ข้ามไปเนื้อหา

เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ ในคริสต์ทศวรรษ 1950
ประวัติ
สหรัฐอเมริกา
ชื่อยูไนเต็ดสเตตส์ (United States)
เจ้าของ
ผู้ให้บริการยูไนเต็ดสเตตส์ไลน์
ท่าเรือจดทะเบียนนครนิวยอร์ก
เส้นทางเดินเรือ
Ordered1949[3]
อู่เรือนิวพอร์ตนิวส์ชิปบิลดิงแอนด์ดรายด็อก [3]
มูลค่าสร้าง$71.8 ล้าน ($582 ล้าน ในปี 2023[5])
Yard numberHull 488[2]
ปล่อยเรือ8 กุมภาพันธ์ 1950
เดินเรือแรก23 มิถุนายน 1951[1]
Christened23 มิถุนายน 1951[1]
Maiden voyage3 มิถุนายน 1952
บริการ1952
หยุดให้บริการ14 พฤศจิกายน 1969[4]
รหัสระบุ
ชื่อเล่นบิกยู (Big U)
สถานะถูกจอดไว้ที่ฟิลาเดลเฟียใต้เพื่อรอดัดแปลงเป็นปะการังเทียม
ลักษณะเฉพาะ
ประเภท: เรือเดินสมุทร
ขนาด (ตัน):
  • 53,329 ตันกรอส
  • 29,475 ตันเนต
ขนาด (ระวางขับน้ำ):
  • 45,400 ตัน (ออกแบบ)
  • 47,264 ตัน (สูงสุด)
  • ความยาว:
  • 990 ft (302 m) (โดยรวม)
  • 940 ft (287 m) (เส้นแนวน้ำ)
  • ความกว้าง: 101.5 ft (30.9 m) สูงสุด
    ความสูง: 175 ft (53 m) (จากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ)[6]
    กินน้ำลึก:
    • 31 ft 3 in (9.53 m) (ออกแบบ)
    • 32 ft 4 in (9.86 m) (สูงสุด)
    ดาดฟ้า: 12[7]: 16 
    ระบบพลังงาน:
    • 240,000 shp (180,000 kW) (มาตรฐาน)
    • 247,785 shp (184,773 kW) (ทดสอบ)
    ระบบขับเคลื่อน:
  • 4 × กังหันไอน้ำเฟืองทดคู่ Westinghouse
  • 8 × หม้อไอน้ำ Babcock & Wilcox Type-M ที่ 925 psi และ 975 °F (524 °C)
  • 4 × ใบจักร (2 เพลาในมี 5 พวง และ 2 เพลานอกมี 4 พวง)
  • ความเร็ว:
  • 30 kn (56 km/h; 35 mph) (บริการ)
  • 38.32 kn (70.97 km/h; 44.10 mph) (ทดสอบ)
  • 43 kn (80 km/h; 49 mph) (โฆษณา)
  • ความจุ: 1,928
    ลูกเรือ: 1,044[7]: 16 
    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (เรือจักรไอน้ำ)
    สถาปนิกวิลเลียม แฟรนซิส กิบส์
    เลขอ้างอิง NRHP99000609[8]
    ขึ้นทะเบียน NRHP3 มิถุนายน 1999

    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (อังกฤษ: SS United States) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอเมริกันปลดระวาง สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1951 สำหรับสายการเดินเรือยูไนเต็ดสเตตส์ (United States Line) เธอเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในสหรัฐและเป็นเรือเดินสมุทรที่แล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เร็วที่สุดในทั้งสองทิศทาง โดยยังคงครองบลูริบบันด์ในฐานะเรือที่มีความเร็วเฉลี่ยสูงสุดนับตั้งแต่การเดินทางเที่ยวแรกเมื่อ ค.ศ. 1952 มาจนถึงปัจจุบัน

    เรือได้รับการออกแบบโดยวิลเลียม แฟรนซิส กิบส์ นาวาสถาปนิกชาวอเมริกันและสามารถดัดแปลงให้เป็นเรือลำเลียงพลได้หากกองทัพเรือสหรัฐต้องการในยามสงคราม เรือทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติ โดยทำการขนส่งบุคคลที่มีชื่อเสียงและผู้อพยพตลอดระยะเวลาที่ให้บริการตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ถึง 1969 การออกแบบของเธอประกอบด้วยนวัตกรรมด้านระบบขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ รูปทรงตัวเรือ ระบบป้องกันอัคคีภัย และระบบควบคุมความเสียหาย แม้เธอจะแล่นเร็วเป็นประวัติการณ์ แต่จำนวนผู้โดยสารก็ลดลงในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 จากการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไอพ่น

    หลังยูไนเต็ดสเตตส์ไลน์ประสบปัญหาทางการเงิน บริษัทได้ประกาศอย่างกะทันหันใน ค.ศ. 1969 ว่าจะยุติการให้บริการเรือลำนี้ การล่องเรือที่วางแผนไว้ทั้งหมดถูกยกเลิก และเรือก็เปลี่ยนมือเจ้าของบ่อยครั้งในอีกหลายทศวรรษต่อมา เจ้าของทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำเรือให้เกิดกำไร แต่เนื่องด้วยเธอมีอายุมากและไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ใน ค.ศ. 1984 เฟอร์นิเจอร์ภายในทั้งหมดของเธอถูกนำออกประมูล และส่วนที่เหลือของการตกแต่งภายในของเธอก็ถูกถอดออกจนเหลือเพียงผนังกั้นใน ค.ศ. 1994 ต่อมาใน ค.ศ. 1996 เธอถูกลากไปที่ฟิลาเดลเฟีย และยังคงอยู่ที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน

    ตั้งแต่ ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา องค์การอนุรักษ์เรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (SS United States Conservancy) ได้ดำเนินการระดมทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เรือลำนี้ถูกนำไปแยกชิ้นส่วน องค์การได้ซื้อเธอมาใน ค.ศ. 2011 และวางแผนการบูรณะเรือหลายแผน แต่ยังไม่มีแผนใดที่บรรลุผลสำเร็จ เธอถูกบังคับให้ออกจากท่าเทียบเรือเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องค่าเช่าใน ค.ศ. 2024 แต่ด้วยไม่สามารถหาสถานที่อื่นสำหรับเรือได้ เทศมณฑลโอคาลูซา รัฐฟลอริดา จึงได้ซื้อเธอมาและวางแผนจะจมเรือในปี ค.ศ. 2026 ใกล้กับเดสตินเพื่อให้กลายเป็นปะการังเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    การพัฒนา

    [แก้]

    การออกแบบ

    [แก้]

    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ได้รับการออกแบบโดยวิลเลียม กิบส์ เมื่อกิบส์อายุ 8 ปีใน ค.ศ. 1894 เขาดูการปล่อยเรือเอสเอส เซนต์หลุยส์ (SS St. Louis) ลงน้ำและหลงใหลในเรืออย่างมาก เขาใฝ่ฝันถึงเรืออเมริกันขนาดมหึมาและสง่างามที่จะเหนือกว่าเรือทุกลำ[3]: 17, 18 

    เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โครงการแรกของกิบส์คือการเป็นผู้นำการออกแบบและสร้างเรือเดินสมุทรเลวีอาธาน (Leviathan) เรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและรางวัลสงครามของอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งขึ้นมาใหม่ เมื่อผลงานของเขาเสร็จสมบูรณ์ ทักษะของเขาก็ได้รับการชื่นชมจากรัฐบาล สื่อ และสถาปนิกคนอื่น ๆ กลุ่มต่าง ๆ เช่น Pacific Marine Review กล่าวถึงเขาว่าเป็น "นาวาสถาปนิกแถวหน้าของอเมริกา"[3]: 84–85 [9]: 160 

    เรือลำแรกที่ออกแบบโดยกิบบ์อย่างแท้จริงคือเอสเอส มาโลโล (SS Malolo) เรือเดินทะเลสุดหรูสำหรับมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างการทดสอบเดินทะเล เรือถูกชนบริเวณกลางลำโดยเรือบรรทุกสินค้า ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ในห้องเครื่องยนต์ของมาโลโล ความเสียหายรุนแรงมากจนเดวิด เทย์เลอร์ อดีตหัวหน้าฝ่ายก่อสร้างกองทัพเรือสหรัฐและที่ปรึกษาของกิบส์ คิดว่าเรือลำนี้จะจมลงทันที คล้ายกับที่อาร์เอ็มเอส เอ็มเพรสออฟไอร์แลนด์ (RMS Empress of Ireland) จมลงในสถานการณ์คล้ายกัน เรือยังคงลอยลำโดยมีความเสียหายเพียงเล็กน้อยและมีผู้เสียชีวิตน้อย ความสำเร็จนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลมาจากการออกแบบที่พิถีพิถันของกิบส์ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากขึ้น[9]: 200 [3]: 118–123, 202 

    งานของกิบส์ทำให้เขาได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่อเมริกัน ซึ่งเขาได้นำเสนอแนวคิดของเขาเกี่ยวกับเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ที่ชักธงอเมริกัน ใน ค.ศ. 1936 รัฐบาลสหรัฐกำลังวางแผนแทนที่เลวีอาธานที่เก่าแก่ เพื่อให้เรือลำใหม่สามารถให้บริการเป็นเรือโดยสารในยามสงบและเป็นเรือลำเลียงทหารในยามสงคราม แม้มันจะไม่ใช่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ตามที่กิบส์จินตนาการไว้ แต่เขาก็ได้รับเลือกให้ออกแบบเรือลำใหม่ ซึ่งต่อมาคือเอสเอส อเมริกา (SS America)[3]: 85–86, 169 

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง กิบส์และบริษัทของเขาได้ออกแบบเรืออเมริกันมากกว่าร้อยละ 70 ที่ใช้ในระหว่างสงคราม และกิบส์อยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพของเขา เขาเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับซูเปอร์ไลเนอร์สัญชาติอเมริกันเป็นจริง[3]: 202 

    การประยุกต์ใช้ทางการทหาร

    [แก้]
    วิลเลียม แฟรนซิส กิบส์ ผู้ซึ่งเป้าหมายตลอดชีวิตคือการออกแบบสิ่งที่จะกลายมาเป็นยูไนเต็ดสเตตส์

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรือเดินสมุทรจำนวนมาก รวมถึงนอร์ม็องดีและควีนแมรี ถูกรัฐบาลยึดหรือเกณฑ์ไปใช้ในการขนส่งทหารระหว่างแนวรบต่าง ๆ ใน ค.ศ. 1945 คณะกรรมการเดินเรือสหรัฐร้องขอแบบเรือที่สามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ในความขัดแย้งในอนาคต กิบส์ส่งแบบร่างซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เขาคิดมานานหลายทศวรรษ และในที่สุดแบบร่างนั้นก็ได้รับสัญญา[3]: 186, 203 

    การใช้งานเรือลำนี้ที่ดูมีแนวโน้มมากที่สุดในสงครามคือการใช้เป็นเรือลำเลียงทหาร หากมีการระดมพล เฟอร์นิเจอร์บนเรือก็สามารถถอดออกอย่างง่ายดายเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับกองพลทหารบกสหรัฐจำนวน 14,400 นาย ขนาดและความเร็วของเรือทำให้เธอสามารถส่งกองพลทหารไปประจำการที่ใดก็ได้ในโลกอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องแวะเติมเชื้อเพลิง[7]: 12 [3]: 215 

    การสร้าง

    [แก้]
    กระดูกงูของเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (CVA-58) ที่อู่ต่อเรือนิวพอร์ตนิวส์ ซึ่งถูกรื้อถอนเพื่อเปิดทางให้กับการสร้างเรือเดินสมุทร

    หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง กระทรวงกลาโหมสหรัฐที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่มีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับนโยบายในสมัยนิวเคลียร์ มีข้อถกเถียงหรือความขัดแย้งเกี่ยวกับเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่พิเศษ ยูเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (CVA-58) ซึ่งถูกยกเลิกหลังจากวางกระดูกงูแล้ว อู่ต่อเรือซึ่งกำลังมองหาโครงการเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่กองทัพเรือทิ้งไว้ ตกลงจะรื้อถอนเรือบรรทุกเครื่องบินและสร้างเรือเดินสมุทรที่มีชื่อเดียวกันอย่างบังเอิญ ในอู่แห้งเดียวกัน[10][11] ทำให้สามารถวางกระดูกงูของเธอได้ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ยูไนเต็ดสเตตส์กลายเป็นเรือเดินสมุทรลำแรกที่สร้างในอู่แห้ง ซึ่งช่วยให้สร้างเรือได้เร็วขึ้นเนื่องจากชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถผลิตไว้ก่อนแล้วนำมาประกอบได้[12][13]: 100 

    ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่กองทัพเรือเผชิญคือการลดลงของขีดความสามารถในการขนส่งหลังสงคราม หลังการยกพลขึ้นบกที่อินช็อนในสงครามเกาหลี กระทรวงกลาโหมตระหนักว่าตนเองขาดแคลนศักยภาพการลำเลียงทหาร จึงเกณฑ์ยูไนเต็ดสเตตส์ที่สร้างเสร็จไปเพียงหนึ่งในสามเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดแคลนนั้นอย่างรวดเร็วและประหยัด ภายใต้การควบคุมของกองทัพเรือ ห้องน้ำในห้องพักถูกถอดออกและพื้นที่ขนาดใหญ่ถูกแบ่งเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับฐานปืน ห้องนายทหาร เรือชูชีพเพิ่มเติม และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการสนับสนุนจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น[3]: 240 

    ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกเกณฑ์โดยลูอิส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งเชื่อว่าการดัดแปลงเรือที่มีอยู่แล้วนั้นถูกกว่าและง่ายกว่าการสร้างเรือใหม่ หลังประกาศไปได้ไม่กี่วัน เขาถูกปลดจากตำแหน่งและถูกแทนที่โดยจอร์จ มาร์แชล หลังพบกับประธานสำนักบริหารการเดินเรือ มาร์แชลเชื่อว่าการดัดแปลงยูไนเต็ดสเตทส์จะใช้เวลานานเกินไปจนไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในสงครามเกาหลี หนึ่งเดือนหลังการประกาศว่าเรือจะถูกเกณฑ์ไปใช้งาน คณะเสนาธิการร่วมก็กลับคำตัดสินและส่งเรือกลับไปทำหน้าที่พลเรือนตามกำหนดเดิม[3]: 241 

    ยูไนเต็ดสเตตส์ได้รับการประกอบพิธีตั้งชื่อและปล่อยลงน้ำในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1951[13]: 100  โดยมีลูซีล คอนเนลลี ภรรยาวุฒิสมาชิกสหรัฐ ทอม คอนเนลลี เป็นผู้สนับสนุน (หรือผู้ทำพิธี)[14] การสร้างของเธอเป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือสหรัฐกับสายการเดินเรือยูไนเต็ดสเตตส์ (USL) และถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถูกแบ่งกัน โดย USL จ่าย 25 ล้านดอลลาร์ และรัฐบาลสหรัฐจ่าย 20 ล้านดอลลาร์ รัฐบาลยังจ่ายเงินอีก 25 ล้านดอลลาร์สำหรับการรวม "คุณสมบัติด้านกลาโหม" เข้าไปในการออกแบบของเธอ ซึ่งทำให้ต้นทุนของเธอเพิ่มขึ้นเป็น 71.08 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้ตัวเรือเองจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 44.4 ล้านดอลลาร์เท่านั้น[3] : 227 

    คุณสมบัติ

    [แก้]

    ระบบขับเคลื่อน

    [แก้]

