานอดิเรกสะสมแมลง ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ทาจิริชื่นชอบในวัยเด็ก[28] แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาสังเกตว่าบ้านเมืองเริ่มถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนแมลงในพื้นที่ลดลง เขายังเห็นว่าเด็ก ๆ หันไปเล่นอยู่ในบ้านแทนการออกไปเล่นข้างนอก ทาจิริจึงเกิดไอเดียสร้างวิดีโอเกมที่มีสิ่งมีชีวิตคล้ายแมลง เรียกว่า "โปเกมอน" เขาเชื่อว่าเด็ก ๆ จะสามารถผูกพันกับโปเกมอนได้ผ่านการตั้งชื่อให้พวกมัน และควบคุมพวกมันเพื่อสะท้อนอารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโกรธ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการระบายความเครียด อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้โปเกมอนจะไม่เลือดออกหรือเสียชีวิต แต่เพียงแค่หมดสติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทาจิริให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเขาไม่ต้องการให้โลกของเกมเต็มไปด้วย "ความรุนแรงที่ไร้ความหมาย"[29]
แนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอนมีที่มาจากประสบการณ์ที่ทำให้ทาจิริรู้สึกหงุดหงิดระหว่างเล่นดรากอนเควสต์ II: ลูมินารีส์ออฟเดอะเลเจนดารีไลน์ เขาพยายามหาของหายากที่ดรอปจากศัตรู แต่ไม่สามารถได้มา ขณะนั้นเคน สุงิโมริก็เล่นเกมเดียวกันและบังเอิญได้ของชิ้นนั้นมาสองชิ้น ทาจิริอยากได้ชิ้นที่เกินมา จึงพยายามหาวิธีว่าจะสามารถแลกไอเทมระหว่างเกมได้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็พบว่าทำไม่ได้บนเครื่องแฟมิคอม[30] เมื่อเกมบอยวางจำหน่าย ทาจิริคิดว่ามันเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับไอเดียของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมีลิงก์เคเบิล ซึ่งเขามองว่าสามารถใช้เพื่อให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันได้ แนวคิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ถือเป็นสิ่งใหม่ในวงการเกม เนื่องจากก่อนหน้านั้นสายเชื่อมต่อถูกใช้เพียงเพื่อการแข่งขันเท่านั้น[31] ทาจิริเล่าว่า "ผมจินตนาการถึงข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเมื่อเชื่อมเกมบอยสองเครื่องด้วยสายพิเศษ แล้วก็คิดว่า ว้าว นี่มันต้องเจ๋งแน่ ๆ!"[32] เมื่อมิยาโมโตะได้ยินแนวคิดเรื่องโปเกมอน เขาแนะนำให้สร้างเป็นตลับหลายเวอร์ชันที่มีโปเกมอนแตกต่างกันในแต่ละภาค เพื่อช่วยเสริมความสำคัญของการแลกเปลี่ยน[33] นอกจากนี้ทาจิริยังได้รับแรงบันดาลใจจากเกม เดอะไฟนอลแฟนตาซีเลเจนด์ บนเกมบอยของค่ายสแควร์ ซึ่งทำให้เขาเห็นว่า เครื่องเกมบอยสามารถพัฒนาเกมที่ไม่ใช่แอ็กชันเพียงอย่างเดียวได้[34]
ตัวละครหลักในเกมถูกตั้งชื่อตามบุคคลจริง โดย "ซาโตชิ" ได้แรงบันดาลใจจากทาจิริเองในวัยเด็ก ส่วน "ชิเงรุ" มาจากชิเงรุ มิยาโมโตะ เพื่อนสนิท ต้นแบบ ผู้ให้คำแนะนำ และนักพัฒนาของนินเท็นโดเช่นกัน[[29][35] เค็ง ซูงิโมริ ศิลปินและเพื่อนสนิทของทาจิริ รับหน้าที่ออกแบบและวาดโปเกมอน โดยมีทีมงานไม่ถึงสิบคนช่วยกันสร้างสรรค์ดีไซน์ของโปเกมอนทั้ง 151 ตัว อัตสึโกะ นิชิดะเป็นผู้ออกแบบพิคาชู ฟุชิกิดาเนะ ฮิโตะคาเงะ เซนิกาเมะ และโปเกมอนอีกหลายตัว[36] จากนั้นสุงิโมริจะเป็นผู้ปรับแต่งและเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้าย โดยวาดโปเกมอนในมุมมองต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกของเกมฟรีกสามารถสร้างภาพในเกมได้อย่างถูกต้อง[37][38]
เดิมทีเกมนี้มีชื่อว่า แคปซูลมอนสเตอส์ แต่เนื่องจากปัญหาด้านเครื่องหมายการค้า จึงถูกเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง เช่น CapuMon และ KapuMon ก่อนจะมาลงตัวที่ชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์[39][40] ทาจิริเคยคิดมาโดยตลอดว่า นินเท็นโดคงจะปฏิเสธเกมนี้ เพราะในตอนแรกบริษัทเองก็ไม่เข้าใจแนวคิดนัก แต่ท้ายที่สุดเกมกลับประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งทาจิริและ นินเท็นโด ไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความนิยมของเครื่อง เกมบอย กำลังลดลง[29]
ทาจิริเล่าว่าแนวคิดของโปเกบอล ได้แรงบันดาลใจมาจากแคปซูลมอนสเตอร์ ในซีรีส์โทรทัศน์ซูเปอร์ฮีโรแนวโทกูซัตสึ อุลตร้าเซเว่น (1967–1968)[41] ส่วนทางนินเท็นโดใช้งบการตลาดสำหรับ โปเกมอน เรด และบลู ในสหรัฐอเมริกามากถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[42]
ดนตรี
[แก้]เพลงประกอบของเกมสร้างสรรค์โดยจุนอิจิ มาสึดะ ซึ่งใช้ช่องเสียงทั้งสี่ของเกมบอยในการแต่งทั้งทำนอง เอฟเฟกต์เสียง และเสียงร้องของโปเกมอนที่ได้ยินเมื่อพบพวกมัน เขาแต่งธีมเปิดเกมโดยนึกถึงฉากการต่อสู้ ใช้เสียง white noise เพื่อเลียนเสียงดนตรีแนวเดินขบวนและเสียงกลองเล็ก[43] มาสึดะเขียนเพลงที่บ้านด้วยคอมพิวเตอร์คอมโมดอร์ อะมีกา ซึ่งรองรับเพียงการเล่นเสียงแซมเปิล PCM ก่อนจะเขียนโปรแกรมแปลงให้นำมาใช้กับเกมบอยได้[44]
การจำหน่าย
