ข้ามไปเนื้อหา

เหงียน หง็อก เทอ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เหงียน หง็อก เทอ
เหงียน หง็อก เทอ ป.ทศวรรษ 1950
นายกรัฐมนตรีเวียดนามใต้ คนที่ 2
ดำรงตำแหน่ง
4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963  30 มกราคม ค.ศ. 1964
รองไม่มี
ประธานคณะทหารปฏิวัติเซือง วัน มิญ
ก่อนหน้าโง ดิ่ญ เสี่ยม (ค.ศ. 1954–1955)
ถัดไปเหงียน คั้ญ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม
ดำรงตำแหน่ง
4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963  30 มกราคม ค.ศ. 1964
นายกรัฐมนตรีตัวเอง
ก่อนหน้าเหงียน หลือ อง
ถัดไปเหงียน ซวน วั้ญ
รองประธานาธิบดีเวียดนามใต้ คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
18 ธันวาคม ค.ศ. 1956  2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963
ประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปเหงียน กาว กี่
เอกอัครราชทูตเวียดนามใต้ประจำประเทศญี่ปุ่น
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1955  ค.ศ. 1956
ประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม
ก่อนหน้าดิญ วัน เกี๋ยว (ในตำแหน่งอุปทูต)
ถัดไปบู่ย วัน ทิญ [vi]
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด(1908-05-26)26 พฤษภาคม 1908
ล็องเซวียน โคชินไชนา อินโดจีนของฝรั่งเศส
เสียชีวิต12 มิถุนายน ค.ศ. 1976(1976-06-12) (68 ปี)
ไซ่ง่อน ประเทศเวียดนามใต้
พรรคการเมืองอิสระ

เหงียน หง็อก เทอ (เวียดนาม: Nguyễn Ngọc Thơ; จื๋อฮ้าน: 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1908 – 12 มิถุนายน ค.ศ. 1976)[1] เป็นนักการเมืองชาวเวียดนามใต้ เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเวียดนามใต้คนแรกในสมัยประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม ตั้งแต่ ค.ศ. 1956 จนกระทั่งการโค่นล้มและลอบสังหารเสี่ยมเมื่อ ค.ศ. 1963 เขายังเป็นนายกรัฐมนตรีเวียดนามใต้คนแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ถึงปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 โดยเทอได้รับการแต่งตั้งจากคณะทหารของนายพลเซือง วัน มิญ ให้เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีพลเรือน ซึ่งคณะทหารนี้ขึ้นมามีอำนาจหลังจากการโค่นล้มและลอบสังหารประธานาธิบดีเสี่ยม การปกครองของเทอถูกมองว่าเป็นสมัยแห่งความสับสนและรัฐบาลที่อ่อนแอ เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างคณะทหารปฏิวัติกับคณะรัฐมนตรีพลเรือน เทอเกษียณอายุจากแวดวงการเมืองเมื่อคณะทหารของมิญถูกขับออกจากอำนาจในรัฐประหารในเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 ที่นำโดยนายพลเหงียน คั้ญ

เขาเป็นบุตรชายในตระกูลเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เทอเริ่มต้นทำงานเป็นหัวหน้าส่วนจังหวัดระดับล่างภายใต้การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส และเขาถูกคุมขังในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกครองและขับไล่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยในระหว่างนี้ เขาได้พบกับมิญเป็นครั้งแรกเนื่องจากอยู่ห้องขังเดียวกัน หลังสงครามสิ้นสุดลง เขาได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐเวียดนามที่มีฝรั่งเศสหนุนหลัง ซึ่งเป็นรัฐภาคีในสหภาพฝรั่งเศส จากนั้นเมื่อมีการก่อตั้งสาธารณรัฐเวียดนามใน ค.ศ. 1955 หลังจากการแบ่งประเทศใน ค.ศ. 1954 เทอได้รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำญี่ปุ่นและสามารถเจรจาให้ญี่ปุ่นจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามได้สำเร็จ แต่ไม่นานก็ถูกเรียกกลับมาเวียดนาม โดยเขาได้รับหน้าที่ปราบปรามกองกำลังติดอาวุธของลัทธิฮหว่าหาวในช่วงกลางทศวรรษ 1950 เทอใช้ความพยายามทางการเมืองในการทำให้ลัทธิฮหว่าหาวอ่อนแอลง ขณะที่มิญใช้แรงกดดันทางการทหาร โดยเทอพยายามซื้อใจเหล่าผู้นำลัทธิฮหว่าหาว แต่บา กุ่ต หนึ่งในผู้บัญชาการของลัทธิที่มีปัญหาขัดแย้งกับเทอเป็นการส่วนตัว เนื่องจากพ่อของเขาได้ยึดที่ดินของครอบครัวบา กุ่ต เมื่อหลายทศวรรษก่อน ไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้อย่างสันติวิธี และท้ายที่สุด บา กุ่ต ก็ถูกจับกุมและประหารชีวิต

ความสำเร็จนี้ทำให้เทอได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1956 เพื่อช่วยขยายฐานความนิยมให้กับระบอบอุปถัมภ์และลำเอียงทางศาสนาของเสี่ยม การแต่งตั้งเทอซึ่งเป็นชาวภาคใต้จึงถูกมองว่าจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของรัฐบาล เนื่องจากครอบครัวเสี่ยมมาจากเวียดนามตอนกลางและผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาจากเวียดนามใต้ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้มีบทบาทจริงในการกำหนดนโยบายและมีอำนาจเพียงเล็กน้อย เพราะพี่น้องของเสี่ยมอย่างโง ดิ่ญ ญู และโง ดิ่ญ เกิ๋น คุมกองกำลังและตำรวจลับส่วนตัวและมีอำนาจเต็มในการสั่งการ เทอมีส่วนรับผิดชอบต่อนโยบายการปฏิรูปที่ดินที่ล้มเหลวของเวียดนามใต้ และถูกวิจารณ์ว่าไม่จริงจังในการดำเนินโครงการ เพราะตัวเองก็เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ ในช่วงวิกฤตการณ์ชาวพุทธที่นำไปสู่จุดจบของการปกครองภายใต้ตระกูลโง เทอยังคงให้การสนับสนุนเสี่ยมอย่างภักดี แม้ว่าตนเองจะเป็นพุทธศาสนิกชนก็ตาม โดยเขาปกป้องนโยบายที่เอนเอียงไปทางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกของรัฐบาล และการกระทําที่รุนแรงต่อชาวพุทธส่วนใหญ่

