แกลดิส เวสต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แกลดิส เวสต์
เวสต์ใน พ.ศ. 2561
เกิดแกลดิส เมย์ บราวน์
27 ตุลาคม พ.ศ. 2473 (93 ปี)
ซัตเทอร์แลนด์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐ
ศิษย์เก่า
มีชื่อเสียงจากภูมิมาตรศาสตร์ดาวเทียม
คู่สมรสไอรา เวสต์ (สมรส พ.ศ. 2500)
บุตร3

แกลดิส เมย์ เวสต์ (นามสกุลเดิม บราวน์; เกิด 27 ตุลาคม พ.ศ. 2473[1]) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันผู้เป็นที่รู้จักจากการมีส่วนร่วมในการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ของรูปทรงของโลก (Figure of the Earth) และงานด้านการพัฒนาตัวแบบภูมิมาตรศาสตร์ดาวเทียม (satellite geodesy) ซึ่งในที่สุดถูกนำไปรวมเข้าในระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (จีพีเอส)[2] กองทัพอากาศสหรัฐได้แต่งตั้งเวสต์เข้าอยู่ในหอเกียรติยศของกองทัพใน พ.ศ. 2561 และเวสต์ยังได้รับรางวัด Webby Lifetime Achievement ที่งานรับรางวัลเว็บบี (Webby Awards) ประจำปี ปีที่ 25 สำหรับการพัฒนาตัวแบบภูมิมาตรศาสตร์ดาวเทียม[3][4]

ชีวิตวัยเด็กและการศึกษา[แก้]

เวสต์ หรือชื่อเต็มเดิมแกลดิส เมย์ เวสต์ เกิดที่ซัตเทอร์แลนด์, รัฐเวอร์จิเนีย (Sutherland, Virginia) ในเทศมณฑลดินวิดดี (Dinwiddie County, Virginia) เทศมณฑลชนบททางใต้ของเมืองริชมอนด์[2][5][6] ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวเกษตรกรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาในชุมชนของผู้แบ่งปันผลผลิต (sharecropping) ชีวิตวัยเด็กของเธอส่วนมากใช้ไปกับการทำงานในไร่เล็ก ๆ ของครอบครัว[7][8] แม่ของเธอทำงานอยู่ในโรงงานยาสูบ ส่วนพ่อของเธอเป็นเกษตรกรที่ทำงานให้กับบริษัทการรถไฟด้วย[6][9] เวสต์ระลึกได้ตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเธอไม่อยากทำงานในไร่หรือโรงงานยาสูบแบบสมาชิกครอบครัวที่เหลือของเธอ และจึงได้ตัดสินใจว่าการศึกษาจะเป็นทางออกของเธอ[10]

เมื่อเวสต์กำลังเดินหน้าสู่การเรียนจบมัธยมศึกษา อุปสรรคเพียงอย่างเดียวซึ่งขัดขวางไม่ให้เธอเข้าสู่การศึกษาในระดับที่สูงกว่าคือสภาพการเงิน บุพการีของเธอได้พยายามเก็บเงิน แต่การต้องเลี้ยงดูครอบครัวทั้งครอบครัวด้วยค่าจ้างของเกษตรกรแบบแบ่งปันผลผลิตทำให้ไม่เหลือมากพอสำหรับการศึกษาของเวสต์ เธอได้เริ่มรับเป็นพี่เลี้ยงเด็กเพื่อช่วยเก็บเงิน แต่สุดท้ายแล้วสมรรถภาพทางวิชาการของเธอก็ทำให้ได้รับทุนการศึกษามาสองทุน นักเรียนสองอันดับแรกที่โรงเรียนมัธยมของเวสต์จะได้รับทุนการศึกษาจำนวนเต็มสำหรับวิทยาลัยเวอร์จิเนียสเตต (Virginia State University) (ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัย) ซึ่งในประวัติศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐสำหรับคนผิวดำ (Historically black colleges and universities)[7] เวสต์เรียนจบในฐานะผู้แทนผู้เรียนกล่าวคำอำลา (valedictorian) ใน พ.ศ. 2491 และได้รับทุนชิ้นนั้นซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง[6][10] ในตอนแรกเธอไม่แน่ใจว่าควรเข้าเรียนสาขาไหนที่วิทยาลัยเพราะในระดับมัธยมเธอเก่งในทุกวิชา เธอได้รับกำลังให้เข้าเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เนื่องด้วยความยากของพวกมัน และสุดท้ายจึงเลือกศึกษาคณิตศาสตร์ต่อ ซึ่งที่วิทยาลัยของเธอส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าเรียนเป็นผู้ชาย[7] เธอยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของชมรมนักศึกษาหญิง (sorority) แอลฟาแคปปาแอลฟา (Alpha Kappa Alpha)[2] เวสต์จบการศึกษาพร้อมปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตสาขาคณิตศาสตร์ใน พ.ศ. 2495[6] หลังจากจบการศึกษาแล้วเธอได้สอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ออีกสองปีที่เวฟเวอร์ลี รัฐเวอร์จิเนีย (Waverly, Virginia)[6] จากนั้นเวสต์จึงกลับมาที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียสเตตเพื่อสำเร็จการศึกษาคณิตศาสตร์ระดับปริญญาโทใน พ.ศ. 2498[10][6] หลังจากนั้นเธอได้เข้าทำงานสอนหนังสือต่อครู่หนึ่งที่มาร์ตินส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย (Martinsville, Virginia)[6]

