ข้ามไปเนื้อหา

แมกดอนเนลล์ดักลาส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมกดอนเนลล์ดักลาสคอร์ปอเรชัน
ประเภทมหาชน
การซื้อขาย
NYSE: MD
อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
ก่อนหน้า
ก่อตั้ง28 เมษายน 1967; 58 ปีก่อน (1967-04-28)
เลิกกิจการ1 สิงหาคม 1997; 28 ปีก่อน (1997-08-01)
สาเหตุควบรวมกิจการกับโบอิง
ถัดไปโบอิง
สำนักงานใหญ่เบิร์กลีย์ รัฐมิสซูรี สหรัฐ
บุคลากรหลักแฮร์รี สโตนไซเฟอร์ (ซีอีโอ)
พนักงาน
63,000 Edit this on Wikidata
เว็บไซต์mdc.com ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (เก็บถาวร 1997-07-06)
เชิงอรรถ / อ้างอิง
[1][2]

แมกดอนเนลล์ดักลาสคอร์ปอเรชัน (อังกฤษ: McDonnell Douglas Corporation) เป็นบริษัทผู้ผลิตอากาศยานรายใหญ่และผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นจากการรวมกิจการของแมกดอนเนลล์แอร์คราฟต์ (McDonnell Aircraft) และดักลาสแอร์คราฟต์คอมพานี (Douglas Aircraft Company) ใน ค.ศ. 1967 ระหว่างนั้นจนกระทั่งบริษัทได้รวมกิจการกับโบอิงใน ค.ศ. 1997 ได้ผลิตอากาศยานเชิงพาณิชย์และอากาศยานทางทหารที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น เครื่องบินโดยสาร DC-10 และ MD-80 รวมถึงเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ F-15 อีเกิล และเครื่องบินขับไล่หลายบทบาท F/A-18 ฮอร์เน็ต

สำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเซนต์หลุยส์แลมเบิร์ต ใกล้เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ภูมิหลัง

[แก้]

บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นจากการรวมกันของบริษัทของเจมส์ สมิธ แมกดอนเนลล์และดอนัลด์ วิลส์ ดักลาสใน ค.ศ. 1967 ทั้งคู่มีเชื้อสายสกอตแลนด์ สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และเคยทำงานให้กับบริษัทผู้ผลิตอากาศยาน เกลนน์ แอล. มาร์ติน คอมพานี (Glenn L. Martin Company)[3]

ดักลาส F3D สกายไลต์, ค.ศ. 1952

ดักลาสเคยเป็นหัวหน้าวิศวกรที่มาร์ตินก่อนจะลาออกมาเพื่อก่อตั้งบริษัทเดวิส-ดักลาสในช่วงต้น ค.ศ. 1920 ที่ลอสแอนเจลิส และในปีต่อมา เขาก็ซื้อหุ้นของผู้สนับสนุนและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นดักลาสแอร์คราฟต์คอมพานี[4]

แมกดอนเนลล์ก่อตั้งบริษัท เจ.เอส. แมกดอนเนลล์ แอนด์แอสโซซิเอต์ส์ ที่มิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ใน ค.ศ. 1926 เพื่อผลิตเครื่องบินส่วนตัวสำหรับครอบครัว แต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน ค.ศ. 1929 ทำให้ความคิดของเขาล้มเหลวและบริษัทต้องล้มละลาย เขาทำงานที่บริษัทอื่นอีกสามแห่ง โดยเข้าร่วมบริษัทเกลนน์ มาร์ตินใน ค.ศ. 1933 และลาออกจากมาร์ตินใน ค.ศ. 1938 เพื่อลองก่อตั้งบริษัทของตัวเองอีกครั้งในชื่อแมกดอนเนลล์แอร์คราฟต์คอร์ปอเรชัน ซึ่งตั้งอยู่ที่แลมเบิร์ตฟีลด์ นอกเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี[5]

ดักลาส DC-3 ของไอบีเรีย

บริษัทดักลาสได้รับกำไรมหาศาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยผลิตเครื่องบิน C-47 ซึ่งเป็นรุ่นทางทหารของดักลาส DC-3 ได้ประมาณ 10,000 ลำตั้งแต่ ค.ศ. 1942 ถึง 1945 ทำให้จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 160,000 คน[ต้องการอ้างอิง]

ทั้งสองบริษัทต้องเผชิญกับปัญหาเมื่อสงครามสิ้นสุดลง เนื่องจากคำสั่งซื้อจากรัฐบาลหมดไปและมีเครื่องบินเหลือใช้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ดักลาสยังคงพัฒนาเครื่องบินใหม่ต่อไป เช่น DC-6 ใน ค.ศ. 1946 และ DC-7 ใน ค.ศ. 1953[6][7] ใน ค.ศ. 1953 บริษัทเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคไอพ่น โดยผลิตเครื่องบิน F3D สกายไนต์ในปี 1948 และ F4D สกายเรย์ซึ่งมีความทันสมัยกว่าใน ค.ศ. 1951[8] ใน ค.ศ. 1955 ดักลาสได้เปิดตัวเครื่องบินโจมตีไอพ่นลำแรกของกองทัพเรือสหรัฐ A4D สกายฮอว์ก[9] ออกแบบมาให้ปฏิบัติการจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเอสเซ็กซ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินรุ่นนี้มีขนาดเล็ก เชื่อถือได้ และแข็งแกร่ง และรุ่นที่ปรับปรุงยังคงใช้งานในกองทัพเรือเกือบ 50 ปี[10] โดยในที่สุดได้ถูกใช้งานจำนวนมากในฐานะเครื่องบินฝึกไอพ่นสองที่นั่ง[11]

