ข้ามไปเนื้อหา

เมืองมุกดาหาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มุกดาหาร
พ.ศ. 2313 – พ.ศ. 2442
เมืองหลวง
  • เมืองหลวงโพนสิม
  • (พ.ศ. 2256–2313)
  • เมืองมุกดาหาร
  • (พ.ศ. 2313–2442)
การปกครอง
 • ประเภทอาญาสี่
เจ้าเมือง 
• พ.ศ. 2313–2347
พระยาจันทรศรีสุราช
• พ.ศ. 2406–2412
เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์
ประวัติศาสตร์ 
• การอพยพของกลุ่มเจ้าจันทร์สุริยวงษ์
พ.ศ. 2256
• ตั้งนามเมืองมุกดาหาร
พ.ศ. 2313
• ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง
พ.ศ. 2442
ก่อนหน้า
ถัดไป
อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์
2436:
อาณาจักรหลวงพระบาง
ภายใต้อินโดจีนของฝรั่งเศส
2442:
เมืองมุกดาหาร
ภายใต้มณฑลฝ่ายเหนือ

เมืองมุกดาหาร เป็นหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขงภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และได้รับการยกฐานะเป็นประเทศราชในบางช่วงเวลา[1] ภายหลังถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลฝ่ายเหนือของสยาม

ประวัติศาสตร์

[แก้]

การสร้างเมืองหลวงโพนสิม

[แก้]

อาณาจักรล้านช้างเกิดการแย่งชิงอำนาจกันภายหลังจากที่พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชสวรรคต กลุ่มพระยาแสน (พญาเมืองจันทน์) ยึดครองเวียงจันทน์ได้ เจ้าศรีวิชัยพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์หลบหนีภัยไปพึ่งบารมีอยู่กับเจ้าราชครูโพนสะเม็ก ในการหลบหนีครั้งนี้ เจ้าศรีวิชัยได้นำบุตรไปด้วย 2 คน คือ เจ้าแก้วมงคลและเจ้าจันทร์สุริยวงษ์[2]

พระยาแสนเจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้คิดที่จะกำจัดเชื้อพระวงศ์ที่หนีกันมาพึ่งบารมีของเจ้าราชครูโพนสะเม็ก รวมทั้งเจ้าราชครูฯ ซึ่งมีผู้ให้ความเคารพนับถือมากด้วย เจ้าราชครูโพนสะเม็กจึงนำชาวเวียงจันทน์อพยพเดินทางล่องน้ำโขงไปทางใต้ ในการอพยพคราวนี้เชื้อพระวงศ์ก็ได้หลบหนีออกมาด้วย

นางแพง ผู้ครองเมืองกาลจำบากนาคบุรีศรี ได้ทราบข่าวว่าเจ้าราชครูโพนสะเม็ก จึงถวายอาณาจักรให้ราชครูฯ ปกครอง ในปี พ.ศ. 2256 ท่านราชครูฯ พิจารณาแล้วจึงเห็นว่า เจ้าหน่อกษัตริย์เป็นเชื้อกษัตริย์กรุงเวียงจันทน์ จึงได้เชิญมาเป็นประมุขฝ่ายอาณาจักร ถวายนามว่า "เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร" และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่จาก กาลจำบากนาคบุรี เป็น "นครจำปาศักดิ์" แยกออกจากอาณาเขตของกรุงเวียงจันทน์

ต่อมาพระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้แต่งตั้งให้ เจ้าแก้วมงคลอพยพไพร่พลลงไปสร้างเมืองท่งศรีภูมิ ส่วนเจ้าจันทร์สุริยวงษ์ให้อพยพไพร่พลไปสร้างเมืองหลวงโพนสิม อยู่แถวบริเวณพระธาตุอิงฮัง[3] (แขวงสุวรรณเขต) ซึ่งตรงกับปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา

การสร้างเมืองมุกดาหาร

[แก้]