ต่อมาเทอหันหลังให้เสี่ยมและมีบทบาทแบบไม่เด่นชัดในรัฐประหาร เมื่อรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา เขาก็ประสบปัญหาในการควบคุมประเทศ เนื่องจากคณะทหารปฏิวัติกับคณะรัฐมนตรีพลเรือนออกคำสั่งขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะเปิดให้สื่อเสรีและถกเถียงทางการเมืองได้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นปัญหาวิวาทภายในกรุงไซ่ง่อน เพราะหนังสือพิมพ์หลายฉบับใช้โอกาสนี้ในการโจมตีตัวเขาจนต้องสั่งปิดบางสำนัก สถานการณ์ทางทหารของเวียดนามใต้ในช่วงนั้นยิ่งแย่ลง อันเป็นผลจากการบิดเบือนข้อมูลทางการทหารของเสี่ยมและและการเปิดเผยนโยบายที่ผิดพลาดในอดีต มิญและเทอพยายามวางแผนเพื่อยุติสงคราม โดยมองว่ากลุ่มกบฏมีหลายคนที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ และอาจเกลี้ยกล่อมให้เลิกสู้ได้ ซึ่งจะช่วยลดความแข็งแกร่งของฝ่ายคอมมิวนิสต์ แผนการนี้สร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลเลือกที่จะลดบทบาททางทหารเพื่อแสดงภาพลักษณ์ผู้สร้างสันติภาพให้แก่สาธารณชนเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเริ่มเดินหน้าตามแผนการ พวกเขาก็ถูกขับออกจากอำนาจจากรัฐประหารของนายพลคั้ญ ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐ

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

เทอเกิดที่จังหวัดล็องเซวียนในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในตระกูลเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งทางภาคใต้ เขาเริ่มต้นอาชีพข้าราชการใน ค.ศ. 1930[2] โดยทำงานให้กับทางการอาณานิคมฝรั่งเศสในตำแหน่งหัวหน้าส่วนจังหวัดระดับล่าง[3] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเข้าบุกครองเวียดนาม แต่ยังคงปล่อยให้รัฐบาลวีชีบริหารต่อไป เทอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการของข้าหลวงใหญ่ประจำอันนัม ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการเวียดนามตอนกลางของฝรั่งเศส ในช่วงเวลานั้น เขาได้พบกับโง ดิ่ญ เสี่ยม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยภายใต้รัฐบาลฝรั่งเศสในทศวรรษ 1930 ฝรั่งเศสสงสัยว่าเสี่ยมร่วมมือกับจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงพยายามจับกุมเขา แต่เทอได้แจ้งเตือนเสี่ยมและเค็มเปไตให้ทราบก่อน ทำให้ทั้งสองสามารถหลบหนีได้[4]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นซึ่งรุกรานและยึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศสมาตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ตัดสินใจเข้าควบคุมอินโดจีนโดยตรงและโค่นล้มระบอบอาณานิคมฝรั่งเศส เทอถูกจับกุมและคุมขังในห้องแออัดร่วมกับนักโทษจำนวนมากโดยไม่มีแสงไฟหรือห้องน้ำ และเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล[2] หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องขังเดียวกับเขา คือ เซือง วัน มิญ ผู้ที่เมื่อเวลานั้นเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาเขาจะได้ร่วมงานกันในอีกสองทศวรรษข้างหน้า เทอได้รับการปล่อยตัวและพยายามวิ่งเต้นให้มิญได้รับอิสรภาพด้วย ทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกันตลอดมา[2]

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เทอได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐเวียดนามที่มีฝรั่งเศสหนุนหลังภายใต้การนำของอดีตจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย หลังจากฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีนภายหลังยุทธการที่เดียนเบียนฟู เวียดนามจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ทางเหนือกับฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ทางใต้ ภายหลังการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเวียดนาม (หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "ประเทศเวียดนามใต้") ที่นำโดยประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม ผู้ซึ่งปลดจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ในการลงประชามติที่ทุจริต เทอได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในกรุงโตเกียวอยู่บนเตียงเนื่องจากสะโพกหัก แต่เทอก็ยังสามารถเจรจาเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่นสำหรับการยึดครองเวียดนามในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ[5]

ใน ค.ศ. 1956 เสี่ยมเรียกตัวเขากลับมาที่ไซ่ง่อนเพื่อช่วยจัดการกับลัทธิฮหว่าหาว ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาที่มีทหารติดอาวุธของตนเอง ลัทธิฮหว่าหาวมีลักษณะเป็นองค์กรกึ่งปกครองตนเองในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เนื่องจากกองกำลังของลัทธิได้บังคับใช้การบริหารคู่ขนาน และปฏิเสธที่จะรวมตัวเข้ากับฝ่ายบริหารในไซ่ง่อน ในขณะที่นายพลเซือง วัน มิญ แห่งกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนาม ใช้ความพยายามทางการทหารต่อลัทธิฮหว่าหาว เทอก็มีบทบาทในการทำให้ลัทธิอ่อนแอลงโดยการซื้อใจเหล่าผู้นำลัทธิ[5]

อย่างไรก็ตาม บา กุ่ต หนึ่งในผู้บัญชาการของลัทธิ ยังคงต่อสู้ต่อไป โดยเขามีประวัติความบาดหมางกับครอบครัวของเทอเป็นการส่วนตัว กุ่ตผู้ซึ่งไม่รู้หนังสือ เคยมีบิดาบุญธรรมที่มีที่นาแต่ถูกพ่อของเทอยึดไว้ ซึ่งเชื่อกันว่าได้ปลูกฝังความเกลียดชังต่อชนชั้นเจ้าของที่ดินให้แก่เขาอย่างถาวร[6] ที่สุดแล้ว กุ่ตถูกล้อมและต้องการเจรจาสันติภาพ เขาจึงส่งข้อความถึงเทอเพื่อขอเปิดการเจรจา โดยมีเป้าหมายให้ลูกน้องของตนสามารถเข้าสู่สังคมกระแสหลักและกองทัพของชาติได้ เทอยินยอมที่จะพบกับบา กุ่ต เพียงลำพังในป่า และแม้จะมีความกังวลการเจรจานี้จะเป็นหลุมพรางของลัทธิฮหว่าหาว แต่เทอก็ไม่ได้ถูกซุ่มโจมตี อย่างไรก็ตาม กุ่ตเริ่มเรียกร้องข้อตกลงเพิ่มเติม และการประชุมก็จบลงด้วยทางตัน[7] กุ่ตถูกจับกุมเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1956 และถูกประหารด้วยกิโยตินหลังการพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว ขณะที่กองกำลังที่เหลือของเขาถูกปราบปราม[8][9]