ดักลาส DC-8

ดักลาสยังผลิตเครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ด้วย โดยเปิดตัว DC-8 ใน ค.ศ. 1958 เพื่อแข่งขันกับโบอิง 707[12][13] แมกดอนเนลล์ก็กำลังพัฒนาเครื่องบินไอพ่นเช่นกัน แต่เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าจึงพร้อมจะทำสิ่งใหม่ ๆ ได้มากกว่า โดยต่อยอดจากความสำเร็จของ FH-1 แฟนทอมจนกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ให้กับกองทัพเรือด้วย F2H แบนชีและ F3H ดีมอน รวมถึงผลิต F-101 วูดูให้กับกองทัพอากาศสหรัฐ (USAF)[14][15] ในยุคสงครามเกาหลีและ F-4 แฟนทอม II ที่ผลิตในยุคสงครามเวียดนามช่วยผลักดันให้แมกดอนเนลล์กลายเป็นผู้จัดหาเครื่องบินขับไล่ทางทหารรายใหญ่[16] ดักลาสสร้างเครื่องบินไอพ่นความเร็วสูงรุ่นทดลองในตระกูลสกายร็อกเก็ต โดยสกายร็อกเก็ต DB-II เป็นเครื่องบินลำแรกที่เดินทางด้วยความเร็วสองเท่าของเสียงใน ค.ศ. 1953

ทอร์เอเบิลกับไพโอเนียร์ 1 ที่แหลมคะแนเวอรัล รัฐฟลอริดา

ทั้งสองบริษัทต่างกระตือรือร้นที่จะเข้าสู่ธุรกิจมิสไซล์ โดยดักลาสเปลี่ยนจากการผลิตจรวดและมิสไซล์แบบอากาศสู่อากาศมาเป็นระบบมิสไซล์ทั้งหมดภายใต้โครงการไนกีใน ค.ศ. 1956 และกลายเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการสกายโบลต์เอแอลบีเอ็มและโครงการขีปนาวุธทอร์[17][18] แมกดอนเนลล์ผลิตมิสไซล์หลายชนิด รวมถึง ADM-20 เควลที่ไม่เหมือนใคร[19] และยังทำการทดลองการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง ซึ่งการวิจัยนี้ช่วยให้บริษัทได้รับส่วนแบ่งที่สำคัญจากโครงการเมอร์คิวรีและเจมินีของนาซา ในขณะที่ดักลาสก็ได้รับสัญญากับนาซาเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับบางส่วนของจรวดขนาดมหึมาอย่างแซตเทิร์น V[20][21]

ทั้งสองบริษัทกลายเป็นนายจ้างรายใหญ่ แต่ต่างก็มีปัญหา แมกดอนเนลล์เป็นผู้รับเหมาด้านการทหารเป็นหลักโดยไม่มีธุรกิจพลเรือนที่สำคัญ และมักประสบปัญหาในช่วงที่การจัดซื้อของกองทัพลดลง ในขณะเดียวกัน ดักลาสก็ประสบปัญหาด้านต้นทุนของ DC-8 และ DC-9 ทั้งสองบริษัทจึงเริ่มพูดคุยเรื่องการควบรวมกิจการใน ค.ศ. 1963 ดักลาสเสนอการประมูลตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 และยอมรับข้อเสนอของแมกดอนเนลล์[22] ทั้งสองบริษัทได้รวมกิจการกันอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1967 ในชื่อแมกดอนเนลล์ดักลาสคอร์ปอเรชัน (MDC) ก่อนหน้านี้ แมกดอนเนลล์ได้ซื้อหุ้นของดักลาส 1.5 ล้านหุ้นเพื่อช่วยให้คู่ค้าของตนตอบสนอง "ความต้องการทางการเงินเร่งด่วน"[23][24] ทั้งสองบริษัทดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี สัญญาทางทหารของแมกดอนเนลล์ช่วยแก้ปัญหาทางการเงินของดักลาสได้ทันที ในขณะที่รายได้จากสัญญาพลเรือนของดักลาสก็เพียงพอที่จะทำให้แมกดอนเนลล์สามารถทนต่อการลดลงของการจัดซื้อในยามสงบ

การก่อตัว

[แก้]
สายการประกอบ DC-9 และ DC-10 ที่โรงงานลองบีช, ค.ศ. 1974

แมกดอนเนลล์ดักลาสยังคงใช้สำนักงานใหญ่ของแมกดอนเนลล์แอร์คราฟต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าอากาศนานาชาติแลมเบิร์ต-เซนต์หลุยส์ ในเบิร์กลีย์ รัฐมิสซูรี[25][26][27][28] ใกล้เซนต์หลุยส์ เจมส์ แมกดอนเนลล์ กลายเป็นประธานบริหารและซีอีโอของบริษัทที่ควบรวมกิจการ ส่วนดอลด์ ดักลาส ซีเนียร์ ดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์[22]