การทำงาน[แก้]

รายงานการประมวลผลข้อมูลสำหรับดาวเทียม GeoSat โดยแกลดิส เวสต์[11]

ใน พ.ศ. 2499 เวสต์ได้เข้าทำงานที่สถานที่ทดลองทางเรือที่ดอลเกริน รัฐเวอร์จิเนีย (Dahlgren, Virginia) (ปัจจุบันคือศูนย์สงครามผิวน้ำทางเรือ (Naval Surface Warfare Center)) โดยเป็นผู้หญิงผิวดำคนที่สองที่ได้ถูกจ้างและเป็นหนึ่งในลูกจ้างผิวดำเพียงสี่คนเท่านั้น[7][5][2] เวสต์ทำงานเป็นนักเขียนโปรแกรมที่ศูนย์สงครามผิวน้ำทางเรือ กองดอลเกริน (Naval Surface Warfare Center Dahlgren Division) ให้กับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และเป็นผู้จัดการโครงการระบบประมวลผลข้อมูลสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม[12] ในเวลาเดียวกัน เวสต์ได้รับปริญญาโทใบที่สองในสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา[6]

ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 เธอได้มีส่วนร่วมในงานศึกษาดาราศาสตร์ที่ชนะรางวัลซึ่งพิสูจน์ถึงความสม่ำเสมอของการเคลื่อนที่ของดาวพลูโตเมื่อเทียบกับดาวเนปจูน[13] ต่อจากนั้นเวสต์ได้เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม โดยเฉพาะดาวเทียมวัดระดับความสูงเช่นจีออส 3 (GEOS 3) เพื่อก่อร่างตัวแบบสำหรับรูปทรงของโลก เธอได้มาเป็นผู้จัดการโครงการดาวเทียมเรดาร์วัดระดับความสูง (radar altimeter) ซีแซท (Seasat) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกที่สามารถรับรู้มหาสมุทรจากระยะไกลได้[14][15] เวสต์ทำงานเกินเวลาอย่างสม่ำเสมอทำให้เวลาประมวลผลของทีมของเธอลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง[7] เธอได้ถูกเสนอชื่อสำหรับเหรียญสรรเสริญใน พ.ศ. 2522[16]

แกลดิส เวสต์ และแซม สมิธ ยืนดูข้อมูลจากระบบกำหนดตำแหน่งบนโลกที่ดอลเกริน รัฐเวอร์จิเนีย ใน พ.ศ. 2528

จากช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เวสต์ได้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม 7030 สเตรตช์ (IBM 7030 Stretch) สำหรับการคำนวณได้อย่างแม่นยำมากขึ้นเพื่อสร้างตัวแบบของรูปทรงของโลก ซึ่งเป็นทรงรี (Earth ellipsoid) ที่มีลูกคลื่นอยู่ด้วย นามว่าจีออยด์[8] การสร้างตัวแบบของศักย์ทางภูมิศาสตร์ (geopotential) ให้มีความแม่นยำสูงทำให้เธอต้องใช้ขั้นตอนวิธีที่ซับซ้อนเพื่อเผื่อสำหรับการแปรผันของแรงโน้มถ่วง แรงน้ำขึ้นลง และแรงอื่น ๆ ซึ่งบิดเบือนรูปทรงของโลก เวสต์กล่าวในอัตชีวประวัติของเธอถึงปัญหาที่ซับซ้อนต่าง ๆ ที่เธอได้แก้ไป ซึ่งยากเกินไปสำหรับสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีม[9] ตัวแบบของเวสต์ได่กลายมาเป็นรากฐานสำหรับระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (จีพีเอส) ในที่สุด[13]

