ข้ามไปเนื้อหา

โกลด บัฟเฟตต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โกลด บัฟเฟตต์
Claude Gabriel Buffet
ภาพถ่ายหน้าตรงของโกลด
เกิดโกลด กาเบรียล บัฟเฟตต์
19 พฤษภาคม ค.ศ. 1933
แร็งส์ จังหวัดมาร์น ประเทศฝรั่งเศส
เสียชีวิต28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972(1972-11-28) (39 ปี)
เรือนจำลา ซ็องเต เขตที่ 14 ของปารีส ปารีส ฝรั่งเศส
สาเหตุเสียชีวิตประหารชีวิตด้วยกิโยตีน
สุสานสุสานอีฟรี
เหตุจูงใจประสงค์ต่อทรัพย์ (1966-1967)
ต้องการหลบหนี (1971)
พิพากษาลงโทษฐานฆาตกรรม (15 ตุลาคม ค.ศ. 1970)
จับตัวประกันและฆาตกรรมโดยมีสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น (29 มิถุนายน ค.ศ. 1972)
บทลงโทษจำคุกตลอดชีวิต (15 ตุลาคม ค.ศ. 1970)
ประหารชีวิต (29 มิถุนายน ค.ศ. 1972)
คู่หูมารี อองซวน (1966-1967) โรเจอร์ บงเทมส์ (21-22 กันยายน 1971)
รายละเอียด
ผู้เสียหาย46+
ระยะเวลาอาชญากรรม
มีนาคม ค.ศ. 1966–22 กันยายน ค.ศ. 1971
ประเทศฝรั่งเศส
ตำแหน่งปารีส และเรือนจำกลางแคลร์โว
ตายฟรองซัวส์ เบซิเมนสกี อายุ 26 ปี
นิโคล คอมเต้ อายุ 35 ปี
กาย จิราร์โดต์ อายุ 27 ปี
อาวุธปืนพกปลอม
ปืนพก
ใบมีดประดิษฐ์เอง
วันที่ถูกจับ
8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1966
22 กันยายน ค.ศ.1971

โกลด กาเบรียล บัฟเฟตต์ (19 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 - 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972) เป็นอดีตทหารและฆาตกรชาวฝรั่งเศส[1] ซึ่งถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนในความผิดฐานร่วมกับโรเจอร์ บอนเทมส์ นักโทษในคดีปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกาย จับตัวประกันในห้องพยาบาลของเรือนจำกลางแคลร์โวซ์ และได้สังหารตัวประกันสองคนระหว่างตำรวจบุกจู่โจมเข้าช่วยเหลือ ซึ่งในขณะนั้นโกลดรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆาตกรรมฟรานซัวส์ เบซิเมนสกี นางแบบวัย 26 ปีระหว่างการชิงทรัพย์ในปารีส เมื่อ ค.ศ. 1967[2]

ประวัติ

[แก้]

โกลด บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 ที่เมืองแร็งส์ ในจังหวัดมาร์น[3] เขาเป็นบุตรของลูเซียง อัลเฟรด บัฟเฟตต์ ช่างตัดขนแกะ ซึ่งเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง ดื่มสุรา และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย กับมาเดอลีน ลูซิล ฟรองซัวส์ ดูบัวส์ เจ้าของโรงงานบรรจุขวด เมื่อเป็นวัยรุ่น โคลดเป็นคนดื้อรั้นและไม่เข้าสังคม เมื่อเขาถูกเรียกตัวไปเข้าร่วมกรมทหารราบนาวิกโยธินที่ 3 [en] เขาก็ไม่เข้าร่วม