    โรงผลิตพลังงานของเรือได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือที่ไม่ธรรมดากับกองทัพเรือ นำไปสู่การออกแบบที่เน้นการใช้งานทางทหาร เรือลำนี้ไม่เคยใช้อุปกรณ์ของกองทัพเรือสหรัฐ ผู้ออกแบบเลือกใช้อุปกรณ์ของพลเรือนที่ดัดแปลงมาจากรุ่นทางทหารแทน การจัดวางห้องเครื่องยนต์นั้นคล้ายคลึงกับเรือรบขนาดใหญ่ เช่น เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์เรสตัล โดยมีพื้นที่วิศวกรรมแยกส่วน และระบบสำรองและป้องกันความเสียหายในระบบต่าง ๆ บนเรือ[7]: 129, 141 

    ในการให้บริการตามปกติ เรือสามารถผลิตไอน้ำตามทฤษฎีได้ 310,000 ปอนด์ (140,000 กิโลกรัม) ต่อชั่วโมง ที่แรงดัน 925 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (6.38 เมกะปาสกาล) และอุณหภูมิ 975 องศาฟาเรนไฮต์ (524 องศาเซลเซียส) โดยใช้หม้อไอน้ำแบบ M-type ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวน 8 ลูก อย่างไรก็ตาม พวกมันถูกใช้งานเพียงร้อยละ 54 ของความสามารถสูงสุด หม้อไอน้ำถูกแบ่งออกเป็นสองห้องเครื่อง โดยมีสี่ลูกในแต่ละห้อง บริษัทแบ็บค็อกแอนด์วิลค็อกซ์ (Babcock & Wilcox) ออกแบบหม้อไอน้ำของเรือและผลิตหม้อไอน้ำเหล่านั้นในห้องเครื่องยนต์ส่วนหน้า ที่เหลือผลิตโดยบริษัทฟอสเตอร์วีลเลอร์ (Foster Wheeler) และตั้งอยู่ในส่วนท้ายเรือ[7]: 129, 132 

    ภาพวาดของเอสเอส ยูไนเตตสเตตส์ ระหว่างการทดสอบเดินทะเล

    ไอน้ำจากหม้อไอน้ำหมุนกังหันไอน้ำแบบเฟืองทดรอบคู่ของเวสติงเฮาส์ 4 ตัว แต่ละตัวเชื่อมกับเพลาขับ กังหันแต่ละตัวสามารถผลิตกำลังเพลาได้ประมาณ 60,000 แรงม้า (shp) หรือรวมทั้งหมด 240,000 แรงม้า หากใช้ความเร็วสูงสุด (flank speed) การออกแบบเบื้องต้นคาดการณ์ว่าสามารถผลิตกำลังเพลาได้ 266,800 แรงม้าจากไอน้ำอุณหภูมิ 1,100 องศาฟาเรนไฮต์ (593 องศาเซลเซียส) ที่แรงดัน 1,145 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (7.89 เมกะปาสกาล)[7]: 17, 134 

    กังหันไอน้ำหมุนเพลาขับสี่เพลา แต่ละเพลาหมุนใบจักรที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 18 ฟุต (5.5 เมตร) เนื่องจากประสบการณ์ทางทหารก่อนหน้านี้ของผู้ออกแบบ ใบจักรแต่ละใบถูกสร้างขึ้นเพื่อให้หมุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทั้งสองทิศทาง ทำให้เรือสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อลดการเกิดโพรงอากาศและการสั่นสะเทือน ใบจักรด้านในสองใบมีห้าพวง เป็นเคล็ดลับสำคัญของการออกแบบ และใบจักรด้านนอกสองใบมีสี่พวง ปัจจัยนี้เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ช่วยให้เรือสามารถทำความเร็วสูงได้[7]: 138–139 

    ปล่องไฟและโครงสร้างบน

    [แก้]

    จุดประสงค์หลักของปล่องไฟเรือคือการระบายอากาศห้องเครื่องยนต์ของเรือ เพื่อให้ไอเสียระบายออกไปได้ กิบส์เชื่อว่าปล่องไฟยังสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นที่จดจำให้กับเรือและเจ้าของเรือด้วย เพื่อสร้างรูปร่างที่น่าจดจำอย่างไม่รู้ลืม กิบส์ได้ออกแบบให้เรือมีปล่องไฟขนาดใหญ่ทรงหยดน้ำสองต้น สีแดง-ขาว-น้ำเงิน ตั้งอยู่ตรงกลางลำเรือ ด้วยความสูง 55 ฟุต (17 เมตร) และความกว้าง 60 ฟุต (18 เมตร) ปล่องไฟเหล่านั้นจึงถือเป็นปล่องไฟที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยถูกนำลงทะเล[3]: 246–248 

    ปล่องไฟของเรือกลายเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นเนื่องจากสี รูปทรง และขนาดที่เป็นเอกลักษณ์ (โปสเตอร์ส่งเสริมการขายตามภาพ)

    การออกแบบปล่องไฟเป็นจุดสุดยอดประสบการณ์ของกิบส์จากการออกแบบเรือเดินสมุทรเลวีอาธาน อเมริกา และเรือตระกูลแซนตา เพื่อให้ดาดฟ้าและผู้โดยสารไม่เปื้อนเขม่า จึงติดตั้งครีบแนวนอนที่ปล่องไฟทั้งสองต้นเพื่อเบี่ยงไอเสียออกไปจากตัวเรือ เพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าวในยูไนเต็ดสเตตส์ กิบส์ตัดสินใจว่าปล่องไฟและโครงสร้างบนจะทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพื่อป้องกันไม่ให้เรือมีน้ำหนักส่วนบนมากเกินไปและเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ ในเวลานั้น ยูไนเต็ดสเตตส์เป็นโครงการก่อสร้างอะลูมิเนียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นการนำอะลูมิเนียมมาใช้กับเรือเป็นครั้งแรกในระดับมาก[3]: 246–248 

    ข้อเสียหลักในการทำปล่องไฟและโครงสร้างบนจากอะลูมิเนียมคือความลำบากในการหล่อและจัดการกับโลหะชนิดนี้เมื่อเทียบกับโลหะทั่วไป ทำให้การผลิตปล่องไฟเป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุดของการสร้างเรือ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการกัดกร่อนแบบกัลวานิกของอะลูมิเนียมเมื่อเชื่อมกับพื้นดาดฟ้าเหล็ก กระบวนการที่ยุ่งยากและเหนื่อยล้าทำให้คนงานในอู่ต่อเรือไม่พอใจ แต่ไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างการสร้างและดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้[3]: 246–248 

    ความเร็ว

    [แก้]

    ความเร็วสูงสุดที่ยูไนเต็ดสเตตส์ทำได้นั้นเป็นที่ถกเถียงกันและครั้งหนึ่งเคยถูกเก็บเป็นความลับทางทหาร[15] และซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการกล่าวอ้างว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลความเร็วสูงสุด 43 นอต (80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 49 ไมล์ต่อชั่วโมง) ที่เรือทำได้หลังการทดสอบความเร็วครั้งแรก[16] ใน ค.ศ. 1968 เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่าเรือลำนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 42 นอต (78 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 48 ไมล์ต่อชั่วโมง) ด้วยกำลังขับเคลื่อนสูงสุด 240,000 แรงม้า (180,000 กิโลวัตต์)[17] แหล่งข้อมูลอื่น ๆ รวมถึงรายงานโดยบริษัทจอห์น เจ. แมกมัลเลน แอนด์แอสโซซิเอตส์ (John J. McMullen & Associates) ระบุว่าความเร็วสูงสุดที่เรือสามารถรักษาไว้ได้คือ 35 นอต (65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 40 ไมล์ต่อชั่วโมง)[18] ภายหลังความเร็วสูงสุดที่เรือลำนี้ทำได้ถูกเปิดเผยว่าเป็น 38.32 นอต (70.97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 44.10 ไมล์ต่อชั่วโมง) ซึ่งเธอทำได้ในระหว่างการทดสอบความเร็วเต็มกำลังในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1952[19][20]

    การออกแบบภายใน

    [แก้]
    ซากเรือไหม้ของมอร์โรว์คาสเซิล ซึ่งการสูญเสียของเรือลำนี้มีอิทธิพลต่อมาตรการความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่เข้มงวดบนยูไนเต็ดสเตตส์

    โดโรธี มาร์กวัลด์ และแอนน์ เอิร์กฮาร์ต ผู้ซึ่งเป็นผู้ออกแบบภายในให้กับอเมริกา เป็นผู้ออกแบบภายในให้กับยูไนเต็ดสเตตส์ เป้าหมายของพวกเขาคือการ "สร้างรูปลักษณ์ร่วมสมัยที่ทันสมัยและสดใหม่ เน้นความเรียบง่ายมากกว่าความโอ่อ่า [โดย] มีความสง่างามแบบพอดีมากกว่าความฉูดฉาดและระยิบระยับ"[21][22] มาร์กวัลด์และเอิร์กฮาร์ตยังต้องการจำลองเส้นสายที่เรียบเนียนที่เห็นได้จากภายนอกและต้องการถ่ายทอดความเร็วของเรือด้วย[7]: 93 

    เพื่อบรรลุความงามตามแบบฉบับที่ต้องการ เรือถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์มิด-เซนจูรีโมเดิร์นที่ถูกเน้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการใช้พื้นดาดฟ้าปูด้วยเสื่อน้ำมันสีดำจำนวนมากและการเน้นขอบด้วยสีเงิน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะโดดเด่นกว่าคู่แข่ง แต่ความเรียบง่ายของการตกแต่งเมื่อเทียบกับความโอ่อ่าหรูหราที่คาดหวังจากเรือเดินสมุทรทำให้ภายในเรือถูกบรรยายโดยผู้ที่คุ้นเคยกับรูปแบบเก่าว่าเหมือนกับสิ่งที่พบได้ใน "เรือขนส่งของกองทัพเรือ"[7]: 93 

    การตกแต่งภายในรวมถึงห้องเด็กเล่นที่ออกแบบโดยเอ็ดเวิร์ด เมเชคอฟฟ์[23] ผู้ซึ่งยังได้รับมอบหมายให้สร้างการตกแต่งภายในที่กันไฟได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้ก่อให้เกิดความยากลำบากเป็นพิเศษในการเลือกวัสดุ โดยเฉพาะวัสดุสำหรับสิ่งของที่ปกติแล้วติดไฟง่าย เช่น ผ้าม่านหรือพรม[7]: 93 

    ความปลอดภัยจากอัคคีภัย

    [แก้]

    จากผลของภัยพิบัติทางทะเลที่เกี่ยวข้องกับไฟไหม้ ซึ่งรวมถึงเอสเอส มอร์โรคาสเซิล (SS Morro Castle) และแอ็สแอ็ส นอร์ม็องดี วิลเลียม กิบส์ได้ระบุว่าเรือจะต้องกันไฟได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำประวัติของเขาในด้านความปลอดภัยและการใส่ใจรายละเอียด[24][25]

    เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเพลิงไหม้ ผู้ออกแบบเรือยูไนเต็ดสเตตส์ได้ห้ามการใช้วัสดุไม้ในเรือ ยกเว้นเขียงไม้ในห้องครัวเท่านั้น อุปกรณ์ตกแต่ง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และผ้า ถูกผลิตขึ้นตามสั่งโดยใช้วัสดุแก้ว โลหะ และไฟเบอร์กลาสเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการป้องกันไฟของกองทัพเรือสหรัฐ แผ่นผนังผสมใยหินถูกใช้อย่างแพร่หลายในโครงสร้างภายในและสิ่งของขนาดเล็กจำนวนมากทำจากอะลูมิเนียม เปียโนแกรนด์ในห้องบอลรูมเดิมถูกออกแบบให้ทำจากอะลูมิเนียมแต่ถูกสร้างจากไม้มะฮอกกานีและได้รับการยอมรับหลังมีการสาธิตโดยราดน้ำมันเบนซินลงบนไม้และจุดไฟ ซึ่งไม้ไม่ติดไฟ[26][27]

    ศิลปะ

    [แก้]

    เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะบนเรือ ศิลปินฮิลเดรท เมียร์และออสติน เพอร์เวสได้ปรึกษามาร์กวัลด์ เป้าหมายของเหล่าศิลปินคือการมอบเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่เรือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ขึ้นกับรูปแบบศิลปะใดรูปแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเรือลำนี้จะทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ลอยน้ำของสหรัฐ จึงมีการตัดสินใจว่าลักษณะของเรือจะต้องสะท้อนถึงประเทศนั้น สิ่งนี้สำเร็จได้โดยการจัดพื้นที่ให้มีธีมเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของสหรัฐ เช่น แม่น้ำมิสซิสซิปปี ชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือสัตว์ป่าอเมริกัน[28]

    เรือได้รับการตกแต่งด้วยงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์หลายร้อยชิ้น รวมถึงประติมากรรม ภาพนูนต่ำ และภาพวาด อะลูมิเนียมถูกนำมาใช้ทั่วไปในงานศิลปะ ทำให้ชิ้นงานมีน้ำหนักเบาและทนไฟ และเข้ากับธีมสีดำและสีเงิน ตัวอย่างเช่น มีการใช้ประติมากรรมอะลูมิเนียมเกือบ 200 ชิ้นในบันไดชั้นหนึ่ง โดยมีรูปปั้นอินทรีขนาดใหญ่และสัญลักษณ์นกและดอกไม้ประจำรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐบนชานพักของแต่ละชั้น[7]: 93 

    แกลเลอรีพื้นที่ผู้โดยสาร

    [แก้]

    ระบบชั้นผู้โดยสาร

    [แก้]

    การออกแบบของกิบส์ได้นำระบบแบ่งชั้นผู้โดยสารแบบดั้งเดิมสามระดับมาใช้ เป็นการจำลองระบบที่พบในเรือเดินสมุทรดั้งเดิมอื่น ๆ ผู้โดยสารแต่ละชั้นถูกแยกออกจากกัน โดยมีห้องอาหาร บาร์ พื้นที่ส่วนกลาง บริการ และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของตนเอง กิบส์วาดภาพไว้ว่าให้ผู้โดยสารแบ่งแยกกันเอง โดยจะมีการปะปนกันเฉพาะในโรงยิม สระว่ายน้ำ และโรงละครเท่านั้น[7]: 70  การแบ่งแยกชนชั้นที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงกับโลกเก่านั้นขัดแย้งกับแนวคิดโดยรวมของเรือเดินสมุทรแบบอเมริกัน สหรัฐมักถูกมองว่าเป็นประเทศที่หลุดพ้นจากผู้ดีเก่าและการแบ่งแยกชนชั้นแบบโลกเก่า[30]

    เมื่อบรรทุกผู้โดยสารเต็มความจุ ยูไนเต็ดสเตตส์สามารถรองรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งได้ 894 คน ชั้นเคบิน 524 คน และชั้นนักท่องเที่ยว 554 คน[7]: 16  ในช่วงฤดูกาลปกติ ราคาตั๋วชั้นหนึ่งจะเริ่มต้นที่ 350 ดอลลาร์ (3,971 ดอลลาร์ใน ค.ศ. 2024) ตั๋วชั้นเคบิน 220 ดอลลาร์ (2,496 ดอลลาร์) และตั๋วชั้นนักท่องเที่ยว 165 ดอลลาร์ (1,872 ดอลลาร์)[13]: 138 

    ชั้นหนึ่ง

    [แก้]
    ทัวร์ชมพื้นที่ชั้นหนึ่งในสภาพปัจจุบัน
    video icon https://www.youtube.com/watch?v=oYRofcGzi2w

