แอนเตรแอส เครสเตินเซิน
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | แอนเตรแอส เปิตเกอร์ เครสเตินเซิน[1] | ||
วันเกิด | [2] | 10 เมษายน ค.ศ. 1996||
สถานที่เกิด | ลีเลอเริด เดนมาร์ก[3] | ||
ส่วนสูง | 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว)[4] | ||
ตำแหน่ง | กองหลังตัวกลาง | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | บาร์เซโลนา | ||
หมายเลข | 15 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
2000–2004 | Skjold Birkerød | ||
2004–2012 | เปรินปือ | ||
2012–2015 | เชลซี | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
2013–2022 | เชลซี | 161 | (2) |
2015–2017 | → โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค (ยืมตัว) | 62 | (5) |
2022– | บาร์เซโลนา | 5 | (0) |
ทีมชาติ‡ | |||
2011–2012 | เดนมาร์ก อายุไม่เกิน 16 ปี | 2 | (0) |
2011–2012 | เดนมาร์ก อายุไม่เกิน 17 ปี | 18 | (5) |
2013 | เดนมาร์ก อายุไม่เกิน 19 ปี | 2 | (0) |
2013–2015 | เดนมาร์ก อายุไม่เกิน 21 ปี | 21 | (1) |
2015– | เดนมาร์ก | 59 | (2) |
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 (UTC) ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2022 (UTC) |
แอนเตรแอส เปิตเกอร์ เครสเตินเซิน (เดนมาร์ก: Andreas Bødtker Christensen; เกิด 10 เมษายน ค.ศ. 1996) เป็นนักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก ปัจจุบันลงเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กให้กับบาร์เซโลนา สโมสรในลาลิกา และทีมชาติเดนมาร์ก
เขาเริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชนของเปรินปือ ก่อนที่จะย้ายไปเชลซีในวัย 15 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เขาลงเล่นฟุตบอลอาชีพนัดแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2015–2017 เขาถูกปล่อยยืมตัวให้กับโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัคในบุนเดิสลีกาซึ่งเขาได้ลงเล่น 82 นัดและทำ 7 ประตู เขากลับมายังเชลซีและช่วยให้ทีมชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาล 2018–19 และในฤดูกาล 2020–21 เขาช่วยให้ทีมชนะเลิศสามรายการทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และชิงแชมป์สโมสรโลก เขาหมดสัญญากับเชลซีแล้วจึงย้ายร่วมทีมบาร์เซโลนา ในปี ค.ศ. 2022
เครสเตินเซินลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่แข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย และในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 เขาช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศก่อนแพ้ต่ออังกฤษ
สโมสรอาชีพ
[แก้]เชลซี
[แก้]ชีวิตช่วงแรก
[แก้]เครสเตินเซิน เกิดใน Lillerød เทศบาลเมือง Allerød[5] เขาเป็นลูกชายของสเตน เครสเตินเซิน ผู้รักษาประตูของ Brøndby IF เขาเริ่มต้นอาชีพกับ Skjold Birkerød แล้วจึงย้ายร่วมทีม Brøndby เขาใช้เวลาแปดปีที่นี่ เขาได้รับความสนใจจากสโมสรชั้นนำในยุโรป ทั้งอาร์เซนอล เชลซี แมนเชสเตอร์ซิตี ไบเอิร์นมิวนิก ก่อนที่เครสเตินเซิน จะเซ็นสัญญากับเชลซีแบบไร้ค่าตัว ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ในช่วงที่ใกล้จะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของอังแดร วีลัช-โบอัช เครสเตินเซิน กล่าวว่า: “ผมเลือกเชลซีเพราะพวกเขาเล่นฟุตบอลในแบบที่ผมชอบ”[6]
เครสเตินเซิน เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ฤดูกาล 2012–13 ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 แต่ไม่ได้ลงเล่น ซึ่งจบลงด้วยการเอาขนะเอฟเวอร์ตัน 2–1 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายในผู้จัดการทีมเชลซีของราฟาเอล เบนิเตซ[7] เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ในการเดินทางไปสหรัฐ เพื่ออุ่นเครื่องในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2013–14 และหลังจากนั้นก็ได้เซ็นสัญญาระดับอาชีพกับสโมสร[8]
ฤดูกาล 2014–15