[แก้]ในญี่ปุ่น พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ เรด และ กรีน เป็นเวอร์ชันแรกที่วางจำหน่าย การพัฒนาเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 1995 โดยเดิมมีกำหนดวางขายวันที่ 21 ธันวาคม 1995[45] แต่ถูกเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1996[46][47] เนื่องจากสินค้าประกอบอื่น ๆ ยังไม่พร้อมสำหรับการขาย[48] แม้ช่วงแรกยอดขายจะไม่สูงนัก แต่ต่อมาก็ทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง[49] ไม่กี่เดือนต่อมา พ็อกเก็ตมอนสเตอส์ บลู ก็วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นเวอร์ชันพิเศษแบบสั่งซื้อทางไปรษณีย์เท่านั้น[50] สำหรับสมาชิกนิตยสารโคโระโคโระคอมมิก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1996 ก่อนจะวางขายทั่วไปในวันที่ 10 ตุลาคม 1999[51][52] โดยเวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงงานศิลป์ในเกมและเพิ่มบทสนทนาใหม่ ๆ[53] ใช้คาเมกซ์เป็นมาสคอต และโค้ด สคริปต์ รวมถึงงานศิลป์จากเวอร์ชันบลูนี้เองถูกนำไปใช้ในเวอร์ชันสากลของ เรด และ กรีน ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เรด และ บลู[50] อย่างไรก็ตาม บลู ฉบับญี่ปุ่น มีโปเกมอนเกือบทั้งหมดจาก เรด และ กรีน แต่ยังคงมีบางชนิดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในเวอร์ชันดั้งเดิมเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]
เพื่อสร้างความน่าสนใจ ทาจิริได้เปิดเผยโปเกมอนลับที่ชื่อว่า มิว ซึ่งเขาเชื่อว่า "ก่อให้เกิดข่าวลือและตำนานมากมายเกี่ยวกับเกม" และ "ช่วยทำให้ความสนใจยังคงอยู่ต่อไป"[29] แท้จริงแล้ว ชิเงกิ โมริโมโตะใส่มิวเข้าไปในเกม ในฐานะมุกเล่นภายในทีม และไม่ได้ตั้งใจให้ผู้เล่นทั่วไปได้พบเห็น[54] ต่อมา นินเท็นโดจึงตัดสินใจแจกมิวผ่านกิจกรรมโปรโมชันอย่างเป็นทางการ แต่ในปี 2003 มีการค้นพบบั๊กที่ทำให้ผู้เล่นสามารถได้มิว โดยไม่ต้องพึ่งกิจกรรมจากนินเท็นโดเลย[55]
ระหว่างการทำโลคัลไลซ์เวอร์ชันอเมริกาเหนือของโปเกมอน ทีมเล็ก ๆ ที่นำโดย ฮิโระ นากามูระ ได้ตรวจสอบโปเกมอนแต่ละตัว และตั้งชื่อใหม่สำหรับผู้เล่นตะวันตกตามรูปลักษณ์และลักษณะเฉพาะ หลังจากได้รับการอนุมัติจาก นินเท็นโด แล้ว นอกจากนี้ นินเท็นโด ยังได้จดเครื่องหมายการค้าให้กับชื่อโปเกมอนทั้ง 151 ตัว เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นชื่อเฉพาะของแฟรนไชส์[56] ระหว่างกระบวนการแปลพบว่า การแค่เปลี่ยนข้อความจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากซอร์สโค้ดอยู่ในสภาพเปราะบางจากระยะเวลาการพัฒนาที่นานผิดปกติ เกมจึงต้องถูกเขียนโปรแกรมขึ้นใหม่ทั้งหมด[38] โดยอ้างอิงจากเวอร์ชันญี่ปุ่น บลู ที่ใหม่กว่า ทั้งในแง่ของโค้ดและงานศิลป์ แต่ยังคงการกระจายโปเกมอนเหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่น เรด และ กรีน[50]
ขณะที่โปเกมอน เรด และ บลู ฉบับสมบูรณ์กำลังเตรียมวางจำหน่าย มีรายงานว่านินเท็นโดใช้งบโปรโมชันมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากกังวลว่าเกมอาจไม่ดึงดูดเด็กชาวอเมริกัน[57] ทีมโลคัลไลซ์ฝั่งตะวันตกเตือนว่า "สัตว์ประหลาดน่ารัก ๆ" อาจไม่เป็นที่ยอมรับในอเมริกา และแนะนำให้ปรับดีไซน์ให้ดุดันมากขึ้น แต่ประธานนินเท็นโดในขณะนั้น ฮิโรชิ ยามาอุจิปฏิเสธ พร้อมมองว่าการตอบรับจากอเมริกาเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญ[58] แม้จะมีอุปสรรค แต่สุดท้ายเวอร์ชันที่รีโปรแกรมใหม่ของเรด และ บลู พร้อมดีไซน์ดั้งเดิมก็ได้วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1998 กว่าสองปีครึ่งหลังจากเรด และ กรีน เปิดตัวในญี่ปุ่น[59][60] และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนโปเกมอนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรอย่างมหาศาลในอเมริกา[58] หลังจากนั้นเวอร์ชันเดียวกันถูกวางจำหน่ายในออสเตรเลียช่วงปลายปี 1998[61] และในยุโรปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1999[62][63] โดยถือเป็นเกมรองสุดท้ายที่ออกสำหรับเครื่อง เกมบอย ดั้งเดิมในยุโรป ก่อนที่โปเกมอน เยลโลว์เวอร์ชัน: สเปเชียลพิคาชูเอดิชัน จะเป็นเกมสุดท้าย[ต้องการอ้างอิง]
โปเกมอน เยลโลว์
[แก้]สองปีหลังจากการวางจำหน่ายภาคเรด และ กรีน ทางนินเท็นโดได้ออกเกมโปเกมอน เยลโลว์ ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงของเรด และ บลู โดยวางจำหน่ายในญี่ปุ่นปี 1998[64][65] และตามมาด้วยอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 1999[66] และ 2000[67] เกมนี้ถูกออกแบบให้ใกล้เคียงกับอนิเมะซีรีส์ของโปเกมอน โดยผู้เล่นจะได้รับพิคาชู เป็นโปเกมอนเริ่มต้น ขณะที่คู่แข่งจะได้อีวุย นอกจากนี้ยังมีตัวละครบางส่วนที่อ้างอิงจากอนิเมะ เช่น มุซาชิ และโคจิโร จากทีมร็อกเก็ต[68]
