แอบบีย์ฮอลีรูด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แอบบีย์ฮอลีรูด ในปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง

แอบบีย์ฮอลีรูด (อังกฤษ: Holyrood Abbey) คือแอบบีย์เก่าแก่ในเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1128 โดยพระเจ้าเดวิดที่ 1 ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 บริเวณที่พักของอารามนั้นได้รับการปรับให้เป็นพระราชฐาน และต่อมาในภายหลังการปฏิรูปศาสนาแห่งสกอตแลนด์ พระราชวังฮอลีรูดก็ได้รับการขยับขยายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

แอบบีย์แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นโบสถ์ประจำเขตแพริชจนกระทั่งถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และได้กลายเป็นซากปรักหักพังตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา บริเวณรั้วที่หลงเหลืออยู่ยังติดอยู่กับเขตพระราชฐานฝั่งตะวันออกติดกับถนนรอยัลไมล์ในเอดินบะระ แอบบีย์แห่งนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของสกอตแลนด์[1]

ที่มาของชื่อ[แก้]

คำว่า "Rood" (รูด) เป็นคำศัพท์โบราณมีความหมายถึงกางเขนซึ่งพระเยซูได้ถูกตรึงจนสิ้นใจ ซึ่ง "Holyrood" (ฮอลีรูด) จึงมีความหมายว่า "กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์" (Holy Cross)

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก[แก้]

แอบบีย์ฮอลีรูดได้ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์และพระอัครมเหสีหลายพระองค์ ได้แก่ พระเจ้าเจมส์ที่ 2ในปีค.ศ. 1437 มาร์กาเร็ต ทิวดอร์ในปีค.ศ. 1504 มารีแห่งกีซในปีค.ศ. 1540 แอนน์แห่งเดนมาร์กในปีค.ศ. 1590 และพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ในปีค.ศ. 1633

พระราชพิธีอภิเสกสมรส[แก้]

แอบบีย์ได้ถูกใช้จัดพระราชพิธีอภิเสกสมรสของพระมหากษัตริย์ถึงสามพระองค์ ได้แก่

อ้างอิง[แก้]

  1. "Holyrood Abbey and Palace gardens". Historic Scotland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-07. สืบค้นเมื่อ 2011-03-31.

บรรณานุกรม[แก้]

  • Burnett, Charles and Bennett, Helen, The Green Mantle: a celebration of the revival in 1687 of the Most Ancient and Most Noble Order of the Thistle, Edinburgh, 1987.
  • Fawcett, Richard, The Palace of Holyroodhouse: official guide, HMSO, Edinburgh, 1988.
  • Gallagher, Dennis, "Holyrood Abbey: the disappearance of a monastery", in the Proceedings of the Society of Antiquaries of Scotland, 128 (1998), pp. 1079–1099.
  • Theodossopoulos, Dimitris, "The Catastrophic Repairs of Holyrood Abbey Church in 1760" in the International Journal of Architectural Heritage, 10(7), 2016, pp. 954–974