ในช่วงเวลาดังกล่าว เทอได้รับตำแหน่งเลขาธิการรัฐด้านเศรษฐกิจแห่งชาติ[5] ในเดือนพฤศจิกายน เสี่ยมแต่งตั้งเทอเป็นรองประธานาธิบดีเพื่อขยายฐานความนิยมของรัฐบาล การแต่งตั้งดังกล่าวได้รับการรับรองจากสมัชชาแห่งชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1956 ตามรัฐธรรมนูญ[10] การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามในการใช้ภูมิฐานของเทอในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเพื่อเพิ่มความนิยมของรัฐบาลในหมู่ชาวนาในภาคใต้ เนื่องจากรัฐบาลของเสี่ยมถูกครอบงำโดยสมาชิกในครอบครัวและชาวคริสต์จากเวียดนามตอนกลาง[5]

สมัยเสี่ยม

[แก้]
โง ดิ่ญ เสี่ยม (ในรูปภาพ) ประธานาธิบดีเวียดนามใต้

แม้จะมีตำแหน่งสำคัญ แต่เทอแทบจะไม่ปรากฏตัวร่วมกับเสี่ยมต่อหน้าสาธารณะ และมีบทบาทเป็นเพียงตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ที่แทบไม่มีอิทธิพลใด ๆ อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของน้องชายเสี่ยมอย่างโง ดิ่ญ ญู และโง ดิ่ญ เกิ๋น ซึ่งควบคุมกองกำลังและตำรวจลับส่วนตัว รวมถึงสามารถสั่งการนายพลของกองทัพบกได้โดยตรง มีรายงานว่าครั้งหนึ่ง ญูเคยสั่งให้ผู้อารักขาตบหน้าเทอเพียงเพราะรู้สึกว่าเทอไม่ให้ความเคารพเขา[5] เสี่ยมดูหมิ่นเทอและไม่อนุญาตให้เขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายสำคัญ แม้ในทางทฤษฎีเขาจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสูดเป็นอันดับที่สองของประเทศก็ตาม[11] อย่างไรก็ดี เทอมีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่านายทหาร โดยเฉพาะกับมิญซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่หลายปีก่อน[5] เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บริหารที่ใจดีและเป็นมิตร และมีชื่อเสียงในเรื่องการประนีประนอม[2]

เทอได้รับหมอบหมายให้ดูแลโครงการปฏิรูปที่ดินของเวียดนามใต้ เนื่องจากเหงียน วัน เถ่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปฏิรูปการเกษตร ต้องรายงานขึ้นตรงต่อเทอ อย่างไรก็ดี ทั้งสองต่างก็เป็นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่ง จึงไม่มีแรงจูงใจในการทำให้โครงการประสบผลสำเร็จ สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้รับคำวิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับความเมินเฉยของเถ่ยในการดำเนินนโยบาย โดยระบุว่า "เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับการกระจายที่ดินที่จะทำให้เขาสูญเสียทรัพย์สินของตนเอง"[12]

เทอยังคงมีอิทธิพลบางส่วนต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเสี่ยมให้ความสำคัญรองลงมาจากการควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จและกลไกอื่น ๆ ที่ช่วยให้เขารักษาอำนาจไว้ได้ แม้ว่าเทอจะไม่มีพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์ แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการบริหารโครงการนำเข้าเครื่องอุปโภคบริโภค (Commodity Import Program) ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของสหรัฐอเมริกาที่คล้ายคลึงกับแผนมาร์แชลล์ โดยความช่วยเหลือจะถูกส่งเข้าระบบเศรษฐกิจผ่านใบอนุญาตนำเข้าสินค้าแทนการให้เงินโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงของเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม การบริหารโครงการของเทอทำให้สินค้านำเข้าส่วนใหญ่กลายเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคสําหรับชนชั้นสูง มากกว่าสินค้าทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของเวียดนามใต้ ภายใต้การกำกับดูแลของเทอ การขาดดุลการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างร้อยละ 150 ถึง 200 และช่องว่างระหว่างชนชั้นนำในเขตเมืองกับชาวนาก็ขยายกว้างขึ้น ที่ปรึกษาชาวอเมริกันมองว่าเทอและพี่น้องตระกูลโงเพิกเฉยต่อคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาไร้ความสามารถหรือไม่ก็ไม่ไว้วางใจจนทําตรงกันข้ามกับสิ่งที่แนะนํา[13]

เทอยังมีความเห็นแย้งกับเหงียน หืว เจิว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เจิวสมรสกับน้องสาวของมาดามญูและได้รับการแต่งตั้งจากระบบอุปถัมภ์ แต่ต่อมาถูกขับออกจากตระกูลโงเนื่องจากความไม่ลงรอยกัน[14] สหรัฐอเมริกาอ้างว่าเทอผู้ซึ่งเคยได้รับการอบรมด้านความมั่นคงสาธารณะ "รู้เรื่องการควบคุมทางการเมืองมากกว่า 'กฎพื้นฐานของตลาด'"[14] ช่วงกลาง ค.ศ 1961 ภายหลังการมาเยือนของลินดอน บี. จอห์นสัน รองประธานาธิบดีสหรัฐ และแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ เสี่ยมจึงปลดเทอออกจากตำแหน่งด้านเศรษฐกิจ[15]

ต่อมาเทอเริ่มพยายามกดดันให้สหรัฐใช้อิทธิพลควบคุมเสี่ยม โดยระหว่างภารกิจตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายพลแมกซ์เวลล์ เทย์เลอร์ ผู้บัญชาการทหารของสหรัฐ และวอลต์ รอสโตว์ เทอและมิญได้ร้องเรียนเกี่ยวกับระบอบเผด็จการของเสี่ยม รวมถึงความลำเอียงทางศาสนาที่เอื้อประโยชน์ต่อชาวคริสต์โรมันคาทอลิกและสร้างความเสียเปรียบต่อประชากรชาวพุทธส่วนใหญ่[16] ใน ค.ศ. 1962 เทอได้กล่าวกับโจเซฟ เมนเดนฮอลล์ เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของสถานทูตสหรัฐ ว่าผู้ใต้บัญชาของเสี่ยมในกองทัพดัดแปลงข้อมูลจำนวนนักรบเหวียตกงขึ้นมาเกินจริงโดยพลการ[17]

บทบาทในวิกฤตการณ์ชาวพุทธ

[แก้]