ดักลาส DC-9-32

ใน ค.ศ. 1967 เมื่อแมกดอนเนลล์และดักลาสแอร์คราฟต์ควบรวมกิจการกัน เดวิด เอส. ลูอิส ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานของแมคดอนเนลล์แอร์คราฟต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานของดักลาสแอร์คราฟต์ดิวิชันที่ลองบีช ในช่วงเวลาที่ควบรวมกิจการ ดักลาสแอร์คราฟต์คาดว่าจะล้มละลายภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แม้จะมีคำสั่งซื้อเข้ามามากมาย แต่ DC-8 และ DC-9 กลับล่าช้ากว่ากำหนด 9 ถึง 18 เดือน ทำให้ต้องเสียค่าปรับจำนวนมากให้กับสายการบิน ลูอิสมีบทบาทอย่างมากในการขาย DC-10 ในการแข่งขันอย่างเข้มข้นกับ L-1011 ของล็อกฮีด ซึ่งเป็นเครื่องบินสามเครื่องยนต์คู่แข่ง[29][30][31] ในเวลาสองปี ลูอิสก็สามารถทำให้การดำเนินงานกลับมาสู่เส้นทางเดิมและมีกระแสเงินสดเป็นบวก เขากลับมายังสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่เซนต์หลุยส์ ซึ่งเขายังคงมุ่งเน้นความพยายามในการขาย DC-10 และบริหารบริษัทโดยรวมในฐานะประธานและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการจนถึง ค.ศ. 1971

แมกดอนเนลล์ดักลาส DC-10

DC-10 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1968 และส่งมอบครั้งแรกใน ค.ศ. 1971[32]

ในช่วงต้น ค.ศ. 1966 และอีกหลายทศวรรษหลังจากนั้น แมกดอนเนลล์ดักลาสได้พิจารณาสร้างเครื่องบินสองเครื่องยนต์ในชื่อ "DC-10 ทวิน" หรือ DC-X[33][34][35] ซึ่งจะเป็นเครื่องบินไอพ่นคู่รุ่นแรก ๆ ที่คล้ายกับแอร์บัส A300 แต่โครงการนี้ไม่เคยพัฒนาไปถึงขั้นสร้างต้นแบบ เครื่องบินดังกล่าวอาจทำให้แมกดอนเนลล์ดักลาสเป็นผู้นำตลาดเครื่องบินไอพ่นคู่ขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นในทศวรรษ 1970 รวมถึงมีความคล้ายกับระบบต่าง ๆ ของ DC-10[35][36]

ค.ศ. 1970–1980

[แก้]
MD-80

ใน ค.ศ. 1977 เครื่องบินรุ่นใหม่ในตระกูล DC-9 ซึ่งถูกเรียกว่าซีรีส์ "ซูเปอร์ 80" (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น MD-80) ได้เปิดตัว[37]

ใน ค.ศ. 1977 KC-10 เอ็กซ์เทนเดอร์ กลายเป็นเครื่องบินลำเลียงลำที่สองของแมกดอนเนลล์ดักลาสที่กองทัพอากาศสหรัฐซื้อไปใช้งาน ถัดจาก C-9 ไนติงเกล/สกายเทรน II

F-15C ของกองทัพอากาศสหรัฐ ระหว่างการลาดตระเวนในปฏิบัติการโนเบิลอีเกิล

ตลอดช่วงสงครามเย็น แมกดอนเนลล์ดักลาสได้เปิดตัวและผลิตเครื่องบินทางทหารที่ประสบความสำเร็จหลายสิบลำ รวมถึง F-15 อีเกิลใน ค.ศ. 1974[38] F/A-18 ฮอร์เน็ตใน ค.ศ. 1978[39] รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่นมิสไซล์ฮาร์พูนและโทมาฮอว์ก

วิกฤตการณ์น้ำมันในทศวรรษ 1970 เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์ แมกดอนเนลล์ดักลาสได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจนี้และถูกบังคับให้ต้องลดขนาดบริษัทลงพร้อมกับต้องกระจายธุรกิจไปยังด้านอื่น ๆ เพื่อป้องกันความตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต[ต้องการอ้างอิง]

ค.ศ. 1980–1989

[แก้]
KC-10 เอ็กซ์เทนเดอร์ ระหว่างการเติมเชื้อเพลิง

ใน ค.ศ. 1984 แมกดอนเนลล์ดักลาสได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจเฮลิคอปเตอร์ด้วยการซื้อบริษัทฮิวส์เฮลิคอปเตอส์ (Hughes Helicopters) จากซัมมาคอร์ปอเรชัน (Summa Corporation) ด้วยมูลค่า 470 ล้านดอลลาร์[40] ในช่วงแรกฮิวส์เฮลิคอปเตอส์ถูกจัดให้เป็นบริษัทสาขาและเปลี่ยนชื่อเป็นแมกดอนเนลล์ดักลาสเฮลิคอปเตอร์ซิสเต็มส์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984[41] ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของแมกดอนเนลล์ดักลาสเฮลิคอปเตอส์คือเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64 อาพาชี ซึ่งได้รับการออกแบบโดยฮิวส์[42][43]

แมกดอนเนลล์ดักลาส MD-11

ใน ค.ศ. 1986 MD-11 ได้ถูกเปิดตัว ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงและอัปเกรดจาก DC-10[44] MD-11 เป็นเครื่องบินสามเครื่องยนต์ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีการพัฒนามา ตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เครื่องบินรุ่นนี้ขายได้ 200 ลำ แต่ถูกยกเลิกการผลิตใน ค.ศ. 2001 หลังการควบรวมกิจการกับโบอิงเนื่องจากเป็นคู่แข่งกับโบอิง 777[44][45][46][47] การออกแบบเครื่องบินพาณิชย์ลำสุดท้ายของแมกดอนเนลล์ดักลาสเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1988 นั่นคือ MD-90 ซึ่งเป็นรุ่นที่ยืดลำตัวของ MD-80[48] โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนอินเตอร์เนชันแนลแอโรเอนจินส์ V2500 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ติดตั้งท้ายลำตัวขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยใช้ในเครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ และ MD-95 เครื่องบินโดยสารระดับภูมิภาคสมัยใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับ DC-9-30 เป็นเครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์รุ่นสุดท้ายที่ออกแบบโดยแมกดอนเนลล์ดักลาสที่ถูกผลิตขึ้น[49][50]