โปเกมอน เยลโลว์ มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มลูกเล่นหลายอย่างจากเกมต้นฉบับ โดยผู้เล่นจะได้พิคาชูเป็นโปเกมอนเริ่มต้นเพียงตัวเดียว ซึ่งมีทั้งเสียงพิเศษและบุคลิกเฉพาะแตกต่างจากโปเกมอนอื่น มันจะเดินตามผู้เล่นบนแผนที่ และผู้เล่นสามารถโต้ตอบกับมันได้ พิคาชูสามารถรักหรือเกลียดผู้เล่นขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่น หากเลเวลเพิ่มบ่อย ๆ มันจะมีความสุข แต่หากหมดสติบ่อย ๆ มันจะไม่พอใจ คุณสมบัตินี้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในโปเกมอน ฮาร์ตโกลด์ และ โซลซิลเวอร์ ภาครีเมกของโปเกมอน โกลด์ และ ซิลเวอร์ รวมถึงโปเกมอน: เลตส์โก, พิคาชู! และ เลตส์โก, อีวุย! ภาครีเมกของเยลโลว์[69] นอกจากนี้ เยลโลว์ยังมีมินิเกม "พิคาชูส์บีช" ที่จะปลดล็อกได้เฉพาะผู้เล่นที่ชนะการประกวดของนินเท็นโด หรือผ่านความท้าทายในเกมโปเกมอน สเตเดียม แล้วโอนข้อมูลระหว่างเกมด้วยทรานส์เฟอร์แพ็ก[70] ตัวเกมยังปรับกราฟิกให้ดีขึ้นเล็กน้อย และสามารถพิมพ์ข้อมูลโปเกเดกซ์ ออกมาเป็นสติกเกอร์ได้ด้วยเกมบอยพรินเตอร์[69][71]
โปเกมอน เยลโลว์ ถูกพัฒนาโดยเกมฟรีก หลังจากที่เวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของโปเกมอน บลู เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีข้อมูลจากซอร์สโค้ดที่รั่วออกมาของ นินเท็นโดบ่งชี้ว่า บริษัทอาจเคยพิจารณาทำเวอร์ชัน "โปเกมอน พิงก์" คู่กับเยลโลว์ด้วย[72]
การวางจำหน่ายของโปเกมอน เยลโลว์ เกิดขึ้นพร้อมกับการออกฉายของโปเกมอน เดอะมูฟวี่ ตอน ความแค้นของมิวทู โดยมีการประกาศในญี่ปุ่นครั้งแรกในชื่อ พ็อกเก็ตมอนสเตอส์เยลโลว์[73] ต่อมา ซาโตรุ อิวาตะ ประธานนินเท็นโดในเวลาต่อมาได้กล่าวว่า ผู้คนอาจมองว่าเยลโลว์เป็นเกมที่ไม่จำเป็น เนื่องจากโปเกมอน โกลด์ และ ซิลเวอร์ กำลังจะออกในปีเดียวกัน[74] เกมนี้วางจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 1998 จากนั้นตามมาที่ออสเตรเลียวันที่ 3 กันยายน 1999[75] อเมริกาเหนือวันที่ 19 ตุลาคม 1999 และยุโรปวันที่ 16 มิถุนายน 2000[76] พร้อมกันนั้นยังมีการออกเครื่องเกมบอยคัลเลอร์ลายพิเศษธีมพิคาชูในอเมริกาเหนือช่วงตุลาคม 1999 ด้วย[77] ในการส่งเสริมการวางจำหน่าย ฟ็อลคส์วาเกิน และนินเท็นโดได้ร่วมกันสร้างฟ็อลคส์วาเกิน นิวบีเทิล สีเหลืองที่ตกแต่งด้วยแรงบันดาลใจจากพิคาชู[78] ทั้งนี้ นินเท็นโดเวิลด์รีพอร์ตได้ยกให้โปเกมอน เยลโลว์ เป็นหนึ่งในเกมพกพาที่โดดเด่นที่สุดของปี 1999[79]
การจำหน่ายซ้ำ
[แก้]ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการวางจำหน่ายเกมโปเกมอนเจเนอเรชันแรกในญี่ปุ่น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016 นินเท็นโด ได้นำภาคเรด บลู และเยลโลว์ กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งบนบริการเวอร์ชวลคอนโซลของนินเท็นโด 3ดีเอส โดยมาพร้อมคุณสมบัติใหม่เป็นครั้งแรกของ เวอร์ชวลคอนโซล คือการจำลองการทำงานของสายลิงก์เคเบิล เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนและประลองโปเกมอนระหว่างเกมได้[80] ส่วนภาคกรีนยังคงเป็นเวอร์ชันพิเศษที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น[81] และเวอร์ชันเหล่านี้สามารถโอนโปเกมอนไปยัง โปเกมอน ซัน และ มูน ได้ผ่านแอปโปเกมอนแบงก์[82]
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2016 มีการวางจำหน่ายชุดพิเศษ นินเท็นโด 2ดีเอส บันเดิล ในญี่ปุ่น ยุโรป และออสเตรเลีย โดยตัวเครื่องออกแบบให้มีสีตรงกับเวอร์ชันของเกม[83] ขณะที่อเมริกาเหนือได้รับชุดพิเศษ นิวนินเท็นโด 3ดีเอส บันเดิล พร้อมฝาครอบที่ออกแบบตามลวดลายหน้ากล่องของภาคเรด และบลู[84] ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2016 ยอดขายรวมของเวอร์ชันรีรีลีสทั้งหมดทำได้ถึง 1.5 ล้านชุด โดยกว่าครึ่งหนึ่งมาจากตลาดอเมริกาเหนือ[85]
การตอบรับ
[แก้]| การตอบรับ | ||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ||||||||||||||||||||||
โปเกมอน เรด และ บลู ได้รับเสียงรีวิวเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 88% บนเกมแรงกิงส์[86] โดยเฉพาะคุณลักษณะผู้เล่นหลายคนอย่างการแลกเปลี่ยนและการต่อสู้โปเกมอนที่ได้รับคำชมเป็นพิเศษ เครก แฮร์ริส จากไอจีเอ็นให้คะแนนเต็ม 10/10 พร้อมกล่าวว่า "แม้คุณจะเล่นจบแล้ว ก็อาจยังไม่ได้โปเกมอนครบทุกตัว ความท้าทายในการจับให้ครบทุกตัวนี่แหละคือเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกม" เขายังพูดถึงความนิยมของเกม โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ ว่าเป็นเหมือน "กระแสนิยม"[1] ด้านปีเตอร์ บาร์โธโลว์ จากเกมสปอต ให้คะแนน 8.8/10 โดยมองว่ากราฟิกและเสียงค่อนข้างล้าสมัย แต่ถือเป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อย เขายกย่องความคุ้มค่าที่เล่นซ้ำได้สูงจากการปรับแต่งและความหลากหลาย พร้อมชี้ว่าเกมนี้มีเสน่ห์สากล "ภายใต้รูปลักษณ์น่ารัก โปเกมอนคือเกมเล่นตามบทบาทที่จริงจังและไม่เหมือนใคร เต็มไปด้วยความลึกซึ้งและระบบผู้เล่นหลายคนที่ยอดเยี่ยม ในฐานะเกมเล่นตามบทบาท มันเข้าถึงได้ง่ายสำหรับมือใหม่ แต่ก็ยังมอบความสนุกให้แฟนเกมสายฮาร์ดคอร์ได้เช่นกัน นี่คือหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของเกมบอยอย่างไม่ต้องสงสัย"[6]