ใน ค.ศ. 1953 โกลด ในวัย 20 ปี ได้เข้าร่วมกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และถูกส่งไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส แต่เขาได้หนีทหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1954 ต่อมาในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1955 โกลดถูกจับกุมและถูกคุมขังในข้อหาหนีทหาร เขาถูกส่งตัวไปยังแอลจีเรียของฝรั่งเศสเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ครบ 5 ปี โดยอยู่ใน กรมทหารต่างด้าวที่ 4 [fr] ในโมร็อกโก เขาได้รับปลดประจำการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1958 และในปีเดียวกันเขาได้แต่งงานกับอูแกตต์ ผู้เคยติดต่อเขาในฐานะแมร์รีนเดอแกร์ [fr] (พลเรือนหญิงที่เป็นเพื่อนทางจดหมายกับทหาร) ระหว่างช่วงสงครามแอลจีเรีย แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ไปมีภรรยาใหม่[4]

การก่อคดี

[แก้]

การก่ออาชญากรรมในช่วง ค.ศ 1966 - 1967

[แก้]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1966 โกลดได้เริ่มหาผู้หญิงที่อยู่เพียงลำพังเพื่อที่จะขโมยกระเป๋าถือ ซึ่งในการก่อเหตุเขามักจะใช้ปืนปลอมเพื่อข่มขู่เหยื่อ แต่ต่อมาเขาได้ใช้ปืนจริงที่บรรจุกระสุนในการข่มขู่แทน[5] โดยในบางคดีเขาก่อเหตุร่วมกับมารี อันซวน ชู้รักของเขา ในระหว่างเดือนมีนาคม ค.ศ. 1966 - เดือนมกราคม ค.ศ. 1967 มีคนถูกเขาชิงทรัพย์ทั้งหมด 42 คน[5][6]

ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1967 โกลดได้ขโมยรถแท็กซี่ แล้วปลอมตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่ ต่อมาในเวลา 23.00 น.ของวันเดียวกัน เขารับฟรองซัวส์ เบซิเมนสกี อายุ 26 ปี ซึ่งแต่งตัวเรียบหรู เธอเป็นนางแบบและเป็นภรรยาของแพทย์ชื่อดัง[7] เขาไม่ได้ขับไปตามเส้นทางที่เธอบอก แต่ขับไปในทางที่เปลี่ยวใกล้กับสวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ แล้วเขาได้ใช้ปืนขู่เธอเพื่อให้เธอส่งกระเป๋าถือให้ แต่เธอปฎิเสธและส่งเสียงกรีดร้อง เขาจึงใช้ปืนยิงเธอเข้าที่หัวใจทำให้เธอเสียชีวิต หลังจากนั้นเขาได้อำพรางคดีดูเหมือนกับการกระทำโดยฆาตกรซาดิสท์ โดยเขาได้ถอดเสื้อผ้าของฟรองซัวส์ออก แล้วยัดตลับแป้งลงไปในอวัยวะเพศของเธอ ซึ่งคดีนี้นับเป็นการก่อเหตุครั้งที่ 43 ของเขา[8] จากการสืบสวนเบื้องต้น ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอน่าจะถูกฆาตกรรมโดยฆาตกรที่มีอาการกามวิปริต[9]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1967 โกลดพยายามบีบคอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในริส-ออรังกิส แม่ของเธอคิดว่าเป็นการแก้แค้นโดยโกลด ซึ่งเขาเคยจีบแม่ของเธอแต่ถูกปฏิเสธ แม้ว่าในคดีนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคดีฆาตกรรมฟรานซัวส์ แต่รายละเอียดบางอย่างในคดีทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความสงสัยในตัวของโกลด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบย้อนกลับไปถึงโกลดได้อย่างรวดเร็ว

ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 โกลดถูกตำรวจจับกุม พร้อมกับปืนพกที่มีกระสุนขนาดเดียวกับอาวุธที่ใช้ฆาตกรรมฟรานซัวส์ ขณะเขากำลังขับรถซีตรองที่ขโมยมา ในระหว่างการสอบสวน โกลดให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายประมาณ 60 ครั้งในปารีส ซึ่งในบางครั้งเขาได้ร่วมกับมารี ชู้รักของเขาก่อคดี ต่อมาเขาได้สารภาพถึงการฆาตกรรมฟรองซัวส์ แต่อ้างว่าการฆาตกรรมเป็นอุบัติเหตุ ต่อมาเมื่อสิ้นสุดการควบคุมตัวเพื่อสอบสวน เขาถูกนำตัวไปฝากขังระหว่างพิจารณาคดี[10]

การพิจารณาคดีในคดีฆาตกรรมฟรองซัวส์

[แก้]

ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1970 การพิจารณาคดีของโกลด และมารี ได้เริ่มขึ้นในศาลกูร์ ดาซีซ [fr]ในปารีส ในระหว่างสัปดาห์ที่มีการพิจารณาคดี ชาร์ล ดูบอสท์ อัยการสูงสุด ไม่ได้ร้องขอให้ลงโทษประหารชีวิต โดยให้เหตุผลว่า โกลดไม่ใช่ผู้ที่สมควรถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีน และเห็นว่าการรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเรือนจำเหมาะสมสำหรับเขามากกว่า[11]

ต่อมาในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.1970 คณะลูกขุนตัดสินโกลดให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต และมารี ผู้สมรู้ร่วมคิด รับโทษจำคุกสามปีโดยรอลงอาญา โกลดแสดงความไม่พอใจกับคำตัดสินเพราะเขาต้องการถูกตัดสินประหารชีวิต ในระหว่างที่เขาเดินออกจากห้องพิจารณาคดี เขาได้ตะโกนว่า "พวกคุณยังไม่ได้ยินเรื่องของฉันเป็นครั้งสุดท้ายหรอก" [12][13]

การคุมขัง และพบกับโรเจอร์ บอนเทมส์

[แก้]

โกลดถูกคุมขังที่เรือนจำเฟลอรี-เมโรจิสเป็นเวลาหลายเดือน ต่อมาเขาถูกย้ายมายังเรือนจำกลางแคลร์โว จังหวัดโอบ เขาถูกคุมขังห้องเดียวกับโรเจอร์ บอนเทมส์ นักโทษคดีปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ซึ่งเคยพยายามแหกคุกมาแล้วหลายครั้ง

โรเจอร์ชักชวนให้โกลดเข้าร่วมในแผนการหลบหนี ซึ่งโกลดเข้าร่วม และเขาตั้งใจที่จะฆ่าตัวประกันที่จะถูกจับในแผนการหลบหนีด้วย[14]

การจับตัวประกันที่เรือนจำแคลร์โวซ์

[แก้]

ในช่วงเวลาอาหารเช้าของวันที่ 21 กันยายน ค.ศ.1971 โกลดและโรเจอร์บ่นว่ารู้สึกปวดท้อง ทั้งสองจึงถูกส่งตัวไปที่ห้องพยาบาลของเรือนจำ โดยมีผู้คุมสี่คนควบคุมตัวมา หลังจากทั้งสองเข้าไปในห้องพยาบาลได้ไม่นาน โกลดได้ผลักผู้คุมคนหนึ่งออกไป ซึ่งทำให้ผู้คุมอีกสองคนล้มลงไปพร้อมกัน จากนั้นโกลดและโรเจอร์ขังตัวเองอยู่ในห้องพยาบาลพร้อมกับตัวประกันสามคนคือ กาย จิราร์โดต์ อายุ 27 ปี ผู้คุม นิโคล คอมเต้ อายุ 35 ปี พยาบาล และนักโทษที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพยาบาล ต่อมานักโทษที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพยาบาลได้รับการปล่อยตัว