[แก้]เขาลงเล่นระดับอาชีพของเขาครั้งแรกในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ในเกมที่ออกไปเยือนชรูส์บรีทาวน์ ช่วยให้เชลซีเอาชนะ 2–1 ในฟุตบอลลีกคัพ รอบที่สี่ โดยได้ลงเล่นครบ 90 นาทีในตำแหน่งแบ็กขวา[9] เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในระดับอาชีพอีกครั้งเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2015 ในนัดที่แพ้ต่อแบรดฟอร์ดซิตี สโมสรในดิวิชันสาม ในเอฟเอคัพ รอบสี่[10]
แม้ว่าเครสเตินเซินจะไม่ได้ลงเล่นในลีกคัพอีกเลย แต่เชลซีก็ชนะเลิศรายการนี้หลังเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 2–0 ในรอบชิงชนะเลิศ ฌูแซ มารียู ผู้จัดการทีมเชลซีในขณะนั้นได้ถูกถามว่าใครคือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศ เขาตอบว่า "ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดคือ แอนเตรแอส เครสเตินเซิน ที่เล่นได้ดีในเกมกับชรูว์สบิวรีมากกว่า จอห์น เทร์รี (ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศศ) เพราะเราคือทีม ผมภูมิใจในตัวเขา"[11]
ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ลงเล่นให้กับเชลซีรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่ายูธลีก พบกับชัคตาร์ดอแนตสก์ ที่นียง แม้ว่าเขาจะสกัดบอลเข้าประตูตัวเองในช่วงครึ่งแรก แต่เชลซีก็ยังเอาชนะได้ด้วยคะแนน 3–2[12] เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม ในนัดเหย้าที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ 3–1 แทนที่ของจอห์น โอบี มิเกล ในนาทีที่ 78[13] แม้ว่าเครสเตินเซินจะลงเล่นเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล แต่มารียูระบุว่าเขาจะได้รับเหรียญจำลองจากสโมสรสำหรับผลงานของเขาในฤดูกาลนี้[14]
โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค (ยืมตัว)
[แก้]ในงันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ย้ายร่วมทีมโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค ด้วยสัญญายืมตัวเป็นเวลาสองปี[15][16] เขาลงเล่นนัดแรกในวันที่ 10 สิงหาคม ในนัดที่พบกับซังต์ เพาลี ในรอบแรกของเดเอ็ฟเบ-โพคาล ซึ่งช่วยให้ทีมเอาชนะ 4–1[17] 5 วันหลังจากนั้น เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในบุนเดิสลีกาเป็นนัดแรก ในนัดที่แพ้ต่อโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 4–0 ที่เว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน[18] ในวันที่ 1 ตุลาคม เขายังได้ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบแบ่งกลุ่มนัดเหย้ากับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตลอดทั้งนัดซึ่งทีมแพ้ไปด้วยคะแนน 1–2[19] เขาทำประตูแรกของเขาในระดับอาชีพได้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ในนัดที่เอาชนะแวร์เดอร์เบรเมิน 5–1 ที่โบรุสซีอา-พาร์ค[20]
หลังฤดูกาลแรกที่น่าประทับใจ เครสเตินเซิน ได้รับการออกเสียงรับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล แทนที่ตำแหน่งเดิมของกรานิต จากา กัปตันของทีม[21] เมินเชินกลัทบัค ได้พยายามหลายครั้งในการพยายามนำตัวเขาเข้าสู่ทีมเป็นการถาวรในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 2016 โดยมีรายงานว่าเชลซีปฏิเสธการเสนอราคา 14.25 ล้านปอนด์จากกลัทบัค[22]
ในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2016–17 ในนัดที่สองของรอบ 32 ทีมสุดท้าย เครสเตินเซิน ทำประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะฟีออเรนตีนา 4–2 ทำให้ทีมผ่านเข้ารอบด้วยผลรวมสองนัด 4–3[23] เขาทำประตูได้อีกครั้งในรอบถัดไปนัดที่สองซึ่งเป็นนัดเหย้าพบกับชัลเคอ 04 แต่แพ้ไปด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกัน 3–3[24]
กลับสู่เชลซี
[แก้]ฤดูกาล 2017–18
[แก้]ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 เครสเตินเซิน ลงเล่นให้กับเชลซีเป็นครั้งแรก หลังจากกลับจาการยืมตัวสองปีที่เยอรมนี หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเฌเรมิเอ โบกา เพื่อมาลงเล่นในตำแหน่งของแกรี เคฮิลล์ กัปตันของทีมที่ถูกไล่ออก ในนัดแรกของพรีเมียร์ลีกที่เชลซีแพ้ต่อเบิร์นลีย์ 3–2[25] แปดวันหลังจากนั้น เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในนัดที่เอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 2–1 ที่เวมบลีย์[26] ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2018 เครสเตินเซิน ได้ต่อสัญญาฉบับใหม่เป็นเวลาสีปีครึ่งกับเชลซีซึ่งจะสิ้นสุดในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2022 เขาสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับในทีมชุดใหญ่[27] โดยลงเล่น 40 นัดให้กับสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2017–18 รวมทั้งลงเล่น 3 นัดซึ่งช่วยให้ชนะเลิศเอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับบาดเจ็บทำให้ไม่ได้มีส่วนร่วมในรอบชิงชนะเลิศ[28] ก่อนที่ฤดูกาลจะสิ้นสุด เขาได้รับรางวัลผู้เล่นเยาวชนยอดเยี่ยมของสโมสร[29]