แม้เทอจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็เป็นที่เลื่องลือว่าเขาสรรเสริญรัฐบาลโรมันคาทอลิกของเสี่ยมอย่างออกหน้าออกตา ในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 62 ปีของเสี่ยม เทอได้กล่าวสดุดีว่า "ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานผู้นำให้แก่ประเทศ ผู้ซึ่งความอัจฉริยะยังน้อยกว่า เมื่อเทียบกับความดีงามของเขา"[18] (ทั้งที่ศาสนาพุทธเป็นธรรมิกศาสนา ซึ่งไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าในลักษณะเทวนิยม) ต่อมาเทอได้ร่วมเดินทางไปกับเสี่ยมที่โบสถ์พระมหาไถ่โรมันคาทอลิกเพื่อสวดภาวนาให้แก่ประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม เทอไม่มีฐานสนับสนุนจากประชาชนมากนัก โดยพลเอกแมกซ์เวลล์ เทย์เลอร์ ประธานเสนาธิการร่วมสหรัฐ เคยกล่าวว่า เขา "ไม่น่าประทับใจ"[18][19] ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่มีบทบาทอย่างพอล แคทเทนเบิร์ก เย้ยหยันว่าเทอว่าเป็น "บุคคลที่ไร้ตัวตน"[18][19]

ในอีกด้านหนึ่ง ณ หมู่บ้านลาวัง จังหวัดกว๋างจิ ใกล้พรมแดนเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เชื่อว่าเคยปรากฏร่างผู้หญิงลึกลับในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[20] โดยชาวพุทธเชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (หรือเจ้าแม่กวนอิม; เวียดนาม: Quan Âm) ที่แสดงปาฏิหาริย์ แต่โง ดิ่ญ ถุก พี่ชายของเสี่ยม ผู้เป็นอัครมุขนายกโรมันคาทอลิกแห่งเว้และเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาในระบอบอุปถัมภ์ของรัฐบาลเวียดนามใต้ ได้ประกาศว่าการปรากฏองค์นั้นคือพระนางมารีย์พรหมจารี และสั่งให้สร้างอาสนวิหารขึ้นแทนเจดีย์ชั่วคราวของชาวพุทธที่ตั้งอยู่เดิม เทอได้บริจาคเงินจำนวนมากให้แก่โครงการนี้ด้วยเหตุผลทางการเมือง[21]

ในเดือนมิถุนายน ขณะที่วิกฤตการณ์ชาวพุทธเริ่มทวีความรุนแรง เสี่ยมแต่งตั้งให้เทอเป็นหัวหน้าคณะกรรมการรัฐบาล เพื่อรับมือกับความคับข้องใจของชุมชนชาวพุทธภายหลังเหตุกราดยิงวันวิสาขบูชาในเว้ ซึ่งกองกำลังของรัฐบาลสังหารชาวพุทธเสียชีวิต 8 ราย ขณะประท้วงเรื่องการห้ามแขวนธงศาสนาพุทธ[22][23] คณะกรรมการดังกล่าวสรุปว่าเหตุการณ์นองเลือดนี้เป็นฝืมือของเหวียตกง ทั้งที่มีพยานและคลิปวิดีโอยืนยันว่ากองกำลังของรัฐบาลได้ยิงใส่ผู้ประท้วงโดยตรง การปิดบังข้อเท็จจริงของคณะกรรมการส่งผลให้การประท้วงของชาวพุทธยิ่งรุนแรงขึ้น[24] เมื่อมาดามญู สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งโดยพฤตินัย (ซึ่งเป็นชาวพุทธที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ได้เยาะเย้ยการเผาตัวเองของพระภิกษุทิก กว๋าง ดึ๊ก ว่าเป็น "การย่างเนื้อ" เทอปฏิเสธที่จะประณามคำพูดดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็น "ความเห็นส่วนบุคคล"[25]

เทอเป็นสมาชิกของคณะกรรมการระหว่างกระทรวง ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่เจรจาแถลงการณ์ร่วมกับชาวพุทธเพื่อยุติการดื้อแพ่ง และได้มีการลงนามแต่ไม่เคยปฏิบัติจริง ต่อมาเทอถูกครอบครัวญูวิจารณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ไทมส์ออฟเวียดนาม ในเรื่องข้อตกลงดังกล่าว[26] แม้จะมีการประกาศนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ประท้วงชาวพุทธ แต่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม เทอกลับแถลงข่าวว่าจะดำเนินคดีกับเหยื่อชาวพุทธในเหตุกราดยิงวันวิสาขบูชาที่เว้ และเพิกถอนนิรโทษกรรม พร้อมประกาศจะจับกุมผู้ชุมนุมชาวพุทธอีกครั้ง[27]

ในงานเลี้ยงอำลาเฟรเดอริก โนลติง เอกอัครราชทูตสหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม เทอเรียกร้องให้ "บดขยี้ชาวพุทธอย่างไร้ความปรานี"[28][29] เขายังกล่าวเย้ยหยันว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาและกล่าวเพิ่มเติมว่าในขณะที่ใคร ๆ ก็สามารถบวชเป็นพระได้ แต่การจะเป็นบาทหลวงคาทอลิกต้องใช้เวลาฝึกฝนนานหลายปี เมื่อเอกอัครราชทูตไทยไม่เห็นด้วยต่อความเห็นดังกล่าว โดยยกตัวอย่างการบวชของตนเองในอดีต เทอก็สบประมาทเขาต่อหน้าทูตประเทศอื่น ๆ[28]

เมื่อแรงกดดันต่อรัฐบาลเสี่ยมเพิ่มขึ้นจากวิกฤตการณ์ชาวพุทธ ญูและเสี่ยมเริ่มหันหลังให้กับรัฐมนตรีในคณะ เนื่องจากพวกเขานำเสนอข้อโต้แย้งที่ตรงข้ามกับความคิดของตระกูลโง รัฐมนตรีจำนวนมากพยายามลาออก แต่เทอเป็นผู้โน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งต่อไป เมื่อสถานการณ์ทวีความรุนแรงเกินทน เทอก็พิจารณาจะลาออกเช่นเดียวกัน แต่นายพลฝ่ายค้านเรียกร้องให้เขาอยู่ต่อ เพราะกังวลว่าการลาออกหมู่จะทำให้เกิดความสงสัยว่ามีแผนก่อรัฐประหาร[30]

การเป็นนายกรัฐมนตรี

[แก้]
ร่างของเสี่ยมหลังจากการลอบสังหารเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963