ทั้งสองใช้มีดจี้กายและนิโคลเป็นตัวประกัน โดยโรเจอร์ใช้มีดโอปิเนลที่ซื้อมาจากโรงอาหารเรือนจำ ส่วนโกลดใช้ใบมีดยาว 20 เซนติเมตร กว้าง 8 เซนติเมตร ที่เขาซื้อมาจากเพื่อนนักโทษ ซึ่งทำมาจากฐานรองเตียงโลหะ ในตลอดทั้งวันประชาชนชาวฝรั่งเศสได้ติดตามข่าวการจับตัวประกันผ่านทางวิทยุ [15]

ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1971 เวลา 03.45 น. เรเน่ พลีเวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้ตำรวจบุกจู่โจมเข้าไปในห้องพยาบาล ตำรวจได้ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่โกลดและโรเจอร์ และสามารถควบคุมตัวทั้งสองไว้ได้ ตำรวจพบว่ากายและนิโคลซึ่งถูกฆาตกรรมด้วยการเชือดคอในระหว่างการจู่โจม โดยศพของทั้งสองถูกพบในสภาพนอนจมกองเลือดอยู่ที่มุมห้อง[16]

การพิจารณาคดีในคดีจับตัวประกันที่เรือนจำแคลร์โวซ์

[แก้]

โกลด และโรเจอร์ถูกพิจารณาคดีในศาลกูร์ ดาซีซจังหวัดโอบ ระหว่างวันที่ 26 ถึง 29 มิุนายน ค.ศ. 1972 และทั้งสองถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1972[17]

ในระหว่างการพิจารณาคดี โกลดแสดงความต้องการที่จะถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินหลายครั้ง[18][19]

หลังจากศาลกูร์ ดาซีซ จังหวัดโอบตัดสินประหารชีวิต โกลดต้องการเร่งให้เรื่องจบไวๆ เขาจึงปฎิเสธที่จะอุทธรณ์[20]

Comme vous l'ont dit mes avocats, Maître Thierry Lévy et Maître Crauste, on dit que je vous réclamerai la peine de mort… je vous le confirme, et vous me la donnerez ! Mardi, quand j'ai quitté le palais de justice dans les fourgons, la foule réclamait “À mort fumier !” Si elle savait qu'au fond, ça me rendait service…

โกลด บัฟเฟตต์, คำพูดของโกลดระหว่างการพิจารณาคดี[21]


ในวันที่16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 เธียร์รี เลวี และเรมี คราอุสต์ ทนายความของโกลด กับ โรเบิร์ต บาด็องแตร์ และฟิลิปป์ เลอแมร์ ทนายความของโรเจอร์ เดินทางไปยื่นคำร้องต่อฌอร์ฌ ปงปีดู ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อขอลดโทษ แม้ว่าฌอร์ฌ จะไม่เคยให้มีการประหารชีวิตนักโทษนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีที่ปาแลเดอเลลีเซเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1972[22]

ประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านการลดโทษของโกลด และโรเจอร์ ประกอบกับท่าทีของโกลดที่ส่งจดหมายจากเรือนจำมาถึงฌอร์ฌเพื่อขอให้ตนเองถูกประหารชีวิต ฌอร์ฌจึงไม่ลดโทษทั้งสอง[23]

การประหารชีวิต

[แก้]

ในตอนเย็นของวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 ทนายความของโกลด และโรเจอร์ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าการประหารชีวิตของโกลดและโรเจอร์จะเกิดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ในเวลาประมาณ 05.00 น. ที่เรือนจำลา ซ็องเต[24]

วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 เวลาประมาณ 04.30 น. โกล์ด และโรเจอร์ถูกปลุก และถูกเบิกตัวไปยังแผนกทะเบียนของเรือนจำเพื่อเตรียมตัวก่อนจะถูกประหารชีวิต(toilette) โกลดปฎิเสธเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โกลดมีท่าทีพอใจดูเหมือนเขาต้องการให้ทุกอย่างผ่านไปโดยเร็วที่สุด เขาขอให้รองผู้อำนวยการเรือนจำไปบอกโรเจอร์ว่า "ลาก่อนแล้วพบกันใหม่ (Au revoir et à tout à l'heure)"[25][26][27]