ภายหลังจากเจ้าจันทร์สุริยวงษ์พิราลัยแล้ว พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ได้แยกย้ายกันออกไปปกครองบ้านเมืองแถบริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้แก่ เจ้าราชาบุตรโคตร (ท้าวราชบุตรโคตร) ได้อพยพไพร่พลจากเวียงดงเขนยและเมืองแก้งกอก ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาตั้งเมืองที่บ้านดอนตาล เรียกว่า เมืองดอนตาล[ต้องการอ้างอิง] และฝ่ายพระอนุชาคือ เจ้าจันทกินรี (ท้าวกินรี) ได้ครองเมืองหลวงโพนสิมต่อจากพระบิดา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2310 ได้มีนายพรานในหมู่บ้านข้ามลำน้ำโขงมาทางฝั่งขวาของปากห้วยบังมุก และได้พบเมืองร้าง วัดร้าง และต้นตาลจำนวน 7 ยอดอยู่ริมฝั่งโขง เห็นว่าเป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์กว่าบริเวณฝั่งซ้ายที่พวกตนอาศัยอยู่มาก เนื่องจากอุดมไปด้วยปลา ที่ดิน และทรัพยากรต่าง ๆ จึงกลับไปรายงานให้เจ้าจันทกินรีทราบ เจ้าจันทกินรีจึงพาพรรคพวกข้ามน้ำโขงมาและพิเคราะห์ดูว่าที่ตั้งบริเวณนี้คงเป็นเมืองโบราณมาก่อน และประทับใจในความอุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งถิ่นฐาน จึงได้พากันอพยพจากบ้านหลวงโพนสินมาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบริเวณปากห้วยบังมุกที่นายพรานเป็นผู้พบ[4]

ในขณะที่กำลังจัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งเมืองใหม่ ได้พบพระพุทธรูป 2 องค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งโขง พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ส่วนพระพุทธรูปองค์เล็กเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อด้วยเหล็กเนื้อดี จึงได้พร้อมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างริมฝั่งโขง และขนานนามว่า วัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) รวมทั้งก่อสร้างกุฏิวิหารขึ้น พร้อมอัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ขึ้นไปประดิษฐานบนพระวิหาร แต่ปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์เล็ก เกิดปาฎิหาริย์กลับลงไปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตั้งเดิมหลายครั้ง และค่อย ๆ จมหายลงไปใต้ดิน คงเห็นแต่ยอดพระเกศโผล่ขึ้นมาให้เห็น จึงมีการสร้างแท่นสักการะบูชาครอบไว้ในบริเวณนั้น และขนานนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า พระหลุบเหล็ก[5] ปัจจุบันบริเวณที่พระหลุบเหล็กจมดินได้ถูกกระแสน้ำเซาะตลิ่งโขงพังลงไปหมดแล้ว (คงเหลือแต่แท่นสักการะบูชาที่ยกเข้ามาเก็บรักษาไว้หน้าพระวิหารของวัดศรีมงคลใต้ในปัจจุบัน)[4]

ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ก่ออิฐถือปูน ชาวเมืองได้ขนานนามว่า "พระเจ้าองค์หลวง" เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น วัดศรีมงคลใต้ ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดมุกดาหารนับแต่นั้นมา[4]

ในเวลาต่อมา มักมีผู้พบเห็นแก้วดวงหนึ่งมีสีสดใสเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลริมฝั่งโขง และลอยไปตามลำน้ำโขงทุกคืน จนถึงช่วงใกล้สว่างจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเช่นเดิม เจ้าจันทกินรีจึงได้ขนานนามแก้วดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เนื่องจากได้ตั้งเมืองขึ้นริมฝั่งโขงตรงปากห้วยบังมุกอีกทั้งได้มีผู้พบเห็นไข่มุกในแม่น้ำโขงอีกด้วย และให้ขนานนามเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า เมืองมุกดาหาร ตั้งแต่เดือน 4 ปีกุน จุลศักราช 1132[5] (กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม พ.ศ. 2314 ไทยสากล[note 1]) มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขงรวมถึงแขวงสุวรรณเขตของประเทศลาว