โดยส่วนตัวแล้ว เทอได้แสดงออกถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลเสี่ยมต่อเจ้าหน้าที่สหรัฐ โดยเขาบ่นว่าเสี่ยมพึ่งพาญูในการบริหารประเทศ ความพยายามของญูที่จะขับเคลื่อนรัฐตำรวจผ่านเครือข่ายลับเกิ่นลาว และความล้มเหลวในการรับมือกับเหวียตกง[18] ระหว่างภารกิจแม็กนามารา–เทย์เลอร์ที่เดินทางมายังเวียดนามใต้ เทอยอมรับกับคณะผู้แทนอเมริกันว่าเขาเชื่อว่าประเทศกำลังมุ่งหน้าไปผิดทาง และขอร้องให้สหรัฐกดดันเสี่ยมให้ปฏิรูปนโยบาย[31] นอกจากนี้ เทอยังเปิดเผยเป็นการส่วนตัวว่าหมู่บ้านปราการที่สร้างขึ้นนับพันแห่งภายใต้โครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ของญู มีเพียงไม่ถึงสามสิบแห่งเท่านั้นที่ยังใช้งานได้จริง[32] หลายปีต่อมา เทอกล่าวว่าทั้งเสี่ยมและญู ตลอดจนบุคคลทางการเมืองของสหรัฐที่มีบทบาทต่อนโยบายของเวียดนาม ต่างก็ไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเลย[33]

โจเซฟ เมนเดนฮอลล์ ที่ปรึกษาระดับอาวุโสของเวียดนามในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้เสนอให้ปลดเสี่ยมด้วยรัฐประหารทางทหาร และให้แต่งตั้งเทอขึ้นมาแทนที่[34] เทอทราบดีเป็นการส่วนตัวว่าเขาจะต้องถูกเหล่านายพลเลือกให้เป็นผู้นำรัฐบาลหลังการโค่นล้มเสี่ยม[35] ในช่วงเวลานั้น เสี่ยมและญูเริ่มสงสัยว่ามีการวางแผนรัฐประหารต่อต้านพวกเขา แต่ยังไม่ทราบว่านายพลโตน เทิ้ต ดิ๊ญ ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของรัฐบาล ก็มีส่วนร่วมในแผนการนี้ด้วย[36] ญูจึงสั่งให้ดิ๊ญและนายพลเล กวาง ตุง ผู้บัญชาการกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษสาธารณรัฐเวียดนาม[37] วางแผนรัฐประหารปลอมต่อตระกูลโง

เป้าหมายหนึ่งของญูคือการหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าร่วมการลุกฮือปลอมนี้เพื่อให้อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนแล้วจึงกำจัด[38] ส่วนอีกเป้าหมายหนึ่งคือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ปลอมว่ารัฐบาลยังคงแข็งแกร่ง[36] แผนการนี้เริ่มจากการให้ทหารฝ่ายที่ภักดีแสร้งตนว่าเป็นกลุ่มกบฏ จัดฉากรัฐประหาร และเข้าก่อกวนบริเวณต่าง ๆ ในเมืองหลวง[39] จากนั้นจะมีการประกาศจัดตั้ง "รัฐบาลปฏิวัติ" ซี่งประกอบด้วยนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยรัฐบาล ขณะที่เสี่ยมและญูจะแสร้งว่ากำลังหลบหนี ในช่วงความโกลาหลของรัฐประหารข้างต้น กองกำลังฝ่ายรัฐบาลและเครือข่ายมืดของญูจะลอบสังหารเหล่านายพลผู้เป็นแกนนำในการวางแผน พร้อมด้วยผู้สมรู้ร่วมคิด เช่น เทอ, ลูเซียน โกนีน เจ้าหน้าที่ซีไอเอ, และเฮนรี เคบอต ลอดจ์ จูเนียร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา[40] จากนั้นจะมีการจัดฉาก "รัฐประหารตอบโต้" ซึ่งฝ่ายรัฐบาลจะกลับเข้าสู่ไซ่ง่อนอย่างมีชัยเพื่อฟื้นฟูระบอบเสี่ยม อย่างไรก็ตาม แผนการนี้กลับล้มเหลว เพราะดิ๊ญผู้เป็นส่วนหนึ่งของแผนรัฐประหารที่แท้จริง ได้ส่งกองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกนอกเมืองหลวงเพื่อเปิดทางให้ฝ่ายกบฏบุกเข้าเมืองได้[39][41]

หลังจากรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ซึ่งเสี่ยมและญูถูกลอบสังหารในวันต่อมา คณะทหารของมิญได้แต่งตั้งเทอให้เป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 5 วันต่อมา คือเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 โดยเขาเป็นผู้นำฝ่ายพลเรือนในรัฐบาลชั่วคราวภายใต้การกำกับของคณะทหารปฏิวัติ[42] ก่อนหน้านั้น มิญได้ให้สัญญากับเจ้าหน้าที่สหรัฐว่า ฝ่ายพลเรือนจะมีอำนาจเหนือกว่านายพลในโครงสร้างรัฐบาลใหม่[43] นอกจากนี้ เทอยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจด้วย[44] อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งเทอไม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย โดยมีบุคคลสำคัญบางคนพยายามผลักดันให้ขจัดคราบมรดกจากระบอบเสี่ยมอย่างสิ้นเชิง[45]

ความสัมพันธ์กับคณะทหาร

[แก้]

รัฐบาลพลเรือนของเทอประสบปัญหาความขัดแย้งภายในอย่างหนัก เหงียน หง็อก ฮี ผู้ช่วยของเทอ กล่าวว่า การที่นายพลเจิ่น วัน โดน และโตน เทิ้ต ดิ๊ญ มีตำแหน่งอยู่ทั้งในคณะรัฐมนตรีและคณะทหารปฏิวัติทำให้การบริหารประเทศเป็นอัมพาต แม้ว่าดิ๊ญและโดนจะเป็นผู้ใต้บัญชาของเทอในรัฐบาลพลเรือน แต่สำหรับคณะทหารปฏิวัติแล้ว ทั้งสองกลับมีอำนาจเหนือกว่าเทอ โดยทุกครั้งที่เทอสั่งการในรัฐบาลพลเรือนและทั้งสองไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะไปที่คณะทหารปฏิวัติและออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งของเทอ[44]