    ผู้โดยสารชั้นหนึ่งมีสิทธิ์ได้รับบริการและสถานที่ที่ดีที่สุดที่เรือมีให้ รวมถึงห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ห้องสูบบุหรี่ ห้องอาหารและร้านอาหารชั้นหนึ่ง เลานจ์ชมวิว โถงหลัก บันไดใหญ่ และทางเดินเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่กลางลำเรือ เพื่อเลี่ยงแรงสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์และภายนอก[7]: 59, 64 

    ผู้โดยสารที่มีชื่อเสียงของเรือลำนี้นิยมโดยสารชั้นหนึ่งเนื่องจากความมีเกียรติ บริการพิเศษ และห้องพักที่กว้างขวาง ห้องชุดดัก (The Duck Suite) ซึ่งโด่งดังจากดยุกและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ เป็นห้องพักที่ดีที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของเรือ มันถูกสร้างขึ้นโดยการรวมห้องพักชั้นหนึ่งสามห้องเข้าด้วยกันกลายเป็นห้องชุดเดียวที่มีสี่เตียง สามห้องน้ำ สองห้องนอน และห้องนั่งเล่น ชื่อห้องนั้นมาจากผนัง ซึ่งตกแต่งด้วยภาพวาดของนกน้ำ สามารถสร้างห้องชุดที่คล้ายกันได้มากถึง 14 ห้องด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งจะสร้างระดับห้องพักที่เหนือกว่าตั๋วโดยสารชั้นหนึ่งมาตรฐาน[7]: 59, 64  ตั๋วสำหรับห้องชุดสองห้องนอนเริ่มต้นที่ 930 ดอลลาร์ (10,552 ดอลลาร์) เป็นราคาที่ตั้งเป้าหมายไว้สำหรับผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุดบนเรือ เช่นเดียวกับห้องชุดดัก ห้องเหล่านี้สะท้อนถึงมาตรฐานการครองชีพของชาวอเมริกันหลังสงคราม โดยขาดรายละเอียดที่ซับซ้อนและประดับประดาด้วยภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ ห้องชุดทั้งหมดมีขนาดกว้างขวางและติดตั้งไฟหรี่ ซึ่งไม่พบในเรือลำอื่น ๆ[3]: 262 

    ชั้นเคบิน

    [แก้]

    ชั้นเคบินถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางชาวอเมริกัน โดยให้ความคุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเท่าชั้นนักท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีความหรูหราใกล้เคียงกับชั้นหนึ่ง ห้องพักแต่ละห้องมีสี่เตียงและห้องน้ำส่วนตัว ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางท้ายเรือ แม้จะไม่หรูหราเท่าชั้นหนึ่ง แต่ผู้โดยสารก็ได้รับการบริการและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ในอดีตสงวนไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นสูงสุดบนเรือเดินสมุทรลำอื่น ๆ[7]: 66–67 อาหาร สระว่ายน้ำ และโรงละครถูกใช้ร่วมกับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ทำให้ชั้นเคบินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์แบบชั้นหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายในราคาชั้นหนึ่ง[30]

    ชั้นนักท่องเที่ยว

    [แก้]

    ชั้นนักท่องเที่ยวมีเป้าหมายเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าตั๋วแพง ๆ ได้หรือไม่ต้องการจ่ายมากนัก ผู้โดยสารชั้นนี้มักเป็นผู้อพยพและนักศึกษา[30] ตั๋วที่ถูกที่สุดในบรรดาตั๋วทั้งหมด ห้องพักชั้นนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณขอบเรือ ที่ซึ่งเป็นจุดที่การโคลงและเสียงดังนั้นชัดเจนที่สุด ห้องพักขนาดเล็กเหล่านี้ถูกใช้ร่วมกันระหว่างผู้โดยสาร แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นสองเตียงและตกแต่งอย่างเรียบง่าย ห้องน้ำรวมถูกใช้ร่วมกันโดยผู้โดยสารชั้นท่องเที่ยวทั้งหมด การบริการจากลูกเรือนั้นด้อยกว่าเมื่อเทียบกับชั้นโดยสารอื่น ๆ เนื่องจากผู้โดยสารชั้นท่องเที่ยวถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ต่ำสุด แม้จะเป็นห้องพักที่เทียบเท่ากับชั้นสามหรือชั้นประหยัดบนเรือลำอื่น แต่สภาพที่แย่ที่สุดบนยูไนเต็ดสเตตส์นั้นก็ยังดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เรือลำอื่นเสนอให้[7]: 68, 70 

    บริการเชิงพาณิชย์ (ค.ศ. 1952–1957)

    [แก้]

    การเดินทางครั้งแรก

    [แก้]

    ยูไนเต็ดสเตตส์ออกเดินทางครั้งแรกระหว่างวันที่ 3 ถึง 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 และทำลายสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันออกที่อาร์เอ็มเอส ควีนแมรีครองมาเป็นเวลา 14 ปี โดยทำเวลาได้เร็วกว่า 10 ชั่วโมง โดยเดินทางจากเรือประภาคารแอมโบรสที่ท่าเรือนิวยอร์กไปยังบิชอปร็อกนอกชายฝั่งคอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร ในเวลา 3 วัน 10 ชั่วโมง 40 นาทีด้วยความเร็วเฉลี่ย 35.59 นอต (65.91 กิโลเมตรต่อขั่วโมง; 40.96 ไมล์ต่อชั่วโมง[31] และได้รับบลูริบบันด์อันเป็นที่หมายปอง[32] ในการเดินทางกลับ ยูไนเต็ดสเตตส์ยังทำลายสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเดิมถือครองโดยควีนแมรี โดยเดินทางกลับสู่อเมริกาภายในเวลา 3 วัน 12 ชั่วโมง 12 นาทีด้วยความเร็วเฉลี่ย 34.51 นอต (63.91 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 39.71 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในนครนิวยอร์ก เจ้าของเรือของเธอได้รับเฮลส์โทรฟี รางวัลที่จับต้องได้ของการแข่งขันบลูริบบันด์[33]

    ภาพถ่ายยูไนเต็ดสเตตส์จากพอร์ตสมัทขณะเดินทางกลับนิวยอร์กครั้งแรก ฤดูร้อน ค.ศ. 1952

    เรือกลับสู่สหรัฐด้วยการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีวงดนตรี เฮลิคอปเตอร์ และเรือเล็กนำทางเข้าสู่นครนิวยอร์ก และฝูงชนนับหมื่นมารอต้อนรับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ชนะบลูริบบันด์ ธงสีน้ำเงินยาวจึงถูกชักขึ้นจากเสาเรดาร์ของเรือขณะกำลังเข้ามา ผู้คนจำนวนมากสังเกตว่าสีทาตัวเรือใหม่นั้นหลุดลอกออกไป คาดว่าเกิดจากความเร็วสูงที่เธอแล่น[34] หลายวันต่อมา ลูกเรือของเธอได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากเมืองด้วยพาเหรดโปรยกระดาษ โดยมีผู้คนกว่า 2,000 คนร่วมขบวนและฝูงชนกว่า 150,000 คนให้การต้อนรับ หัวใจสำคัญของงานคือกัปตันเรือ พลเรือจัตวา แฮร์รี แมนนิง ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการเดินขบวนโปรยกระดาษสองครั้งหลังจากการช่วยเหลือลูกเรือจากเรือบรรทุกสินค้าฟลอริดาใน ค.ศ. 1929[35]

    สถิติที่บันทึกไว้ไม่ได้สะท้อนถึงความเร็วจริงของเรือ ก่อนการเดินทางของเธอ หลายคนคาดหวังการแข่งขันระหว่างยูไนเต็ดสเตตส์กับควีนเอลิซาเบธ (Queen Elizabeth) เรืออังกฤษ เพื่อศักดิ์ศรีของชาติเหนือบลูริบบันด์ ใน ค.ศ. 1951 กิบส์กำชับลูกเริอว่า "[อย่า] ทำความเร็วเกินสถิตินัก ให้เร็วกว่าสถิติเดิมแค่พอประมาณ เช่น 32 นอต" เขาหวังว่าสายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเรือควีนเอลิซาเบธ จะพัฒนาเรือที่เร็วกว่าเล็กน้อยและยูไนเต็ดสเตทส์จะทำลายสถิติที่ตั้งใจทำไว้ให้ต่ำลง โดยแล่นด้วยความเร็วที่สูงกว่ามาก[36]

    ความเร็วที่ทำลายสถิติของยูไนเต็ดสเตตส์ถูกจำกัดไว้ด้วยความกังวลด้านความปลอดภัย สายการเดินเรือเข้าใจว่าลูกเรือยังขาดประสบการณ์กับเรือใหม่ และสั่งให้พวกเขาอย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นด้วยการใช้ความเร็วที่มากเกินไป ความทรงจำเกี่ยวกับการอับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิกส่งผลต่อความระมัดระวังของ USL ซึ่งเป็นประเด็นส่วนตัวสำหรับผู้นำหลายคนของบริษัท จอห์น แฟรงคลิน ซีอีโอ เป็นลูกชายของฟิลิป แฟรงคลิน ผู้จัดการสำนักงานของไวต์สตาร์ไลน์ในช่วงภัยพิบัติไททานิก และวินเซนต์ แอสเตอร์ กรรมการบริษัท ก็สูญเสียจอห์น เจคอบ แอสเตอร์ ผู้เป็นบิดาบนเรือลำนั้น แฟรงคลินกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นมากจนเขาเขียนและปิดผนึกข้อความไว้ โดยข้อความนั้นจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะก็ต่อเมื่อเกิดหายนะขึ้นระหว่างการเดินทางเที่ยวแรกของยูไนเต็ดสเตตส์เท่านั้น[36]

    บริการช่วงหลัง

    [แก้]

    สำหรับการให้บริการตามปกติ เรือแล่นด้วยความเร็วประมาณ 30 ถึง 32 นอต (56 ถึง 59 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 35 ถึง 37 ไมล์ต่อชั่วโมง) เพื่อให้เรือสามารถรักษากำหนดการเดินทางข้ามมหาสมุทรในเวลาห้าคืนได้[34] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ยูไนเต็ดสเตตส์เป็นที่นิยมสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยแล่นระหว่างนิวยอร์ก เซาแทมป์ตัน และเลออาฟวร์ และจอดที่เบรเมอร์ฮาเฟินบ้างเป็นครั้งคราว[37] เธอดึงดูดผู้โดยสารที่เป็นเหล่าคนดังซึ่งเดินทางซ้ำ ๆ เป็นประจำ เช่น มาริลิน มอนโร, จูดี การ์แลนด์, แครี แกรนต์, ซัลบาโด ดาลี, ดุค เอลลิงตัน และวอลต์ ดิสนีย์ ผู้ซึ่งนำเรือไปปรากฏในภาพยนตร์ปี 1962 เรื่อง Bon Voyage![38] บุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ไม่มีใครรู้จักบนเรือลำนี้คือคล็อด โจนส์ นักทรอมโบนที่เคยร่วมแสดงกับเอลลิงตัน เขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟและเสียชีวิตบนเรือใน ค.ศ. 1962[39]

    ยูไนเต็ดสเตตส์พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นเรือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเส้นทางแอตแลนติกเหนือ และชื่อเสียงของเธอก็ทำให้มีลูกค้าประจำที่ไว้วางใจได้ ยูไนเต็ดสเตตส์ไลน์ (USL) เริ่มร่างแผนการสร้างเรือ "คู่วิ่ง" สำหรับเธอ เช่นเดียวกับที่คูนาร์ดไลน์ทำกับควีนแมรีและควีนเอลิซาเบธ แนวคิดคือการเดินเรือสองลำควบคู่กัน ใน ค.ศ. 1958 แนวคิดนี้พัฒนาไปสู่แผนการสร้างซูเปอร์ไลเนอร์ เอสเอส เพรซิเดนต์วอชิงตัน (SS President Washington) ซึ่งมีการออกแบบที่คล้ายคลึงกับยูไนเต็ดสเตตส์อย่างมาก เพรซิเดนต์วอชิงตันถูกวางแผนให้มาแทนที่เรืออเมริกาของ USL ที่เก่าลง และจะดำเนินการบริเวณชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาและแล่นในแปซิฟิก แนวคิดนั้นไม่เคยถูกทำให้เป็นจริงเพราะรัฐสภาสหรัฐไม่ได้จัดสรรเงินทุนใด ๆ ให้กับโครงการเลย[40]: 169–170 

    ขาลง (ค.ศ. 1957–1969)

    [แก้]
    แผ่นพับสำหรับล่องเรือฉลองปีใหม่บนเรือยูไนเต็ดสเตตส์ เมื่อกำไรของ USL ลดลง เรือจึงเริ่มจัดการล่องเรือไปยังสถานที่แปลกใหม่เพื่อพยายามฟื้นจำนวนผู้โดยสาร เช่นเดียวกับการเดินทางอีกหลายครั้ง การเดินทางครั้งนั้นถูกยกเลิกหลังเธอถูกปลดระวางใน ค.ศ. 1969

    ใน ค.ศ. 1957 เป็นครั้งแรกที่เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ลูกสูบบรรทุกผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้มากกว่าเรือเดินสมุทร แนวโน้มนี้รุนแรงขึ้นเมื่อการมาถึงของเครื่องบินโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยไอพ่นทำให้มีเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อเทียบกับหลายวันบนเรือเดินสมุทรที่เร็วที่สุด การแข่งขันนี้ทำให้ USL และบริษัทเดินเรืออื่น ๆ เสี่ยงต่อการเสียลูกค้า แต่ในตอนแรกพวกเขามองว่าเครื่องบินจะไม่เป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและคิดว่าเป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น[40]: 167–169 

    ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1960 ชื่อเสียงของเรือลำนี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรด้วยการประท้วงหยุดงานของสหภาพนายเรือ ต้นหน และนักบินที่บังคับให้มีการยกเลิกการเดินทางและการจัดสรรผู้โดยสารใหม่ ตั๋วโดยสารไม่ได้เป็นการรับประกันการเดินทางอีกต่อไปและผู้โดยสารกับบริษัทเริ่มเบื่อหน่ายกับบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ[40]: 170 

    การยกเลิกเที่ยวเรือและการแข่งขันจากสายการบินค่อย ๆ ดึงลูกค้าออกไป ใน ค.ศ. 1960 USL ปฏิเสธจะเปิดเผยจำนวนผู้โดยสารประจำปีเนื่องจากจำนวนนั้นลดลงต่ำมาก สถานการณ์แย่ลงไปอีกใน ค.ศ. 1961 เมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศว่ายูไนเต็ดสเตตส์จะไม่ถูกใช้เพื่อขนส่งทหารอเมริกันหรือครอบครัวของพวกเขาอีกต่อไป เชื่อกันว่าเรือเดินสมุทรเป็น "เป้านิ่งสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียต" และการขนส่งทางอากาศเป็นทางเลือกที่ดีกว่า การเสียสัญญาเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อบริษัทและจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงอย่างมากหมายความว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง[40]: 171 