ใน พ.ศ. 2529 เวสต์ได้เผยแพร่เอกสารรายงานทางเทคนิค 51 หน้า Data Processing System Specifications for the Geosat Satellite Radar Altimeter จากศูนย์อาวุธผิวน้ำทางเรือ (Naval Surface Weapons Center) (NSWC) คู่มือนี้สำหรับอธิบายวิธีการเพิ่มความแม่นยำในการประมาณค่าความสูงของจีออยด์และการเบี่ยงเบนแนวดิ่ง (vertical deflection) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวิชาภูมิมาตรศาสตร์ดาวเทียม[2] โดยสามารถบรรลุผลนี้ได้ผ่านการประมวลผลข้อมูลที่ได้มาจากวิทยุวัดระดับความสูงที่อยู่บนดาวเทียมจีออแซท (Geosat) ที่ขึ้นวงโคจรไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2527[11]

เวสต์ยังคงทำงานที่ดอลเกรินต่อไปอีก 42 ปี ก่อนที่จะเกษียณอายุไปใน พ.ศ. 2541[7] หลังจากเกษียณอายุแล้วเธอได้สำเร็จปรัชญาดุษฎีบัณฑิตสาขารัฐประศาสนศาสตร์ที่เวอร์จิเนียเทค

มรดก[แก้]

แกลดิส เวสต์ ได้รับแต่งตั้งเข้าอยู่ในหอเกียรติยศผู้บุกเบิกอวกาศและขีปนาวุธกองทัพอากาศสหรัฐใน พ.ศ. 2561

ส่วนร่วมที่สำคัญของเวสต์ต่อเทคโนโลยีจีพีเอสนั้นถูกค้นพบใหม่อีกครั้งเมื่อสมาชิกของชมนมนักศึกษาหญิงของเวสต์แอลฟาแคปปาแอลฟาได้อ่านชีวประวัติสั้นที่แกลดิสได้ส่งเข้ามาสำหรับงานเลี้ยงศิษย์เก่า[2]

เวสต์ได้รับแต่งตั้งเข้าอยู่ในหอเกียรติยศกองทัพอากาศสหรัฐใน พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดที่มอบโดยกองบัญชาการอวกาศสหรัฐ (AFSPC)[17][13] ข่าวแจกของ AFSPC กล่าวว่าเธอเป็นหนึ่งใน "'Hidden Figures' ของทีมซึ่งทำหน้าที่คำนวณให้แก่กองทัพสหรัฐในยุคก่อนมีระบบอิเล็กทรอนิก"[a] เป็นการพาดพิงถึงหนังสือปี 2559 Hidden Figures: The American Dream and the Untold Story of the Black Women Who Helped Win the Space Race ของมาร์โก ลี เชตเตอร์ลี (Margot Lee Shetterly) ซึ่งถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ทีมเงาอัจฉริยะ[18] นาวาเอกกอดฟรีย์ วีกส์ (Godfrey Weekes) ผู้บัญชาการศูนย์สงครามผิวน้ำทางเรือ กองดอลเกริน ใน พ.ศ. 2561 ได้อธิบายถึงบทบาทของเวสต์ในการพัฒนาระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก: "เธอไต่เต้าขึ้นมา ทำงานด้านภูมิมาตรศาสตร์ดาวเทียม และมีส่วนร่วมในความแม่นยำของจีพีเอสและการวัดข้อมูลจากดาวเทียม ตอนที่แกลดิส เวต์ เริ่มทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ดอลเกรินใน พ.ศ. 2499 เธอน่าจะไม่รู้เลยว่างานของเธอจะส่งผลต่อโลกหลายทศวรรษถัดมา"[b] เวสต์ตอบเห็นด้วยและกล่าวว่าในขณะนั้นเธอไม่รู้เลยว่างานของเธอจะส่งผลต่อคนมากมายขนาดนี้: “เวลาคุณทำงานทุก ๆ วัน คุณไม่ได้คิดหรอกว่า 'มันจะส่งผลกระทบยังไงกับโลก?' คุณคิดว่า 'ฉันต้องทำให้มันถูก'"[c]