ความสำเร็จของเกมโปเกมอน เรด และ บลู มักถูกยกเครดิตให้กับประสบการณ์การเล่นที่แปลกใหม่มากกว่าด้านภาพหรือเสียง งานวิจัยจากโคลัมเบียบิซิเนสสกูลจนถึงปี 1999 ชี้ว่า เด็กทั้งชาวอเมริกันและญี่ปุ่นต่างให้ความสำคัญกับรูปแบบการเล่นจริง ๆ มากกว่าลูกเล่นทางภาพและเสียงพิเศษ ในกรณีของโปเกมอน การที่เกมไม่ได้พึ่งพาลูกเล่นเหล่านี้ กลับช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ได้มากขึ้น[91] หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนแสดงความคิดเห็นว่า "ท่ามกลางการพูดถึงเกมเอนจินและการกำหนดลวดลายพื้นผิวมากมาย การได้เจอกับระบบเกมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มันช่างสดชื่น และทำให้คุณลืมไปเลยว่ากราฟิกยังเป็นแบบ 8 บิตน่ารัก ๆ"[92]
ในการประกาศรางวัล อินเตอร์แอ็กทีฟอะชีฟเมนต์ ครั้งที่ 2 ของสถาบันศิลปะและวิทยาศาสตร์เชิงปฏิสัมพันธ์ (AIAS) โปเกมอน เรด และ บลู คว้ารางวัล "รางวัลความเป็นเลิศด้านการพัฒนาตัวละครหรือโครงเรื่อง" มาครอง พร้อมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในอีกสามสาขา ได้แก่ "เกมคอนโซลแห่งปี", "เกมเล่นตามบทบาทบนเครื่องคอนโซลแห่งปี" และ "รางวัลความเป็นเลิศด้านการออกแบบเชิงปฏิสัมพันธ์"[93][94]
โปเกมอน เยลโลว์
[แก้]โปเกมอน เยลโลว์ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ โดยมีคะแนนเฉลี่ย 85% บนเกมแรงกิงส์ และถูกจัดให้เป็นเกมบนเกมบอยที่ได้คะแนนสูงที่สุดอันดับ 5 ตลอดกาล[95] หนังสือพิมพ์ซาราโซตาเฮรัลด์ทริบูน แนะนำว่าเยลโลว์เป็นเกมที่เหมาะสำหรับเด็ก[96] ขณะที่อาร์พีจีแฟน ระบุว่าเกมนี้ "เสพติดอย่างร้ายกาจจนผู้เล่นไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องจับให้ครบทุกตัว" แต่ก็วิจารณ์ว่าเยลโลว์ "น่าผิดหวัง" ตรงที่เพิ่มเนื้อหาใหม่จาก เรด และ บลู ค่อนข้างน้อย[97] ด้านเครก แฮร์ริส จากไอจีเอ็น ให้คะแนนเต็ม พร้อมชื่นชมระบบการเล่น โดยเขามองว่าเยลโลว์คือเกมที่เหมาะที่สุดสำหรับการเริ่มต้นในบรรดาทั้งสามภาค[71]
คาเมรอน เดวิส จากเกมสปอต มองว่าโปเกมอน เยลโลว์ เป็นเพียง "ตัวคั่นเวลา" เพื่อเอาใจผู้เล่นก่อนที่ภาคโกลด์ และ ซิลเวอร์ จะออก โดยกล่าวว่า "ความท้าทายใหม่ ๆ พอจะเติมช่องว่างได้ – แต่ก็แค่พอเท่านั้น"[98] คริส บัฟฟา จากเกมเดลี จัดให้เยลโลว์เป็นหนึ่งในเกมโปเกมอนที่ดีที่สุด โดยให้ความเห็นว่า แม้จะเป็นการนำของเก่ามาใช้ซ้ำ แต่ก็มีสิ่งใหม่ ๆ เพียงพอให้คุ้มค่าที่จะเล่น[99] แบรด คุก จากออลเกม เห็นว่า สำหรับคนที่ไม่เคยเล่น เรด และ บลู มาก่อน เยลโลว์ ถือว่าเป็นเกมที่ดี แต่ถ้าเคยเล่นแล้ว เขาแนะนำให้รอจนกว่าโกลด์ และ ซิลเวอร์ จะออกจะดีกว่า[100] ส่วนสตีฟ บ็อกเซอร์ จากเดอะเดลีเทเลกราฟ แสดงความคิดเห็นว่า แม้ เยลโลว์ จะมีระบบการเล่นที่ดี แต่กลับถูกจำกัดด้วยการขาดฟีเจอร์ใหม่ ๆ พร้อมวิจารณ์การตัดสินใจของ นินเท็นโด ว่า "เยลโลว์ คือจุดที่ โปเกมอน เลิกเป็นแค่เกม และกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด/ตัวสนองความคลั่งไคล้แทน"[101]
โปเกมอน เยลโลว์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในงานประกาศรางวัล อินเตอร์แอ็กทีฟอะชีฟเมนต์ ครั้งที่ 3 ถึงสองสาขา ได้แก่ "เกมแห่งปี" และ "เกมคอนโซลแห่งปี"[102][103]
สิ่งสืบทอด
[แก้]
เว็บไซต์เกมวันอัปดอตคอม ได้จัดอันดับ "5 อันดับเกมที่มาทีหลัง'" รวมเกมที่ "พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังไม่ถูกใช้" ของเครื่องเกม และเป็นหนึ่งในเกมท้าย ๆ ของคอนโซลนั้น ๆ โดย เรด และบลู ถูกจัดอยู่อันดับหนึ่ง และถูกเรียกว่าเป็น "อาวุธลับ" ของนินเท็นโด เมื่อออกบนเกมบอย ในช่วงปลายยุค 1990[32] ความสำเร็จนี้ช่วยปลุกกระแส เกมบอย ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง[104] นินเท็นโดเพาเวอร์จัดภาคเรด และบลู รวมกันให้อันดับ 3 ของเกมยอดเยี่ยมบนเกมบอย และเกมบอยคัลเลอร์ โดยให้เหตุผลว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผู้เล่นอยากเล่นต่อไปจนกว่าจะจับโปเกมอนได้ครบทุกตัว[105] ขณะที่เบน รีฟส์ จากเกมอินฟอร์มเมอร์ ยกให้ เรด บลู (รวมถึง เยลโลว์, โกลด์, ซิลเวอร์ และ คริสตัล) เป็นเกมอันดับสองของเกมบอย โดยกล่าวว่ามีความลึกซึ้งเกินกว่าที่เห็นภายนอก[106] ออฟฟิเชียลนินเท็นโดแมกกาซีน ยกให้เรด และบลู เป็นหนึ่งในเกมนินเท็นโดที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยอยู่อันดับ 52 จาก 100 อันดับเกม[107] ส่วนไอจีเอ็นจัดให้อยู่ในอันดับ 72 ของ "100 อันดับเกมตลอดกาล" ปี 2003 โดยระบุว่าทั้งสองเกม "คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ" และชื่นชมดีไซน์เกมที่ลึกซึ้ง กลยุทธ์ที่ซับซ้อน รวมถึงระบบการแลกเปลี่ยนโปเกมอน[108] ต่อมาในปี 2005 เกมทั้งสองขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 70 พร้อมถูกย้ำอีกครั้งว่ามรดกของมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่อ เกมอื่น ๆ ภาพยนตร์ ซีรีส์ทีวี และสินค้ามากมาย กลายเป็นรากฐานสำคัญในวัฒนธรรมสมัยนิยม[109] ในปี 2019 พีซีแมกกาซีนจัดให้อยู่ใน "10 อันดับเกมเกมบอยยอดเยี่ยม"[110] และในปี 2023 ไทม์เอกซ์เทนชันใส่ไว้ในรายชื่อ "เกมเจอาร์พีจียอดเยี่ยมตลอดกาล"[111] นอกจากนี้ ในปี 2007 เรด และ บลู ถูกจัดอยู่อันดับ 37 โดยรีวิวระบุถึงความยืนยาวของเกมว่า:
