ข้ามไปเนื้อหา

เหตุแอนแทรกซ์รั่วไหลในสเวียร์ดลอฟสค์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1979 สปอร์ของ Bacillus anthracis เชื้อก่อโรคแอนแทรกซ์ ถูกปล่อยออกจากหน่วยงานวิจัยของกองทัพโซเวียตในนครสเวียร์ดลอฟสค์ (ปัจจุบันคือเยคาเตรินบุร์ก) ของสหภาพโซเวียต โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่การระบาดของโรคแอนแทรกซ์ในพื้นที่ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 68 ราย กระนั้นจำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดยังคงไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด[1] ทางการโซเวียตปฏิเสธที่มาของการระบาดเป็นเวลานานหลายปี โดยโทษว่าผู้เสียชีวิตได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อและคนขายเนื้อดังกล่าวได้ติดเชื้อผ่านทางเยื่อใต้ผิวหนัง เหตุการณ์นี้สำหรับโลกตะวันตกถือเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าโซเวียตมีโครงการที่พุ่งเป้าไปที่การผลิตและพัฒนาอาวุธชีวภาพในระดับมหัพภาคเป็นครั้งแรก

ภูมิหลัง

[แก้]

สเวียร์ดลอฟสค์ (ชื่อปัจจุบันคือเยคาเตรินบุร์ก) เป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมทางทหารของโซเวียตมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ข้อมูลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ระบุว่า ร้อยละ 87 ของผลิตผลทางอุตสาหกรรมในนครมีความเกี่ยวข้องกับการทหาร ที่เหลือร้อยละ 13 เป็นสำหรับการบริโภคของพลเรือน[2] อุตสาหกรรมที่นี่ผลิตทั้งรถถัง, ขีปนาวุธ และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ นครมีสมญาเป็นพิตส์เบิร์กแห่งโซเวียตด้วยอุตสาหกรรมโลหะขนาดใหญ่ของเมือง[3] ในสมัยสงครามเย็น นครนี้แปรสภาพมาเป็น "เมืองปิด" ที่ห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้า[2]

หน่วยวิจัยและผลิตอาวุธชีวภาพ (biological weapon; BW) ที่นี่ สร้างขึ้นในระหว่างปี 1947 ถึง 1949 เพื่อเป็นสาขาเสริมของหน่วยที่คีรอฟ ภายใต้ชื่อ สถาบันวิจัยด้านสุขลักษณะของกระทรวงกลาโหม เปิดทำการในวันที่ 19 กรกฎาคม 1949[4] เคน อาลีเบก เสนอว่าการก่อสร้างศูนย์วิจัยที่ยี้ได้ปรับเอาความรู้ทางเทคนิกที่เค้นมาได้จากนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่ถูกจับกุมได้และมีส่วนในโครงการอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น[5] โครงการวิจัยที่นี่มีการค้นคว้าทั้งด้านแบคทีเรีย ซึ่งรวมถึง Bacillus anthracis ในปี 1951 ยังมีการริเริ่มโครงการที่พุ่งเป้าไปที่การพัฒนาโบทูลินัมท็อกซิน[4] ต่อมาในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ความสนใจในการพัฒนาโบทูลินัมท็อกซินได้ลดลง และเป้าหมายความสนใจหลักได้ปรับมาเป็นที่เชื้อ B. anthracis แทน[6]

เหตุการณ์

[แก้]

ในบันทึกระเบียนทางการ ไลเทินแบร์ค (Leitenberg) และ ซีลินสกาส์ (Zilinskas) กับ คูห์น (Kuhn) รายงานว่า สักช่วงหนึ่งระหว่างวันที่ 2–3 เมษายน 1979 สปอร์ของเชื้อ B. anthracis มวลหนึ่งถูกปล่อยขากอาคารสูงสี่ชั้นภายในเขตพิเศษ อาคารนี้เป็นที่ตั้งของหน่วยการผลิตที่ผลิตสปอร์แห้งของเชื้อ B. anthracis เพื่อใช้ประโยชน์เป็นอาวุธ หน่วยนี้มีเจ้าหน้าที่ 40 นาย ภายใต้บังคับบัญชาของพันโทนีโคไล เชียร์นืยชอฟ สปอร์ที่ปล่อยออกมาเกิดเป็นกลุ่มควันที่ถูกลมพัดออกไปตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองและหมู่บ้านชนบทโดยรอบ แหล่งข้อมูลของรัสเซียบางแหล่งระบุว่าการปล่อยสปอร์เกิดขึ้นเป็นผลจากปัญหาในระบบระบายอากาศที่นำพาควันจากเครื่องทำความแห้ง[6] จากการสัมภาษณ์เพื่อนและครอบครัวของเหยื่อ ร่วมกับการศึกษาข้อมูลลม เมเซลสันและทีมสืบสวนของเขาสรุปว่าการปล่อยตัวอาจเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 2 เมษายน[1]

