ไท่ผิงเทียนกั๋ว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก เมืองแมนแดนสันติ)
ไท่ผิงเทียนกั๋ว

太平
ค.ศ. 1851–ค.ศ. 1864
ธงชาติ
ธงที่ใช้ในเมือง
ตราพระราชลัญจกรของ
ตราพระราชลัญจกร
อาณาเขต
อาณาเขต
สถานะราชอาณาจักร
เมืองหลวงเทียนจิง
ภาษาทั่วไปจีน
ศาสนา
ทางการ:
การบูชาเทวดา
ไม่เป็นทางการ:
การปกครองการผสานความเชื่อศาสนาคริสต์-เฉินโดยเทวาธิปไตย สมบูรณาญาสิทธิราชย์
เทียนหวัง (เจ้าฟ้า) 
• ค.ศ. 1851–1864
หง ซิ่วเฉฺวียน
• ค.ศ. 1864
หง เทียนกุ้ยฝู
เจ้าชั้นรอง 
ยุคประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิง
11 มกราคม ค.ศ. 1851
• การยึดหนานจิง
มีนาคม ค.ศ. 1853
ค.ศ. 1856
• การเสียชีวิตของหง เทียนกุ้ยฝู
18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1864
สกุลเงินเชิ่งเป๋า
ก่อนหน้า
ถัดไป
ราชวงศ์ชิง
ราชวงศ์ชิง
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ จีน

ไท่ผิงเทียนกั๋ว (จีนตัวย่อ: 太平天囯; จีนตัวเต็ม: 太平天國; พินอิน: Tàipíng Tiānguó; "กรุงเทพมหาสันติ") เป็นชื่อรัฐซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลราชวงศ์ชิงตั้งแต่ ค.ศ. 1851 ถึง 1864 มีเมืองหลวงอยู่ที่เทียนจิง (天京) หรือปัจจุบันคือหนานจิง (南京) สนับสนุนปฏิบัติการของหง ซิ่วเฉฺวียน (洪秀全) และพรรคพวกซึ่งเรียกตนเองว่า ลัทธิป้ายช่างตี้ (拜上帝教; "ลัทธิบูชามหาเทพ") ในการโค่นล้มราชวงศ์ชิง จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว

หง ซิ่วเฉฺวียน เข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกด้วยตนเอง แล้วประกาศตนเป็นโอรสองค์ที่สองของพระเป็นเจ้าและเป็นอนุชาของพระเยซู ก่อนนำทัพยึดภาคส่วนสำคัญในจีนตอนใต้ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนได้ผู้เข้าร่วมเกือบ 30 ล้านคน ฝ่ายกบฏประกาศจะปฏิรูปสังคม และจะแทนที่ลัทธิขงจื๊อ ศาสนาพุทธ และศาสนาพื้นเมืองจีน ด้วยศาสนาคริสต์ที่มีการบูชาเทวดา แต่ภายหลัง กองทัพรัฐบาลจีนยึดพื้นที่คืนได้เกือบหมด แล้วได้กองทัพฝรั่งเศสกับบริเตนมาช่วยปราบกบฏจนราบคาบ

ภูมิหลัง[แก้]

กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศจีนภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงประสบปัญหาหลายประการเนื่องจากภัยทางธรรมชาติ ข้าวยากหมากแพง และพ่ายสงครามกับมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ยับเยินต่อบริเตนในสงครามฝิ่นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1842 สงครามยังทำให้การขนส่งสินค้าปั่นป่วนและผู้คนมากมายตกงาน ผู้ได้รับผลกระทบจากสภาวะดังกล่าวจึงหันเข้าหาหง ซิ่วเฉฺวียน ชายผู้ขายฝันและมากบารมี

