เอเอชูเย่ไช
พะยี่น หรือ พะรี่น (พม่า: ဖရင်း, มาจากคำว่า เพลง ในภาษาอยุธยา) หรืออาจรู้จักในชื่อ เอเอชูเย่ไช (ဧဧခြူရေးချိုက်) เป็นเพลงพม่าเพลงหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มเพลงสำเนียงอยุธยา (ယိုးဒယားသီချင်း) ซึ่งชาวพม่าให้การยอมรับว่าเป็นเพลงอยุธยามาแต่ดั้งเดิม รวมทั้งมีเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยสมัยอยุธยา อย่างไรก็ตามเนื้อร้องดังกล่าวได้รับการถ่ายทอดสู่ชาวพม่าในรูปแบบมุขปาฐะ ทำให้ปัจจุบันนี้ทั้งชาวไทยและพม่าเองไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาและความหมายของเพลงนี้ได้เลย ในเวลาต่อมาอูซะ เจ้าเมืองมยะวดี ได้แต่งเนื้อร้องเป็นพม่าใหม่ แต่ยังคงทำนองเพลงอย่างอยุธยาไว้ดังเดิม
ประวัติ[แก้]
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 มีการกวาดต้อนเชลยชาวอยุธยาจำนวนมากไว้ในขอบขัณฑสีมากษัตริย์พม่า เชลยเหล่านี้ถูกเรียกว่าโยดะยา (ယိုးဒယား) ตามแหล่งที่มา หลายคนที่ถูกกวาดต้อนเป็นศิลปินในราชสำนักอยุธยามาก่อน จึงมีการนำดนตรีและนาฏศิลป์อย่างอยุธยาเข้าไปยังราชสำนักพม่าอย่างแพร่หลาย[1][2] ก่อให้เกิดเพลงพม่าสำเนียงอยุธยาหลายเพลง และจากการศึกษาพบว่าทำนองเพลงอยุธยาของพม่ากับทำนองเพลงไทยมีจังหวะและทำนองสม่ำเสมอเชื่อมโยงกัน[3]
ในวัฒนธรรมเพลงพม่ามีทำนองเพลงอยุธยาที่ยังหลงเหลือร่องรอยการใช้ภาษาไทยในการขับร้อง คือ พะยี่น (ဖရင်း) หรือ เพลง ในภาษาอยุธยา ส่วนชื่อ เอเอชูเย่ไช (ဧဧခြူရေးချိုက်) มาจากเนื้อร้องขึ้นต้น[3] ซึ่งเนื้อร้องเป็นภาษาอยุธยาโบราณที่ถูกถ่ายทอดในรูปแบบมุขปาฐะแก่ชาวพม่านานกว่าศตวรรษ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการออกเสียง และชาวพม่าเองก็ไม่สามารถถ่ายทอดคำร้องได้ถูกต้องอย่างต้นฉบับ ทำให้ปัจจุบันไม่มีใครเข้าใจความหมายของเพลงนี้ได้เลย[3][4][5] เข้าใจว่า พะยี่น นี้คงเป็นเพลงหน้าพาทย์[6] ที่สื่อถึงนางสีดา ในฉากที่หนุมานเดินทางไปกรุงลงกาเพื่อตามนางสีดาซึ่งอยู่ท่ามกลางหญิงงามคนอื่น ๆ แต่หนุมานกลับพบนางสีดาโดยง่าย เพราะงามโดดเด่นยากจะหาสตรีนางใดมาเปรียบ[4] แต่เนื้อเพลงก็มีส่วนคล้าย เพลงฉุยฉาย และ เพลงแม่ศรี ในการแสดงโขน ตอนทศกัณฑ์ลงสวน ของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน[7]
พ.ศ. 2347 อูซะ เจ้าเมืองมยะวดี ได้แต่งคำร้องเพลง พะยี่น เป็นภาษาพม่า ตามพระราชบัณฑูรของรัชทายาทผู้สนพระทัยในศิลปะและการละครอย่างสยาม แต่ยังคงทำนองอยุธยาไว้ดังเดิม[3] โดยเพลงนี้ถูกจัดให้เป็นเพลงอยุธยาประเภทระทมรัก มีเนื้อหาชมความงามของธรรมชาติตามชนนิยม มีการตัดทอนพยางค์จากเดิมเป็นภาษาไทยมี 75 พยางค์ เหลือเพียง 50 พยางค์เมื่อเป็นภาษาพม่า เพื่อแปลงคำร้องให้เข้ากับทำนองเพลงอยุธยา[4]
ในช่วงเวลาต่อมาเพลง "เอเอชูเย่ไช" ถูกบรรจุลงในหมวดเพลงที่สะกดด้วยอักษรพม่าแต่ไม่มีความหมาย ในหนังสือ มหาคีตา กระทั่งอู้นุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า ตั้งข้อสังเกตกับเพลงเอเอชูเย่ไช ว่าแม้จะใช้เครื่องดนตรีพม่าบรรเลง แต่ท่วงทำนองและจังหวะกลับคล้ายกับทำนองเพลงไทยมาก จึงทำให้เกิดการศึกษาอย่างจริงจัง จนพบว่าเพลงดังกล่าวตกทอดมาจากบทเพลงของชาวโยดะยาผู้พลัดถิ่นในอังวะ[5]
เนื้อเพลง[แก้]
อักษรพม่า | อักษรโรมัน | อักษรไทย | ถอดคำร้อง | เทียบ ฉุยฉาย และ แม่ศรี[7] |
---|---|---|---|---|
|
|
|
|
|
อ้างอิง[แก้]
- เชิงอรรถ
- ↑ "รอยเวลา...มัณฑะเลย์". กรุงเทพธุรกิจ. 8 สิงหาคม 2560. สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "ไทย-พม่า กับความสัมพันธ์ด้าน "นาฏกรรม" ที่หยิบยืมกันไปมา". ศิลปวัฒนธรรม. 16 เมษายน 2563. สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Suradit Phaksuchon, Panya Rungrueang. "Yodaya: Thai Classical Music in Myanmar Culture". MANUSYA : Journal of Humanities (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 4.0 4.1 4.2 เมี้ยนจี (เขียน), สุเนตร ชุตินธรานนท์ และธีรยุทธ พนมยงค์ (แปลและเรียบเรียง). "บทเพลงโยธยาสามเพลงอันแสดงถึงลักษณะไทยในประเทศพม่า ดนตรีพม่ายุคจารีต". พม่าอ่านไทย : ว่าด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะไทยในทรรศนะพม่า, หน้า 145-147
- ↑ 5.0 5.1 PLOY (25 มกราคม 2565). "นาฏศิลป์และการละครที่ปรากฎอยู่ใน "จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี"". ALTV. สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2565.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "โยเดีย ที่คิด(ไม่)ถึง : นาฏศิลป์และดนตรี". Thai PBS. 15 กรกฎาคม 2560. สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 7.0 7.1 ไพโรจน์ ทองคำสุก. "พัดในการแสดงนาฏศิลป์โขน ละคร". กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2565.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)
- บรรณานุกรม
- สุเนตร ชุตินธรานนท์, รศ. ดร. (บรรณาธิการ). พม่าอ่านไทย : ว่าด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะไทยในทรรศนะพม่า. กรุงเทพฯ : มติชน, 2555. 220 หน้า. ISBN 978-974-322-352-5