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทศวรรษถัดมา เริ่มต้นที่นี่กับโปเกมอน เรด/บลู การผสมผสานของการสำรวจ การฝึกฝน การต่อสู้ และการแลกเปลี่ยน สร้างเกมที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น และยังบังคับให้ผู้เล่นต้องเข้าสังคมเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดที่เกมมีให้ เกมนี้ทั้งยาว น่าดื่มด่ำ และเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ติดงอมแงมอย่างที่มีเพียงเกมชั้นยอดเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร แต่มีไม่กี่แฟรนไชส์เกมที่ยังคงได้รับความนิยมมหาศาลแม้เวลาผ่านไปสิบปีหลังจากออกวางจำหน่ายครั้งแรก[35]
เกมมักได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดเริ่มต้นและปูทางสู่ความสำเร็จของแฟรนไชส์ที่เติบโตจนมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์[32] ห้าปีหลังจากการเปิดตัว เรด และบลู ทางนินเท็นโดได้จัดฉลอง "โปเกมอนนิเวอร์แซรี" โดยจอร์จ แฮร์ริสัน รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กรของนินเท็นโดออฟอเมริกา กล่าวไว้ว่า "อัญมณีล้ำค่าเหล่านั้น [โปเกมอน เรด และบลู] ได้วิวัฒนาการมาเป็นรูบี และแซฟไฟร์ การเปิดตัวโปเกมอน พินบอล คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ของโปเกมอนอีกมากมายที่จะทยอยเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า"[112] นับแต่นั้นมา ซีรีส์โปเกมอนได้มียอดขายเกมรวมมากกว่า 300 ล้านชุด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเรด และบลู รุ่นดั้งเดิม[32][113]
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014 โปรแกรมเมอร์ชาวออสเตรเลียที่ไม่เปิดเผยชื่อได้เปิดตัวทวิตช์เพลส์โปเกมอน ซึ่งเป็น "การทดลองทางสังคม" บนเว็บไซต์สตรีมมิง ทวิตช์ โดยโครงการนี้ให้ผู้ชมจำนวนมากร่วมกันเล่นเกม โปเกมอน เรด รุ่นดัดแปลง ผ่านการพิมพ์คำสั่งลงในช่องสนทนา โดยมีผู้เข้าร่วมพร้อมกันเฉลี่ยถึง 50,000 คน ผลลัพธ์ถูกเปรียบเปรยว่าเหมือนกับ "การดูอุบัติเหตุรถชนแบบภาพช้า"[114] เกมดังกล่าวถูกเล่นจนจบในวันที่ 1 มีนาคม 2014 โดยใช้เวลารวมกว่า 390 ชั่วโมง ของการเล่นต่อเนื่องที่ผู้เล่นหลายหมื่นคนควบคุมพร้อมกัน[115]
ในปี 2017 พิพิธภัณฑ์ The Strong National Museum of Play ได้บรรจุโปเกมอน เรด และกรีน เข้าสู่ World Video Game Hall of Fame[116] ต่อมาในเดือนตุลาคม 2021 สมาคมซูโม่ญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกับบริษัทโปเกมอน เพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีของโปเกมอน เรด และบลู โดยในทัวร์นาเมนต์เดือนมกราคม 2022 พบว่ามีเกียวจิ (gyōji) หรือกรรมการซูโม่ สวมกิโมโนลายโปเกบอล[117][118]
รีเมก
[แก้]โปเกมอน ไฟร์เรด[f] และโปเกมอน ลีฟกรีน[g] เป็นเกมรีเมกฉบับปรับปรุงของโปเกมอน เรด และบลู พัฒนาโดยเกมฟรีก และจัดจำหน่ายโดยนินเท็นโด สำหรับเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ โดยรองรับการใช้งานร่วมกับเกมบอยอัดวานซ์ไวร์เลสอะแดปเตอร์ ซึ่งเดิมแถมมากับตัวเกม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไฟร์เรด และลีฟกรีน มีการเพิ่มตัวแปรใหม่ เช่น การแยกค่าสถานะ "Special" ออกเป็น Special Attack และ Special Defense เกมเหล่านี้จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับเวอร์ชันเก่าที่อยู่นอกเหนือจากเจเนอเรชัน 3 ได้ ไฟร์เรด และลีฟกรีน วางจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2004[119][120] ก่อนจะวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือวันที่ 9 กันยายน 2004[121] และในยุโรปวันที่ 1 ตุลาคม 2004[122] เกือบสองปีหลังจากนั้น นินเท็นโดได้นำเกมทั้งสองกลับมาวางจำหน่ายใหม่ในกลุ่มเพลเยอส์ชอยส์[123]
เกมโปเกมอน ไฟร์เรด และลีฟกรีน ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 81% บนเมทาคริติก[124] นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกย่องที่เกมสามารถใส่คุณสมบัติใหม่ ๆ เข้ามาได้ โดยยังคงรักษาระบบการเล่นแบบดั้งเดิมของซีรีส์ไว้ ขณะที่ด้านกราฟิกและเสียงมีเสียงตอบรับที่หลากหลาย บางคนมองว่ายังคงเรียบง่ายเกินไปและไม่ได้พัฒนามากนักเมื่อเทียบกับโปเกมอน รูบี และ แซฟไฟร์ อย่างไรก็ตาม ไฟร์เรด และ ลีฟกรีน ประสบความสำเร็จทางการค้า มียอดขายรวมทั่วโลกประมาณ 12 ล้านชุด[125]