สายการประกอบแมกดอนเนลล์ดักลาส T-45 กอสฮอว์ก, ป.1988

วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 แมกดอนเนลล์ดักลาสและเจเนรัลไดนามิกส์ (General Dynamics) ได้รับสัญญาสร้างเครื่องบินยุทธวิธีขั้นสูงของกองทัพเรือสหรัฐ (ATA) มูลค่า 4,830 ล้านดอลลาร์ สัญญานี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนา A-12 อเวนเจอร์ II เครื่องบินโจมตีปีกบินล่องหนพิสัยไกลสำหรับใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อมาทดแทน A-6 อินทรูเดอร์

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1989 รอเบิร์ต ฮูด จูเนียร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเพื่อนำแผนกดักลาส แอร์คราฟต์ แทนที่ประธานคนเก่าที่เกษียณอายุ จิม วอร์แชม จากนั้นแมกดอนเนลล์ดักลาสได้นำการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่มาใช้ในชื่อระบบจัดการคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management System หรือ TQMS) TQMS ได้ยกเลิกการจัดสรรงานแบบเดิมที่วิศวกรซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอากาศพลศาสตร์ กลไกโครงสร้าง วัสดุ และด้านเทคนิคอื่น ๆ ต้องทำงานในเครื่องบินหลายแบบ และแทนที่ด้วยระบบที่เน้นผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งทำให้พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่เครื่องบินรุ่นใดรุ่นหนึ่งโดยเฉพาะ การปรับโครงสร้างนี้ทำให้มีการยุบตำแหน่งผู้จัดการและหัวหน้างาน 5,000 ตำแหน่งในแผนกดักลาส โดยอดีตผู้จัดการสามารถสมัครตำแหน่งที่สร้างขึ้นใหม่ได้ 2,800 ตำแหน่ง ส่วนอีก 2,200 คนที่เหลือจะสูญเสียหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารจัดการ[51] มีรายงานว่าการปรับโครงสร้างนี้ทำให้ขวัญกำลังใจในหมู่พนักงานตกต่ำอย่างมาก และ TQMS ถูกพนักงานตั้งชื่อเล่นว่า "ได้เวลาลาออกและย้ายไปซีแอตเทิล" หมายถึงโบอิงซึ่งเป็นคู่แข่งที่มีสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน[52]

ค.ศ. 1990–1997

[แก้]
ภาพพิมพ์ของแมกดอนเนลล์ดักลาส/เจเนรัลไดนามิกส์ A-12 อเวนเจอร์ II ซึ่งมีแผนจะสร้างขึ้นสำหรับกองทัพเรือสหรัฐแต่ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 1991 ด้วยมีค่าใช้จ่ายสูง

ปัญหาทางเทคนิค ต้นทุนการพัฒนาที่บานปลาย ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น และความล่าช้าส่งผลให้โครงการ A-12 อเวนเจอร์ II ถูกยกเลิกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดิก ชีนีย์ เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1991 และมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันนานหลายปีเกี่ยวกับเรื่องการยกเลิกสัญญา โดยรัฐบาลอ้างว่าผู้รับเหมาทำผิดสัญญาและไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย ในขณะที่แมคกอนเนลล์ดักลาสและเจเนรัลไดนามิกส์เชื่อว่าสัญญานี้ถูกยกเลิกด้วยเหตุผลด้านความสะดวก จึงควรได้รับเงิน[ต้องการอ้างอิง] การต่อสู้คดีดำเนินไปจนมีการบรรลุข้อตกลงกันในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 ความวุ่นวายและความเครียดทางการเงินที่เกิดจากการล้มของโครงการ A-12 ส่งผลให้มีการปลดพนักงาน 5,600 คน[53] บทบาทของเครื่องบินยุทธวิธีขั้นสูงที่ว่างลงจากความล้มเหลวของ A-12 ก็ถูกเติมเต็มด้วยโครงการอื่นของแมกดอนเนลล์ดักลาส นั่นคือ F/A-18E/F ซูเปอร์ฮอร์เน็ต[39][54]

อย่างไรก็ดี การจัดซื้อเครื่องบินถูกลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันในทศวรรษ 1990 การลดการจัดซื้อทางทหารนี้เมื่อรวมกับการสูญเสียสัญญาสองโครงการสำคัญ ได้แก่ เครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีขั้นสูงและเครื่องบินขับไล่โจมตีร่วม ทำให้แมกดอนเนลล์ดักลาสได้รับความเสียหายอย่างหนัก[45][55] แมกดอนเนลล์ดักลาสสร้างได้เพียงแค่แบบจำลองสำหรับทดสอบในอุโมงค์ลมขนาดเล็กเท่านั้น[56][57] ในช่วงสูงสุดกลาง ค.ศ. 1990 แมกดอนเนลล์ดักลาสมีพนักงาน 132,500 คน แต่ลดลงเหลือเพียงประมาณ 87,400 คนภายในสิ้น ค.ศ. 1992[58]