หง ซิ่วเฉฺวียน เป็นบัณฑิตซึ่งสอบตกหลายครั้ง เขามักบอกญาติสนิทมิตรสหายว่า ในความฝัน มีชายผมทองหนวดทองคนหนึ่งมามอบดาบให้แก่เขา และมีชายอีกคนซึ่งอ่อนวัยกว่าคนแรกมาหาเขา และเขาเรียกชายคนหลังนี้ว่า "พี่ชาย" ต่อมาในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1830 เขาได้อ่านหนังสือหนา 500 หน้าเรื่อง เฉฺวียนชื่อเหลียงหยาน (勸世良言; "พระวจนะแนะโลก") ของเหลียง ฟา (梁發) ชายจีนซึ่งเข้ารีตเป็นโปรเตสแตนต์ จึงเอาความฝันตีความเข้ากับสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ที่อ่านพบ แล้วเข้าใจว่า ชายผมทองหนวดทองที่มาหาคือพระเทพบิดร ส่วนชายอีกคนคือพระเยซู และความฝันของตนหมายความว่า ตนเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า และเป็นน้องชายของพระเยซู โดยทั้งสองพระองค์เสด็จมาชี้แนะให้เขากำจัด "มาร" (ซึ่งเขาตีความว่า หมายถึง ชาวแมนจู) ให้หมดไปจากโลก เขาจึงเห็นเป็นหน้าที่ของตนในอันที่จะเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในประเทศจีนและโค่นล้มราชวงศ์ชิง

ภายหลัง เขาได้คนสำคัญมาร่วมขบวนการ คือ

  • หยาง ซิ่วชิง (楊秀清) ซึ่งเดิมขายฟืนขายถ่านอยู่ในกว่างซี (广西) และมักอ้างว่า ตนเป็นปากเสียงของพระผู้เป็นเจ้า[1]
  • เฝิง ยฺหวินชาน (馮雲山) ซึ่งก่อตั้งสมาคมลับ เรียก ลัทธิป้ายช่างตี้ ขึ้นในกว่างซี หลังจากเดินทางลงพื้นที่ไปเผยแพร่แนวคิดของหง ซิ่วเฉฺวียน เมื่อ ค.ศ. 1844[2]

หง ซิ่วเฉฺวียน ตั้งตนเป็นประมุขลัทธิป้ายช่างตี้ใน ค.ศ. 1847[3] ลัทธิของเขาขยายตัวมากในปลายคริสต์ทศวรรษ 1840 แนวความคิดของเขา "พัฒนาขึ้นเป็นศาสนาจีนแบบใหม่ซึ่งมีพลวัตมาก...เรียกว่า ศาสนาคริสต์แบบไท่ผิง" เขานำเสนอศาสนาใหม่นี้ว่า เป็นการรื้อฟื้นศาสนาโบราณแบบช่างตี้ (上帝) ที่ถูกลัทธิขงจื๊อและระบอบกษัตริย์บดบังมานาน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเห็นว่า ลัทธิของเขาเป็นภัย จึงปราบปราม ส่งผลให้ขบวนการของเขามุ่งเป้ามาที่การล้มล้างรัฐบาล และนำไปสู่สงครามกลางเมือง[4]

ประวัติ[แก้]

การก่อตั้งรัฐ[แก้]

หง ซิ่วเฉฺวียน เริ่มออกหน้าต่อต้านรัฐบาลในพื้นที่กว่างซีเมื่อ ค.ศ. 1850 ต่อมา หง ซิ่วเฉฺวียน ประกาศตั้งประเทศใหม่ เรียกว่า "ไท่ผิงเทียนกั๋ว" ในวันที่ 11 เดือน 1 (ตรงกับวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1851) อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของตน โดยตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งประเทศดังกล่าว เรียกว่า "เทียนหวัง" (天王; "เจ้าฟ้า")[5] เขาตั้งเฝิง ยฺหวินชาน เป็นที่ปรึกษาในการกบฏ และเป็นผู้บริหารไท่ผิงเทียนกั๋ว แต่ไม่นาน เฝิง ยฺหวินชาน ก็เสียชีวิตใน ค.ศ. 1852[6]