โปเกมอน: เลตส์โก, พิคาชู![h] และPokémon: Let's Go, Eevee![i] เป็นรีเมกฉบับปรับปรุงของโปเกมอน เยลโลว์ วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2018 สำหรับเครื่อง นินเท็นโด สวิตช์ โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้เล่นใหม่ของซีรีส์ และได้นำกลไกบางอย่างจากโปเกมอน โก เข้ามาใช้[126] ตัวเกมมีฉากหลังในภูมิภาคคันโต และรวมเฉพาะโปเกมอนรุ่นแรกทั้ง 151 ตัวเท่านั้น คุณสมบัติที่ให้โปเกมอนเดินตามตัวละครกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเคยมีในโปเกมอน ฮาร์ตโกลด์ และโซลซิลเวอร์ บนเครื่องนินเท็นโด ดีเอส แต่คราวนี้นอกจากโปเกมอนที่เลือกให้เดินตามได้แล้ว ผู้เล่นยังมี พิคาชู หรือ อีวุย ซึ่งเป็นโปเกมอนเริ่มต้นร่วมเดินทางด้วยเสมอ ตามภาคที่เลือกเล่น[127]
ทั้งสองเกมมียอดขายรวมทั่วโลกมากกว่า 13 ล้านชุด[128]
เกมที่เกี่ยวข้อง
[แก้]เกมโปเกมอน สเตเดียม สำหรับเครื่องนินเท็นโด 64 วางจำหน่ายในปี 1999[129] โดยมีระบบการต่อสู้แบบเทิร์นเบสในรูปแบบ 3 มิติ และรวมโปเกมอนทั้ง 151 ตัวจากภาค เรด บลู และเยลโลว์[ต้องการอ้างอิง]
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ポケットモンスター 赤 Poketto Monsutā Aka
- ↑ ポケットモンスター 緑 Poketto Monsutā Midori
- ↑ ポケットモンスター 青 Poketto Monsutā Ao
- ↑ ポケットモンスターピカチュウ Poketto Monsutā Pikachū, lit. "Pocket Monsters Pikachu"
- ↑ มักเรียกว่า โปเกมอน เยลโลว์
- ↑ ポケットモンスター ファイアレッド Poketto Monsutā Faiareddo, lit. "Pocket Monsters FireRed"
- ↑ ポケットモンスター リーフグリーン Poketto Monsutā Rīfugurīn, lit. "Pocket Monsters LeafGreen"
- ↑ ポケットモンスター Let's Go! ピカチュウ Poketto Monsutā Let's GO! Pikachū
- ↑ ポケットモンスター Let's Go! イーブイ Poketto Monsutā Let's GO! Ībui
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 Harris, Craig (1999-06-23). "Pokemon Red Version Review". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
- ↑ MacDonald, Mark; Brokaw, Brian; Arnold; J. Douglas; Elies, Mark (1999). Pokémon Trainer's Guide. Sandwich Islands Publishing. p. 73. ISBN 0-439-15404-9.
- ↑ Game Freak (1997-12-09). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 8.
- 1 2 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 17.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 10.
- 1 2 3 4 Bartholow, Peter (2000-01-28). "GameSpot review". GameSpot. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-06. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 21.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 7.
- 1 2 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 36.
- ↑ "nintendo.com.au – GBC – Frequently Asked Questions". Nintendo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-22. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
- ↑ "Game Boy Game Pak Troubleshooting – Specific Games". Nintendo of America Inc. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2008. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
MissingNO is a programming quirk, and not a real part of the game
- ↑ "Pokemon Gold and Silver Strategy Guide: Trading". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
- ↑ Gerstmann, Jeff (2000-02-29). "Pokemon Stadium for Nintendo 64 Review". GameSpot. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Villoria, Gerald (2001-03-26). "Pokemon Stadium 2 for Nintendo 64 Review". GameSpot. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Harris, Craig (2003-03-17). "IGN: Pokemon Ruby Version Review". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-25.
- ↑ bitmob (2011-12-08). "The 7 Freakiest Pokemon Red/Blue/Yellow Glitches". VentureBeat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
- ↑ Preskey, Natasha (2019-02-18). "The mythos and meaning behind Pokémon's most famous glitch". Ars Technica (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 20, 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
- ↑ Hernandez, Patricia (2014-03-11). "Two Incredible Glitches Make The First Pokémon Games Way Easier". Kotaku (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 14, 2020. สืบค้นเมื่อ 2022-09-29.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 2.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 3.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 113. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 67. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 99. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 165. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 20.
- ↑ Godfrey, Chris (2019-05-09). "Detective Pikachu and the case of the highest grossing media franchise of all time". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 30, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-06-30.