ฤดูกาล 2018–19
[แก้]เมารีซีโอ ซาร์รี ผู้จัดการทีมคนใหม่ มักเลือกที่จะจับคู่เซ็นเตอร์แบ็กเป็นดาวิด ลุยซ์ และอันโทนีโอ รือดีเกอร์ ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นเพียง 15 นัดตลอดทั้งฤดูกาล และได้ลงเล่นในลีก 2 นัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการออกจากสโมสร[30] แต่ก็ยังได้โอกาสลงเล่นตลอดทั้งนัดในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก กับอาร์เซนอล ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน เครสเตินเซิน ช่วยให้ทีมเอาชนะ 4–1 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ชนะเลิศทั้งยูฟ่ายูธลีก และยูฟ่ายูโรปาลีก
ฤดูกาล 2019–20
[แก้]หลังเชลซีชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ทำให้พวกเขาได้ลงเล่นยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ในวันที่ 14 สิงหาคม โดยเครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ซึ่งเชลซีแพ้การดวลลูกโทษต่อลิเวอร์พูล 7–6 หลังเสมอกันใน 120 นาที[31]เขาได้ลงเล่น 28 นัดในทุกรายการ รวมถึงในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2020 โดยเครสเตินเซินลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 35 แทนที่เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา แต่เชลซีแพ้ให้กับอาร์เซนอล 2–1 ที่เวมบลีย์[32]
ฤดูกาล 2020–21
[แก้]ในวันที่ 29 พฤศภาคม ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับแมนเชสเตอร์ซิตี ที่โปร์ตู หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนชียากู ซิลวา ซึ่งได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 39 เขาช่วยให้ทีมชนะเลิศด้วยผลคะแนน 1–0 นับเป็นการชนะเลิศรายการนี้ครั้งแรกของเขา[33]
ฤดูกาล 2021–22
[แก้]หลังเชลซีชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2021 กับบิยาร์เรอัล ในวันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งเครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองหลังเปลี่ยนตัวลงมาแทนกูร์ต ซูมา ในนาทีที่ 66 ช่วยให้ทีมเอาชนะในช่วงดวลลูกโทษ 6–5 หลังเสมอกันใน 120 นาที 1–1[34] ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ทำประตูแรกให้กับเชลซีได้ในนัดที่เอาชนะมัลเมอ เอฟเอฟ 4–0 ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ ในรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[35]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 เชลซี ได้ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2021 ที่ประเทศกาตาร์ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งสองนัดที่เชลซีแข่งขัน รวมถึงรอบชิงชนะเลิศกับปัลเมย์รัส ช่วยให้ทีมเอาชนะ 2–1 นับเป็นการชนะเลิศชิงแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งแรกของเชลซี และเครสเตินเซิน[36]
บาร์เซโลนา
[แก้]หลังสัญญากับเชลซีสิ้นสุดลง ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2022 เครสเตินเซิน ได้ย้ายร่วมทีมบาร์เซโลนา ด้วยสัญญาสี่ปี โดยมีค่าฉีกสัญญา 500 ล้านยูโร[37] ในวันที่ 13 สิงหาคม เขาลงเล่นนัดแรกให้กับสโมสรตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลลาลิกา ซึ่งเสมอกับราโยบาเยกาโน 0–0 โดยลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กคู่กับเอริก การ์ซิอา[38]
ระดับทีมชาติ
[แก้]ในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ได้ประเดิมสนามกับทีมชาติเดนมาร์กชุดใหญ่ครั้งแรก ในเกมกระชับมิตรที่เอาชนะมอนเตเนโกร ที่สนามกีฬาวีบอร์ก หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนพีแยร์-เอมิล ฮอยปีแยร์ในนาทีที่ 69[39] ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2016 เครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรก และยังลงเล่นจนครบ 90 นาทีในเกมกระชับมิตรที่เอาชนะสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ 2–1 เอ็มซีเอชอารีนา[40]
เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นหกนัดในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ซึ่งช่วยให้เดนมาร์กผ่านเข้ารอบ รวมถึงในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซึ่งเขาทำประตูแรกให้กับทีมชาติของเขาได้ในนัดที่สองของรอบเพลย์-ออฟเพื่อตัดสินหาทีมเดียวที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย เป็นประตูตีเสมอสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ก่อนที่เดนมาร์กจะแซงเอาชนะ 5–1[41] ออเก ฮาราได ได้เรียกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมในรอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย[42] เขาลงเล่นร่วมกับซีโมน แคร์ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก แต่ได้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับฝรั่งเศส[43] รวมถึงในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับโครเอเชีย เพื่อต่อสู้กับความแข็งแกร่งของคู่แข่งในจุดนี้ เดนมาร์กขึ้นนำตั้งแต่นาทีแรกของนัด แต่ในนาทีที่สี่ ซีโมน แคร์ ได้สกัดบอลมาโดนตัวเขากระดอนไปหามาริออ มันจูกิชทำประตูตีเสมอได้ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของโครเอเชียในช่วงดวลลูกโทษ[44]
เครสเตินเซิน เป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของเดนมาร์ก ระหว่างฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเขาได้ลงเล่นครบทั้งหกนัด[45] ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ทำประตูจากระยะไกลได้ในนัดที่เอาชนะรัสเซีย 4–1 ซึ่งช่วยให้เดนมาร์กผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกของการแข่งขัน[46] หลังจากพวกเขาเอาชนะทั้งเวลส์ และสาธารณรัฐเช็กได้สำเร็จ เดนมาร์ก ได้พ่ายแพ้ในรอบรองชนะเลิศต่ออังกฤษ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2–1 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์[47]
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ได้มีการประกาศว่า เครสเตินเซิน ได้รับเลือกจากคัสเปอร์ ยูลมันให้เป็น 1 ใน 26 นักเตะของทีมชาติเดนมาร์กสำหรับลงแข่งขันในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์[48][49]
เกียรติประวัติ
[แก้]เชลซี (เยาวชน)
เชลซี
- ยูฟาแชมเปียนส์ลีก: 2020–21[52]
- ยูฟ่ายูโรปาลีก: 2018–19[53]
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 2021[54]
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก: 2021[55]
- เอฟเอคัพ รองชนะเลิศ: 2019–20[56]
- อีเอฟแอลคัพ รองชนะเลิศ: 2018–19[57]
ส่วนบุคคล
- รางวัลนักเตะเดนมาร์กแห่งปี: 2015[58][59]
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค: 2015–16[60]
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของเชลซี: 2017–18[61]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Updated squads for 2017/18 Premier League confirmed". Premier League. 2 February 2018. สืบค้นเมื่อ 10 February 2018.
- ↑ "แอนเตรแอส เครสเตินเซิน". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2018.
- ↑ Heneage, Kristan (21 April 2016). "Andreas Christensen: Chelsea's thriving loanee who's attracting Bayern and Barça". FourFourTwo. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
- ↑ "Andreas Christensen: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
- ↑ Heneage, Kristan (21 April 2016). "Andreas Christensen: Chelsea's thriving loanee who's attracting Bayern and Barça". FourFourTwo. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
- ↑ "Chelsea complete signing of 15-year-old Brondby defender Andreas Christensen on a free transfer". Goal.com. 7 February 2012. สืบค้นเมื่อ 7 February 2012.
- ↑ Phillips, Owen (15 May 2013). "Chelsea 2–1 Everton". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 28 October 2014.