การเข้าสู่ปริมณฑลแห่งอำนาจของสยาม

[แก้]

ครั้นถึงสมัยอาณาจักรธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกกองทัพขึ้นมาปราบปรามและรวบรวมหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ เจ้าจันทกินรี เป็น พระยาจันทรศรีสุราชอุปราชามันธาตุราช[5] ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารภายใต้ขัณฑสีมาของอาณาจักรธนบุรี

ภายใต้การปกครองของสยาม

[แก้]

รายพระนามและรายนามเจ้าเมือง

[แก้]
ลำดับ ชื่อ เริ่มต้น (พ.ศ.) สิ้นสุด (พ.ศ.) หมายเหตุ
เมืองหลวงโพนสิม
- เจ้าจันทร์สุริยวงษ์ 2256 ไม่ปรากฏ
- เจ้ากินรี ไม่ปรากฏ 2313 เริ่มสร้างเมืองมุกดาหารในปี พ.ศ. 2310
เมืองมุกดาหาร
1 พระยาจันทรศรีสุราชอุปราชามันธาตุราช (เจ้าจันทกินรี) 2313 2347
2 พระยาจันทร์สุริยวงษ์ (กิ่ง) 2347 14 ธันวาคม 2383

(เดือนอ้าย แรม 5 ค่ำ[5])

3 พระจันทร์สุริยวงษ์ (พรหม) 2383 2405
ว่างตำแหน่ง 2405–2407
4 เจ้าจันทรเทพสุริยวงษ์ดำรงรัฐสีมามุกดาธิบดี (เจ้าหนู) 2407 หลัง 5 สิงหาคม 2411

(หลังเดือน 9 แรม 2 ค่ำ[5])

เดินทางลงไปกรุงเทพฯ เมื่อแรม 2 ค่ำเดือน 9
5 พระพฤติมนตรี (คำ) 2411 2422
6 พระจันทร์สุริยวงษ์ (บุญเฮ้า) 22 กรกฎาคม 2422

(เดือน 9 ขึ้น 4 ค่ำ[6])

28 มีนาคม 2431

(เดือน 5 แรม 1 ค่ำ[7])

7 พระยาศศิวงศ์ประวัติ (เมฆ) 28 มีนาคม 2431 4 ตุลาคม 2434 รักษาราชการแทน
4 ตุลาคม 2434[8] 2442
ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง (2442)

การปกครอง

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. เทียบตามปฏิทินสุริยคติไทย โดยยึดวันปีใหม่คือ 1 มกราคม อนึ่ง ปี จ.ศ. 1132 เป็นปีขาลไม่ใช่ปีกุน

อ้างอิง

[แก้]
  1. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระฯ (1934), "เดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๔๐", จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาค ๗, พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, สืบค้นเมื่อ 2024-08-27
  2. "พระลับ". สารสนเทศด้านพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-06-14. สืบค้นเมื่อ 2024-12-01.
  3. ชีวะประเสริฐ, สัญญา (2014). "ความทรงจำของเมืองสองฝั่งแม่น้ำโขง: มุกดาหาร และสะหวันนะเขด". วารสารประวัติศาสตร์: 54. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-11-22. สืบค้นเมื่อ 2024-12-01.
  4. 4.0 4.1 4.2 "เกี่ยวกับจังหวัด". สำนักงานธนารักษ์พื้นที่มุกดาหาร. 10 July 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-24. สืบค้นเมื่อ 2024-12-01.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 มุกดาหาร, จังหวัด (1986), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดมุกดาหาร, ขอนแก่น: สำนักงานจังหวัดมุกดาหาร, pp. 15–23, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
  6. "ตั้งตำแหน่งหัวเมือง" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 1, 1 February 1885, p. 52, สืบค้นเมื่อ 2024-12-02
  7. "ข่าวตาย" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 5, 3 December 1888, p. 315, สืบค้นเมื่อ 2024-12-02
  8. "พระราชทานสัญญาบัตร" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 8, 4 October 1891, p. 248, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01