โรเจอร์ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนเมื่อเวลา 05.13 น. ส่วนโกลดถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนเมื่อเวลา 05.20 น. ทั้งสองถูกประหารชีวิตโดยเพชฌฆาตอังเดร โอเบรชท์ [28][29][30]

การประหารชีวิตโกลด และโรเจอร์ นับเป็นการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายในปารีส หลังจากการประหารชีวิตทั้งสองมีผู้ถูกประหารชีวิตในฝรั่งเศสหลังจากนั้นเพียง 4 คนคืออาลี เบน ยาเนส คริสเตียน รานุชชี เจอโรม คาร์เรออน และฮามิดา จันดูบี ก่อนที่ฝรั่งเศสจะยกเลิกโทษประหารชีวิตเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ 1981[31][32]

ดูเพิ่ม

[แก้]
  • แพทริก แม็คเคนนา อาชญากรชาวอเมริกัน ผู้ได้รับฉายาว่า "อาชญากรที่อันตรายที่สุดของเนวาดา" เขาถูกตัดสินประหารชีวิตจากคดีฆ่าเพื่อนนักโทษในเรือนจำ และในระหว่างรอพิจารณาคดีในคดีฆ่าเพื่อนนักโทษเขาได้ร่วมกับเพื่อนนักโทษจับผู้บัญชาการเรือนจำเป็นตัวประกันเพื่อพยายามหลบหนีแต่ล้มเหลว
  • น้อย วิลากลาง ร่วมกับเพื่อนนักโทษจับผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดลำพูนเป็นตัวประกันเพื่อพยายามหลบหนีแต่ล้มเหลว จึงถูกย้ายไปยังเรือนจำกลางเชียงใหม่ตามข้อต่อรอง และได้ก่อคดีฆ่าเพื่อนนักโทษที่เรือนจำกลางเชียงใหม่