หนังสือพิมพ์ในไซ่ง่อน ซึ่งกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังจากการตรวจพิจารณาภายใต้ระบอบเสี่ยมสิ้นสุดลง รายงานว่าคณะทหารไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เนื่องจากนายพลทั้งหมด 12 นาย ในคณะทหารปฏิวัติมีอำนาจเท่าเทียมกัน สมาชิกคณะทหารแต่ละนายมีอำนาจในการยับยั้ง ทําให้พวกเขาสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายได้[46] สื่อมวลชน ซึ่งได้รับเสรีภาพมากขึ้นหลังการล้มอำนาจของเสี่ยม[47] ได้โจมตีเทออย่างหนักหน่วง โดยกล่าวว่ารัฐบาลของเขาเป็นเพียง "เครื่องมือ" ของคณะทหารปฏิวัติ[48] ผลงานของเทอในช่วงรัฐบาลเสี่ยมก็ถูกตั้งคำถาม มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาสนับสนุนเสี่ยมและญูในการปราบปรามชาวพุทธ เทออ้างว่าเขาไม่เคยเห็นด้วยกับการโจมตีวัดซ้าเหล่ยอย่างโหดร้าย โดยพยายามพิสูจน์ว่าเขาตั้งใจจะลาออก หากไม่ใช่เพราะมิญร้องขอให้เขาอยู่ต่อ สื่อมวลชนยังสบประมาทว่าเทอได้ผลประโยชน์ส่วนตัวจากนโยบายที่ดินของรัฐบาลเสี่ยมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มิญออกมาปกป้องเทอ โดยยืนยันว่าเทอมีบทบาทในการวางแผนรัฐประหาร "ตั้งแต่แรกเริ่ม" และเทอก็ได้รับ "ความไว้วางใจอย่างเต็มที่" จากคณะทหาร[48]

ณ ช่วงหนึ่งของเดือนธันวาคม เทอไม่สามารถทนต่อสิ่งที่สื่อเสรีตีพิมพ์เกี่ยวกับตัวเขาได้อีกต่อไป จึงเรียกให้นักข่าวประมาณ 100 คน มายังที่ทำการของเขา เทอซึ่งอยู่ในอารมณ์โกรธได้ตะโกนใส่นักข่าวเหล่านั้นและทุบกําปั้นลงบนโต๊ะ พร้อมต่อว่าพวกเขาเรื่องการรายงานข่าวที่เขามองว่าไม่ถูกต้อง ขาดความรับผิดชอบ และไม่จงรักภักดี เทออ้างว่าสื่อได้โกหกเรื่องที่เขาและคณะรัฐมนตรีพลเรือนเป็นเพียงหุ่นเชิดของเหล่านายพล และยังกล่าวหาว่านักข่าวคนหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนติดยาเสพติด[47] เขากล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะ "ดำเนินมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้" หากสื่อไม่รายงานอย่างมีความรับผิดชอบ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้ให้นายพลโด๋ เหมิ่ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ เผยแพร่รายการหัวข้อที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รายงาน และในวันถัดมา เทอก็สั่งให้เหมิ่วดำเนินการปิดหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ ด้วยเหตุผล "ไม่จงรักภักดี"[47]

เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1964 สภาผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วยพลเรือนชั้นนำ 60 คน ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก โดยสมาชิกทั้งหมดได้รับเลือกโดยพันเอกฝั่ม หง็อก ถาว หน้าที่ของสภานี้คือให้คำปรึกษากับฝ่ายทหารและพลเรือนของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชน รัฐธรรมนูญ และระบบกฎหมาย เทอได้แถลงต่อสาธารณชนว่าเขาคาดหวังให้สภานี้มี "ทัศนคติที่มีเหตุผล" ควบคู่กับ "การตัดสินที่เป็นกลางและอยู่บนพื้นฐานของความจริง" และกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของรัฐบาลชั่วคราวในการ "เปิดทางสู่ระบอบการปกครองที่มั่นคง ซึ่งประชาชนของเราปรารถนา"[49] สภานี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและแกนนำจากแวดวงวิชาการเกือบทั้งหมด โดยไม่มีตัวแทนจากภาคเกษตรกรรมหรือแรงงานเข้าร่วม ไม่นานหลังจากนั้น สภาก็กลายเป็นเวทีถกเถียงไม่รู้จบ และไม่สามารถดำเนินภารกิจหลักในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จได้ ภายหลังเทอยอมรับว่าสภานี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของสังคมเวียดนามใต้ที่แท้จริง และถือเป็นความล้มเหลว เขาอธิบายว่าความตั้งใจของสภาที่จะไม่เป็นเพียงตรายางเหมือนรัฐสภาในยุคเสี่ยม ได้กลับกลายเป็นสังคมแห่งการถกเถียงไปมาโดยไม่มีข้อสรุป[49]

นโยบาย

[แก้]

เมื่อรัฐบาลเสี่ยมล่มสลายลง มาตรการลงโทษต่าง ๆ ที่สหรัฐเคยใช้กับเวียดนามใต้ เพื่อตอบโต้การปราบปรามในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ชาวพุทธและการตีโฉบฉวยวัดซ้าเหล่ยของกองกำลังพิเศษของญูได้รับการยกเลิก ไม่ว่าจะเป็นการระงับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหรัฐ การระงับโครงการนำเข้าเครื่องอุปโภคบริโภคและการพัฒนาทุนจำนวนมากล้วนได้รับการยกเลิกทั้งสิ้น เนื่องจากสหรัฐต้องการแสดงการรับรองรัฐบาลเทอและมิญโดยเร็ว[50]

รัฐบาลเทอได้ยุติโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ของญู ซึ่งญูเคยกล่าวยกย่องโครงการนี้ว่าเป็นทางออกของปัญหาการก่อการกำเริบของเหวียตกง โดยเขาเชื่อว่าการย้ายถิ่นฐานชาวนาจำนวนมากไปอยู่ในหมู่บ้านปราการจะช่วยตัดขาดฐานสนับสนุนของเหวียตกงในหมู่ชาวบ้าน เทอได้โต้แย้งรายงานก่อนหน้าของญูที่เกี่ยวกับความสำเร็จของโครงการ โดยอ้างว่ามีเพียงร้อยละ 20 จากหมู่บ้านยุทธศาสตร์ทั้งหมด 8,600 แห่งเท่านั้น ที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลไซ่ง่อน ส่วนที่เหลือถูกคอมมิวนิสต์ยึดครอง หมู่บ้านที่ยังสามารถรักษาไว้ได้ก็ถูกรวมเข้าด้วยกัน ส่วนหมู่บ้านที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ถูกรื้อถอน และผู้อยู่อาศัยถูกส่งกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตนเอง[51]