    เพื่อเพิ่มยอดขายตั๋ว USL วางแผนดัดแปลงอเมริกาให้เป็นเรือสำราญ โดยยุติการให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังปลายทางพักผ่อนทั่วอเมริกาเหนือ แผนที่คล้ายกันถูกร่างขึ้นสำหรับยูไนเต็ดสเตจส์ ซึ่งจะถูกใช้งานเป็นเรือสำราญในช่วงฤดูหนาวที่คนเดินทางน้อย เลานจ์ชั้นเคบินของเรือจะถูกแทนที่ด้วยสระว่ายน้ำและห้องพักทุกห้องจะติดตั้งห้องน้ำเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวพักผ่อน บริษัทที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินระมัดระวังโครงการใหม่ ๆ และในไม่ช้าก็ล้มเลิกความคิดนั้นเพราะค่าปรับปรุงมีราคาถึง 15 ล้านดอลลาร์ กลยุทธ์ใหม่ของบริษัทคือการพัฒนาแคมเปญโฆษณาครั้งใหญ่ที่มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเสน่ห์ของเรือเดินสมุทรในสมัยเครื่องบินไอพ่นโดยการส่งเสริมความเร็ว ความหรูหรา ชื่อเสียง หรือด้านอื่น ๆ ของยูไนเต็ดสเตตส์[40]: 171 

    ภายใน ค.ศ. 1961 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น เป็นครั้งแรกที่การเดินทางถูกยกเลิกเนื่องจากมีผู้ซื้อตั๋วเพียง 350 คนเท่านั้น รัฐบาลสหรัฐให้เงินอุดหนุนแก่ USL โดยมีเงื่อนไขว่าต้องคงการให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไว้ไม่ว่าจะมีกำไรหรือไม่ก็ตาม เงื่อนไขนี้ถูกยกเลิกภายหลังการกดดันจากบริษัท เมื่อ USL ได้รับอนุญาตให้กำหนดเส้นทางเดินเรือเองได้ และตั้งใจจะขยายตลาดใหม่ ยูไนเต็ดสเตตส์จึงเริ่มล่องเรือสำราญในทะเลแคริบเบียนเป็นครั้งแรกในปีถัดมา เรือสำราญออกเดินทางจากนิวยอร์กและเทียบท่าที่แนสซอ เซนต์ทอมัส ตรินิแดด กูราเซา และคริสโตบัล ยูไนเต็ดสเตตส์เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในแถบนั้นและดำเนินการโดยมีสระว่ายน้ำชั่วคราวบนดาดฟ้าท้ายเรือและไม่มีผู้โดยสารชั้นท่องเที่ยว[40]: 172–173 

    แม้จะมีเส้นทางใหม่ ยูไนเต็ดสเตตส์ก็ยังคงเป็นเรือเดินทะเลที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงที่สุดและสูญเสียผู้โดยสารให้กับเรือรุ่นใหม่กว่า เช่น แอ็สแอ็ส ฟร็องส์ (SS France) ภายใน ค.ศ. 1963 ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของยูไนเต็ดสเตตส์ได้แพร่กระจายไปถึงลูกเรือและผู้บริหารของบริษัท หลายคนไม่แน่ใจว่าเรือลำนี้จะยังคงให้บริการไปได้อีกนานเท่าใด สองปีต่อมา การประท้วงหยุดงายอีกครั้งบังคับให้มีการยกเลิกการเดินทางในช่วงฤดูร้อนทั้งหมด ทำให้เรือสูญเสียผู้โดยสาร 9,000 คนและบริษัทสูญเสียเงิน 3 ล้านดอลลาร์[40]: 178–179 

    ใน ค.ศ. 1968 การเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังลดลง โดยมีเพียงยูไนเต็ดสเตตส์, ฟร็องส์ และควีนเอลิซาเบธเท่านั้นที่ยังคงทำการเดินเรืออยู่ เพื่อสร้างความต่างจากคู่แข่ง ยูไนเต็ดสเตตส์เริ่มให้บริการเดินทางระยะไกลไปยังท่าเรือในยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้ เธอกลับมาเป็นเรือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแอตแลนติกอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1968 USL ถูกซื้อโดยบริษัทวอลเตอร์ คิดด์ แอนด์โค (Walter Kidd & Co) ซึ่งเชื่อว่าสมัยเรือเดินสมุทรได้สิ้นสุดลงแล้ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐยังตัดเงินอุดหนุนเรือลงเนื่องจากจำนวนผู้โดยสารไม่เพียงพอจะพิสูจน์ความคุ้มค่า[40]: 175–177 

    ตลอดระยะเวลาการให้บริการของเธอ ยูไนเต็ดสเตตส์สร้างรายได้ระหว่าง 16 ล้านถึง 20 ล้านดอลลาร์เป็นประจำ แต่ค่าใช้จ่ายของเธอกลับเพิ่มขึ้นจากเริ่มต้น 18 ล้านดอลลาร์เป็น 26 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปีแรก ๆ ของการให้บริการ เรือทำกำไรให้ USL 3 ล้านดอลลาร์ ใน ค.ศ. 1960 เรือเริ่มขาดทุน 2 ล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ ค.ศ. 1968 เรือทำให้บริษัทขาดทุน 4 ล้านดอลลาร์แม้รายได้จะคงที่[41]

    ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงหยุดงาน ค่าสมาชิกสหภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น เงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ลดลง การเพิ่มขึ้นของข้อกล่าวหาว่าบริษัทบริหารงานผิดพลาด และความไม่สนใจของผู้โดยสารโดยทั่วไป ยูไนเต็ดสเตตส์จึงถึงกำหนดปลดระวาง วันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ยูไนเต็ดสเตตส์กลับจากการเดินทางครั้งที่ 400 และถูกสั่งให้เข้าซ่อมบำรุงประจำปีในนิวพอร์ตนิวส์เร็วกว่ากำหนด การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้การล่องเรือ 21 วันที่จัดเตรียมไว้ต้องยกเลิก แต่ยังมีการเปิดรับจองการล่องเรืออื่น ๆ ในอนาคตอยู่[40]: 178–179 

    เทียบท่าในเวอร์จิเนีย (ค.ศ. 1969–1996)

    [แก้]

    ขณะที่ยูไนเต็ดสเตตส์กำลังอยู่ที่นิวพอร์ตนิวส์เพื่อการซ่อมบำรุงประจำปีตามกำหนดการ USL ได้ประกาศว่ายูไนเต็ดสเตตส์จะถูกปลดระวางในวันที่ 11 พฤศจิกายน เรือถูกปิดตาย โดยเฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง และเครื่องแบบลูกเรือทั้งหมดถูกทิ้งไว้ในสภาพเดิม ปล่องไฟของเธอถูกทิ้งไว้ในสภาพทาสีไม่เสร็จครึ่งหนึ่งเมื่อการทำงานหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ซึ่งยังคงสามารถเห็นได้ในปัจจุบัน[25] ขณะที่หลายคนมองว่าการปลดระวางเรือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การตัดสินใจดังกล่าวกลับสร้างความตกใจให้กับผู้โดยสารและลูกเรือ โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ลูกเรือที่เพิ่งตกงานมีเวลาเพียงไม่กี่วันในการสะสางงานให้เสร็จกระเป๋าสัมภาระที่รอการขนส่งของเหล่าผู้โดยสารถูกลำเลียงขึ้นเรือเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) เพื่อออกล่องเรือใหม่[40]: 184–185  ณ เวลาที่ยูไนเต็ดสเตตส์ปลดระวาง เรือได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก 800 เที่ยว (400 เที่ยวไปกลับ) เดินทางเป็นระยะทาง 2,772,840 ไมล์ทะเล (5,135,300 กิโลเมตร; 3,190,930 ไมล์) และบรรทุกผู้โดยสาร 1,025,691 คน[42]

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1970 ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกย้ายข้ามแม่น้ำเจมส์ไปยังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศนอร์ฟอล์ก ในนอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย ใน ค.ศ. 1973 USL โอนกรรมสิทธิ์ของเรือให้กับสำนักบริหารการเดินเรือสหรัฐ ใน ค.ศ. 1976 มีรายงานว่าบริษัทนอร์วีเจียนแคริบเบียนครูซไลน์ (Norwegian Caribbean Cruise Line; NCL) สนใจซื้อเรือลำนี้และดัดแปลงเป็นเรือสำราญสำหรับล่องทะเลแคริบเบียน แต่สำนักบริหารการเดินเรือสหรัฐปฏิเสธการขายเนื่องจากองค์ประกอบการออกแบบทางทหารของเรือมีลักษณะเป็นความลับ ทำให้ NCL ต้องซื้อเรือฟร็องส์ (France) ลำเดิมแทน กองทัพเรือเปิดเผยข้อมูลการออกแบบของเรือที่เคยเป็นความลับใน ค.ศ. 1977[25]

    ปีเดียวกันนั้น กลุ่มที่นำโดยแฮร์รี แคตซ์พยายามซื้อเรือลำนี้และนำไปเทียบท่าที่แอตแลนติกซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อใช้เป็นโรงแรมและกาสิโน แต่แผนการนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง[43] ภายใน ค.ศ. 1978 สำนักบริการการเดินเรือพิจารณาว่ายูไนเต็ดสเตตส์ไม่มีคุณค่าต่อรัฐบาล และอนุญาตให้ขาย[3]: 363 

    อย่างไรก็ตาม เอกสารที่เพิ่งถูกค้นพบจากสำนักงานตรวจบัญชีรัฐบาล (GAO) คัดค้านเหตุการณ์ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางและถูกนำเสนอไว้ข้างต้น โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าคุณลักษณะการออกแบบที่เป็นความลับเป็นอุปสรรคต่อการขายเรือให้กับผู้สนใจ ตามข้อมูลของ (GAO) สำนักบริหารการเดินเรือสหรัฐ (MARAD) พยายามจะขายหรือให้เช่าเรือแก่ภาคเอกชนทันทีที่ได้รับมอบในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1973[44]

    ในตอนแรก "เรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกเสนอขายให้กับพลเมืองสหรัฐอเมริกาเพื่อดำเนินการภายใต้ธงอเมริกัน" ตามเอกสาร GOA การประมูลถูกจัดขึ้นโดยมีราคาเปิดประมูลที่ 12.1 ล้านดอลลาร์ และต่อมาที่ 7.5 ล้านดอลลาร์ แม้ในระหว่างการประมูลช่วงแรก ๆ จะมีบางฝ่ายแสดงความสนใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้อเสนอทั้งหมดถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากไม่แนบเงินมัดจำร้อยละ 10 มาด้วย[45]

    หลังการประมูลขายเรือสามครั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จระหว่าง ค.ศ. 1973 ถึง 1975 กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เรือโดยผู้ซื้อที่มีศักยภาพได้รับการขยายใน ค.ศ. 1976 "... เพื่ออนุญาตให้ขายเรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์สำหรับใช้เป็นโรงแรมลอยน้ำในหรือบนน่านน้ำเดินเรือของสหรัฐ" มีการจัดประมูลอีกสองครั้ง (ใน ค.ศ. 1976 และ 1978) ภายใต้เงื่อนไขใหม่และด้วยราคาเปิดประมูลใหม่ที่ต่ำลงเหลือ 5 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับการประมูลครั้งก่อน ๆ ไม่มีข้อเสนอการประมูลใด ๆ ที่มาพร้อมกับเงินมัดจำร้อยละ 10 ดังนั้นจึงไม่มีการขายเกิดขึ้น[46]

    ผู้ซื้อเรือในที่สุดคือบริษัทยูไนเต็ดสเตตส์ครูซไลน์ (United States Cruise Lines) นำโดยริชาร์ด แฮดลีย์ ได้ทำข้อตกลงกับ MARAD เพื่อซื้อเรือในเดือนกันยายน ค.ศ. 1978 โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการประมูลตามปกติ อีกฝ่ายที่สนใจคือบริษัทซีคอนเทนเนอส์ (Sea Containers) โกรธเคืองต่อสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นการขายเรือแบบลับ ๆ และได้ยื่นเรื่องร้องเรียน ใน ค.ศ. 1979 GAO ตัดสินว่าข้อร้องเรียนของซีคอนเทนเนอส์ไม่มีมูลความจริงและการขายให้กับแฮดลีย์ได้ดำเนินการต่อไป[47]

    เรือพยาบาล (คริสต์ทศวรรษ 1970)

    [แก้]

    ภายในคริสต์ทศวรรษ 1970 กองทัพเรือสหรัฐได้ปลดประจำการเรือพยาบาลทั้งหมดของตน ใน ค.ศ. 1983 มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการดัดแปลงยูไนเต็ดสเตต์ส์ที่จอดเทียบท่าอยู่ เนื่องจากขนาดและความเร็วของเธอจะทำให้สามารถส่งไปรับมือวิกฤตทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้ชื่อยูเอสเอ็นเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (USNS United States) มีการวางแผนว่าเธอจะมีความจุประมาณ 1,600 เตียง ติดตั้งลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ท้ายเรือ ดาดฟ้าเติมเสบียงแนวตั้งที่หัวเรือ และปรับปรุงภายในเรือที่จะรวมถึงห้องผ่าตัดมากถึง 23 ห้องและห้องเฉพาะทางครบชุดเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่บนบก แผนนี้นำโดยกระทรวงกลาโหมและเรือจะถูกวางประจำการในมหาสมุทรอินเดีย กองทัพเรือเชื่อว่าแผนดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและทำจริงไม่ได้ จึงเลือกจะไม่ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้[40]: 194–196 

    การรื้อถอนและการเสื่อมสภาพ (ค.ศ. 1980–1996)

    [แก้]

    ใน ค.ศ. 1980 ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกขายในราคา 7 ล้านดอลลาร์ให้กับกลุ่มที่นำโดยริชาร์ด เอช. แฮดลีย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากซีแอตเทิล ผู้ซึ่งหวังจะเปลี่ยนเรือให้เป็นคอนโดมิเนียมลอยน้ำ ภายใต้การเป็นเจ้าของของแฮดลีย์ เรือถูกละเลยจนภายในเรือผุกร่อนและเต็มไปด้วยสนิม[3]: 363  ใน ค.ศ. 1984 อุปกรณ์แตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ของเรือที่เก็บไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1969 ถูกนำออกประมูลขายในนอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อชำระหนี้[48]

    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ ในแฮมป์ตันโรดส์ (ค.ศ. 1989)

    วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1989 ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกลากข้ามแฮมป์ตันโรดส์ไปยังท่าน้ำถ่านหินซีเอสเอกซ์ในนิวพอร์ตนิวส์[49] แผนการล่องเรือแบบไทม์แชร์ของแฮดลีย์ล้มเหลวทางการเงิน และเรือซึ่งถูกยึดโดยกรมมาร์แชลสหรัฐได้ถูกนำออกประมูลโดยสำนักบริหารการเดินเรือสหรัฐในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1992

    มาร์มารา มารีน อิงก์ (ค.ศ. 1992–1996)

    [แก้]

    คาห์รามาน ซาดือโกกลู นักธุรกิจชาวตุรกีผู้ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของบริษัท มาร์มารา มารีน อิงก์ (Marmara Marine Inc.) สนใจซื้อเรือลำนี้ เขาเห็นเธอครั้งแรกเมื่อเพื่อนของเขาบอกเขาว่าเธอกำลังจะถูกประมูล แต่หลังการประมูลครั้งแรกถูกยกเลิก เขาก็กลับบ้านมือเปล่า เขาไปร่วมการประมูลครั้งที่สองในอีก 2 เดือนต่อมา และเขาก็หมดความสนใจหลังมันถูกยกเลิกอีกครั้ง ขณะอยู่ในนิวยอร์ก เขาได้รับแจ้งว่ามีการประมูลครั้งที่สามเกิดขึ้นและข้อเสนอเดิมของเขาจำนวน 2.6 ล้านดอลลาร์ได้รับการยอมรับ[50]