หลังปะทะกับฝ่ายบ้านเมืองหลายครั้ง ความรุนแรงทวีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1851 เกิดเป็นการลุกฮือที่จินเถียน (金田起義) ซึ่งกองทัพราชวงศ์ชิงที่มีกำลังน้อยถูกฝ่ายกบฏของหง ซิ่วเฉฺวียน ที่มีกำลังถึง 10,000 คน โจมตีแตกพ่าย[6] ครั้น ค.ศ. 1853 กองทัพกบฏไท่ผิงเทียนกั๋วยึดหนานจิง ("เมืองใต้") ได้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "เทียนจิง" ("เมืองฟ้า") หง ซิ่วเฉฺวียน เอาจวนผู้ว่าราชการมาทำเป็นที่อยู่ของตน เรียก "เทียนหวังกง" (天王宮; "วังเจ้าฟ้า") แล้วสั่งฆ่าชาวแมนจูให้สิ้น ครั้งนั้น มีชาวแมนจูกว่า 40,000 คนถูกสังหารในหนานจิง[7] เริ่มแรก กบฏไท่ผิงเทียนกั๋วประหารแต่ชายชาวแมนจู แล้วบังคับให้หญิงชาวแมนจูไปใช้แรงงานนอกเมืองหนานจิง แต่ภายหลังก็เผาหญิงตายทั้งเป็นตามไปด้วย[8]

หง ซิ่วเฉฺวียน ประสบความสำเร็จในการขยายขอบเขตของไท่ผิงเทียนกั๋วไปทั่วจีนตอนใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ในหุบผาแม่น้ำแยงซีอันอุดมสมบูรณ์ จากนั้น ฝ่ายกบฏส่งทหารขึ้นเหนือไปยึดเป่ย์จิง เมืองหลวงของราชวงศ์ชิง แต่ล้มเหลว

ความขัดแย้งภายใน[แก้]

ใน ค.ศ. 1853 หง ซิ่วเฉฺวียน ถอนตัวจากการควบคุมนโยบายบริหารไท่ผิงเทียนกั๋ว เอาแต่ออกประกาศที่เขียนด้วยภาษาแบบศาสนา เพราะขัดแย้งกับหยาง ซิ่วชิง ในประเด็นทางนโยบาย และสงสัยหยาง ซิ่วชิง ที่มีทีท่าทะเยอทะยาน วางสายลับไว้ทั่ว และมักออกแถลงการณ์โดยอ้างว่า เป็นรับสั่งของพระเจ้า ฝ่ายผู้สนับสนุนหง ซิ่วเฉฺวียน จับหยาง ซิ่วชิง และพรรคพวก ประหารทั้งตระกูลใน ค.ศ. 1856[9]

เมื่อผู้นำมีปัญหากันเอง สมาชิกหลักในลัทธิของหง ซิ่วเฉฺวียน ก็พากันขยายฐานผู้สนับสนุนของตนไปทางชนชั้นกลางของจีน บ้างก็ไปทางมหาอำนาจยุโรป แต่ไม่สำเร็จทั้งสองทาง เพราะชนชั้นกลางไม่ชอบใจที่ลัทธินี้ต่อต้านประเพณีจีนและคุณธรรมแบบขงจื๊อ ขณะที่ยุโรปก็ตัดสินใจจะเป็นกลาง

ใน ค.ศ. 1859 หง เหรินกาน (洪仁玕) ญาติของหง ซิ่วเฉฺวียน มาเข้าร่วมขบวนการของหง ซิ่วเฉฺวียน และได้รับมอบอำนาจมากมาย หง เหรินกาน วางแผนจะขยายอาณาเขตไท่ผิงเทียนกั๋ว ครั้น ค.ศ. 1860 กบฏไท่ผิงเทียนกั๋วยึดซูโจว (苏州) กับหางโจว (杭州) ทางตะวันออกได้ในยุทธการที่จิงหนาน แต่ยึดช่างไห่ (上海) ในยุทธการที่ช่างไห่ไม่สำเร็จ ทำให้รัฐไท่ผิงเทียนกั๋วเริ่มเสื่อมอำนาจ

การล่มสลาย[แก้]

ยุทธการที่ช่างไห่ดังกล่าวเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1860 แรกเริ่มดูจะไปได้ดี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพราชวงศ์ชิงที่ได้ความช่วยเหลือจากทหารยุโรปของนายพลเฟรเดริก ทาวน์เซนด์ วอร์ด (Frederick Townsend Ward) ก็ล้มไม่เป็นท่า[6]