วิธีของเทอในการกำจัดฝ่ายสนับสนุนเสี่ยมจากตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลได้รับคำวิจารณ์จากทั้งฝ่ายสนับสนุนหรือแม้แต่ฝ่ายต่อต้านอดีตประธานาธิบดีผู้นี้เสียเอง บางฝ่ายรู้สึกว่าเขาไม่เด็ดขาดพอในการขจัดกลุ่มผู้สนับสนุนเสี่ยมออกจากอำนาจ ส่วนบางฝ่ายกลับมองว่าการปลดข้าราชการจำนวนมากเป็นเรื่องที่เกินจำเป็นและใกล้เคียงกับการล้างแค้น เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งที่ถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือการกดขี่ภายใต้รัฐบาลเสี่ยมถูกจับกุมอย่างไม่เลือกหน้าโดยไม่มีการตั้งข้อหา ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง ดิ๊ญและนายพล มาย หืว ซวน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ได้รับอำนาจควบคุมกระทรวงมหาดไทย โดยทั้งสองเผชิญข้อกล่าวหาว่าจับกุมผู้คนเป็นจำนวนมาก แล้วปล่อยตัวหลังได้รับสินบนหรือคำมั่นว่าจะภักดี[46] แม้เจ้าหน้าที่ทุกคนในรัฐบาลเสี่ยมจะไม่ถือว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนเสี่ยมโดยปริยาย แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้ปลดเจ้าหน้าที่รุ่นเก่าต่อไป รัฐบาลได้รับคำวิจารณ์อย่างหนักจากการไล่ออกนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวนมากที่เสี่ยมแต่งตั้ง ซึ่งทำให้การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยเกิดความปั่นป่วนในช่วงเปลี่ยนผ่าน หนึ่งในกรณีที่ตกเป็นเป้าของสาธารณชนและถูกวิจารณ์อย่างหนักคือการไม่ปลดนายพล โด๋ กาว จี๊ ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 1 แห่งกองทัพบกเวียดนามใต้ ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามชาวพุทธอย่างเข้มงวดบริเวณภาคกลางใกล้กับเว้ โดยจี๊เพียงถูกย้ายไปสังกัดกองทัพภาคที่ 2 ในที่ราบสูงตอนกลาง ซึ่งตั้งอยู่ติดทางใต้ของพื้นที่ภาคเดิมเท่านั้น[46]

เทอและนายพลระดับสูงในคณะทหารปฏิวัติยังมีแผนการลับในการยุติการก่อการกำเริบของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งเรียกตัวเองว่า "แนวร่วมปลดปล่อยชาติ" และอ้างว่าเป็นอิสระจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเหนือ พวกเขาเชื่อว่าสมาชิกแนวร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้ฝักใฝ่ชาตินิยมทางภาคใต้ที่ต่อต้านการแทรกแซงทางทหารจากต่างชาติ รวมถึงการเข้ามามีบทบาทและสนับสนุนเสี่ยมของสหรัฐ คณะทหารปฏิวัติและเทอมองว่าการบรรลุข้อตกลงยุติสงครามภายในเวียดนามใต้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้[52] โดยหลายปีต่อมา เทอได้กล่าวว่าแผนการของรัฐบาลคือการสร้างแรงสนับสนุนจากลัทธิกาวด่าย ลัทธิฮหว่าหาว และชนกลุ่มน้อยชาวกัมพูชา ซึ่งบางส่วนอยู่ในแนวร่วมปลดปล่อยชาติ ให้กลับเข้าสู่ระบบการเมืองสายตะวันตกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เขาเชื่อว่าการกีดกันคอมมิวนิสต์นั้นเป็นไปได้ โดยเขาได้อธิบายกลุ่มคอมมิวนิสต์ในแนวร่วมนี้ว่า "ยังไม่มีบทบาทหลักและมีสถานะเพียงเล็กน้อย"[53] เทอระบุว่าแผนนี้ไม่ใช่การเจรจากับคอมมิวนิสต์หรือแนวร่วมปลดปล่อยชาติ แต่เป็นความพยายามทางการเมืองเพื่อดึงกลุ่มไม่ใช่คอมมิวนิสต์กลับเข้ามาและแยกฝ่ายคอมมิวนิสต์[54]

รัฐบาลได้ปฏิเสธข้อเสนอของอเมริกาในการทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือ โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลสูญเสียความได้เปรียบทางศีลธรรม ซึ่งรัฐบาลอ้างสิทธิ์ไว้บนพื้นฐานของการต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองเพียงอย่างเดียว[55] สำหรับฝ่ายรัฐบาลแล้ว กลุ่มผู้นำของมิญและเทอเชื่อว่าควรใช้วิธีทางทหารที่ไม่โจ่งแจ้งนัก เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการต่อต้านการก่อความไม่สงบ[56] มิญและเทอปฏิเสธแผนทิ้งระเบิดอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาในการประชุมกับเจ้าหน้าที่สหรัฐ เมื่อวันที่ 21 มกราคม โดยนักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลีย แอนน์ อี. แบลร์ ระบุว่าการปฏิเสธครั้งนั้นเปรียบเสมือนการปิดผนึก "คำพิพากษาประหารชีวิต" ของรัฐบาล[57]

แบลร์ชี้ว่าหลังจากรายงานการประชุมดังกล่าวส่งไปยังวอชิงตัน บรรดานายพลระดับสูงในกองทัพสหรัฐได้วิ่งเต้นกับโรเบิร์ต แม็กนามารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ โดยอ้างว่าไม่อาจดำเนินงานภายใต้กรอบที่รัฐบาลไซ่ง่อนกำหนดได้อีกต่อไป และสหรัฐควรเข้าควบคุมนโยบายทางทหารต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการรัฐประหาร[57] สหรัฐยิ่งวิตกมากขึ้นต่อท่าทีไม่เต็มใจของรัฐบาลไซ่ง่อนในการทำสงคราม และการปฏิเสธข้อเสนอทิ้งระเบิดก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ[56][57] แผนของรัฐบาลในการเอาชนะแนวร่วมปลดปล่อยชาติไม่เคยมีการนำมาใช้อย่างจริงจัง ก่อนที่รัฐบาลจะถูกโค่นอำนาจลง[55]

จุดจบ

[แก้]