    เมื่อทูร์กุท เออซัล ประธานาธิบดีตุรกีทราบข่าว จึงได้เชิญซาดือโกกลูไปร่วมประชุมธุรกิจที่โรงแรมอาเตนี ในการประชุม เขาบรรยายสถานการณ์ว่า "คืนนี้มีนักธุรกิจชาวตุรกีอยู่กับเราด้วย เขาซื้อเรือซาวาโรนาที่กำลังจะถูกนำไปแยกชิ้นส่วนและทำให้มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง และตอนนี้เขาได้ซื้อเรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ เรือเดินสมุทรในตำนานลำนี้จะกลับมาโลดแล่นในทะเลอีกครั้ง"[51]

    เช้าวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1992 เรือถูกนำออกจากนิวพอร์ตนิวส์อย่างช้า ๆ และเริ่มออกเดินทางไปยังประเทศตุรกี โดยเดินทางถึงในอีก 35 วันต่อมา ซาดือโกกลูแลเออซัลให้การต้อนรับเรือจากเอ็มวี ซาวาโรนา (MV Savarona) ขณะที่เรือแล่นผ่านช่องแคบดาร์ดะเนลส์เพื่อเข้ารับการปรับปรุงที่อู่ต่อเรือในทุซลา อิสตันบูล[50][52][53]

    ทันทีที่มาถึง สมาชิกของกรีนพีซและสื่อมวลชนได้ออกมาประท้วงเรือเนื่องจากวัสดุบุภายในเรือเป็นใยหิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง หลังการถกเถียงกัน ก็เป็นที่ตกลงกันว่าเรือจะได้รับการกำจัดแร่ใยหินในยูเครนเป็นที่แรก วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1993 เธอถูกลากไปยังเซวาสโทพอล ประเทศยูเครน และเดินทางถึงในวันที่ 1 พฤศจิกายน การประท้วงอย่างต่อเนื่องจากกรีนพีซและเรนโบว์วอร์ริเออร์ (Rainbow Warrior) เรือธงของพวกเขาดำเนินต่อไปขณะที่ทีมงาน 200 คนทำงานเพื่อรื้อภายในเรือจนถึงผนังกั้นห้อง ภายในเรือหลายร้อยตันถูกขนถ่ายลงบนท่าเรือและถูกนำไปแยกชิ้นส่วน เธอถูกลากกลับไปยังตุรกีหลังการกำจัดแร่ใยหินออกไปทั้งหมด ณ ตอนนี้ มาร์มารา มารีน อิงก์ ใช้เงินจำนวนมากไปกับปัญหาแร่ใยหินของเรือจนต้องขายชิ้นส่วนของเรือ เช่น เรือชูชีพ เพื่อจ่ายเงินให้กับอู่ต่อเรือ[51] งานเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1996 แต่บริษัทไม่มีเงินเหลือ เธอถูกลากกลับสหรัฐใน ค.ศ. 1996 และถูกยึดโดยกรมมาร์แชลสหรัฐและนำออกประมูลเนื่องจากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้[54]

    เทียบท่าในฟิลาเดลเฟีย (ค.ศ. 1996–2025)

    [แก้]

    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกยึดโดยกรมมาร์แชลสหรัฐเนื่องจากเจ้าของบริษัทเดิมไม่สามารถชำระหนี้ได้ เธอถูกลากกลับสหรัฐใน ค.ศ. 1996 และถูกนำออกประมูล[54]

    เอ็ดเวิร์ด แคนเตอร์

    [แก้]

    ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1997 เอ็ดเวิร์ด แคนเตอร์ ซื้อเรือยูไนเต็ดสเตตส์ด้วยราคา 6 ล้านดอลลาร์[55] สองปีต่อมา มูลนิธิเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ และสมาคมอนุรักษ์เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ อิงก์ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นองค์การอนุรักษ์เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์) ประสบความสำเร็จในการนำเรือลำดังกล่าวขึ้นทะเบียนในทะเบียนสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ[8]

    นอร์วีเจียนครูซไลน์ (ค.ศ. 2003–2009)

    [แก้]

    ใน ค.ศ. 2003 บริษัทนอร์วีเจียนครูซไลน์ (NCL) ได้ซื้อเรือลำนี้ในการประมูลจากกองมรดกของแคนเตอร์หลังจากที่เขาเสียชีวิต NCL ตั้งใจจะนำเรือกลับมาให้บริการสำหรับเอ็นซีแอลอเมริกา (NCL America) บริการเรือโดยสารไปยังฮาวายที่เพิ่งประกาศใหม่โดยใช้เรือที่จดทะเบียนในสหรัฐ ยูไนเต็ดสเตตส์เป็นหนึ่งในเรือเพียงไม่กี่ลำที่เหมาะสมสำหรับบริการดังกล่าวเนื่องจากรัฐบัญญัติบริการผู้โดยสาร ซึ่งกำหนดให้เรือลำใดก็ตามที่ให้บริการการค้าภายในประเทศต้องสร้างและชักธงในสหรัฐและดำเนินการโดยลูกเรือที่เป็นชาวอเมริกันเป็นส่วนใหญ่[56] ในช่วงปลาย ค.ศ. 2003 NCL เริ่มดำเนินการตรวจสอบทางเทคนิคอย่างละเอียดซึ่งพบว่าเรืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ และจัดทำรายการพิมพ์เขียวของเรือกว่า 100 กล่อง[57] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 NCL เริ่มต้นการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการปรับปรุงเรือ และใน ค.ศ. 2006 ตันสรี หลิน กั๋วไท่ เจ้าของบริษัท ได้กล่าวว่าเรือยูไนเต็ดสเตตส์จะได้รับการปรับปรุงใหม่[58]

    ใน ค.ศ. 2009 NCL เปลี่ยนแปลงแผนการสำหรับยูไนเต็ดสเตตส์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 800,000 ดอลลาร์ต่อปีในการรักษาให้ดำเนินงานต่อไปและถูกยกเลิกเมื่อไพรด์ออฟอเมริกา (Pride of America), ไพรด์ออฟอโลฮา (Pride of Aloha) และไพรด์ออฟฮาวาย (Pride of Hawaii) เริ่มให้บริการภายใต้เอ็นซีแอลอเมริกา บริษัทเริ่มเปิดให้ยื่นประมูลสำหรับการแยกชิ้นส่วนเรือยูไนเต็ดสเตตส์[59][60][61]

    องค์การอนุรักษ์เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (ค.ศ. 2011–2024)

    [แก้]

    ใน ค.ศ. 2009 องค์การอนุรักษ์เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ (SS United States Conservancy) ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยกอบกู้เรือลำนี้โดยการระดมทุนเพื่อซื้อเธอ[62] วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 เอช.เอฟ. เลนเฟสต์ ผู้ประกอบการด้านสื่อและนักการกุศลจากฟิลาเดลเฟีย ให้คำมั่นสัญญาในการมอบเงินสมทบจำนวน 300,000 ดอลลาร์เพื่อช่วยให้องค์การอนุรักษ์สามารถซื้อเรือลำนี้จากบริษัทแม่ของ NCL ได้[63] ขณะที่เลนเฟสต์ อดีตกัปตันกองทัพเรือสหรัฐ มองว่าโครงการนี้ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่เขาก็เห็นใจเรือลำนี้เนื่องจากพ่อของเขาเป็นหนึ่งในนาวาสถาปนิกที่ช่วยสร้างมัน[3]: 374  บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ให้การสนับสนุนความพยายามในการอนุรักษ์เรือลำนี้เช่นกัน โดยเขาเคยโดยสารเรือลำนี้ใน ค.ศ. 1968[64][65]

    ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 องค์การอนุรักษ์ได้ประกาศแผนพัฒนา "โครงการริมน้ำอเนกประสงค์" ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม ร้านอาหาร และกาสิโนริมแม่น้ำเดลาแวร์ในเซาท์ฟิลาเดลเฟีย ณ สถานที่ที่เสนอไว้สำหรับโครงการฟ็อกซ์วูดส์กาสิโนที่หยุดชะงักไป ในเดือนธันวาคมปีนั้น การศึกษาโดยละเอียดของสถานที่ถูกเปิดเผยพร้อมกับแผนการที่ฮาร์ราส์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (Harrah's Entertainment) จะเข้ามารับช่วงต่อโครงการ ข้อตกลงล้มเหลวในเดือนต่อมาเมื่อคณะกรรมการควบคุมการพนันรัฐเพนซิลเวเนียลงมติเพิกถอนใบอนุญาตของกาสิโน[66]

    An ocean liner in a dockyard.
    ยูไนเต็ดสเตตส์ใน ค.ศ. 2012

    องค์การอนุรักษ์ซื้อยูไนเต็ดสเตทส์จาก NCL ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ด้วยราคาที่รายงานว่า 3 ล้านดอลลาร์โดยได้รับการช่วยเหลือจากเลนเฟสต์[67] กลุ่มมีเงินทุนเพียงพอสำหรับ 20 เดือนที่จะถูกนำไปใช้ในการฟื้นฟูสภาพเรือและวางแผนทำให้เรือสามารถพึ่งพาตนเองทางการเงินได้ อาจเป็นในรูปแบบโรงแรมหรือโครงการพัฒนาอื่น ๆ[68][69] แดน แมกสวีนีย์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์การอนุรักษ์ กล่าวว่าสถานที่ที่เป็นไปได้สำหรับเรือนั้นรวมถึงฟิลาเดลเฟีย นครนิวยอร์ก และไมแอมี[68][70]

    วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 องค์การอนุรักษ์ได้รับกรรมสิทธิ์ในยูไนเต็ดสเตตส์[71][72] การพูดคุยเกี่ยวกับสถานที่สำหรับเรือนั้นกินเวลานานหลายเดือน ในนครนิวยอร์ก การเจรจากับผู้พัฒนาเกี่ยวกับเรือที่จะเป็นส่วนหนึ่งของวิชัน 2020 (Vision 2020) การพัฒนาพื้นที่ริมน้ำมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ กำลังดำเนินอยู่ ในไมแอมี รัฐฟลอริดา บริษัทโอเชียนกรุปอินเตอร์เนชั่นแนล (Ocean Group International) สนใจนำเรือไปจอดในท่าเรือทางด้านเหนือของอเมริกันแอร์ไลน์สอารีนา[73] ด้วยเงินบริจาคเพิ่มเติม 5.8 ล้านดอลลาร์จากเลนเฟสต์ องค์การอนุรักษ์มีเวลาประมาณ 18 เดือนนับจากเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ในการเปลี่ยนยูไนเต็ดสเตตส์ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสาธารณะ[73] วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2011 องค์การอนุรักษ์ประกาศหลังทำการศึกษาหลายครั้งว่า ฟิลาเดลเฟีย "ไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลหลายประการ" การพูดคุยเพื่อนำเรือมาไว้ที่นิวยอร์ก ท่าเรือต้นทางเดิมของเธอ เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบอยู่กับที่นั้นกำลังดำเนินอยู่[74]

    ชานพักบันไดบนเรือหลังเรือปลดระวางไม่นาน
    ชานพักบันไดที่คล้ายกัน (หรือเหมือนกัน) ใน ค.ศ. 2024 หลังภายในถูกรื้อออก

    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 งานบูรณะเบื้องต้นเพื่อเตรียมเรือสำหรับการบูรณะใหม่ทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้น แม้จะยังไม่มีการลงนามในสัญญา[75] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 องค์การอนุรักษ์เปิดตัวแคมเปญออนไลน์ใหม่ชื่อ "Save the United States" (ช่วยเรือยูไนเต็ดสเตตส์); โดยใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และการระดมทุนย่อยที่เปิดโอกาสให้ผู้บริจาคสามารถสนับสนุนพื้นที่เป็นตารางนิ้วของเรือเสมือนจริงเพื่อการปรับปรุงใหม่พร้อมทั้งสามารถอัปโหลดภาพถ่ายและเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขากับเรือ องค์การอนุรักษ์ประกาศว่าผู้บริจาคให้กับเรือเสมือนจริงจะได้รับการนำเสนอใน "กำแพงเกียรติยศ" แบบอินเตอร์แอคทีฟบนพิพิธภัณฑ์เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ในอนาคต[76][77]

    ผู้พัฒนาที่จะนำยูไนเต็ดสเตตส์เข้าไปในเมืองที่ถูกเลือกภายใน ค.ศ. 2013 จะได้รับการคัดเลือกภายในสิ้น ค.ศ. 2012[78] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เรือได้รับการปรับปรุง "ใต้ดาดฟ้า" เป็นเวลาหลายเดือนเพื่อทำให้เรือน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักพัฒนาในฐานะสถานที่ท่องเที่ยว องค์การอนุรักษ์ได้รับคำเตือนว่าเรืออาจถูกแยกชิ้นส่วนหากแผนการของพวกเขาไม่ได้รับการดำเนินอย่างรวดเร็ว[79] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 ชิ้นส่วนเก่าของเรือถูกขายเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าบำรุงรักษาเดือนละ 80,000 ดอลลาร์ มีการระดมทุนได้มากพอจะสนับสนุนเรือต่อไปอีกหกเดือนโดยมีความหวังว่าจะพบใครสักคนที่มุ่งมั่นกับโครงการนี้ โดยที่นครนิวยอร์กยังคงเป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด[80]

    ในเดือนสิงหาคม เรือยังคงจอดอยู่ในฟิลาเดลเฟียและค่าเช่าอยู่ที่ 60,000 ดอลลาร์ต่อเดือน มีการประมาณการว่าต้องใช้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อนำยูไนเต็ดสเตตส์กลับมาให้บริการ แม้การประมาณใน ค.ศ. 2016 สำหรับการบูรณะเพื่อกลับมาเป็นเรือสำราญหรู จะระบุค่าใช้จ่ายสูงสุดไว้ที่ 700 ล้านดอลลาร์[81][82] วันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2014 มีความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะให้เรือแล่นไปยังนครนิวยอร์ก นักพัฒนาที่สนใจปรับปรุงเรือลำนี้ให้เป็นปลายทางริมน้ำที่สำคัญได้ประกาศเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว องค์การอนุรักษ์มีเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ในการตัดสินใจว่าจะขายเรือเพื่อนำไปแยกชิ้นส่วนหรือไม่[83] วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ 2024 มีการประกาศข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนายูไนเต็ดสเตตส์ ในข้อตกลงนั้นระบุว่าจะให้เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเวลาสามเดือน โดยจะมีการเปิดเผยกำหนดเวลาและรายละเอียดเพิ่มเติมใน ค.ศ. 2015[84][85] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 องค์การอนุรักษ์ได้รับเงินอีก 250,000 ดอลลาร์เพื่อวางแผนสร้างพิพิธภัณฑ์บนเรือจากผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม[86]

    ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 ขณะที่กลุ่มเริ่มใช้เงินทุนจนหมด องค์การอนุรักษ์ได้สำรวจข้อเสนอที่เป็นไปได้ในการแยกชิ้นส่วนเรือยูไนเต็ดสเตตส์ ความพยายามนำเรือกลับมาใช้ประโยชน์ต่อยังคงดำเนินต่อไป โดยแนวคิดในการนำกลับมาใช้ใหม่นั้นรวมถึงโรงแรม ร้านอาหาร และพื้นที่สำนักงาน แนวคิดหนึ่งคือการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ในชั้นล่างและเชื่อมเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นกับธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ในพื้นที่สำนักงานบนชั้นบน ไม่มีการประกาศแผนการที่ชัดเจนหรือแน่นอน องค์การอนุรักษ์กล่าวว่าหากไม่มีความคืบหน้าภายในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2015 พวกเขาจะถูกบังคับขายเรือให้กับ "ผู้รีไซเคิลที่รับผิดชอบ"[87] เมื่อถึงกำหนดเส้นตาย มีการประกาศว่าได้ระดมทุนได้ 100,000 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 ช่วยให้เรือพ้นจากอันตรายในทันที ภายในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ 2015 มีรายงานว่าได้รับเงินบริจาคกว่า 600,000 ดอลลาร์เพื่อการดูแลและบำรุงรักษา ซึ่งให้เงินทุนตลอด ค.ศ. 2016 สำหรับองค์การอนุรักษ์เพื่อดำเนินแผนพัฒนาเรือต่อไป[88]