กองทัพราชวงศ์ชิงได้รับการปรับปรุงใหม่ภายใต้การบริหารของเจิง กั๋วฟาน (曾國藩) กับหลี่ หงจาง (李鴻章) ทำให้ยึดพื้นที่คืนจากฝ่ายกบฏได้เกือบหมดในต้น ค.ศ. 1864

เมื่อกองทัพราชวงศ์ชิงมาล้อมหนานจิงใน ค.ศ. 1864 หง ซิ่วเฉฺวียน ประกาศต่อผู้คนว่า พระเป็นเจ้าจะอยู่ข้างพวกเขา แต่ในเดือนมิถุนายน ปีนั้น หง ซิ่วเฉฺวียน เก็บผักป่ามากิน เพราะอาหารในเมืองขาดแคลน การกินผักป่าทำให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษจนเขาล้มป่วยลงถึง 20 วันและเสียชีวิต ไม่กี่วันให้หลัง กองทัพราชวงศ์ชิงยึดหนานจิงได้ เจิง กั๋วฟาน ให้ขุดศพเขาขึ้นมาตรวจสอบแล้วเผาทิ้งไป เถ้ากระดูกที่เหลือให้ยิงออกจากปืนใหญ่กระจายไปทั่วสารทิศ เพื่อที่ร่างเขาจะได้ไม่มีที่พักวิญญาณเป็นหลักแหล่ง เป็นการลงโทษที่ก่อการกำเริบ

สี่เดือนก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะยึดหนานจิงได้ หง ซิ่วเฉฺวียน สละตำแหน่งกษัตริย์ให้แก่บุตรชายคนโตวัย 15 ปีของตนชื่อ หง เทียนกุ้ยฝู (洪天貴福) แต่เมื่อบิดาตายและหนานจิงถูกยึด หง เทียนกุ้ยฝู ไม่รู้ที่จะทำประการใดให้รัฐไท่ผิงเทียนกั๋วกลับคืนมาได้ บรรดาญาติพี่น้องของหง ซิ่วเฉฺวียน ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหวัง (王; "เจ้า") ก็ถูกประหารชีวิตในตำบลจินหลิง (金陵城) ของเมืองหนานจิงนั้น

แม้การยึดหนานจิงใน ค.ศ. 1864 จะเป็นจุดสิ้นสุดของไท่ผิงเทียนกั๋ว แต่การรบรายังไม่ยุติ ทหารกบฏที่เหลืออยู่นับพันยังต่อสู้ต่อต้านรัฐบาลต่อไป ราชวงศ์ชิงต้องใช้เวลาอีก 7 ปีเพื่อปราบกบฏจนราบคาบ ทหารกบฏกลุ่มสุดท้ายที่มีหลี่ ฝูจง (李福忠) เป็นหัวหน้า ถูกปราบปรามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1871 ในภูมิภาคชายแดนเมืองกว่างซี, กุ้ยโจว (贵州), และหูหนาน (湖南)

การปกครอง[แก้]

ผู้ปกครองสูงสุด[แก้]

"เทียนหวัง" (天王; "เจ้าฟ้า") เป็นตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดในประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ได้แก่

  • หง ซิ่วเฉฺวียน (洪秀全) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1851 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1864 ใช้ชื่อรัชศกว่า "ยฺเหวียนเหนียน" (元年; "ปีต้น")
  • หง เทียนกุ้ยฝู (洪天貴福) บุตรชายหัวปีของหง ซิ่วเฉฺวียน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1864 ถึงเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน ไม่ทันได้ตั้งรัชศก

ผู้ปกครองชั้นรอง[แก้]

ตำแหน่งรองลงจากเทียนหวัง คือ ผู้ปกครองแว่นแคว้น ซึ่งมอบให้แก่สาวกคนสำคัญของหง ซิ่วเฉฺวียน ได้แก่