เนื่องด้วยขาดทิศทางในด้านนโยบายและการวางแผน ส่งผลให้รัฐบาลชั่วคราวล่มสลายอย่างรวดเร็ว[58] จำนวนการโจมตีแถบชนบทที่เหวียตกงก่อเพิ่มสูงขึ้นหลังจากการโค่นล้มเสี่ยม เนื่องจากการย้ายกำลังทหารเข้าเมืองเพื่อสนับสนุนรัฐประหาร การอภิปรายที่เสรีมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องภายหลังรัฐประหาร ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ทางทหารเลวร้ายยิ่งกว่าที่เสี่ยมรายงานไว้ การโจมตีของเหวียตกงยังคงเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับในฤดูร้อน ค.ศ. 1963 อัตราการสูญเสียอาวุธย่ำแย่ลง และจำนวนผู้แปรพักตร์จากเหวียตกงลดลง หน่วยทหารที่เข้าร่วมรัฐประหารถูกส่งกลับไปประจำการในพื้นที่ชนบทเพื่อป้องกันการรุกรานครั้งใหญ่จากคอมมิวนิสต์ที่อาจเกิดขึ้นได้ การปลอมแปลงข้อมูลทางทหารโดยเจ้าหน้าที่ของเสี่ยมทำให้เกิดการคำนวณผิดพลาด ซึ่งปรากฏให้เห็นในสมรภูมิหลังการเสียชีวิตของเสี่ยม[50] นอกจากความปราชัยในสนามรบซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของเขาแล้ว เทอยังสูญเสียความนิยมในหมู่ทหารอีกด้วย หนึ่งในเป้าหมายของแผนรัฐประหารเพื่อต่อต้านมิญในเวลานั้นคือการปลดเทอ และความไม่เป็นที่นิยมของนายกรัฐมนตรีผู้นี้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของนายทหารบางคนจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวพวกเขาเองเป็นเป้าหมายหลัก ในช่วงเวลานั้น คณะทหารปฏิวัติกำลังเดินหน้าปลดเทอ โดยมีเพียงมิญผู้เดียวในบรรดานายพลอาวุโสที่ยังคงไว้วางใจเขา[59]

เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายพลเหงียน คั้ญ ขับคณะทหารปฏิวัติของมิญออกจากอำนาจในรัฐประหารก่อนรุ่งสางที่ไร้การนองเลือด แม้ว่าคั้ญจะกล่าวหาว่าคณะทหารตั้งใจที่จะทำข้อตกลงกับคอมมิวนิสต์และอ้างว่าตนเองมีหลักฐาน แต่แท้จริงแล้วสาเหตุของรัฐประหารมาจากความทะเยอทะยานส่วนตัว โดยหลังจากคั้ญถูกปลดจากอำนาจในปีต่อมา เขาได้ยอมรับว่าข้อกล่าวหาต่อกลุ่มของมิญเป็นเท็จ[60][61][62] หลายปีต่อมา ทั้งคั้ญ เทอ และเหล่านายพลของมิญ ต่างมีความเห็นตรงกันว่ารัฐประหารได้รับการหนุนหลังอย่างมากจากสหรัฐ และทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการสนับสนุนเหล่านี้[63]

เทอถูกจับกุมในระหว่างรัฐประหารและถูกกักบริเวณในบ้าน ขณะที่กลุ่มผู้ก่อการกำลังรวบอำนาจไว้ในมือ โดยหลังจากนั้นเขาก็ถูกกำจัดออกจากเวทีการเมือง[64] คั้ญแต่งตั้งคนของตนเข้ามาแทนฝ่ายพลเรือนของรัฐบาล ทำให้เทอถอนตัวจากแวดวงการเมือง หลังจากสะสมความมั่งคั่งส่วนตัวในช่วงที่อยู่ในรัฐบาล[65] ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเขาหลังออกจากการเมือง เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1976 ที่เมืองไซ่ง่อน–ซาดิญ

อ้างอิง

[แก้]
  1. VietBao Daily News OnlineLife Vice President Nguyen Ngoc Tho
  2. 1 2 3 4 "South Viet Nam: Revolution in the Afternoon". Time. 8 November 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2008. สืบค้นเมื่อ 28 October 2009.
  3. Lentz, p. 831
  4. Dommen, p. 56
  5. 1 2 3 4 5 6 Jones, pp. 99–100, 258
  6. Tai, p. 196
  7. Lansdale, p. 322
  8. Doyle, p. 131
  9. Moyar, p. 65
  10. Buttinger, p. 944
  11. Buttinger, p. 954
  12. Jacobs, p. 95
  13. Jinkins, pp. 156–57.
  14. 1 2 Jinkins, p. 169
  15. Kaiser, pp. 74–75.
  16. Kaiser, p. 103.
  17. Kaiser, p. 157
  18. 1 2 3 4 Hammer, pp. 20–21
  19. 1 2 Jones, p. 276
  20. Hammer, p. 103
  21. Hammer, p. 104
  22. Hammer, p. 136
  23. Jones, p. 264
  24. Jacobs, p. 152
  25. Jones, p. 294
  26. Kaiser, pp. 215–17
  27. Kaiser, p. 223
  28. 1 2 Warner, pp. 230–31
  29. Moyar, p. 231
  30. Shaplen, p. 190
  31. Hammer, p. 219
  32. Hammer, p. 373
  33. Hickey, pp. 56.
  34. Hammer, p. 193
  35. Jones, p. 325
  36. 1 2 Karnow, p. 318
  37. Karnow, p. 317
  38. Jones, pp. 398–99
  39. 1 2 Hatcher, p. 149
  40. Sheehan, p. 368
  41. Karnow, p. 319
  42. Hammer, pp. 300–01
  43. Moyar, p. 276
  44. 1 2 Jones, p. 437
  45. Diem, p. 107
  46. 1 2 3 Shaplen, p. 221
  47. 1 2 3 Moyar, p. 280
  48. 1 2 Shaplen, p. 223
  49. 1 2 Shaplen, p. 225
  50. 1 2 "The Overthrow of Ngo Dinh Diem, May–November, 1963". The Pentagon Papers. pp. 266–76. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2008. สืบค้นเมื่อ 2 November 2007.
  51. Shaplen, p. 220
  52. Kahin (1979), pp. 648–50
  53. Kahin (1979), pp. 649–50
  54. Kahin (1986), p. 185
  55. 1 2 Kahin (1979), p. 653
  56. 1 2 Kahin (1986), p. 186
  57. 1 2 3 Blair, p. 107
  58. Shaplen, p. 213
  59. Kahin (1986), p. 196
  60. Blair, p. 115
  61. Langguth, p. 347
  62. Shaplen, pp. 225–40
  63. Kahin (1986), p. 197
  64. Smith, Hedrick (31 January 1964). "New Saigon chief tightening rule; junta broken up". The New York Times. p. 1.
  65. Shaplen, p. 145

บรรณานุกรม

[แก้]
ก่อนหน้า เหงียน หง็อก เทอ ถัดไป
เริ่มตำแหน่ง รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐเวียดนาม
(ค.ศ. 1956–1963)
เหงียน กาว กี่ (ใน ค.ศ. 1967)
นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเวียดนาม
(ค.ศ. 1963–1964)
เหงียน คั้ญ