ใน ค.ศ. 1991 MD-11 ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากการทดสอบที่กำลังดำเนินอยู่พบว่าประสิทธิภาพของเครื่องบินขาดหายไปอย่างมาก สิงคโปร์แอร์ไลน์ ลูกค้าในอนาคตที่สำคัญ ได้กำหนดคุณสมบัติว่าเครื่องบินจะต้องสามารถบินจากสิงคโปร์ไปปารีสได้พร้อมกับบรรทุกเต็มลำ โดยต้องฝ่าลมต้านในกลางฤดูหนาว ซึ่งในขณะนั้น MD-11 ยังไม่มีพิสัยเพียงพอ[59] ด้วยเหตุนี้สิงคโปร์แอร์ไลน์จึงยกเลิกคำสั่งซื้อ MD-11 จำนวน 20 ลำ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1991 และหันไปสั่งซื้อแอร์บัส A340-300 จำนวน 20 ลำแทน[60]

เครื่องบินแนวคิดแมกดอนเนลล์ดักลาส MD-12

ใน ค.ศ. 1992 แกคดอนเนลล์ดักลาสเปิดเผยการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดเครื่องบินขนาดจัมโบ้สองชั้นในชื่อ MD-12[36][61] แม้จะมีการถอนตัวจากตลาดไปช่วงสั้น ๆ การศึกษานี้ถูกมองว่าเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าแมกดอนเนลล์ดักลาสกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากโบอิงและแอร์บัส เป็นที่ชัดเจนสำหรับคนส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมว่าแมกดอนเนลล์ดักลาสไม่มีทั้งทรัพยากรและเงินทุนที่จะพัฒนาเครื่องบินขนาดใหญ่เช่นนี้ได้[62] และการศึกษานี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีร่องรอย แนวคิดเครื่องบินสองชั้นที่คล้ายกันนี้ถูกนำมาใช้ในการศึกษาเครื่องบินขนาดใหญ่พิเศษของโบอิงในภายหลัง ซึ่งตั้งใจจะมาแทนที่ 747[63][64] แต่สุดท้ายแนวคิดเครื่องบินสองชั้นก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างจนกระทั่งแอร์บัสเปิดตัว A380 ในทศวรรษ 2000[65][66]

หลังการเข้าซื้อกิจการของแผนกนอร์ทอเมริกันของร็อกเวลล์ใน ค.ศ. 1996 แมกดอนเนลล์ดักลาสก็ควบรวมกิจการกับโบอิงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1997 ด้วยการแลกเปลี่ยนหุ้นมูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีโบอิงเป็นบริษัทที่คงอยู่[1][55] โบอิงได้นำอัตลักษณ์องค์กรใหม่มาใช้โดยอิงจากตราสัญลักษณ์ของแมกดอนเนลล์ดักลาส ซึ่งแสดงถึงโลกที่ถูกโอบล้อมเพื่อรำลึกถึงการบินรอบโลกครั้งแรกซึ่งสำเร็จใน ค.ศ. 1924 โดยเครื่องบินของดักลาส ตราสัญลักษณ์นี้ออกแบบโดยนักออกแบบกราฟิก ริก ไอเบอร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาด้านอัตลักษณ์องค์กรของโบอิงมานานกว่าสิบปี[67][68][69][70]

ระหว่าง ค.ศ. 1993 และหลังควบรวมกิจการใน ค.ศ. 1997 แมกดอนเนลล์ดักลาสได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของเครื่องบินไอพ่นสองเครื่องยนต์โดยใช้ส่วนประกอบของ MD-11 และท้ายที่สุดได้เสนอแนวคิดเครื่องบินไอพ่นดังกล่าวโดยใช้ปีกของโบอิง แต่ก็ไม่มีข้อเสนอใด ๆ ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา[35][71][72]

ใน ค.ศ. 1999 โบอิงได้แยกสายการผลิตเฮลิคอปเตอร์พลเรือนออกไปเพื่อก่อตั้งเอ็มดีเฮลิคอปเตอส์ (MD Helicopters) ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของแมกดอนเนลล์ดักลาสเฮลิคอปเตอร์ซิสเต็มส์

ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2006 โบอิงได้ปิดโรงงานลองบีชเนื่องจากคำสั่งซื้อ C-17 ได้สิ้นสุดลง[73]

มรดกจากแมคดอนเนลล์ออโตเมชันคอมพานี

[แก้]

มรดกที่ยั่งยืนบางส่วนของบริษัทไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบินโดยตรง แต่คือระบบคอมพิวเตอร์และบริษัทที่พัฒนาขึ้นในบริษัทสาขาที่ชื่อแมกดอนเนลล์ออโตเมชันคอมพานี (McAuto) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในทศวรรษ 1950 และเริ่มแรกใช้สำหรับการควบคุมเชิงตัวเลขสำหรับการผลิตตั้งแต่ ค.ศ. 1958 และการออกแบบใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (CAD) ตั้งแต่ ค.ศ. 1959 โปรแกรม CAD ของบริษัทที่ชื่อ MicroGDS ยังคงถูกใช้งานอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเวอร์ชันล่าสุดอย่างเป็นทางการคือ 11.5.1[74] ที่ออกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2023[75][76]

ในช่วงทศวรรษ 1970 แมกออโตมีพนักงาน 3,500 คนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น[76]