ดร. แกลดิส เวสต์ ในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียสเตตได้รับการเสนอชื่อและชนะรางวัล "ศิษย์เก่าหญิงแห่งปี" (Female Alumna of the Year) ที่งานรับรางวัล Historically Black Colleges and Universities Awards ที่จัดโดย HBCU Digest ใน พ.ศ. 2561[20]

เวสต์ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสตรี 100 คนประจำปี 2018 (100 Women (BBC)) ที่จัดโดยบีบีซี[7] ใน พ.ศ. 2564 เธอได้รับเหรียญเจ้าชายฟิลิป (Prince Philip Medal) จากรอยัลอะคาเดมีออฟเอ็นจิเนียริง (Royal Academy of Engineering) แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดที่สถาบันนี้มีให้กับบุคคล[21][22]

ชีวิตส่วนตัว[แก้]

เธอพบกับสามีของเธอที่ศูนย์สงครามผิวน้ำทางเรือ กองดอลเกริน ซึ่งเขาทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ที่นั่นด้วย พวกเขาเป็นคนผิวดำสองคนจากสี่คนที่ทำงานอยู่ที่นั่น[2] และสมรสกันใน พ.ศ. 2500[7][5] พวกเขามีบุตรด้วยกันสามคน แคโรลีน เดวิด และไมเคิล และหลานเจ็ดคน[2]

ก่อนได้เจ้าทำงานที่ฐาน ในตอนแรกเวสต์ปฏิเสธไม่รับงานเพราะตำแหน่งที่ตั้งของมันและข้อกำหนดที่ต้องให้สัมภาษณ์ เวสต์ไม่ได้มีรถยนต์เป็นของตัวเองและหาชื่อดอลเกรินบนแผนที่ไม่เจอ และพร้อมด้วยความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธเพราะเชื้อชาติของเธอ เธอจึงตัดสินใจที่จะรอฟังผลสมัครเข้าที่อื่นแทน เวลาผ่านไปแล้วแต่ไม่มีที่อื่นรับเข้าเลย แต่โชคดีที่ดอลเกรินติดต่อมาอีกครั้งและเสนอให้เธอเข้าทำงานโดยไม่ต้องให้สัมภาษณ์ งานดังกล่าวได้ค่าจ้างสูงกว่าตำแหน่งสอนหนังสือในตอนนั้นของเธอถึงสองเท่า และไม่มีโอกาสงานอื่น ๆ เข้ามา การได้รับเข้าทำงานที่มีรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของเธอได้บนฐานของคุณวุฒิเพียงอย่างเดียวเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับผู้หญิงผิวดำในสมัยนั้น

ในช่วงเวลาเดียวกัน คำวินิจฉัยหลักสำคัญในคดีระหว่างบราวน์กับคณะกรรมการการศึกษาของศาลสูงสุดสหรัฐว่ากฎหมายรัฐทุกรัฐในอเมริกาที่กำหนดให้มีการแบ่งแยกทางเชื้อชาติภายในโรงเรียนของรัฐนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามรัฐเวอร์จิเนียก็ยังมีการแบ่งแยกอยู่เนื่องจากศาลสูงสุดสหรัฐไม่ได้ระบุว่ารัฐใดจำเป็นต้องดำเนินการใหม่ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยใหม่นั้น นี่เป็นส่วนหนึ่งในความไม่แน่นอนใจของเวสต์ที่จะรับงานนั้นที่อยู่ในเขตชนบทในรัฐทางใต้ กลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคูคลักซ์แคลนก็ยังลอยนวลอยู่ และภาพของการย้ายไปยังละแวกพื้นที่ชนบทในรัฐทางใต้ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับผู้หญิงผิวดำที่ยังโสด ถึงอย่างนั้นเวสต์ไม่ได้ปล่อยให้ความไม่รู้ของคนอื่นมาทำให้เธอต้องหลุดออกจากเส้นทางที่เธอรู้สึกว่าพระเจ้าได้ลิขิตมาให้เธอ