ไม่ทราบจํานวนผู้เสียชีวิตที่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของสปอร์แอนแทรกซ์ คณะของเมเซลสันรายงานว่ายอดเสียชีวิตอย่างน้อยอยู่ที่ 68 คนในเขตเมือง และเกิดแอนแทรกซ์ในสัตว์ในหมู่บ้านโดยรอบ (Rudnii, Bol'shoe Sedelnikovo, Maloe Sedelnikovo, Pervomaiskii, Kashino และ Abramovo) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนคร[1] แหล่งข้อมูลทางการภาษารัสเซียฉบับหนึ่งระบุยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 95 คน เสียชีวิต 68 ราย (71.5 เปอร์เซ็นต์) แต่กระนั้นเชื่อว่ายอดจริงของผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงกว่านี้มาก[6] โรงงานเซรามิกทางใต้ของเขตทหารซึ่งมีลูกจ้าง 2,180 คน ถูกสปอร์แอนแทรกซ์เช่นกัน โรงงานนี้ใช้ระบบระบายอากาศที่มีการดูดเอาอากาศจากภายนอกเข้าไปสู่เตาเผาและภายในอาคาร คนงานของโรงงานอย่างน้อย 18 คน เสียชีวิต[7]

เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ทางการโซเวียตได้ดําเนินการเพื่อระดมทีมแพทย์ในเขตที่ได้รับผลกระทบ มีการแจกจ่ายเตตราไซคลินแก่บ้านเรือน, จัดทำความสะอาดฆ่าเชื้อในห้องที่มีผู้ป่วยอยู่ เสื้อผ้าและผ้าที่อาจปนเปื้อนถูกเก็บ ผู้ป่วยที่มีไข้จะถูกส่งไปสรรพเวชสถาน ส่วนรายที่มีอาการป่วยหนักจะถูกส่งไปโรงพยาบาลหมายเลข 40 A ในวันที่ 22 เมษายน นักผจญเพลิงและคนงานในโรงงานเริ่มล้างอาคารด้วยสารละลายคลอรีน การฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ของประชากรในเขตชคาลอฟสกีที่ได้รับผลกระทบก็ดําเนินการโดยเจ้าหน้าที่เช่นกัน โดยรวมแล้ว ร้อยละ 80 ของบุคคลที่มีสิทธิ์ประมาณ 59,000 คนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ STI ของโซเวียต ซึ่งผลิตโดยหน่วยวัคซีนในทบิลีซี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์เจีย)[2] ข้อบ่งชี้แรกในโลกตะวันตกของอุบัติการณ์นี้ปรากฏในเดือนมกราคม 1980 ในนิตยสารจากแฟรงก์เฟิร์ตชื่อ Possev ซึ่งตีพิมพ์โดยกลุ่มผู้อพยพชาวรัสเซีย ซึ่งกล่าวอ้างว่ามีการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ในเดือนเมษายนหลังจากการระเบิดที่หน่วยทางทหารทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง[8]

ในปี 1986 แมทธิว เมเซลสันแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้รับการอนุมัติจากทางการโซเวียตให้เดินทางไปมอสโกเป็นเวลา 4 วัน โดยเขาได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของโซเวียตหลายคนเกี่ยวกับการระบาดของโรค ต่อมาเขาได้ออกรายงานซึ่งเห็นด้วยกับการประเมินของโซเวียตที่ว่าการระบาดของโรคเกิดจากโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อน โดยสรุปว่าคำอธิบายอย่างเป็นทางการของโซเวียตนั้น "น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับข้อมูลทางการแพทย์และประสบการณ์ของมนุษย์ที่บันทึกไว้เกี่ยวกับโรคแอนแทรกซ์"[9][10] อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ตามแบบฉบับของโซเวียตถูกบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงเมื่อในเดือนตุลาคม 1991 หนังสือพิมพ์ เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ส่งปีเตอร์ กัมเบิล หัวหน้าสำนักงานมอสโกไปยังสเวียร์ดลอฟสค์เพื่อสอบสวนการระบาดของโรค หลังจากสัมภาษณ์ครอบครัวจำนวนมาก พนักงานโรงพยาบาล และแพทย์ มีรายงานว่าเขาพบว่าเหตุการณ์ตามแบบฉบับของโซเวียตนั้น "เต็มไปด้วยความไม่สอดคล้องกัน ความจริงครึ่งเดียว และความเท็จอย่างชัดเจน"[11]