ใน ค.ศ. 1981 แมคออโตเข้าซื้อกิจการแบรดฟอร์ดซิสเต็มส์แอนด์แอดมินิสเตรทิฟเซอร์วิสเซส (Bradford Systems and Administrative Services) ด้วยมูลค่า 11.5 ล้านดอลลาร์ และเริ่มประมวลผลการเคลมค่ารักษาพยาบาล[77] ใน ค.ศ. 1983 บุคคลสำคัญสองคนจากแบรดฟอร์ดที่เข้ามาทำงานที่แมคออโต ได้แก่ โจเซฟ ที. ลินอห์ [ต้องการอ้างอิง] และฮาเวิร์ด แอล. วอลต์แมน[78]—ได้ร่วมกันก่อตั้งแซนัสคอร์ปอเรชัน (Sanus Corporation) องค์กรดูแลสุขภาพ (HMO) ที่เป็นบริษัทสาขาของแมกดอนเนลล์ดักลาสอย่างสมบูรณ์[79] ใน ค.ศ. 1986 หลังจากที่แมกดอนเนลล์ดักลาสลดการควบคุม แซนัสได้ประกาศความร่วมมือกับเครือข่ายร้านขายยาในเซนต์หลุยส์ เมดิแคร์-เกลเซอร์คอร์ป (Medicare-Glaser Corp.) เพื่อก่อตั้งเอ็กซ์เพรสสคริปส์ (Express Scripts) สำหรับการจัดหายาให้กับแซนัส

ผลิตภัณฑ์

[แก้]

เครื่องบินทหาร

[แก้]
แมกดอนเนลล์ดักลาส YC-15 ถูกใช้เป็นพื้นฐานสำหรับ C-17
แมกดอนเนลล์ดักลาส DC-9
MD-11 เป็นเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นสุดท้ายของแมกดอนเนลล์ดักลาสที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1988 ถึง 2000
F/A-18E ซูเปอร์ฮอร์เน็ต
เฮลิคอปเตอร์ MD 500

เครื่องบินเชิงพาณิชย์

[แก้]

เครื่องบินทดลอง

[แก้]

เครื่องบินโดยสารที่เสนอ

[แก้]

เฮลิคอปเตอร์

[แก้]

ยานอวกาศ

[แก้]

ระบบคอมพิวเตอร์

[แก้]

แมกดอนเนลล์ดักลาสเข้าซื้อบริษัทไมโครดาตาคอร์ปอเรชัน (Microdata Corporation) ใน ค.ศ. 1983 แผนกนี้แยกตัวออกมาเป็นบริษัทอิสระชื่อแมกดอนเนลล์ดักลาสอินฟอร์เมชันซิสเต็มส์ (McDonnell Douglas Information Systems) ใน ค.ศ. 1993[80]

  • ซีเควล
  • สปิริต
  • เรียลลิตีโอเอส
  • ซีรีส์ 18 โมเดล 6
  • ซีรีส์ 18 โมเดล 9
  • โซเวอเรน
  • 6200
  • 6400
  • 7000
  • 9000
  • 9200
  • 9400

บริษัทยังผลิตระบบตระกูลโซเวอเรน (ภายหลังคือ M7000) ในสหราชอาณาจักร ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการโซเวอเรนที่พัฒนาในสหราชอาณาจักรและไม่ได้อิงตามพิก (Pick) เหมือนกับตระกูล "เรียลลิตี" ที่กล่าวมาข้างต้น โซเวอเรน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโซลูชันสำหรับการป้อนข้อมูล มีตลาดที่เหมาะสมในสหรัฐเพื่อสนับสนุนร้านค้าที่รับป้อนข้อมูล[81]

มิสไซล์และจรวด

[แก้]

การส่งมอบเชิงพาณิชย์

[แก้]
การส่งมอบเครื่องบินพาณิชย์ที่ออกแบบโดยแมกดอนเนลล์ดักลาสตามปีและรุ่น[82]
DC-8DC-9DC-10MD-80MD-90MD-11รวม
19592121
19609191
19614242
19622222
19631919
19642020
196531536
19663269101
196741153194
1968102202304
196985122207
1970335184
197113461372
19724325288
1973295786
1974484795
1975424385
1976501969
1977221436
1978221840
1979393574
19801841564
1981162561102
198210113455
1983125163
1984104454
1985117182
19861785102
19871094104
198810120130
19891117118
19901393142
199114031171
19928442126
1993433679
1994231740
199518131849
199612251552
199716261254
19988341254
19992613847
2000549
200122
รวม! 5569764461,191116200 3,485
ยังใช้งาน[83]2325040465123676
DC-8DC-9DC-10MD-80MD-90MD-11