ขบวนการสิทธิพลเมืองในขณะที่เธออยู่ที่ฐานกำลังดำเนินไปอย่างเต็มที่ แม้ว่าเธอจะสนับสนุนขบวนการนั้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าร่วมการประท้วงได้เพราะเป็นลูกจ้างของรัฐ ที่บูมทาวน์ (Boomtown) ซึ่งเป็นที่ที่คู่สมรสอาศัยอยู่กันที่ฐาน เธอเป็นสมาชิกของชมรมของผู้หญิงผิวดำซึ่งพูดคุยถึงประเด็นเรื่องสิทธิพลเมือง[23]

ตลอดการทำงานของเธอ เธอได้พบเจอกับความยากลำบากจากการเหยียดเชื้อชาติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาหลายครั้ง ส่วนมากเป็นการขาดการรับรู้ถึงเธอในการทำงานของเธอ ในขณะที่ผู้ร่วมงานคนผิวขาวของเธอกลับได้รับคำสรรเสริญและอภิสิทธิ์เพิ่มเติม เป็นที่ชัดเจนในชีวประวัติของเธอว่าเธอรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รับทุนสำหรับโครงการที่รวมถึงการเดินทางและการเปิดรับ[24][25]

ใน พ.ศ. 2561 เวสต์สำเร็จปรัชญาดุษฎีบัณฑิตผ่านโครงการเรียนรู้ทางไกลของคณะรัฐกิจและการระหว่างประเทศที่เวอร์จิเนียเทค[13][26]

เวสต์ยังคงชอบใช้แผนที่กระดาษแทนระบบติดตาม โดยกล่าวว่าเธอยังเชื่อในสมองของเธอเหนือสิ่งอื่นใด[27] เธอกล่าวว่า "ฉันเป็นคนจำพวกลงมือทำ ถ้าฉันมองเห็นถนนและเห็นว่ามันเลี้ยวตรงไหนและไปตรงไหน ฉันแน่ใจกว่า"[d]

ผลงาน[แก้]

  • West, Gladys B. (1979). "Smoothing of Geos 3 satellite radar altimeter data". Journal of Geophysical Research. American Geophysical Union (AGU). 84 (B8): 4055. Bibcode:1979JGR....84.4055W. doi:10.1029/jb084ib08p04055. ISSN 0148-0227.
  • West, Gladys B (พฤษภาคม 1981). SEASAT Satellite Radar Altimetry Data Processing System (Technical report). Dahlgren, VA: Naval Surface Weapons Center. NSWC TR 81-234, DTIC ADA115972 – โดยทาง Defense Technical Information Center.
  • West, Gladys B. (10 กรกฎาคม 1982). "Mean Earth ellipsoid determined from SEASAT 1 altimetric observations". Journal of Geophysical Research: Solid Earth. American Geophysical Union (AGU). 87 (B7): 5538–5540. Bibcode:1982JGR....87.5538W. doi:10.1029/jb087ib07p05538. ISSN 0148-0227.
  • West, Gladys B. Data Processing System Specifications for the GEOSAT Satellite Radar Altimeter (Technical report). Dahlgren VA: Naval Surface Weapons Center. NSWC TR 86-149, DTIC ADA181113 – โดยทาง Defense Technical Information Center.

หมายเหตุ[แก้]

  1. แปลจาก "the so-called 'Hidden Figures' part of the team who did computing for the US military in the era before electronic systems"
  2. แปลจาก "She rose through the ranks, worked on the satellite geodesy, and contributed to the accuracy of GPS and the measurement of satellite data. As Gladys West started her career as a mathematician at Dahlgren in 1956, she likely had no idea that her work would impact the world for decades to come."[19]
  3. แปลจาก “When you’re working every day, you’re not thinking, 'What impact is this going to have on the world?' You're thinking, 'I've got to get this right.'"[2]
  4. แปลจาก "I'm a doer, hands-on kind of person. If I can see the road and see where it turns and see where it went, I am more sure."[8]

อ้างอิง[แก้]