- ↑ Harding, Alex. "Satoshi Tajiri: The Man Behind Pokémon". Switchaboo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 25, 2022. สืบค้นเมื่อ April 12, 2022.
- ↑ Plaza, Amadeo (2006-02-06). "A Salute to Japanese Game Designers". Amped IGO. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2007. สืบค้นเมื่อ 2006-06-25.
- 1 2 3 4 Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Baird, Scott (January 9, 2021). "This Annoying Dragon Quest Monster Inspired Pokemon Trading". TheGamer. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2023. สืบค้นเมื่อ 3 September 2023.
- ↑ Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- 1 2 3 4 1UP Staff. "Best Games to Come Out Late in a System's Life". 1UP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Nutt, Christian (2009-04-03). "The Art of Balance: Pokémon's Masuda on Complexity and Simplicity". Gamasutra. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
- ↑ "Pokémon interview" (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-06-06.
- 1 2 "IGN's Top 100 Games 2007 | 37 Pokemon Blue Version". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-14. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ "Creator Profile: The Creators of Pikachu | Pokemon.com". www.pokemon.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-10-30.
- ↑ Staff. "2. 一新されたポケモンの世界". Nintendo.com (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 September 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-09-10.
- 1 2 Kohler, Chris (2004). Power-Up: How Japanese Video Games Gave the World an Extra Life (1st ed.). BradyGames. pp. 237–250. ISBN 0-7440-0424-1.
- ↑ Staff (2004-02-18). 写真で綴るレベルX~完全保存版! (ภาษาญี่ปุ่น). AllAbout.co.jp. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2010-05-21.
- ↑ Tomisawa, Akihito (August 2000). ゲームフリーク 遊びの世界標準を塗り替えるクリエイティブ集団 (ภาษาญี่ปุ่น). メディアファクトリー. ISBN 4-8401-0118-3.
- ↑ 大月隆寛+ポケモン事件緊急取材班 (1998). ポケモンの魔力. Mainichi Newspaper Co. Ltd. ISBN 4-620-31218-5.
- ↑ "Pokemon to get big rollout". The Cincinnati Enquirer. August 29, 1998. p. 22. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ December 1, 2021 – โดยทาง Newspapers.com.
- ↑ Masuda, Junichi (2009-02-28). "HIDDEN POWER of Masuda: No. 125". Game Freak. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
- ↑ Hanson, Ben (May 13, 2014). "Pokémon's Music Master: The Man Behind The Catchiest Songs". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2014.
- ↑ Baird, Scott (2021-01-31). "Why The Pokémon Red & Blue Intros Have The Wrong Date". ScreenRant (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-04-21.
- ↑ "ポケットモンスター 赤・緑". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2017. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター赤・緑". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ Iwata, Satoru. "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & Pokémon SoulSilver Version – Page 1". Nintendo (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-28. สืบค้นเมื่อ 2023-04-21.
- ↑ "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo of Europe GmbH (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-11-29.
- 1 2 3 Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly. No. 124. p. 216.
- ↑ "ポケットモンスター 青". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター青". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2012. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ Chen, Charlotte (December 1999). "Pokémon Report". Tips & Tricks. Larry Flynt Publications: 111.
- ↑ "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-10-16.
- ↑ DeVries, Jack (2008-11-24). "IGN: Pokemon Report: OMG Hacks". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2010. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly. No. 124. p. 172.
- ↑ Tobin, Joseph Jay (2004). Pikachu's Global Adventure: The Rise and Fall of Pokémon. Duke University Press. p. 66. ISBN 0-8223-3287-6.
- 1 2 Ashcraft, Brian (2009-05-18). "Pokemon Could Have Been Muscular Monsters". Kotaku. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-06-26.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 62. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2012. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
- ↑ "Game Boy's Pokémon Unleashed on September 28!". Redmond, Washington: Nintendo. September 28, 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 1999. สืบค้นเมื่อ 29 March 2014.
- ↑ "What Is Pokémon?". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2020. สืบค้นเมื่อ October 24, 2020.
- ↑ "Pokémon Red Version". Nintendo of Europe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2013. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
- ↑ "Pokémon Blue Version". Nintendo of Europe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2013. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
- ↑ "ポケットモンスター ピカチュウ". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター ピカチュウ". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ Searle, Tyler B. (September 15, 2022). "10 Best Characters From the Pokémon Anime Who Aren't In the Games". Collider (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2023. สืบค้นเมื่อ June 22, 2023.
- 1 2 "Pokémon Yellow Special Pikachu Edition". Pokémon/Nintendo. March 10, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 19, 2013. สืบค้นเมื่อ April 21, 2014.
- ↑ "Snag a Surfing Pikachu". IGN. 2000-03-07. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 8, 2011. สืบค้นเมื่อ 2021-10-17.
- 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อreview - ↑ "Fans think Nintendo originally planned a Pokémon Pink". Eurogamer. 2020-04-14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 30, 2022. สืบค้นเมื่อ 2020-08-04.
- ↑ "「ポケットモンスター黄(仮)」映画にあわせて夏発売!!". The 64Dream. Mycom. 1998-04-21. pp. 100, 102.
- ↑ "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 12, 2021. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ "Pikachu Down Under". IGN. 1999-08-31. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ "List of Release Dates for Pokémon Yellow: Special Pikachu Edition". Gamewise. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-01. สืบค้นเมื่อ 2013-07-26.
- ↑ "Special Edition Pokemon GBC Revealed". IGN. 1999-07-14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ "Nintendo Feature: History Of Pokémon Part 2". Official Nintendo Magazine. 2009-05-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-06. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ "1999: The Year in Review". Nintendo World Report. 2009-03-07. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 17, 2023. สืบค้นเมื่อ 2020-02-20.
- ↑ "Nintendo Direct – 11 December 2015". Nintendo. 2015-11-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-30. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
- ↑ "Nintendo Direct 2015.5.31 プレゼンテーション映像". Nintendo. 2015-11-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-31. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
- ↑ Conditt, Jessica (February 26, 2016). "Pokemon Sun And Moon Hit The Nintendo 3DS This Holiday". Engadget. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2016. สืบค้นเมื่อ 26 February 2016.
- ↑ Kamen, Matt (12 January 2016). "Pokémon marks 20th birthday with retro 2DS bundles". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ Farokhmanesh, Megan (12 January 2016). "Pokémon celebrates its 20th anniversary with a New Nintendo 3DS bundle this February". Polygon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ "Financial Results Briefing for Fiscal Year Ended March 2016". Nintendo. April 28, 2016. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2017. สืบค้นเมื่อ May 1, 2016.