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 Boeing Chronology, 1997–2001 เก็บถาวร มกราคม 2, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at boeing.com.
  2. "SEC on acquisition of McDonnell Douglas by Boeing, 1997". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มกราคม 10, 2024. สืบค้นเมื่อ มกราคม 10, 2024.
  3. Yenne 1985, pp. 6–9.
  4. Yenne 1985, pp. 10–12.
  5. Leiser, Ken. "St. Louis aviation honored". St. Louis Post-Dispatch, August 28, 2009. เก็บถาวร สิงหาคม 29, 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  6. Johnston, Stanley (กุมภาพันธ์ 17, 1946). "Douglas DC-4 and DC-6 Skymasters". Chicago Tribune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  7. "DC-7, newest Douglas Airliner, takes to sky". Los Angeles Times. พฤษภาคม 19, 1953. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  8. "U.S. Jet set mark, flies 753.4 M.P.H: Navy Hero recaptures World Speed leadership – Bests week-old British record". New York Times. ตุลาคม 4, 1953. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 5, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  9. "Bantam Jet Bomber is unveiled by Navy". Hartford Courant. มิถุนายน 8, 1954. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  10. "Saying goodbye to the A-4 Skyhawk". The Virginian. กรกฎาคม 17, 1993. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 8, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  11. Ray, Nancy (กันยายน 16, 1991). "Aircraft pioneer, 83, savors bold designs that still fly". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  12. Miles, Marvin (พฤษภาคม 31, 1958). "Douglas Jetliner, most advanced of nation, debuts in test flight". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  13. Miles, Marvin (สิงหาคม 24, 1961). "A DC-8 is first Airliner to top speed of Sound". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 5, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  14. "Navy awards contract for new jet fighter". Hartford Courant. สิงหาคม 17, 1952. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  15. "Navy accepts first Demon jet". Los Angeles Times. มกราคม 9, 1954. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  16. O'neil, Tim (พฤษภาคม 24, 2009). "The Phantom of the factory: A Look Back – The F-4 Phantom II, rolled out in late May 1958, became one of the great success stories of military aviation and supported thousands of families". St Louis Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 8, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  17. "Skybolt fired Successfully". Kentucky New Era. ธันวาคม 20, 1962. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 21, 2021. สืบค้นเมื่อ พฤศจิกายน 17, 2020.
  18. Shannon, Don (พฤษภาคม 9, 1958). "Thor hinted as favorite missile". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  19. Witkin, Richard (พฤษภาคม 8, 1960). "Missiles extend life of bomber: Jets, once thought obsolete, will soon carry deadly Air-Ground rockets". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 5, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  20. "Douglas Saturn contract grows $48 Million". Los Angeles Times. ธันวาคม 22, 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  21. Schonberger, Ernest A (ตุลาคม 5, 1967). "$170.5-Million job won by McDonnell Douglas". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  22. 1 2 Wright, Robert (มกราคม 26, 1967). "McDonnell and Douglas take a giant step". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 5, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  23. "Douglas, McDonnell aircraft firms announce merger plans". The Bulletin. (Bend, Oregon). UPI. มกราคม 13, 1967. p. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 10, 2021. สืบค้นเมื่อ พฤศจิกายน 17, 2020.
  24. "McDonnell Douglas merger cleared". Fort Scott Tribune. เมษายน 27, 1967. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 21, 2021. สืบค้นเมื่อ พฤศจิกายน 17, 2020.
  25. Ealy, Charles and Andy Dworkin. "Texas Instruments may sell defense unit McDonnell Douglas among 1st to show interest เก็บถาวร ตุลาคม 21, 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." The Dallas Morning News. November 6, 1996. Retrieved June 12, 2009.
  26. "Berkeley city, Missouri[ลิงก์เสีย]." U.S. Census Bureau. Retrieved June 8, 2009.
  27. "Berkeley, MO (1990) Tiger Map เก็บถาวร มิถุนายน 7, 2000 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." U.S. Census Bureau. Retrieved June 13, 2009.
  28. Bower, Carolyn. "TESTS FIND RADIOACTIVE MATERIAL เก็บถาวร ตุลาคม 21, 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." St. Louis Post-Dispatch. December 9, 1988. News 2F. Retrieved June 13, 2009.
  29. Wood, Charles (มิถุนายน 6, 1972). "DC-10 deal also pleases Lockheed". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  30. Wright, Robert (มีนาคม 11, 1974). "Lockheed seeking greater range for Tristar; hopes to make its jet more competitive". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 5, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  31. Wood, Robert (มิถุนายน 12, 1971). "L-1011 Customers admit concessions by Douglas". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  32. Steiger, Paul (กรกฎาคม 30, 1971). "Airlines take over 1st DC-10s as McDonnell Gibes Lockheed". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  33. Getze, John (พฤศจิกายน 22, 1972). "Douglas takes 1st Step toward Twin Engine version of DC-10". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  34. Buck, Thomas (เมษายน 14, 1973). "Douglas plans wide-bodied jet with short-medium ranges". Chicago Tribune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  35. 1 2 3 Thomas, Geoffrey (กุมภาพันธ์ 8, 2023). "How McDonnell Douglas missed the Big Twin and disappeared". Airline Ratings (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 1, 2023. สืบค้นเมื่อ มิถุนายน 2, 2023.
  36. 1 2 "Clipped Wings". Flight International. ธันวาคม 20, 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤศจิกายน 18, 2009. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  37. Redburn, Tom (ตุลาคม 3, 1977). "McDonnell to build larger, quieter DC-9". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  38. Williams, Bob (พฤษภาคม 10, 1981). "7 Aerospace Firms Take $50-Million Gamble on Advanced F-15 Fighter". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  39. 1 2 "Pentagon gives Navy Go-Ahead on costly Douglas F-18 fighter". Los Angeles Times. มิถุนายน 30, 1981. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  40. "McDonnell Douglas completes Hughes Helicopter acquisition". Chicago Tribune. มกราคม 8, 1984. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  41. Richardson, Doug and Lindsay Peacock. Combat Aircraft AH-64, pp. 14–15. London: Salamander Books, 1992. ISBN 0-86101-675-0.
  42. Western, Ken (มีนาคม 22, 1997). "McDonnell Douglas' Apache Longbow makes its debut". Arizona Republic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ สิงหาคม 30, 2011.