  1. Matthias, Meg (23 ตุลาคม 2022). "Gladys West". สารานุกรมบริแทนนิกา. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มิถุนายน 2022. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2022.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 2.8 Dyson, Cathy (19 มกราคม 2018). "Gladys West's work on GPS 'would impact the world'". The Free Lance Star, Fredericksburg.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  3. "WINNERS ANNOUNCED FOR THE 25TH ANNUAL WEBBY AWARDS | The Webby Awards". Webby awards (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2022.
  4. Grein, Paul (18 พฤษภาคม 2021). "BTS, Dua Lipa & More Lead 2021 Webby Awards Winners". บิลบอร์ด (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 พฤษภาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2022.
  5. 5.0 5.1 5.2 Hayes, Jaron (19 มิถุนายน 2015). "Boomtown Discussion Draws Crowd for Dahlgren Museum Series". South Potomac Pilot. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 6.7 Kinkade, Daniel (3 พฤษภาคม 2019). "Destination on Right: the Influence of Dr. Gladys West". Gideons International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 29 พฤษภาคม 2019.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 Butterfly, Amelia (20 พฤษภาคม 2018). "Gladys West – the 'hidden figure' of GPS". บีบีซี. BBC 100 Women 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 สิงหาคม 2022.
  8. 8.0 8.1 8.2 Mohdin, Aamna (19 พฤศจิกายน 2020). "Gladys West: the hidden figure who helped invent GPS". เดอะการ์เดียน (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2020.
  9. 9.0 9.1 West & Jackson 2020, pp. 55–138
  10. 10.0 10.1 10.2 Lane, Derrick (18 ธันวาคม 2018). "Dr. Gladys West: The Black Woman Behind GPS Technology". BlackDoctor.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2019.
  11. 11.0 11.1 West, Gladys B. (มิถุนายน 1986). "NSWC TR 86-149 | Data Processing System Specifications for the Geosat Satellite Radar Altimeter" (PDF). Naval Surface Weapons Center. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2019. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  12. "Forum to Recount Impact of the War Years on Dahlgren and Region". The South Potomac Pilot. 15 พฤษภาคม 2015. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018 – โดยทาง issuu.com.
  13. 13.0 13.1 13.2 13.3 ประชาสัมพันธ์กองบัญชาการอวกาศ กองทัพอากาศสหรัฐ (7 ธันวาคม 2018). "Mathematician inducted into Space and Missiles Pioneers Hall of Fame". กองบัญชาการอวกาศ กองทัพอากาศสหรัฐ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2019.
  14. "Seasat". ห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 สิงหาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  15. "Seasat 1". nssdc.gsfc.nasa.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 มกราคม 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  16. Riley, Ricky (7 กุมภาพันธ์ 2018). "Celebrate Black History Month: When you use your GPS, remember Gladys West". The Atlanta Voice | Atlanta GA News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  17. "Hidden Figure | Mathematician who helped develop GPS technology inducted into Air Force hall of fame". Colorado Springs Gazette (ภาษาอังกฤษ). 19 ธันวาคม 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2019 – โดยทาง 9News.
  18. Glorfeld, Jeff (14 ตุลาคม 2019). "Science History: Gladys West maps the future". Cosmos. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 สิงหาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2020.
  19. นาวาเอกกอดฟรีย์ วีกส์ กล่าวในเดือนประวัติศาสตร์คนผิวดำ (Black History Month) พ.ศ. 2560 ตามที่ถูกยกข้อความไว้ใน Dyson 2018
  20. Contributed Report. "VSU finalist in nine HBCU Award categories". The Progress-Index (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 สิงหาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 4 พฤษภาคม 2020.
  21. Ship, Chris (10 มิถุนายน 2021). "Princess Anne remembers 'inquisitive' Prince Philip on day he would have been 100". ITV News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2021.
  22. "'Hidden Figure' whose mathematical modelling enabled GPS becomes first woman to win the Prince Philip Medal". Royal Academy of Engineering (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2021.
  23. West & Jackson 2020, pp. 91–92
  24. West & Jackson 2020, pp. 97, 105
  25. Nelsen, R. Arvid (2017). "Race and Computing: The Problem of Sources, the Potential of Prosopography, and the Lesson of Ebony Magazine". IEEE Annals of the History of Computing. 39 (1): 29–51. doi:10.1109/MAHC.2016.11. S2CID 6992544.
  26. BOTWC Staff (8 กุมภาพันธ์ 2018). "Meet Gladys West: One of the 'Hidden Figures' behind the creation of GPS System". Because of Them, We Can. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2018.
  27. Kenney, Tanasia (4 กุมภาพันธ์ 2018). "Meet Gladys West, The Black Female Engineer Who Played a 'Pivotal' Role In Developing the GPS". Atlanta Black Star (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กันยายน 2022. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2019.

อ่านเพิ่ม[แก้]