แหล่งอ้างอิง

[แก้]
  1. Relevé des fichiers de l'Insee
  2. Farnsworth, Clyde H. (29 November 1972). "French Argue Death Penalty Anew as 2 Are Guillotined". New York Times (ภาษาอังกฤษ). p. 20. สืบค้นเมื่อ 13 April 2022.
  3. Relevé des fichiers de l'Insee
  4. Sylvain Larue (2008). Les Grandes Affaires Criminelles de France. Éditions De Borée. p. 381..
  5. 1 2 "Claude Buffet, auteur de quarante-quatre agressions ne conteste rien Mais il a donné trois versions du meurtre de Mme Besimensky". Le Monde.fr (ภาษาฝรั่งเศส). 1970-10-12. สืบค้นเมื่อ 2022-01-09.
  6. "Claude Buffet continue de nier qu'il soit l'auteur de l'agression dont l'accuse la mère de la petite Sylvia Gautrin". Le Monde.fr (ภาษาฝรั่งเศส). 1967-02-11. สืบค้นเมื่อ 2022-01-09.
  7. Alain Bauer (2013). Dictionnaire amoureux du Crime. Plon. p. 47..
  8. Alain Bauer (2013). Plon (บ.ก.). Dictionnaire amoureux du Crime. p. 47.
  9. Guerre, Mémoires de (2017-02-01). "Buffet Claude". Mémoires de Guerre (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  10. Guerre, Mémoires de (2017-02-01). "Buffet Claude". Mémoires de Guerre (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  11. "RÉCLUSION CRIMINELLE A VIE POUR CLAUDE BUFFET" (ภาษาฝรั่งเศส). 1970-10-17. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  12. "RÉCLUSION CRIMINELLE A VIE POUR CLAUDE BUFFET" (ภาษาฝรั่งเศส). 1970-10-17. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  13. Paris, Musée du Barreau de (2022-06-22). "Le procès Buffet-Bontems-1972". Musée du Barreau de Paris (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  14. Projet d'évasion
  15. "Les Crimes". Troyes d'hier à aujourd'hui. สืบค้นเมื่อ 2023-12-11..
  16. Jacques Batigne (1973). Nous sommes tous des otages. Plon. p. 30..
  17. Paul Cassia (2009). Robert Badinter. Fayard. p. 113.
  18. "A LA COUR D'ASSISES DE L'AUBE " C'est très bien ", a dit Claude Buffet en s'entendant condamner à mort avec Roger Bontems" (ภาษาฝรั่งเศส). 1972-07-01. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  19. "Grand Angle/ dossier. Et pourtant, il n'avait pas tué…". www.estrepublicain.fr (ภาษาฝรั่งเศส). 2012-11-25. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  20. "LA COUR DE CASSATION A REJETÉ LE POURVOI DE ROGER BOHTEMS" (ภาษาฝรั่งเศส). 1972-10-14. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  21. "Grand Angle/ dossier. Et pourtant, il n'avait pas tué…". www.estrepublicain.fr (ภาษาฝรั่งเศส). 2012-11-25. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  22. Les sondages sur le pourcentage des Français favorables à la peine de mort sont cependant manipulés à cette époque. Christian Delporte (1998). "De l'affaire Philippe Bertrand à l'affaire Patrick Henry. Un fait-divers dans l'engrenage médiatique". Vingtième Siècle. 58 (1): 128..
  23. Les sondages sur le pourcentage des Français favorables à la peine de mort sont cependant manipulés à cette époque. Christian Delporte (1998). "De l'affaire Philippe Bertrand à l'affaire Patrick Henry. Un fait-divers dans l'engrenage médiatique". Vingtième Siècle. 58 (1): 128..
  24. Jacques Expert (2015). Scènes de crime. Place des Éditeurs. p. 133..
  25. Jean Ker (1989). Le Carnet noir du bourreau. Mémoires d'André Obrecht, l'homme qui exécuta 322 condamnés. Éditions Gérard de Villiers. p. 263..
  26. Robert Badinter (2000). L’Abolition. Le livre de poche. Fayard. p. 18. ISBN 978-2-253-15261-3.
  27. Jean-Marie Pontaut (22 January 2003). "Robert Badinter : "Elle mêlait l'art et la cruauté"". l'Express. สืบค้นเมื่อ 2019-02-03.
  28. Jean Ker (1989). Le Carnet noir du bourreau. Mémoires d'André Obrecht, l'homme qui exécuta 322 condamnés. Éditions Gérard de Villiers. p. 263..
  29. Robert Badinter (2000). L’Abolition. Le livre de poche. Fayard. p. 18. ISBN 978-2-253-15261-3.
  30. Jean-Marie Pontaut (22 January 2003). "Robert Badinter : "Elle mêlait l'art et la cruauté"". l'Express. สืบค้นเมื่อ 2019-02-03.
  31. "Articles du 10/09/2007". ladepeche.fr (ภาษาฝรั่งเศส). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  32. Observateur, Le Nouvel. "Il y a 30 ans, avait lieu la dernière exécution, PEINE DE MORT". tempsreel.nouvelobs.com (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-27. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Robert Badinter, Roger Bontems et Claude Buffet, L'Exécution. (Le procès contre Claude Buffet et Roger Bontems, « les assassins de Clairvaux »), Lausanne : éditions Ex Libris, 1974 OCLC 81693915
  • René Vigo, Tragédie à Clairvaux : la vérité sur Buffet et Bontemps, Paris : Flammarion, 1974
  • Bernard Fillaire, Bontems, Buffet, Fleuve Noir, 1994

สารคดีทางโทรทัศน์

[แก้]
  • « Buffet et Bontems : les mutins de Clairvaux » dans 50 ans de faits divers sur 13ème Rue [fr] et sur Planète+ Justice, le 27 décembre 2013

การออกอากาศทางวิทยุ

[แก้]