    คริสตัลครูเซส (ค.ศ. 2016–2018)

    [แก้]

    วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 บริษัทคริสตัลครูเซส (Crystal Cruises) ประกาศว่าได้ลงนามในสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขเพื่อพัฒนาเรือยูไนเต็ดสเตทส์ใหม่ บริษัทจ่ายค่าจอดเรือเป็นเวลาเก้าเดือนขณะทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเรือกลับมาให้บริการเป็นเรือสำราญโดยมีฐานอยู่ที่นครนิวยอร์ก[89][90] วันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2016 มีการประกาศว่าโบราณวัตถุ 600 ชิ้นจากยูไนเต็ดสเตตส์จะถูกส่งคืนให้กับเรือ โดยมาจากพิพิธภัณฑ์มารีเนอส์และผู้บริจาครายอื่น ๆ[91]

    เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ เทียบท่าที่ท่าน้ำ 82 ในโคลัมบัสบูเลอวาร์ด ฟิลาเดลเฟีย เมื่อ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2017

    วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2016 แผนดังกล่าวถูกยกเลิก คริสตัลครูเซสอ้างถึงความท้าทายทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ของโครงการ และบริจาคเงิน 350,000 ดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมการอนุรักษ์จนถึงสิ้นปี[92][93][94] องค์การอนุรักษ์ยังคงได้รับเงินบริจาคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเงินบริจาคจำนวน 150,000 ดอลลาร์จากจิม พอลลิน ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเรือสำราญ[95] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 องค์การอนุรักษ์ยื่นคำร้องต่อดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อขอให้เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหา[96] ในกรณีที่องค์การฯ เงินหมด พวกเขาวางแผนทางเลือกสำหรับเรือไว้แล้ว รวมถึงการจมเรือให้เป็นแนวปะการังเทียมแทนที่จะนำเรือไปแยกชิ้นส่วน[95]

    วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2018 องค์การอนุรักษ์ปรึกษาหารือกับแคสเปอร์ แวน ฮูเรน และบริษัท ดาเมน ชิปรีแพร์ แอนด์คอนเวอร์ชัน (Damen Ship Repair & Conversion) เกี่ยวกับการพัฒนาเรือยูไนเต็ดสเตตส์ใหม่ แวน ฮูเรนได้ดัดแปลงอดีตเรือเดินสมุทรและเรือสำราญ เอ็สเอ็ส รอตเทอร์ดาม (SS Rotterdam) ที่ปลดระวางแล้วให้กลายเป็นโรงแรมและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน[97]

    อาร์เอกซ์อาร์เรียลตี (ค.ศ. 2018-2024)

    [แก้]

    วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2018 องค์การอนุรักษ์ประกาศข้อตกลงกับบริษัทอาร์เอกซ์อาร์เรียลตี (RXR Realty) บริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เพื่อสำรวจทางเลือกสำหรับการบูรณะและพัฒนาเรือยูไนเต็ดสเตตส์[98] องค์การอนุรักษ์กำหนดให้แผนบูรณะและพัฒนาใด ๆ ต้องรักษารูปทรงและการออกแบบภายนอกของเรือ และรวมถึงพื้นที่ประมาณ 25,000 ตารางฟุต (2,300 ตารางเมตร) สำหรับพิพิธภัณฑ์บนเรือ[97] ข่าวประชาสัมพันธ์ของอาร์เอกซ์อาร์เกี่ยวกับยูไนเต็ดสเตตส์ระบุว่าจะมีการพิจารณาหลายสถานที่ ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของแผนบูรณะ[98][99]

    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 อาร์เอกซ์อาร์เรียลตี ประกาศแผนการปรับปรุงเรือให้เป็น "พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและวัฒนธรรม" ขนาด 600,000 ตารางฟุต (56,000 ตารางเมตร) ที่จอดเทียบท่าถาวร และขอแสดงความสนใจจากเมืองชายฝั่งทะเลสำคัญของสหรัฐ รวมถึงบอสตัน นิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย ไมแอมี ซีแอตเทิล ซานฟรานซิสโก ลอสแอนเจลิส และแซนดีเอโก[100]

    ใน ค.ศ. 2023 อาร์เอกซ์อาร์เรียลตีและเอ็มซีอาร์โฮเทลส์ (MCR Hotels) เปิดเผยแผนพัฒนาเรือใหม่ที่มีรายละเอียดมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนเรือให้เป็นโรงแรมขนาด 1,000 ห้อง พิพิธภัณฑ์ สถานที่จัดงาน สวนสาธารณะ และร้านอาหาร นครนิวยอร์กถูกเลือกให้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเรือเนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วและศูนย์การประชุมจาวิตส์ที่อยู่ใกล้เคียง และเรือจะถูกจอดเทียบท่าในอุดมคติที่ท่าเรือที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษตามแนวแม่น้ำฮัดสัน[101] เอกสารแผนปี ค.ศ. 2023 ยังรวมถึงภาพจำลองหลายภาพของยูไนเต็ดสเตตส์ที่ได้รับการออกแบบใหม่โดยแสดงให้เห็นเรือจอดเทียบท่าตามแนวฝั่งตะวันตกของแมนแฮตตันที่ท่าเรือสาธารณะในสวนฮัดสันริเวอร์ ปล่องไฟต้นหนึ่งของเรือ ที่ถูกตัดส่วนบนออกจนเห็นท้องฟ้า จะถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบโรงแรม ปล่องไฟจะถูกใช้เป็นช่องรับแสงธรรมชาติ โดยส่องแสงให้กับโรงแรมและพื้นที่จัดงาน แผนดังกล่าวยังรวมถึงห้องพักโรงแรมที่ติดตั้งไว้บนเดวิตเรือชูชีพ สระว่ายน้ำตรงกลางระหว่างปล่องไฟ และห้องบอลรูมท้ายเรือที่ผสมผสานระหว่างภายในและภายนอก[101]

    ท่าน้ำ 82 ไล่ที่ (ค.ศ. 2021–2024)

    [แก้]

    ท่าน้ำ 82 ของฟิลาเดลเฟีย ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือ เป็นเจ้าของโดยบริษัทเพนน์แวร์เฮาซิง (Penn Warehousing) ซึ่งใน ค.ศ. 2021 ได้เพิ่มค่าเช่าของเรือจาก 850 ดอลลาร์เป็น 1,700 ดอลลาร์ต่อวัน เรียกร้องค่าเช่าค้างชำระ 160,000 ดอลลาร์ และยกเลิกสัญญากับองค์การอนุรักษ์ บริษัทระบุว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเพราะยูไนเต็ดสเตตส์ค่อย ๆ สร้างความเสียหายให้กับท่าน้ำและองค์การอนุรักษ์ปฏิเสธจะปฏิบัติตามข้อตกลงเดิมที่ครอบคลุมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น[102][103] องค์การอนุรักษ์ตอบกลับโดยระบุว่าการขึ้นค่าเช่าเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้ใน ค.ศ. 2011 และปฏิเสธการจ่าย พวกเขากล่าวว่าบริษัทต้องการขับไล่เรืออย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ท่าน้ำสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมที่ทำกำไรได้มากกว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้องค์การอนุรักษ์และเพนน์แวร์เฮาซิงฟ้องร้องกัน[103]

    การพิจารณาคดีแพ่งเกิดขึ้นในศาลกลางระหว่างวันที่ 17–18 มกราคม ค.ศ. 2024 ผู้พิพากษาแอนิตา โบรดี ออกคำพิพากษาถึงที่สุดในวันที่ 14 มิถุนายน[104] โบรดีปฏิเสธข้อเรียกร้องทางการเงินของเพนน์แวร์เฮาซิงแต่พบว่าเนื่องจากข้อตกลงการจอดเรือ ค.ศ. 2011 มีระยะเวลาไม่แน่นอน จึงสามารถยกเลิกได้ตามความประสงค์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้าตามสมควร โบรดีสั่งให้ย้ายยูไนเต็ดสเตตส์ออกไปภายใน 90 วัน (นับถึงวันที่ 12 กันยายน)[104] ด้วยกำหนดเส้นตายที่กระชั้นชิดเช่นนี้ องค์การอนุรักษ์จึงไม่แน่ใจว่าจะย้ายเรืออย่างไรหรือไปที่ไหน[105][106][107] หกวันต่อมา องค์การอนุรักษ์เริ่มการรณรงค์ขอรับบริจาคครั้งใหม่และขอเงิน 500,000 ดอลลาร์เพื่อช่วยย้ายเรือ[108] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2024 องค์การอนุรักษ์ระบุว่านอกเหนือจากการสำรวจที่จำเป็น เรือลากจูง ประกันภัย และการเตรียมการอื่น ๆ แล้ว ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก ค.ศ. 2024 ยังทำให้ความพยายามในการย้ายเรือก่อนกำหนดเวลาซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยความลำบากหลักคือการหาท่าเรือที่เต็มใจรับเรือ[105][109]

    วันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2024 วันที่ยูไนเต็ดสเตตส์ถูกสั่งให้ย้ายออก องค์การอนุรักษ์กล่าวหาเพนน์แวร์เฮาซิง เจ้าของที่ดินว่าวางแผนจะขายเรืออย่างผิดกฎหมาย องค์การอนุรักษ์กล่าวหาว่าบริษัทได้ขัดขวางข้อตกลงเบื้องต้น จากนั้นวางแผนจะยึดเรือและขายเพื่อเอากำไร จึงเป็นการขู่กรรโชกองค์การไม่แสวงกำไรและผู้ซื้อให้สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์ องคฺการอนุรักษ์นำเรื่องนี้กลับไปสู่ศาลและเรียกร้องให้ขยายเวลาในหมายไล่ที่[110]

    ในศาล กำหนดเส้นตายการไล่ที่ถูกระงับชั่วคราว บริษัทแก้ต่างให้ตัวเอง โดยกล่าวว่าได้เพิ่มเงิน 3 ล้านดอลลาร์เข้าไปในราคาขายของยูไนเต็ดสเตตส์เนื่องจากเธอไม่ได้ออกจากท่าจอดเรือก่อนกำหนดเส้นตาย ความผิดถูกโยนไปที่ผู้ซื้อที่ไม่ตอบกลับบริษัท ทำให้การขายเรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของศาลในขณะนี้ บริษัทกล่าวว่าต้องการย้ายเรือออกเพื่อให้ท่าน้ำสามารถนำไปใช้สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นได้[111]

    ภาพใน ค.ศ. 2024

    [แก้]

    ปะการังเทียม (ค.ศ. 2024–ปัจจุบัน)

    [แก้]
    ป้ายที่แสดงความเศร้าเสียใจต่อการจากไปที่ใกล้เข้ามาของเรือเมื่อ ค.ศ. 2024

    เทศมณฑลโอคาลูซา รัฐฟลอริดา

    [แก้]

    วันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2024 เทศมณฑลโอคาลูซา รัฐฟลอริดา ประกาศแผนการซื้อเรือยูไนเต็ดสเตตส์และจมเธอให้เป็นปะการังเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนอกหาดเดสติน-ฟอร์ตวอลตันด้วยงบประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ เทศมณฑลได้ระบุสถานที่ชายฝั่งหลายแห่ง โดยหวังว่าการท่องเที่ยวและการดำน้ำสำรวจจะนำรายได้มาเพื่อจ่ายค่าโครงการ ก่อนหน้านี้เทศมณฑลได้จมเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ออริสกานี (USS Oriskany) ตามแผนที่คล้ายคลึงกัน โดยเชื่อว่าเรือทั้งสองลำเมื่ออยู่ด้วยกันจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้[112] ในวันเดียวกันนั้น องค์การอนุรักษ์กล่าวว่าข้อตกลงกับเทศมณฑลโอคาลูซาเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขและจะดำเนินการก็ต่อเมื่อองค์การอนุรักษ์ไม่มีทางเลือกอื่นในการทำให้เรือลอยอยู่ได้เท่านั้น มันจะถูกนำมาบังคับใช้ในกรณีไม่พบทางเลือกอื่นก่อนเส้นตายการไล่ที่[113]

    ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2024 เทศมณฑลโอคาลูซาซื้อเรือในราคา 1 ล้านดอลลาร์ ทางเทศมณฑลประเมินว่าโครงการนี้จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือนและงบประมาณ 10 ล้านดอลลาร์หลังศาลอนุมัติ เพื่อเตรียมเรือให้ถูกจมเพื่อเป็นปะการังเทียม เธอจะต้องถูกย้ายไปยังโมบีล รัฐแอละแบมาก่อน เพื่อเตรียมการจมเรือ จากนั้นจึงเดินทางมายังเดสติน-ฟอร์ตวอลตันบีช รัฐฟลอริดาในขั้นสุดท้าย[114]

    เงินลงทุนส่วนหนึ่งในโครงการจะถูกนำไปใช้สร้างพิพิธภัณฑ์บนบก ประกอบด้วยสิ่งของหลายชิ้นจากเรือและพื้นที่บนเรือที่จำลองขึ้นใหม่ สิ่งเหล่านี้จะรวมถึงเสาเรดาร์ของเธอ และปล่องไฟอย่างน้อยหนึ่งต้น[115][116]

    เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ กลุ่มใหม่นามว่า "กลุ่มพันธมิตรแห่งนิวยอร์กเพื่อช่วยเรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์" กำลังพยายามช่วยเรือจากการถูกจม[117]

    การย้ายไปยังโมบีล รัฐแอละแบมา

    [แก้]
    ยูไนเต็ดสเตตส์กำลังถูกนำออกจากท่าน้ำ 80 เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025

    ก่อนจะมีการเคลื่อนย้ายเรือเกิดขึ้น จำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ตรวจพบโดยหน่วยยามฝั่งสหรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2024 เสียก่อน[118] การย้ายที่ประกาศไว้ว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ถูกยกเลิกในภายหลัง การยกเลิกครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากข้อมูลที่หน่วยยามฝั่งร้องขอซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายเรือระหว่างท่าน้ำ 82 และ 80 ก่อนออกเดินทาง[119] เรือถูกย้ายระหว่างท่าน้ำสำเร็จในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025[120]

    การเคลื่อนย้ายอีกครั้งที่กำหนดไว้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ถูกยกเลิกเช่นกัน เนื่องจากสภาพอากาศย่ำแย่[121] วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 โฆษกของเทศมณฑลโอคาโลอูซาประกาศว่าการเดินทางออกจากฟิลาเดลเฟียของเรือโดยสารชื่อดังนี้จะถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ "หลังการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและด้วยความระมัดระวัง การออกเดินทางของเรือเอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ จากฟิลาเดลเฟียได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 เนื่องจากสภาพลมแรงที่ยังคงมีอยู่ เรือลำดังกล่าวจะเริ่มเคลื่อนที่ลงใต้ตามแม่น้ำเดลาแวร์ในช่วงน้ำลง เวลา 12:51 น. เรือลากจูงจะเริ่มเข้าประจำตำแหน่งเพื่อนำเรือออกจากท่าน้ำ 80 ในช่วง 2 ถึง 3 ชั่วโมงก่อนน้ำลง" โฆษกเขียนว่า "เมื่อเรือออกเดินทาง คุณสามารถติดตามความคืบหน้าการเดินทางไปยังโมบีล รัฐแอละแบมา ได้ที่เว็บไซต์ https://www.destinfwb.com/explore/eco-tourism/ssus/"