  • "หนานหวัง" (南王; "เจ้าทักษิณ") ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เฝิง ยฺหวินชาน (馮雲山) ซึ่งถูกสังหารในสงครามเมื่อ ค.ศ. 1852
  • "ตงหวัง" (東王; "เจ้าบูรพา) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ หยาง ซิ่วชิง (楊秀清) ซึ่งถูกเจ้าอุดรฆ่าในการรัฐประหารเมื่อ ค.ศ. 1856
  • "ซีหวัง" (西王; "เจ้าประจิม) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เซียว เฉากุ้ย (蕭朝貴) ซึ่งถูกสังหารในสงครามเมื่อ ค.ศ. 1852
  • "อี้หวัง" (翼王; "เจ้าภาค") ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ ฉือ ต๋าคาย (石達開) ซึ่งถูกราชวงศ์ชิงจับกุมและประหารใน ค.ศ. 1863
  • "เป่ย์หวัง" (北王; "เจ้าอุดร") ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เหวย์ ชางฮุย (韋昌輝) ซึ่งถูกสังหารใน ค.ศ. 1856

อื่น ๆ[แก้]

หง ซิ่วเฉฺวียน ยังตั้งพวกพ้องเป็น "หวัง" (王; "เจ้า") อีกหลายคน ได้แก่

  • "ก่านหวัง" (干王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ หง เหรินกาน (洪仁玕) ญาติของหง ซิ่วเฉฺวียน อยู่ในตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1822 จนถูกราชวงศ์ชิงจับกุมและประหารชีวิตใน ค.ศ. 1864
  • "จงหวัง" (忠王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ หลี่ ซิ่วเฉิง (李秀成) ตั้งแต่ ค.ศ. 1823 จนถูกราชวงศ์ชิงจับกุมและประหารใน ค.ศ. 1864
  • "จุนหวัง" (遵王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ ล่าย เหวินกวัง (賴文光) ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1827 จนถึง ค.ศ. 1868
  • "ฝูหวัง" (福王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ
    • หง เหรินต๋า (洪仁達) พี่ชายคนที่สองของหง ซิ่วเฉฺวียน ถูกราชวงศ์ชิงจับตัวได้และประหารเสียใน ค.ศ. 1864
    • หง เหรินฟู่ (洪仁富) ญาติของหง ซิ่วเฉฺวียน
  • "หย่งหวัง" (勇王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ หง เหรินกุ้ย (洪仁貴) ญาติของหง ซิ่วเฉฺวียน
  • "อานหวัง" (安王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ หง เหรินฟา (洪仁發) พี่ชายคนโตสุดของหง ซิ่วเฉฺวียน
  • "อิงหวัง" (英王) ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เฉิน ยฺวี่เฉิง (陳玉成) ตั้งแต่ ค.ศ. 1837 จนถึง ค.ศ. 1862
  • ตำแหน่งไม่ทราบ ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เถียน กุ้ย (田貴) ถูกราชวงศ์ชิงจับกุมและประหารใน ค.ศ. 1864

เงินตรา[แก้]

ในปีแรกที่ก่อตั้ง ไท่ผิงเทียนกั๋วผลิตเหรียญกระษาปณ์ เส้นผ่านศูนย์กลาง 23–26 มิลลิเมตร หนักราว 4.1 กรัม ด้านหลังจารึกข้อความว่า "เชิ่งเป่า" (聖寶; "ศักดิ์สิทธิ์และสูงค่า") นอกจากนี้ ยังออกธนบัตรของตนเอง[10]

อ้างอิง[แก้]

  1. Spence (1990), p. p. 171.
  2. "Feng Yunshan (Chinese rebel leader) - Britannica Online Encyclopedia". Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 2013-03-08.
  3. "Taiping Rebellion (Chinese history) - Britannica Online Encyclopedia". Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 2013-03-08.
  4. Reilly (2004), p. 4.
  5. China: A New History, John King Fairbank and Merle Goldman. Harvard, 2006.
  6. 6.0 6.1 6.2 Spence (1996)
  7. Matthew White (2011). Atrocities: The 100 Deadliest Episodes in Human History. W. W. Norton. p. 289. ISBN 978-0-393-08192-3.
  8. Reilly (2004), p. 139.
  9. Spence 1996, p. 243
  10. "Money of the Kingdom of Heavenly Peace". The Currency Collector. สืบค้นเมื่อ 24 March 2016.

บรรณานุกรม[แก้]

ผลงานที่อ้างถึง