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 1992 ประธานาธิบดีโบริส เยลต์ซิน ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการภูมิภาคสเวียร์ดลอฟสค์ของพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะเกิดอุบัติเหตุ ได้ยอมรับสารภาพว่าเคจีบีได้เปิดเผยแก่เขาว่า "การพัฒนาทางการทหารของเราเป็นสาเหตุ"[12] จากรายงานเหล่านี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกที่นำโดยเมเซลสัน ได้เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวในเดือนมิถุนายน 1992 ก่อนที่จะมาถึง พวกเขาได้รับรายชื่อเหยื่อเหตุการณ์ที่ทราบแล้ว 68 รายในสเวียร์ดลอฟสค์จากทางการ จากการเยี่ยมเยียนและสอบถามญาติของผู้เสียชีวิตที่บ้าน นักวิจัยที่ทำการสืบสวนสามารถระบุได้ว่าผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ที่ใด และพวกเขาอยู่ที่ไหนในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่บันทึกการรับเข้าโรงพยาบาลบ่งชี้ว่าอาจมีการปล่อยฝุ่นแอนแทรกซ์สู่ชั้นบรรยากาศ เมื่อระบุตำแหน่งบนแผนที่ สถานที่ที่เหยื่ออาศัยอยู่ก็ไม่ได้มีรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนมากจากตำแหน่งที่รายงานในระหว่างชั่วโมงการทำงานว่าเหยื่อทั้งหมดอยู่ตามลมโดยตรงในช่วงเวลาที่สปอร์ถูกปล่อยออกมาผ่านละอองลอย[13][14] ปศุสัตว์ในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หากลมพัดมาในทิศทางของเมืองในเวลานั้น อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้คนหลายแสนคนได้ ข้อโต้แย้งเดิมของเมเซลสันเป็นเวลาหลายปีคือการระบาดนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และทางการโซเวียตไม่ได้โกหกเมื่อปฏิเสธว่ามีโครงการสงครามชีวภาพเชิงรุก แต่ข้อมูลที่เปิดเผยในการสืบสวนนั้นไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยใด ๆ[1]

ผลพวงหลังจากนั้น

[แก้]

ในเดือนเมษายน 1992 ประธานาธิบดีโบริส เยลต์ซินได้ออกกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับรองการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาระหว่างประเทศในด้านอาวุธชีวภาพ[15] ภายใต้ประธานาธิบดีนักปฏิรูป มีความปรารถนาที่จะย้ายสถาบันอาวุธชีวภาพของกระทรวงกลาโหมจากเขตอำนาจศาลทหารไปทำงานเพื่อเศรษฐกิจพลเรือน ในช่วงเวลาดังกล่าว ในช่วงระหว่างปี 1992 ถึง 1994 ตัวแทนจากธนาคารเพื่อการลงทุนและเพนเว็บเบอร์บริษัทนายหน้าซื้อขายหุ้นของสหรัฐ ได้จัดการประชุมกับสมาชิกของคณะกรรมการว่าด้วยปัญหาของอนุสัญญาอาวุธเคมีและชีวภาพของรัสเซีย ซึ่งเน้นเป็นพิเศษที่ศักยภาพในการร่วมมือกับโรงงานที่ 19 (เยคาเตรินเบิร์ก) ในด้านโรคติดเชื้อในสัตว์และการผลิตวัคซีนสำหรับสัตวแพทย์ ในที่สุด โครงการนี้ก็ล้มเหลวเนื่องจากกองทัพรัสเซียต้องการที่จะรักษาสถานะ "ปิด" (การเข้าถึงที่จำกัดอย่างเข้มงวด) ของสิ่งอำนวยความสะดวกทางชีวภาพของตน

จีนน์ กิลเลมิน นักมานุษยวิทยาการแพทย์ สมาชิกทีมสำรวจปี 1992 และเป็นภรรยาของเมเซลสัน ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการสืบสวนอย่างครอบคลุมในปี 1999 ชื่อ Anthrax – The Investigation of a Deadly Outbreak[2]