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 เรือเริ่มออกเดินทางไปยังโมบีล รัฐแอละแบมา เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ออกจากท่าน้ำ 82 เวลาประมาณเที่ยงวันตามเวลามาตรฐานตะวันออก โดยถูกขับเคลื่อนด้วยเรือลากจูง ความสนใจของคนในท้องถิ่นและตำแหน่งที่โดดเด่นของเรือตามแนวชายฝั่งฟิลาเดลเฟียกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ปิดการจราจรบนสะพานหลักขณะเรือแล่นผ่านใต้สะพาน[122] คาดว่าเรือจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ในการเดินทางไปยังโมบีล เรือมาถึงโมบีลในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2025 เร็วกว่ากำหนดสองวัน

    ขณะอยู่ในโมบีล เรือจะผ่านกระบวนการปรับปรุงแก้ไขอย่างกว้างขวาง สิ่งของต่าง ๆ เช่น ส่วนประกอบของสะพานเดินเรือ อุปกรณ์ห้องเครื่อง สายไฟ สายเคเบิล สิ่งของหลวม พื้น เฟอร์นิเจอร์ เชื้อเพลิง สี และสารปนเปื้อนที่อาจรวมถึงใยหิน จะถูกนำออกจากเรือก่อนถูกนำไปยังฟลอริดา[123] กระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้น ค.ศ. 2025

    สิ่งของจากเรือ

    [แก้]

    งานศิลปะ

    [แก้]
    The Currents ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดขึ้นเพื่อยูไนเต็ดสเตตส์ จัดแสดงอยู่ที่สถาบันสมิธโซเนียน

    พิพิธภัณฑ์มารีเนอร์นิวพอร์ตนิวส์เก็บรักษาสิ่งของมากมายจากยูไนเต็ดสเตตส์ รวมถึง Expressions of Freedom (การแสดงออกแห่งอิสรภาพ) โดยเกว็น ลักซ์ ประติมากรรมสำหรับห้องอาหารหลักที่ทางพิพิธภัณฑ์ซื้อมาระหว่างการประมูลใน ค.ศ. 1984[48] บริษัทเรือสำราญเซเลบริตีครูเซส (Celebrity Cruises) ซื้อผลงานศิลปะที่ออกแบบโดย ชาลส์ กิลเบิร์ต รวมถึงแผงกระจกแกะสลักรูปสัตว์ทะเลจากห้องบอลรูมชั้นหนึ่ง และนำมาติดตั้งในร้านอาหารที่มีธีมแบบยูไนเต็ดสเตตส์บนเรืออินฟินิตี (Infinity)[124] ของที่ระลึกอื่น ๆ บนเรือ รวมถึงเครื่องกระเบื้องดั้งเดิมและแบบจำลองเรือ ถูกย้ายไปยังทางเข้ากาสิโนของเรือใน ค.ศ. 2015[125][126] ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อ The Current โดยเรย์มอนด์ จอห์น เวนเดลล์ จัดแสดงอยู่[127] พิพิธภัณฑ์ยังซื้อภาพจิตรกรรมฝาผนังสองชิ้นโดยฮิลเดรท เมียร์ คือ Mississippi และ Father of Waters แต่ภาพเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดแสดง[28]

    ใบจักรและอุปกรณ์ตกแต่ง

    [แก้]
    ใบจักรหนึ่งของเรือใกล้สะพานทร็อกส์เน็กในนิวยอร์ก

    ใบจักรหนึ่งจากเรือถูกตั้งไว้ที่ท่าน้ำ 76 ในนครนิวยอร์ก และอีกใบหนึ่งถูกตั้งไว้ภายนอกพิพิธภัณฑ์พาณิชยนาวีอเมริกันที่สถาบันพาณิชยนาวีสหรัฐในคิงส์พอยต์ นิวยอร์ก ใบจักรด้านกราบขวาถูกตั้งไว้ใกล้ชายฝั่งที่วิทยาลัยการเดินเรือนิวยอร์กในฟอร์ตสไคเลอร์ นิวยอร์ก ขณะที่ใบจักรด้านกราบซ้ายถูกติดตั้งไว้บนเพลาขับดั้งเดิมยาว 63 ฟุต (19 เมตร) ที่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์มารีเนอร์ในนิวพอร์ตนิวส์ เวอร์จิเนีย[128]

    ระฆังของเรือ เก็บรักษาไว้ในหอนาฬิกาของมหาวิทยาลัยคริสโตเฟอร์ นิวพอร์ต ในนิวพอร์ตนิวส์ รัฐเวอร์จิเนีย ถูกใช้เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ และถูกตีโดยนักศึกษาใหม่ที่เข้าเรียน และนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา[129]

    หนึ่งในแตรของเรือที่ตั้งโชว์อยู่หลายทศวรรษเหนือร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในรีเวียร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ถูกขายให้กับนักสะสมส่วนตัวในรัฐเท็กซัสในราคา 8,000 ดอลลาร์ใน ค.ศ. 2017[130]

    เฟอร์นิเจอร์ห้องอาหารจำนวนมากและของที่ระลึกอื่น ๆ จากยูไนเต็ดเสเตตส์ที่ถูกซื้อในการประมูล ค.ศ. 1984 ได้ถูกนำไปใช้ตกแต่งที่ร้านอาหารวินด์มิลล์พอยต์ ในแน็กส์เฮด รัฐนอร์ทแคโรไลนา หลังร้านอาหารปิดตัวลง สิ่งของต่าง ๆ ถูกบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์มารีเนอร์และมหาวิทยาลัยคริสโตเฟอร์ นิวพอร์ตใน ค.ศ. 2007[131]

    สถิติความเร็ว

    [แก้]
    โฮเวอร์สปีด เกรตบริเตน ซึ่งชนะรางวัลเฮลส์โทรฟีจากยูไนเต็ดสเตตส์

    ด้วยการทำลายสถิติความเร็วทั้งขาไปทิศตะวันออก และไปทิศตะวันตก เอสเอส ยูไนเต็ดสเตตส์ จึงได้รับบลูริบันด์ ถือเป็นการทำลายสถิติครั้งแรกของเรือที่ชักธงสหรัฐที่ได้รับรางวัลนี้นับตั้งแต่เอสเอส บอลติก (SS Baltic) ได้รับรางวัลเมื่อ 100 ปีก่อน

    ตลอดเวลา 17 ปีที่ให้บริการ ยูไนเต็ดสเตตส์รักษาความเร็วในการข้ามมหาสมุทร 30 นอต (56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 35 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยไม่มีเรือลำใดเทียบได้ เนื่องจากเรือเดินสมุทรเสื่อมความนิยมในคริสต์ทศวรรษ 1960 คนจำนวนมากจึงถือว่าบลูริบบันด์สิ้นสุดลงที่ยูไนเต็ดสเตตส์[132]

    สถิติการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทิศตะวันออกของยูไนเต็ดสเตตส์ถูกทำลายหลายครั้ง ครั้งแรกใน ค.ศ. 1986 โดยเวอร์จิน แอตแลนติก ชาเลนเจอร์ 2 (Virgin Atlantic Challenger II) และสถิติการเดินทางไปทิศตะวันตกถูกทำลายใน ค.ศ. 1990 โดยเดสทริเอโร (Destriero) แต่เรือเหล่านี้ไม่ใช่เรือเดินสมุทร รางวัลเฮลส์โทรฟีถูกเสียไปใน ค.ศ. 1990 ให้แก่โฮเวอร์สปีด เกรตบริเตน (Hoverspeed Great Britain) ซึ่งสร้างสถิติความเร็วใหม่ในการเดินทางจากไปทิศตะวันออกสำหรับเรือพาณิชย์[133]

    ในภาพยนตร์

    [แก้]

    ด้วยความหรูหราและชื่อเสียง ทำให้เธอปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องทั้งในช่วงที่ให้บริการและหลังปลดระวาง เรือเป็นจุดสำคัญของเนื้อเรื่องในภาพยนตร์อย่าง Gentlemen Prefer Blondes (1953), Gentlemen Marry Brunettes (1955) และ Bon Voyage! (1962)[134][135] เมื่อไม่นานมานี้ เธอถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำและปรากฏในภาพยนตร์แนวโลดโผนเรื่องแค้นได้ตายไม่เป็น (2013) ขณะที่จอดอยู่ในฟิลาเดลเฟีย[136] มีการสร้างสารคดีจำนวนมากเกี่ยวกับเรือ เช่น SS United States: Lady in Waiting, SS United States: Made in America, และ The SS United States: From Dream to Reality[137][138][139] เธอยังปรากฏอยู่ในฉากเปิดของภาพยนตร์เรื่อง West Side Story (1961) ด้วย[140]

