เอลโดราโด

เอลโดราโด (สเปน: El Dorado; ภาษาสเปน: [el doˈɾaðo], ภาษาอังกฤษ: /ˌɛl dəˈrɑːdoʊ/) เป็นนครทองคำในตำนานที่เชื่อว่าอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ตำนานกล่าวว่ากษัตริย์ของเมืองนี้มั่งคั่งมากจนใช้ฝุ่นทองทาตัวทุกวันหรือเนื่องในโอกาสพิเศษ ก่อนที่จะล่องแพไปยังกลางทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำพิธีเซ่นให้แก่เทพแห่งทะเลสาบและล้างตัวที่นั่น[2] ผู้ตั้งอาณานิคมชาวสเปนเป็นผู้บันทึกเรื่องราวนี้ครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยเรียกกษัตริย์ว่า "เอลโดราโด" หรือ "ผู้ที่เป็นทองคำ" ในภาษาสเปน ก่อนที่คำนี้จะกลายมาเป็นชื่อของเมืองทองคำในตำนาน[3]
ไม่ทราบแน่ชัดว่าตำนานเอลโดราโดมีพื้นฐานจากข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่เชื่อกันว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมมูอิสกา ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงแถบเทือกเขาแอนดีสในประเทศโคลอมเบียปัจจุบัน[4] ชาวมูอิสกามีความสามารถในงานช่างทอง พวกเขาทำเครื่องทองเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และยังผลิตเครื่องประดับและอัญมณีสำหรับค้าขายกับชนเผ่าใกล้เคียง[5] ต่อมาผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปยุคแรกที่กำลังค้นหาที่มาของทองที่พวกเขาพบจากชนเผ่าอาศัยในที่ราบพยายามเดินทางมาที่ที่ราบสูงแห่งนี้หลายครั้ง ใน ค.ศ. 1537 กอนซาโล ฆิเมเนซ เด เกซาดา นักสำรวจและกองกิสตาดอร์ชาวสเปนนำกำลังพิชิตชาวมูอิสกา และปล้นชิงเครื่องทองจำนวนมากจากพระราชวังและศาสนสถานของพวกเขา[6]
ไม่นานหลังจากนั้น ตำนานเอลโดราโดเริ่มแพร่กระจายไปยังบรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป มีความพยายามในการค้นหานครแห่งนี้หลายต่อหลายแห่งทั่วทั้งทวีปในทศวรรษต่อมา อันโตนีโอ เด แบร์ริโอ ผู้สืบทอดการสำรวจของเกซาดาเชื่อว่าเอลโดราโดตั้งอยู่ในกีอานา ภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เขาพยายามสำรวจที่สูงแถบนั้นหลายครั้ง ก่อนจะถูกวอลเตอร์ รอลีห์ นักสำรวจชาวอังกฤษที่ทำการสำรวจกีอานาเช่นกันจับกุมใน ค.ศ. 1595[7]
รอลีห์เองก็ประสบความล้มเหลวในการค้นหาเอลโดราโดเช่นกัน แต่เขากลับบรรยายถึงความสำเร็จในการสำรวจครั้งนี้อย่างเกินจริงในหนังสือ The Discovery of Guiana (ค.ศ. 1596) ซึ่งมีส่วนในการขยายตำนานนี้[8] ต่อมาลอว์เรนซ์ คีมิส ผู้ช่วยของรอลีห์ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับทะเลสาบปาริเม ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของเอลโดราโด[9] จึงทำการค้นหาทะเลสาบแห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่ถูกสำรวจอย่างละเอียดมากขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของทะเลสาบปาริเมมากขึ้น จนกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ นักภูมิศาสตร์และนักสำรวจชาวเยอรมันได้สรุปว่าทะเลสาบปาริเมเป็นเพียงตำนาน ทำให้ความเชื่อเรื่องเอลโดราโดสิ้นสุดลง[10]
อย่างไรก็ดี เรื่องราวของเอลโดราโดได้สร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ยาวนาน ความลึกลับเกี่ยวกับนครที่สาบสูญและความร่ำรวยของชาวเมืองเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ มาตั้งแต่ยุคของวอลแตร์ นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่กล่าวถึงเรื่องนี้ในนวนิยาย ก็องดีด (ค.ศ. 1759)[11] การค้นหาเอลโดราโดยังเป็นแก่นของสื่อยุคหลังอย่างภาพยนตร์ ผจญภัยแดนมหัศจรรย์ เอลโดราโด้ (ค.ศ. 2000) แพดดิงตัน คุณหมีผจญภัยป่าอะเมซอน (ค.ศ. 2024) และวิดีโอเกม อันชาร์ทิด: เดรกส์ฟอร์ชูน (ค.ศ. 2007)[12]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ King 2002, p. 25.
- ↑ Drye, Willie (March 1, 2021). "El Dorado". National Geographic. สืบค้นเมื่อ February 26, 2025.
- ↑ Cooper, Jago (January 14, 2013). "El Dorado: The truth behind the myth". BBC. สืบค้นเมื่อ February 26, 2025.
- ↑ Cartwright, Mark (July 6, 2015). "Muisca Civilization". World History Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ February 26, 2025.
- ↑ Ocampo López, 2007, p.214
- ↑ (ในภาษาสเปน) Las sociedades indígenas de los Llanos – Banco de la República
- ↑ Nicholl 1995, p. 97.
- ↑ Marley, p. 132.
- ↑ Marc Aronson, Sir Walter Ralegh and the Quest for El Dorado, Houghton Mifflin Harcourt, 2000. ISBN 039584827X
- ↑ Burnett 2000, p. 36.
- ↑ McNamee, Gregory Lewis (November 14, 2023). "Candide - Introduction & Summary". Britannica. สืบค้นเมื่อ February 26, 2025.
- ↑ Jakobsson & Ojeda-Ramirez 2024, p. 3.