ในเดือนสิงหาคม 2016 วารสาร ไซเอินซ์ รายงานว่าพอล คีม นักวิทยาศาสตร์ด้านโรคแอนแทรกซ์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นแอริโซนา และเพื่อนร่วมงานได้พยายามจัดลำดับจีโนมของเชื้อ B. anthracis จากตัวอย่างสองตัวอย่างที่เก็บมาจากเหยื่อของการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ที่สเวียร์ดลอฟสค์ ตัวอย่างเหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาไว้โดยนักพยาธิวิทยาชาวรัสเซียในท้องถิ่นที่ทำการสืบสวนการระบาดในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้น ต่อมา พวกเขาได้แบ่งปันวัสดุดังกล่าวกับศาสตราจารย์เมเซลสันในระหว่างการเดินทางเพื่อค้นคว้าในปี 1992 ตัวอย่างถูกตรึงในฟอร์มาลินและฝังในพาราฟิน เป็นผลให้ดีเอ็นเอสลายตัวอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม นักวิจัยสหรัฐสามารถแยกดีเอ็นเอของเชื้อก่อโรคและประกอบจีโนมทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ โดยเปรียบเทียบกับเชื้อแอนแทรกซ์สายพันธุ์อื่น ๆ อีกหลายร้อยสายพันธุ์ ไคม์และทีมของเขารายงานว่าพวกเขาไม่พบหลักฐานทางจีโนมใด ๆ ที่บ่งชี้ว่ากองทัพโซเวียตพยายามเพาะเชื้อสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะหรือวัคซีน หรือดัดแปลงพันธุกรรมสายพันธุ์ดังกล่าวแต่อย่างใด[16] เมเซลสันให้ความเห็นว่าแม้ว่านี่จะเป็นสายพันธุ์ธรรมดาทั่วไป แต่ "นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่น่ารังเกียจ มันถูกสกัดมาจากผู้คนที่ถูกมันฆ่าตาย"[17]

ในปี 2018 ซิลินสกาสและเมาเกอร์ได้ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของฐานทัพทหารสเวียร์ดลอฟสค์ ภายใต้ระบบความปลอดภัยทางเคมีและชีวภาพแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย สถาบันสเวียร์ดลอฟสค์ได้รับเงินทุนสำหรับการปรับปรุงสถานที่ผลิตยาปฏิชีวนะสองแห่ง ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ในภาคการแพทย์พลเรือน นอกจากนี้ ยังมีการบูรณะครั้งใหญ่ในส่วนของอาคารที่เคยผลิตสปอร์ของแบคทีเรีย B. anthracis อาคารที่ใช้สำหรับการผลิตสื่อและสารตั้งต้นก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการปรับปรุงสถานที่ทดสอบกลางแจ้งซึ่งเรียกว่าฐานทดสอบภาคสนามปืยชมาสำหรับสถาบันสเวียร์ดลอฟสค์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ "ประเมินประสิทธิภาพของวิธีการสำรวจทางชีวภาพและการขจัดผลที่ตามมาจากสถานการณ์ฉุกเฉิน" จนถึงปลายปี 2015 โครงการปรับปรุงนี้ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์[18]

