โบอิง บี-17 ฟลายอิงฟอร์เทรส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บี-17 ฟลายอิงฟอร์เทรส
หน้าที่ เครื่องบินทิ้งระเบิดหนัก
ประเทศผู้ผลิต  สหรัฐ
ผู้ผลิต โบอิง
เที่ยวบินแรก 28 กรกฎาคม 1935; 88 ปีก่อน (1935-07-28)
เริ่มใช้ เมษายน 1938; 86 ปีที่แล้ว (1938-04)
ปลดระวาง 1968 (กองทัพอากาศบราซิล)
ผู้ใช้หลัก กองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ
กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
การผลิต 1936–1945
จำนวนที่ถูกผลิต 12,731[1]
ค่าใช้จ่ายต่อลำ
US$238,329 (1945)
รุ่น
พัฒนาเป็น Boeing 307 Stratoliner

โบอิง บี-17 ฟลายอิงฟอร์เทรส (อังกฤษ: Boeing B-17 Flying Fortress) เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหนักที่ขับเคลื่อนด้วยสี่เครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1930 สำหรับกองบินอากาศทหารบกสหรัฐ(USAAC) ด้วยการแข่งขันกับบริษัทดักลาสและบริษัทมาร์ตินเพื่อทำสัญญาในการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวน 200 ลำ เครื่องบินของโบอิง(รุ่นต้นแบบ 299/เอ็กซ์บี-17) มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งทั้งสองบริษัทและมีประสิทธิภาพสูงกว่าข้อกำหนดของกองบิน แม้ว่าโบอิงจะพลาดในการทำสัญญา(ให้กับเครื่องบิน ดักลาส บี-18 โบโล) เนื่องจากเครื่องบินรุ่นต้นแบบเกิดตกลงมา แต่กองบินได้สั่งซื้อบี-17 มาอีก 13 ลำ เพื่อประเมินผลต่อไป จากการแนะนำเสนอในปี ค.ศ. 1938 บี-17 ฟลายอิงฟอร์เทรสได้พัฒนาผ่านความก้าวหน้าในการออกแบบมากมาย กลายเป็นเรื่องบินทิ้งระเบิดที่ผลิตมากที่สุดเป็นอันดับสามตลอดกาล รองลงจากเครื่องบินคันซอลลิเดท บี-24 ลิเบอร์เรเตอร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยสี่เครื่องยนต์ และเครื่องบินยุงเคิร์ส ยู 88 ที่ขับเคลื่อนด้วยสองเครื่องยนต์ สามารถทำได้หลายบทบาท

บี-17 ถูกใช้งานเป็นหลักโดยกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ(USAAF) ในการทัพทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ในเวลากลางวันในสงครามโลกครั้งที่สองต่อเป้าหมายเขตอุตสาหกรรมและทางทหารของเยอรมัน กองทัพอากาศที่ 8 ของสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ที่สนามบินหลายแห่งในภาคกลาง ตะวันออก และภาคใต้ของเกาะอังกฤษ และกองทัพอากาศที่สิบห้า ซึ่งตั้งอยู่ในอิตาลี เสริมเพิ่มเติมด้วยกองบัญชาการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำการทิ้งระเบิดในเวลากลางคืนในการรุกทิ้งระเบิดแบบผสม เพื่อช่วยให้รักษาความได้เปรียบทางอากาศในเมือง โรงงาน และสนามรบของยุโรปตะวันตกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบุกครองฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1944 บี-17 ยังได้เข้าร่วมในจำนวนครั้งที่น้อยกว่าในสงครามในแปซืฟิก ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะทำการโจมตีต่อกองเรือและสนามบินของญี่ปุ่น

จากจุดเริ่มต้นก่อนสงคราม กองบินอากาศทหารบกสหรัฐ(โดยเดือนมิถุนายน ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น USAAF) ได้ส่งเสริมเครื่องบินให้เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ มันเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดในระยะพิสัยไกล บินได้สูงกว่า และค่อนข้างเร็ว ด้วยอาวุธป้องกันตัวที่หนักโดยหลังจากที่ได้ทำการทิ้งลูกระเบิดแล้ว มันได้มีชื่อเสียงในด้านความทนทานจากเรื่องราวและภาพถ่ายของ บี-17 ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งบินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย เครื่องบินบี-17 ได้ทำการทิ้งระเบิดมากกว่าเครื่องบินรบอื่น ๆ ของสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่สอง จำนวนลูกระเบิดประมาณ 1.5 ล้านตันที่ได้ทำการทิ้งระเบิดลงสู่นาซีเยอรมนีและดินแดนที่ถูกยึดครองโดยเครื่องบินสหรัฐ กว่า 640,000 ตันซึ่งถูกทิ้งมาจากเครื่องบิน บี-17 นอกเหนือจากบทบาทในฐานะเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-17 ยังถูกใช้สำหรับเครื่องบินขนส่ง เครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ เครื่องบินบังคับวิทยุ และเครื่องบินค้นหาและกู้ภัย

คุณลักษณะ (บี-17จี)[แก้]

  • ผู้สร้าง: โบอิง (สหรัฐ)
  • ประเภท: เครื่องบินทิ้งระเบิด
  • ขุมพลัง: เครื่องยนต์ลูกสูบรูปดาว ไรท์ อาร์-1820-97 ไซโคลน จำนวน 9 สูบ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลัง 1,200 แรงม้า 4 เครื่อง
  • กางปีก: 31.62 เมตร
  • ยาว: 22.66 เมตร
  • สูง: 5.82 เมตร
  • พื้นที่ปีก: 131.92 ตารางเมตร
  • น้ำหนักเปล่า: 16,391 กิโลกรัม
  • น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 29,700 กิโลกรัม
  • อัตราเร็วสูงสุด: 462 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • อัตราไต่: 4.6 เมตร/ วินาที
  • รัศมีทำการรบ: 3,219 กิโลเมตร
  • อาวุธ: ปืนกลป้องกัน M2 Browning ขนาด 12.7 มม. 13 กระบอก
    • ระเบิดขนาด 7,800 กก.
บี-17จี

ประจำการ[แก้]

การทหารที่ประจำการ บี-17
พลเรือนที่ประจำการ บี-17
ฝูงบิน บี-17

อ้างอิง[แก้]

  1. Angelucci and Matricardi 1988, p. 46.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]