- 1 2 3 "Pokemon Red Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-05. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
- ↑ "Pokemon Blue Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
- ↑ McCaul, Scott. "Pokemon Blue Version -Review". Allgame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 14, 2014. สืบค้นเมื่อ December 4, 2012.
- ↑ "ポケットモンスター 赤/緑 まとめ [ゲームボーイ]". Famitsu (ภาษาญี่ปุ่น). Enterbrain, Inc.
- ↑ "Now Playing: Pokémon". Nintendo Power. 113: 112. October 1998.
- ↑ Safier, Joshua; Nakaya, Sumie (2000-02-07). "Pokemania: Secrets Behind the International Phenomenon". Columbia Business School. doi:10.7916/D8V12CPD. hdl:10022/AC:P:28. สืบค้นเมื่อ 2011-08-05.
- ↑ Bodle, Andy and Greg Howson (1999-09-30). "Monsters to the rescue". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 December 2014. สืบค้นเมื่อ 2009-01-15.
- ↑ "Second Interactive Achievement Awards – Console". Interactive.org. Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 1999. สืบค้นเมื่อ 28 December 2022.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อIAA_Craft1999 - ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อgr - ↑ "'Donkey Kong', Dreamcast dominate". Google News. Sarasota Herald-Tribune. 1999-11-16. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2022. สืบค้นเมื่อ December 16, 2022.
- ↑ "RPGFan Reviews – Pokémon Yellow". Rpgfan.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 30, 2012. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อgs - ↑ Chris Buffa (2008-08-26). "Best and Worst Pokemon Games". GameDaily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-06. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อag-review - ↑ Boxer, Steve (2000-06-08). "Pokémon Yellow". London: Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-25. สืบค้นเมื่อ 2010-10-12.
- ↑ "Third Interactive Achievement Awards – Game of the Year". Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 2000. สืบค้นเมื่อ 27 January 2023.
- ↑ "Third Interactive Achievement Awards – Console". Academy of Interactive Arts & Sciences. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 2000. สืบค้นเมื่อ 11 January 2023.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ:0 - ↑ "Best of the Best: Game Boy & Game Boy Color". Nintendo Power – The 20th Anniversary Issue! (Magazine). Nintendo Power. Vol. 231 no. 231. San Francisco, California: Future US. August 2008. p. 72.
- ↑ Reeves, Ben (2011-06-24). "The 25 Best Game Boy Games Of All Time". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2018. สืบค้นเมื่อ 2013-12-06.
- ↑ East, Tom (2009-03-02). "Feature: 100 Best Nintendo Games". Official Nintendo Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-29. สืบค้นเมื่อ 2009-03-18.
- ↑ Staff (2003-04-30). "The Top 100: 71–80". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-10. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ "IGN's Top 100 Games 061–070". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-09. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ Edwards, Benji (October 17, 2019). "The 10 Best Game Boy Games". PCMAG (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 24, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-01-24.
- ↑ Bell, Lowell (25 February 2023). "Best JRPGs Of All Time". Time Extension. Hookshot Media. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2023. สืบค้นเมื่อ 25 February 2023.
- ↑ Harris, Craig (2003-08-29). "IGN: Nintendo Celebrates Pokemoniversary". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2011. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ Makuch, Eddie (2017-11-27). "Pokemon Game Sales Pass 300 Million Units". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2018. สืบค้นเมื่อ 2018-12-31.
- ↑ "Twitch plays Pokémon: The largest 'massively multiplayer' Pokémon game is beautiful chaos". The Independent. 20 February 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2015. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
- ↑ "Twitch Plays Pokemon conquers Elite Four, beating game after 390 hours". CNET. CBS Interactive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2014. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
- ↑ "Pokémon Red and Green". The Strong National Museum of Play. The Strong. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 6, 2022. สืบค้นเมื่อ 6 May 2022.
- ↑ "ポケモンの行司装束も 大相撲初場所、9日初日". Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). 7 January 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 17, 2023. สืบค้นเมื่อ 9 November 2023.
- ↑ "大相撲とポケモンが異色タッグ 懸賞旗から行事の装束まで". Mainichi Shimbun. 11 January 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2022. สืบค้นเมื่อ 30 November 2023.
- ↑ "ポケットモンスター ファイアレッド・リーフグリーン". The Pokémon Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター ファイアレッド・リーフグリーン". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon FireRed Version and Pokémon LeafGreen Version". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon FireRed Version and Pokémon LeafGreen Version". The Pokémon Company International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ Harris, Craig (2006-07-26). "IGN: Player's Choice, Round Two". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
- ↑ "Pokemon FireRed (gba: 2004): Reviews". Metacritic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-18. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
- ↑ "Financial Results Briefing for Fiscal Year Ended March 2008" (PDF). Nintendo. 2008-04-25. p. 6. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2019. สืบค้นเมื่อ 2009-09-05.
- ↑ Frank, Allegra (May 29, 2018). "Pokémon: Let's Go! is the series' big Switch debut, and it's targeting newcomers". Polygon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2018. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
- ↑ Farokhmanesh, Megan (12 June 2018). "Pokémon: Let's Go is a simple game improved by its pricey pokéball controller". The Verge. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2018. สืบค้นเมื่อ 10 May 2024.
- ↑ "IR Information: Financial Data – Top Selling Title Sales Units". Nintendo. March 31, 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 30, 2020. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
- ↑ IGN Staff (April 23, 1999). "Pokemon Stadium 2 Garners Praise". IGN. News Corporation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2016. สืบค้นเมื่อ May 7, 2024.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์ทางการ (US)
- Official website for Pokémon Red and Green (ในภาษาญี่ปุ่น)
- Official website for Pokémon Blue (ในภาษาญี่ปุ่น)
- Official website for Pokémon Yellow (ในภาษาญี่ปุ่น)
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่ธันวาคม 2024
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่พฤษภาคม 2024
- วิดีโอเกมโปเกมอน
- เกมสำหรับเกมบอย
- เกมจากค่ายเกมฟรีก
- วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท
- วิดีโอเกมที่ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2539
- วิดีโอเกมที่พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น
- วิดีโอเกมแบบผู้เล่นหลายคนและผู้เล่นคนเดียว
- ผลงานโดยซาโตชิ ทาจิริ
- วิดีโอเกมที่มีฉากในประเทศญี่ปุ่น
- วิดีโอเกมที่มีฉากบนเกาะสมมติ