- ↑ "Christensen Chelsea Profile". Chelsea F.C. 7 February 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2014. สืบค้นเมื่อ 7 February 2012.
- ↑ Chowdhury, Saj (28 October 2014). "Shrewsbury 1–2 Chelsea". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 28 October 2014.
- ↑ Emons, Michael (24 January 2015). "Chelsea 2–4 Bradford". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 24 January 2015.
- ↑ "Matic's kit, phone calls, but no party: Chelsea's cup celebrations". BBC Sport. 1 March 2015. สืบค้นเมื่อ 2 March 2015.
- ↑ "Brown inspires Chelsea to Youth League glory". 13 April 2015.
- ↑ Winton, Richard (24 May 2015). "Chelsea 3–1 Sunderland". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 24 May 2015.
- ↑ "Every Chelsea player to get a Premier League medal says Jose Mourinho". ESPN. 15 May 2015. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
- ↑ "German loan for Christensen". Chelsea F.C. 10 July 2015.
- ↑ "Borussia bring in Chelsea's Andreas Christensen on loan". Borussia Mönchengladbach. 10 July 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-12. สืบค้นเมื่อ 10 July 2015.
- ↑ "St. Pauli vs. Borussia M'gladbach 1–4", Soccerway, 10 August 2015
- ↑ "Borussia Dortmund vs. Borussia M'gladbach 4–0", Soccerway, 15 August 2015
- ↑ #15 Andreas Chirstensen transfermarkt สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2022
- ↑ "Mönchengladbach delight at dismantling Bremen". Bundesliga. 5 February 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-15. สืบค้นเมื่อ 29 December 2017.
- ↑ "Chelsea prodigy Andreas Christensen wins Borussia Monchegladbach player of the year ahead of Arsenal's Granit Xhaka". Metro. 13 June 2016. สืบค้นเมื่อ 16 June 2016.
- ↑ "Chelsea reject Borussia Monchengladbach bid for Andreas Christensen – Sky sources". Sky Sports. 19 July 2016.
- ↑ "Fiorentina 2–4 Borussia Mönchengladbach". BBC Sport. 23 February 2017. สืบค้นเมื่อ 29 December 2017.
- ↑ "Borussia Monchengladbach 2 Schalke 2 (3-3 agg, Schalke win on away goals): Bentaleb penalty sends visitors through". FourFourTwo. 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 29 December 2017.
- ↑ "Chelsea 2–3 Burnley". BBC Sport. 12 August 2017.
- ↑ "Tottenham Hotspur 1–2 Chelsea". BBC Sport. 20 August 2017.
- ↑ "Christensen commits". Chelsea F.C. 9 January 2018. สืบค้นเมื่อ 9 January 2018.
- ↑ "Revealed: Why Andreas Christensen was not in Chelsea's squad for FA Cup victory over Man United". football.london. 20 May 2018. สืบค้นเมื่อ 21 May 2018.
- ↑ "Christensen: Great to play on the big stage". Chelsea F.C. 15 May 2018. สืบค้นเมื่อ 21 May 2018.
- ↑ Burton, Chris (18 February 2019). "Christensen had 'doubts' but never considered leaving Chelsea". Goal.com. สืบค้นเมื่อ 26 February 2019.
- ↑ 0–0Liverpool 2-2 Chelsea (5-4 on pens): Uefa Super Cup player ratings เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2019 โดย Marcus Christenson สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2022
- ↑ FA Cup final match report: Chelsea 1 Arsenal 2 chelseafc.com เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2020 สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2022
- ↑ "Man. City 0-1 Chelsea: Havertz gives Blues second Champions League triumph". UEFA. 29 May 2021. สืบค้นเมื่อ 29 May 2021.
- ↑ Chelsea-Villarreal | UEFA Super Cup 2020/21 uefa.com สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2022
- ↑ "'Proud Moment' - Andreas Christensen Reflects On Scoring First Chelsea Goal". Sports Illustrated. 22 October 2021. สืบค้นเมื่อ 23 November 2021.
- ↑ Christensen: Ten years a Blue and targeting gold badge on shirt 08 February 2022 Chelseafc.com สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022
- ↑ "Christensen, second signing for FC Barcelona" (ภาษาอังกฤษ). FC Barcelona. 4 July 2022. สืบค้นเมื่อ 4 July 2022.