    อ้างอิง

    [แก้]
    1. 1.0 1.1 Horne, George (June 24, 1951). "Biggest US Liner 'Launched' in Dock; New Superliner After Being Christened Yesterday". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2024-08-09.
    2. Cudahy, Brian J. (1997). Around Manhattan Island and Other Tales of Maritime NY. Fordham University Press. p. 51. ISBN 978-0-8232-1761-8. สืบค้นเมื่อ 2012-04-23.
    3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 3.16 3.17 3.18 Ujifusa, Steven (2012). A Man and his Ship. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-1-4516-4507-1.
    4. Weinraub, Bernard (November 15, 1969). "Liner United States Laid Up; Competition From Jets a Factor; The United States Cancels Voyages and Is Laid Up". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2024-08-09.
    5. Johnston, Louis; Williamson, Samuel H. (2022). "What Was the U.S. GDP Then?". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ February 12, 2022. United States Gross Domestic Product deflator figures follow the Measuring Worth series.
    6. "SS United States Specifications". ss-united-states.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2021. สืบค้นเมื่อ April 26, 2021.
    7. 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 7.14 7.15 7.16 7.17 7.18 Rindfleisch, James (2023). SS United States: An Operational Guide to America's Flagship. Atglen, Pennsylvania: Schiffer. ISBN 978-0-7643-6655-0.
    8. 8.0 8.1 "National Register Information System". National Register of Historic Places. National Park Service. 2007-01-23.
    9. 9.0 9.1 Pacific American Steamship Association; Shipowners Association of the Pacific Coast. Pacific marine review. San Francisco Public Library. San Francisco, Calif. : J.S. Hines.
    10. Ujifusa, Steven (2013). A Man and His Ship: America's Greatest Naval Architect and His Quest to Build the S.S. United States. Simon & Schuster. pp. 232–235, 240–241. ISBN 978-1-4516-4509-5.
    11. "H-0178-1 The Revolt of the Admirals". Naval History and Heritage Command (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 1, 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-06.
    12. Dempewolff, Richard F. (June 1952). "America Bids for the Atlantic Blue Ribbon". Popular Mechanics: 81–87, 252, 254. ISSN 0032-4558. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    13. 13.0 13.1 13.2 Maxtone-Graham, John (2014). SS United States: Red, White & Blue Ribband, Forever. Internet Archive. New York : W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-24170-9.
    14. "WATCH: The Christening of America's Greatest Ocean Liner, the SS United States". SS United States Conservancy.
    15. Mimi Sheller (2014). Aluminum Dreams: The Making of Light Modernity. MIT Press. p. 72. ISBN 978-0-262-02682-6.
    16. "How fast did it go". Nautilus. University of Michigan Naval Architecture and Marine Engineering Department. 25: 8.
    17. Horne, George (16 August 1968). "Secrets of the Liner United States". The New York Times. p. 35. สืบค้นเมื่อ 16 February 2023. The decision to unclassify the superior military qualities of the big ship revealed, among other things, that her propulsion plants developed 240,000 horsepower – nearly 100,000 horses more than the world's biggest liners – and that she could make 42 knots, or better than 48 land-miles an hour.
    18. McKesson, Chris B., บ.ก. (กุมภาพันธ์ 13, 1998). "Hull Form and Propulsor Technology for High Speed Sealift" (PDF). John J. McMullen Associates, Inc. pp. 13–14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ ธันวาคม 13, 2005. สืบค้นเมื่อ ธันวาคม 13, 2009.
    19. Kane, John R. (1978-04-01). "The Speed of the SS United States". Marine Technology and SNAME News (ภาษาอังกฤษ). 15 (2): 119–143. doi:10.5957/mt1.1978.15.2.119. ISSN 0025-3316.
    20. Braynard, Frank; Westover, Robert Hudson (2002). S.S. United States. Turner Publishing Company. p. 61. ISBN 978-1-56311-824-1.
    21. "The great lady ship decorators | S.S. American, S.S. United States sailing on the 'All American' team to Europe". united-states-lines.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 6, 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    22. "S.S. United States". digital.wolfsonian.org (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-15. สืบค้นเมื่อ 2021-05-15.
    23. Dunlap, David (9 March 2016). "Beloved Anachronisms, Times Square Mosaics of the City May Be Preserved". New York Times. สืบค้นเมื่อ 10 March 2016.
    24. "History: Design & Launch – SS United States Conservancy".
    25. 25.0 25.1 25.2 Steven Ujifusa (2013). A Man and His Ship: America's Greatest Naval Architect and His Quest to Build the S.S. United States. Simon and Schuster. p. 252. ISBN 978-1-4516-4509-5.
    26. "Steinway Baby Grand Piano from America's Flagship Now on Public Display". SS United States Conservancy. January 29, 2020.
    27. "SS United States Saved, Perhaps to Sail Once More". The Maritime Executive.
    28. 28.0 28.1 "Ocean Liners: S.S. United States: Cabin class lounge wall map – International Hildreth Meière Association Inc". www.hildrethmeiere.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    29. S.S. United States Miniature Deck Plan. United States Lines.
    30. 30.0 30.1 30.2 "A Three Class Ship – United States Lines & The Heydays of Trans-Atlantic Travel". united-states-lines.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-03-08. สืบค้นเมื่อ 2024-03-13.
    31. Driscoll, Larry (2009). "The Race for the Blue Riband". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤษภาคม 30, 2009. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 3, 2018.
    32. "Atlantic Riband for America". The Times. London. 8 July 1952. p. 6. ISSN 0140-0460. สืบค้นเมื่อ 27 April 2017 – โดยทาง The Times Digital Archive.
    33. NY Times (13 November 1952). Ship speed trophy is presented here.
    34. 34.0 34.1 "Port Hails the United States as New Speed Queen". New York Times. 16 July 1952. pp. 1, 6.
    35. "MANNING AND CREW GET RAINY GREETING; Real Shower Adds to Ticker Tape Kind in City Welcome to the Superliner's Men 5 CADETS WILT IN HEAT 150,000 Pay Tribute as Mayor Bestows Honor Medal on the United States' Skipper". The New York Times (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2024-11-21.
    36. 36.0 36.1 Driscoll, Larry (Summer 2011). "SS United States: The Last Speed Queen of the Merchant Marine". PowerShips.
    37. Miller, William H. (2022). SS United States: Ship of Power, Might, and Indecision. Stroud: Fonthill. p. 159 (online). ISBN 978-1-62545-115-6.
    38. "The Tennessean". www.tennessean.com. สืบค้นเมื่อ 2022-09-08.
    39. Colin Larkin, บ.ก. (1992). The Guinness Encyclopedia of Popular Music (First ed.). Guinness Publishing. p. xx. ISBN 0-85112-939-0.
    40. 40.00 40.01 40.02 40.03 40.04 40.05 40.06 40.07 40.08 40.09 40.10 Miller, William H. (1991). SS United States: the story of America's greatest ocean liner. Internet Archive. New York : W.W. Norton. ISBN 978-0-393-03030-3.
    41. Harrison, Michael (2012). Historic American Engineering Record SS United States HAER No. PA-647. Historic American Engineering Record. p. 12.
    42. https://totalnavy.com/ssunitedstates.htm
    43. "Times Daily". สืบค้นเมื่อ 2016-02-04.
    44. Office, U. S. Government Accountability. "B-193086, FEBRUARY 28, 1979 | U.S. GAO". www.gao.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-01-12.
    45. Office, U. S. Government Accountability. "B-193086, FEBRUARY 28, 1979 | U.S. GAO". www.gao.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-01-12.
    46. Office, U. S. Government Accountability. "B-193086, FEBRUARY 28, 1979 | U.S. GAO". www.gao.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-01-12.
    47. Office, U. S. Government Accountability. "B-193086, FEBRUARY 28, 1979 | U.S. GAO". www.gao.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-01-12.
    48. 48.0 48.1 Reif, Rita (1984-10-15). "S.S. United States Fans Buy Pieces of History at Ship Auction". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    49. Braynard, Frank; Westover, Robert Hudson (2002). S.S. United States. Turner Publishing Company. p. 165. ISBN 978-1-56311-824-1.
    50. 50.0 50.1 Öndeş, Osman (2024-12-02). "Okyanusların en yüksek süratli Son Transatlantiği "SS United States" batırılmak üzere". Denizcilik Dergisi (ภาษาตุรกี). สืบค้นเมื่อ 2025-02-19.
    51. 51.0 51.1 ÖNDEŞ, Osman (2023-06-15). "Dünya'nın Son Transatlantiği SS United States - Osman ÖNDEŞ". Deniz Bülten (ภาษาตุรกี). สืบค้นเมื่อ 2025-02-19.
    52. Online, Pilot (2017-06-04). "A transatlantic tug for the SS United States – June 1992". The Virginian-Pilot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-02-19.
    53. "Daily News - Google News Archive Search". news.google.com. สืบค้นเมื่อ 2025-02-19.
    54. 54.0 54.1 "SS UNITED STATES The Turkish Years: What Might Have Been by Shawn Dake | MaritimeMatters | Cruise ship news and ocean liner history". web.archive.org. 2013-03-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-04. สืบค้นเมื่อ 2025-02-19.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
    55. "S.S. United States, The Turkish Years 1992–1996: What Might Have Been". maritimematters.com.
    56. Deflitch, Gerard (September 28, 2003). "S.S. United States may get chance to relive glory days". Pittsburgh Tribune-Review.
    57. David Tyler (February 28, 2007). "Return of 'Big U' delayed by problems with Pride of America". professionalmariner.com. Navigator Publishing LLC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 30, 2018. สืบค้นเมื่อ October 30, 2018.
    58. "Those Three Two Stackers". Maritime Matters. พฤษภาคม 24, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 15, 2006. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 14, 2018.
    59. Niemelä, Teijo (February 11, 2009). "SS United States may be offered for sale". Cruise Business Online. Cruise Media Oy Ltd. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 13, 2012. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    60. "United States impending sale?". Maritime Matters. February 10, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 19, 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-02-11.
    61. Ujifusa, Steven B. (2010-03-03). "SS United States now in grave peril". PlanPhilly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-07. สืบค้นเมื่อ 2020-01-17.
    62. "Our History". SS United States Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2010. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    63. Moran, Robert (July 30, 2009). "Phila. philanthropist to aid purchase of iconic ship". The Philadelphia Inquirer. Philadelphia Newspapers LLC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 3, 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-07-30.
    64. "Life and Times of the SS United States". The Big U: The Story of the SS United States. ssunitedstates-film.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-11. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    65. "SS United States: America's Ship of State". SS United States Trust. July 4, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 24, 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-07-02.
    66. Wittkowski, Donald (ธันวาคม 16, 2010). "Gambling panel revokes license for proposed Foxwoods casino project in Philadelphia". The Press of Atlantic City. The Press of Atlantic City Media Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-12-17.
    67. Julie Shaw (January 29, 2016). "Is SS United States shipping out for New York?". Philly.com. สืบค้นเมื่อ March 12, 2018.
    68. 68.0 68.1 Pesta, Jesse (July 1, 2010). "Famed Liner Steers Clear of Scrapyard". Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2010-07-02. (ต้องรับบริการ)
    69. Cox, Martin (June 30, 2010). "Preservationists Perched To Buy SS United States". Maritime Matters. สืบค้นเมื่อ 2010-07-02.
    70. "Powersips". Steamship Historical Society of America. Fall 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 28, 2010. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    71. Griffin, John (February 1, 2011). "Save Our Ship: Passionate Preservationists Buy a National Treasure". ABC News. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    72. "Video of February 1 Title Transfer Event". SS United States Conservancy. February 9, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 11, 2012. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    73. 73.0 73.1 Knego, Peter (March 16, 2011). "SS United States Latest". Maritime Matters. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    74. "An Update From Conservancy Executive Director Dan McSweeney". SS United States Conservancy. August 5, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 2, 2011. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    75. "Work Begins to Prepare the SS United States for Future Redevelopment". SS United States Conservancy. February 7, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 11, 2012. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    76. "New Online Campaign Launches to Save the United States" (Press release). SS United States Conservancy. กรกฎาคม 11, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 16, 2012. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 17, 2012.
    77. "Save the United States". SS United States Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-19. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    78. "SS United States To be "Repurposed"". Cruise Industry News. April 5, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-09. สืบค้นเมื่อ 2012-09-22.
    79. "SS United States is being prepared for a new life". Associated Press. November 28, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 1, 2013. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    80. "Will the SS United States find new life in 2014?". philly.com. January 6, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 10, 2014. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    81. "America's flagship: Admirers of SS United States send an S.O.S." america.aljazeera.com. August 12, 2014. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
    82. "The World's Fastest Ocean Liner May Be Restored to Sail Again". National Geographic News. 2016-02-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 9, 2016. สืบค้นเมื่อ 2016-07-10.
    83. Backwell, George (September 4, 2014). "SS United States Supporters Push for NY Return". Marine Link. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
    84. "Encouraging New SS United States Developments". maritimematters.com. December 15, 2014. สืบค้นเมื่อ 2015-01-04.
    85. "Agreement reached to redevelop SS United States". www.bizjournals.com. December 16, 2014. สืบค้นเมื่อ 2015-01-04.
    86. "SS United States gains $250,000 donation". Philly.com. February 11, 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 3, 2015. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    87. "Friends of the S.S. United States Send Out a Last S.O.S." The New York Times. October 7, 2015. สืบค้นเมื่อ 2015-10-07.
    88. "Donations Help the S.S. United States Fend Off the Scrapyard". msn.com. สืบค้นเมื่อ 2016-02-04.
    89. "Can the SS United States again sail the seas?". philly.com. February 4, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2017. สืบค้นเมื่อ 2018-03-07.
    90. "S.S. United States, Historic Ocean Liner of Trans-Atlantic Heyday, May Sail Again". The New York Times. February 4, 2016. สืบค้นเมื่อ 2016-02-04.
    91. "SS United States getting artifact donations from Mariners' Museum, others". Dailypress. สืบค้นเมื่อ April 14, 2016.
    92. "Crystal Drops SS United States Project". Cruise Industry News. August 5, 2016. สืบค้นเมื่อ 6 August 2016.
    93. Pesta, Jesse (6 August 2016). "The S.S. United States Won't Take to the Seas Again After All". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 9 August 2016.
    94. Adomaitis, Greg (8 August 2016). "Abandoned ship: Deal to save SS United States 'too challenging'". NJ.com. สืบค้นเมื่อ 9 August 2016.
    95. 95.0 95.1 Adam Leposa (July 19, 2017). "SS United States Gets Last-Minute Reprieve". www.travelagentcentral.com. สืบค้นเมื่อ July 23, 2017.
    96. Trina Thompson (January 26, 2018). "Once-majestic cruise ship, the S.S. United States, could be 'America's Flagship' once again". Fox News. สืบค้นเมื่อ March 12, 2018.
    97. 97.0 97.1 "Leading Rotterdam Ship Repair & Conversion Firm Welcomed by Conservancy". wearetheunitedstates.org. SS United States Conservancy. September 20, 2018. สืบค้นเมื่อ September 20, 2018.
    98. 98.0 98.1 Susan Gibbs (December 10, 2018). "Breaking News: New Agreement with RXR Realty". wearetheunitedstates.org. SS United States Conservancy. สืบค้นเมื่อ December 13, 2018.
    99. Jacob Adelman (December 12, 2018). "NYC developer with Manhattan pier project in deal to explore reviving SS United States". philly.com. Philly.com/Philadelphia Media Network (Digital), LLC. สืบค้นเมื่อ December 13, 2018.
    100. The Maritime Executive (March 11, 2020). "U.S. Cities Offered SS United States as Cultural Space". สืบค้นเมื่อ April 25, 2020.
    101. 101.0 101.1 "Transformative Plan Unveiled to Save America's Flagship". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2023-11-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-11-02. สืบค้นเมื่อ 2023-11-05.
    102. Conde, Ximena (January 31, 2023). "The SS United States is in a rent dispute that could leave it without a berth". The Philadelphia Inquirer. สืบค้นเมื่อ February 1, 2023.
    103. 103.0 103.1 Conde, Ximena (2024-06-14). "SS United States must leave its South Philadelphia berth by mid-September, judge rules". Philadelphia Inquirer (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-06-16.
    104. 104.0 104.1 "22-2285 - PENN WAREHOUSING & DISTRIBUTION, INC. v. SS UNITED STATES CONSERVANCY". www.govinfo.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-08-11.
    105. 105.0 105.1 "Iconic Ocean Liner SS United States Ordered to Leave Berth by September". The Maritime Executive (ภาษาอังกฤษ). June 14, 2024.
    106. Conde, Ximena (2024-01-17). "SS United States is 'every landlord's nightmare,' pier's lawyer says as rent dispute goes to trial". The Philadelphia Inquirer (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-01-18.
    107. Guilhem, Matt (March 11, 2024). "The Fastest Ocean Liner to Cross the Atlantic Faces Eviction from Pier". NPR.org.
    108. "Symbol of the Nation Evicted: Nonprofit Sending Out An Urgent Call to Help Save America's Flagship". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-06-20. สืบค้นเมื่อ 2024-06-20.
    109. "Statement from the SS United States Conservancy". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-08-21. สืบค้นเมื่อ 2024-08-27.
    110. "SS United States Conservancy claims pier landlord blocked sale of historic ship despite eviction". 6abc Philadelphia (ภาษาอังกฤษ). 2024-09-12. สืบค้นเมื่อ 2024-09-13.
    111. Conde, Ximena (2024-09-13). "SS United States and landlord head to mediation amid ongoing rent dispute". The Philadelphia Inquirer (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
    112. Williams, Jared (2024-08-30). "Okaloosa County to acquire SS United States for world's largest artificial reef off Destin-Fort Walton Beach". Get The Coast (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
    113. "E-Newsletter Archive". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-08-31.
    114. Holden, Joe; Specht, Ed (2024-10-28). "SS United States' departure from Philadelphia's Pier 82 delayed due to possible storm in Caribbean - CBS Philadelphia". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-11-23.
    115. Bulletin, Bay (2024-10-08). "Virginia-Built Speedy Ocean Liner to Become World's Largest Artificial Reef". Chesapeake Bay Magazine (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-11-23.
    116. "Dispute Between the SS United States Conservancy and Penn Warehousing Settled; Plans Announced for Next Chapter". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-10-11. สืบค้นเมื่อ 2024-11-23.
    117. Zeigler, Jim (February 24, 2025). "Trump asked to save historic liner SS United States now heading to Mobile for dismantling, sinking". 1819 News. Birmingham AL: 1819 News. สืบค้นเมื่อ March 1, 2025.
    118. McNaught, Shannon (December 12, 2024). "Why the Coast Guard issued an order preventing the movement of the SS United States". Delaware News Journal. Delaware Online: USA Today. สืบค้นเมื่อ January 4, 2025.
    119. McNaught, Shannon (February 6, 2025). "SS United States voyage out of Philly canceled for a 2nd time". Delaware News Journal. Delaware Online: USA Today. สืบค้นเมื่อ February 8, 2025.
    120. "Video: SS United States Completes First Move as Final Journey Begins". The Maritime Executive. February 14, 2025. สืบค้นเมื่อ February 15, 2025.
    121. "SS United States' departure from Philly delayed yet again". NBC 10 Philadelphia. NBC. February 17, 2025. สืบค้นเมื่อ February 17, 2025.
    122. Conde, Ximena (February 19, 2025). "With more than $40 million spent, the SS United States has finally left Philadelphia after almost 30 years". Philadelphia Inquirer. Philadelphia PA: Philadelphia Inquirer. สืบค้นเมื่อ February 19, 2025.
    123. "SS United States arrives in Alabama to become world's largest artificial reef". NBC 10 Philadelphia. NBC. March 3, 2025. สืบค้นเมื่อ March 3, 2025.
    124. "S.S. United States – Celebrity Infinity". Cruise to Travel (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2014-05-10. สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    125. Sloan, Gene. "Celebrity Cruises to jettison history-filled restaurants". USA Today (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-06-15.
    126. "S.S. United States – Celebrity Infinity". CruiseToTravel (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2014-05-10. สืบค้นเมื่อ 2024-06-15.
    127. "Mural Painting, The Currents". National Museum of American History (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    128. "The SS United States' Preserved Propellers" (PDF). SS United States Conservancy. June 2014.
    129. "Traditions – Who We Are". Christopher Newport University. สืบค้นเมื่อ 29 July 2020.
    130. Staff, Journal (April 22, 2017). "Rent-A-Tool to Close April 25 After 63 Years in Business". reverejournal.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-05-06.
    131. "Windmill Point set to go out in a blaze of glory". The Outer Banks Voice (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2011-03-02. สืบค้นเมื่อ 2021-05-09.
    132. Kludas, Arnold (April 2002). Record Breakers of the North Atlantic: The Blue Riband Liners, 1838–1952. Brassey, Inc. p. 136. ISBN 978-1-57488-458-6. สืบค้นเมื่อ 2010-10-03.
    133. "HSC HOVERSPEED GREAT BRITAIN (1990)". www.faktaomfartyg.se. สืบค้นเมื่อ 2022-07-01.
    134. Neilson, James (1962-05-17), Bon Voyage! (Adventure, Comedy, Drama), Fred MacMurray, Jane Wyman, Michael Callan, Walt Disney Productions, สืบค้นเมื่อ 2024-08-31
    135. Conservancy, SSUS (2017-10-25). "SS United States on Screen: Gentlemen Marry Brunettes (1955)". we-are-the-us (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-09.
    136. "January 19, 2013 - Upcoming Hollywood Thriller Filmed On Board SS United States". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-01-19. สืบค้นเมื่อ 2024-08-31.
    137. Radler, Robert (2013-03-01), SS United States: Made in America (Documentary), Walter Cronkite, William H. Miller, Mark B. Perry, Big Ship Films, สืบค้นเมื่อ 2024-08-31
    138. "Documentary Film: Lady in Waiting". SS United States Conservancy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-08-31.
    139. "The SS United States: From Dream to Reality". Titanic Historical Society, Inc. (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-08-31.
    140. Conservancy, SSUS (2017-10-17). "VIDEO: SS United States in opening credits of West Side Story (1961)". we-are-the-us (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-09-05.