  43. Flannery, William (เมษายน 8, 1995). "Mcdonnell wins big helicopter contract but layoffs are looming at commercial air unit". St Louis Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 8, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  44. 1 2 "Aircraft profile: MD-11". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 30, 2010. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  45. 1 2 Pae, Peter (กุมภาพันธ์ 22, 2001). "Last Plane Out for Aerospace Pioneer; Aviation: Ceremony today marks the delivery of the last commercial aircraft built under the McDonnell Douglas name". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มกราคม 27, 2011. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 18, 2010.
  46. "American Airlines retires last MD-11 from fleet". Knight Ridder/Tribune Business News. ตุลาคม 16, 2001.
  47. Demarco, Peter (กันยายน 19, 2000). "MD-11 Jet has highest crash rate". New York Daily Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 29, 2009.
  48. Cohen, Aubrey (ธันวาคม 28, 2009). "Did subsidies drive MD and Lockheed from commercial jet biz?". Seattle PI. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กุมภาพันธ์ 2, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  49. Lane, Polly (พฤศจิกายน 3, 1997). "MD-95'S future uncertain – Boeing to phase uut MD-80, MD-90". Seattle Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กันยายน 26, 2012. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  50. Weintraub, Richard (กุมภาพันธ์ 14, 1993). "MD-90 Airliner unveiled by McDonnell Douglas: firm seeks to stay in civilian aircraft business". Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  51. Henkoff, Ronald. "BUMPY FLIGHT AT MCDONNELL DOUGLAS Even before two DC-10 crashes, it was beset by defense cutbacks and factory foul-ups. Now managers must unsnarl a new reorganization to get airborne again". Fortune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 10, 2013.
  52. Stevenson, Richard (กันยายน 29, 1991). "Breathing Easier at McDonnell Douglas". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 1, 2017. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 11, 2017.
  53. "McDonnell Air gets president". The New York Times. สิงหาคม 3, 1991. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 16, 2007. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 16, 2007.
  54. Gepfert, Ken (ตุลาคม 30, 1979). "McDonnell trying to hog F-18 sales, Northrop suit says". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  55. 1 2 Schneider, Greg (กุมภาพันธ์ 4, 1997). "Merger or no, Boeing and McDonnell Douglas linked". Baltimore Sun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  56. "JSF.mil > Gallery". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 19, 2015. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 31, 2015.
  57. "MD JSF - Aircraft of the Month - May 2000". alexstoll.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 5, 2016. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 31, 2015.
  58. LAYOFFS IN AVIATION SKYROCKET MOST FIRINGS IN '93 OCCURRED IN AEROSPACE เก็บถาวร พฤษภาคม 21, 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. joc.com
  59. Norris & Wagner 1999, p. 66
  60. Norris & Wagner 2001, p. 59
  61. "MDC brochures for undeveloped versions of the MD-11 and MD-12". md-eleven.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤษภาคม 11, 2008. สืบค้นเมื่อ เมษายน 14, 2008.
  62. Black, Larry (สิงหาคม 11, 1992). "McDonnell Douglas in shake-up as profits drop". The Independent. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กันยายน 25, 2015. สืบค้นเมื่อ กันยายน 4, 2017.
  63. Wallace, James (ตุลาคม 24, 2007). "Airbus all in on need for jumbo – but Boeing still doubtful". Seattle PI.[ลิงก์เสีย]
  64. Norris, Guy (กันยายน 10, 1997). "Boeing looks again at plans for NLA". Flight International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 1, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  65. "Boeing, partners expected to scrap Super-Jet study". Los Angeles Times. กรกฎาคม 10, 1995. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 24, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 6, 2017.
  66. Madslien, Jorn (มกราคม 18, 2005). "Giant plane a testimony to 'old Europe'". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤษภาคม 11, 2009. สืบค้นเมื่อ มกราคม 7, 2010.
  67. "Boeing Unveils New Corporate Identity". Boeing. สิงหาคม 1, 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤศจิกายน 28, 1999. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 23, 2021.
  68. "Bold Logo Design Inspiration: Boeing". DesignRush. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤศจิกายน 16, 2021. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 19, 2021.
  69. Farhat, Sally (กรกฎาคม 29, 1999). "Rick Eiber, 54, Renowned Graphic Designer". The Seattle Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤศจิกายน 30, 2020. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 19, 2021.
  70. "The Boeing Company 2022 Annual Report" (PDF). Boeing. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 7, 2023. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 14, 2023.
  71. Norris, Guy (มกราคม 25, 1995). "Douglas concentrates on proposal for MD-11 Twin". FlightGlobal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ สิงหาคม 26, 2017. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 25, 2017.
  72. Flight International, 25–31 January 1995
  73. "Boeing to Close Long Beach C-17 Plant". สิงหาคม 17, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 24, 2022. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 18, 2022.
  74. "MicroGDS". www.microgds.co.uk. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 25, 2025.
  75. "MicroGDS". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กุมภาพันธ์ 20, 2018. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 11, 2018.
  76. 1 2 "History". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 16, 2018. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 11, 2018.
  77. "Bradford National Sells a Division - The New York Times". The New York Times. ธันวาคม 25, 1981. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 12, 2018. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 11, 2018.
  78. "Howard L. Waltman". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 16, 2019. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 11, 2018.
  79. "25 Sep 1987, p. 43 - St. Louis Post-Dispatch at Newspapers.com<". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 21, 2019. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 11, 2018.
  80. "NEWLY-INDEPENDENT McDONNELL DOUGLAS INFORMATION SYSTEMS SETS OUT ITS STALL". เมษายน 6, 1993. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 27, 2021. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 27, 2021.
  81. Elleray, Dick (กรกฎาคม 16, 1986). "The Reality Operating System Revealed (1986/09)". Project Management Bulletin. Project Management Group, McDonnell Douglas Information Systems Group.
  82. Time Period Reports. เก็บถาวร เมษายน 10, 2006 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน boeing.com
  83. "World Airliner Census 2016" (PDF). pic.carnoc.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ พฤศจิกายน 18, 2017. สืบค้นเมื่อ มกราคม 5, 2017.