ในเดือนสิงหาคม 2020 สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ (BIS) ได้กำหนดข้อจำกัด "บัญชีดำ" สถาบันชีวภาพทางทหารของรัสเซียสามแห่งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธชีวภาพของรัสเซีย หนึ่งในนั้นคือสถาบันสเวียร์ดลอฟสค์ (ปัจจุบันดำเนินการภายใต้ชื่อสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์กลางแห่งที่ 48 เยคาเตรินบุร์ก)[19] ในวันที่ 2 มีนาคม 2021 สหรัฐได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์กลางแห่งที่ 48 เยคาเตรินบุร์ก พร้อมด้วยสถาบันอาวุธชีวภาพางทหารที่เกี่ยวข้องในคีรอฟและเซียร์เกเยฟโปซาด[20]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 Meselson, Matthew; Guillemin, Jeanne; Hugh-Jones, Martin; Langmuir, Alexander; Popova, Ilona; Shelokov, Alexis; Yampolskaya, Olga (1994-11-18). "The Sverdlovsk Anthrax Outbreak of 1979". Science (ภาษาอังกฤษ). 266 (5188): 1202–1208. Bibcode:1994Sci...266.1202M. doi:10.1126/science.7973702. PMID 7973702.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 Guillemin, Jeanne (1999). Anthrax: The Investigation of a Deadly Outbreak (ภาษาอังกฤษ). University of California Press. ISBN 978-0-520-22917-4.
  3. Leitenberg, Milton; Zilinskas, Raymond A.; Kuhn, Jens H. (2012-06-29). The Soviet Biological Weapons Program: a history (ภาษาอังกฤษ). Harvard University Press. ISBN 978-0-674-06526-0.
  4. 4.0 4.1 Rimmington, Anthony (2018-10-15). Stalin's Secret Weapon: The Origins of Soviet Biological Warfare (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-005034-4.
  5. Ken Alibek and S. Handelman. Biohazard: The Chilling True Story of the Largest Covert Biological Weapons Program in the World – Told from Inside by the Man Who Ran it. 1999. Delta (2000) ISBN 0-385-33496-6.
  6. 6.0 6.1 6.2 Leitenberg, Milton; Zilinskas, Raymond A.; Kuhn, Jens H. (2012-06-29). The Soviet Biological Weapons Program: a history (ภาษาอังกฤษ). Harvard University Press. ISBN 978-0-674-06526-0.
  7. Hoffman, David Emanuel (2009). The Dead Hand: The Untold Story of the Cold War Arms Race and Its Dangerous Legacy (ภาษาอังกฤษ). Doubleday. ISBN 978-0-385-52437-7.
  8. Harris, Robert; Paxman, Jeremy (1982). A Higher Form of Killing: The Secret Story of Chemical and Biological Warfare (ภาษาอังกฤษ). Hill and Wang. ISBN 978-0-8090-5471-8.
  9. Goldberg, Jeff (2001). Plague Wars: The Terrifying Reality of Biological Warfare, Macmillan Press.
  10. Meselson Matthew, [Discussions in Moscow Regarding Sverdlovsk Anthrax Outbreak](https://profiles.nlm.nih.gov/ps/access/BBGLPJ.pdf), 25 September 1986
  11. Mangold, Tom; Goldberg, Jeff (2000). Plague Wars: A True Story of Biological Warfare (ภาษาอังกฤษ). Pan Books. ISBN 978-0-330-36753-0.
  12. Smith, R. Jeffrey (1992-06-16). "YELTSIN BLAMES '79 ANTHRAX ON GERM WARFARE EFFORTS". Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2021-09-28.
  13. "Interview [with Dr.] Matthew Meselson". WGBH educational foundation (Public Broadcasting Service). สืบค้นเมื่อ 29 March 2017.
  14. Brickley, Peg (8 March 2002). "Matthew Meselson". The Scientist. LabX Media Group, Ontario. สืบค้นเมื่อ 29 March 2017. แมทธิว เอส. เมเซลสัน รออย่างเงียบ ๆ ในรถในขณะที่ผู้ช่วยหญิงทำหน้าที่สอบสวนครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยโรคแอนแทรกซ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ใช้เสน่ห์ ชักจูง และจู้จี้นักการเมืองในสองทวีปตั้งแต่ปี 1979 ถึง 1992 เพื่อขออนุญาตตรวจสอบการระบาดของโรคประหลาดในเมืองสเวียร์ดลอฟสค์ของสหภาพโซเวียตในปี 1979 แต่เพียงไม่กี่วันก่อนนั้น เมเซลสันก็ขึ้นเครื่องบินไปมอสโกเพื่อทำการสัมภาษณ์ [...]
  15. Rimmington, Anthony (1996-04-01). "From military to industrial complex? The conversion of biological weapons' facilities in the Russian federation". Contemporary Security Policy. 17 (1): 80–112. doi:10.1080/13523269608404128. ISSN 1352-3260.
  16. Sahl, Jason W.; Pearson, Talima; Okinaka, Richard; Schupp, James M.; Gillece, John D.; Heaton, Hannah; Birdsell, Dawn; Hepp, Crystal; Fofanov, Viacheslav; Noseda, Ramón; Fasanella, Antonio (2016-08-16). "A Bacillus anthracis Genome Sequence from the Sverdlovsk 1979 Autopsy Specimens". bioRxiv (ภาษาอังกฤษ): 069914. doi:10.1101/069914.
  17. Kupferschmidt, Kai (2016-08-15). "Anthrax genome reveals secrets about a Soviet bioweapons accident". Science | AAAS (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-20.
  18. Zilinskas, Raymond A.; Mauger, Philippe (2018). Biosecurity in Putin's Russia (ภาษาอังกฤษ). Lynne Rienner Publishers, Incorporated. ISBN 978-1-62637-698-4.
  19. "Addition of Entities to the Entity List, and Revision of Entries on the Entity List". Federal Register. 2020-08-27. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
  20. "U.S. Sanctions and Other Measures Imposed on Russia in Response to Russia's Use of Chemical Weapons". United States Department of State (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.