- ↑ "Barcelona frustrated by Rayo Vallecano as Lewandowski & Raphinha's La Liga debuts spoiled" (ภาษาอังกฤษ). 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 16 August 2022.
- ↑ Olsen, Allan (8 June 2015). "Pierre-Emile er vores panzerwagen!" [Pierre-Emile is our tank!]. Ekstra Bladet (ภาษาเดนมาร์ก). Copenhagn. สืบค้นเมื่อ 8 June 2015.
- ↑ "Denmark vs. Iceland (2 : 1)". OneFootball. 25 มีนาคม 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2016.
- ↑ Hafez, Shamoon (14 November 2017). "Republic of Ireland 1–5 Denmark". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 14 November 2017.
- ↑ "World Cup 2018: Nicklas Bendtner left out of Denmark squad because of injury". BBC Sport. 3 June 2018. สืบค้นเมื่อ 26 February 2019.
- ↑ Wallace, Sam (26 June 2018). "Andreas Christensen gives next Chelsea manager food for thought with commanding midfield display". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 26 February 2019.
- ↑ Watson, Jack (1 July 2018). "Croatia vs Denmark, World Cup 2018: Andreas Christensen falls flat on his face in midfield audition – scouting report". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-27. สืบค้นเมื่อ 26 February 2019.
- ↑ "UEFA Euro 2020 Player Statistics: Andreas Christensen". UEFA.com. สืบค้นเมื่อ 10 July 2021.
- ↑ "Russia 1-4 Denmark: Dazzling Danes storm into last 16". UEFA.com. 21 June 2021. สืบค้นเมื่อ 10 July 2021.
- ↑ "England beat Denmark in extra time to set up Euro 2020 final with Italy". The Guardian. 7 July 2021. สืบค้นเมื่อ 10 July 2021.
- ↑ Denmark World Cup 2022 squad list, fixtures and latest odds telegraph.co.uk เขียนโดย Ewan Somerville เขียนและสืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022
- ↑ Christensen in Denmark World Cup squad FCBarcelona.com 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022
- ↑ Reid, Jamie (6 May 2014). "Chelsea seal Youth Cup glory after thriller at the Bridge". The Football Association. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
- ↑ "Brown inspires Chelsea to Youth League glory". UEFA. 13 April 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2017.
- ↑ McNulty, Phil (29 May 2021). "Manchester City 0–1 Chelsea". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 15 February 2022.
- ↑ Bevan, Chris (29 May 2019). "Chelsea 4–1 Arsenal". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 29 May 2019.
- ↑ Sterling, Mark (11 August 2021). "Chelsea 1–1 Villarreal". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 15 February 2022.
- ↑ "Chelsea 2–1 Palmeiras". BBC Sport. 12 February 2022. สืบค้นเมื่อ 15 February 2022.
- ↑ McNulty, Phil (1 August 2020). "Arsenal 2–1 Chelsea". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 1 August 2020.
- ↑ McNulty, Phil (24 February 2019). "Chelsea 0–0 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 April 2019.
- ↑ DFA: AC Snuppede Årets Talent (Danish), Accessed 22 March 2016
- ↑ DFA: Dansk Fodbold Award (Danish) เก็บถาวร 2018-08-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Accessed 22 March 2016
- ↑ |Andreas Christensen vinder hæder i Gladbach (Danish), Accessed 13 June 2016
- ↑ "Annual awards 2018 – Kante is no.1". Chelsea F.C. 10 May 2018. สืบค้นเมื่อ 26 August 2018.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- โปรไฟล์ ที่เว็บไซต์สโมสรฟุตบอลเชลซี
- โปรไฟล์ ที่เว็บไซต์สหภาพฟุตบอลเดนมาร์ก
- แอนเตรแอส เครสเตินเซิน – สถิติการลงแข่งจากสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) (อังกฤษ)
- สถิติของ แอนเตรแอส เครสเตินเซิน ที่ Soccerbase
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2539
- บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
- นักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก
- นักฟุตบอลทีมชาติเดนมาร์ก
- กองหลังฟุตบอล
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลเชลซี
- ผู้เล่นโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา
- ผู้เล่นในลาลิกา
- ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก
- ผู้เล่นในบุนเดิสลีกา
- ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2018
- ผู้เล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020
- ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2022
- ผู้เล่นในชุดชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ผู้เล่นในชุดชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก
- ผู้เล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024