เมืองชวา
เมืองชวา ເມືອງຊວາ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
พ.ศ. 1241–พ.ศ. 1896 | |||||||
สถานะ | นครรัฐ | ||||||
เมืองหลวง | เมืองชวา | ||||||
ภาษาทั่วไป | ลาว, ไท | ||||||
ศาสนา | ศาสนาพุทธ | ||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||
กษัตริย์ | |||||||
• พ.ศ. 1241–1323 | ขุนลอ | ||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยกลาง | ||||||
• สถาปนาเมืองชวา | พ.ศ. 1241 | ||||||
• เป็นประเทศราชของอาณาจักรพระนคร | พ.ศ. 1493 | ||||||
• สถาปนาอาณาจักรล้านช้าง | พ.ศ. 1896 | ||||||
สกุลเงิน | การแลกเปลี่ยนสินค้า | ||||||
| |||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ประเทศลาว |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ประวัติศาสตร์ลาว | ||||||||||||||
ยุคนครรัฐ | ||||||||||||||
|
||||||||||||||
ยุคล้านช้าง | ||||||||||||||
|
||||||||||||||
ยุคแห่งความแตกแยก | ||||||||||||||
|
||||||||||||||
ยุคอาณานิคม | ||||||||||||||
|
||||||||||||||
ยุคสมัยใหม่ | ||||||||||||||
|
||||||||||||||
ดูเพิ่ม | ||||||||||||||
เมืองชวา (ลาว: ເມືອງຊວາ, ออกเสียง: [mɯ́aŋ súa]) เป็นชื่อของเมืองหลวงพระบาง หลังจากที่ขุนลอ เจ้าชาวไท/ลาวเข้ายึดครองในปี พ.ศ. 1141 ซึ่งพระองค์ใช้โอกาสที่กษัตริย์แห่งน่านเจ้ากำลังติดพันราชกิจอื่น ขุนลอทรงได้รับมอบเมืองนี้จากขุนบรม พระราชบิดาของพระองค์ ผู้ซึ่งปรากฏในตำนานการสร้างโลกของลาว ซึ่งแพร่หลายในหมู่ชาวลาว, ไทใหญ่ และชนชาติอื่นๆ ในภูมิภาค ขุนลอทรงได้สถาปนาราชวงศ์ซึ่งสืบต่อมาอีก 15 รัชกาล และปกครองเมืองชวาในฐานะรัฐอิสระเป็นเวลานานเกือบศตวรรษ
ประวัติศาสตร์
[แก้]เมืองชวา ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า หลวงพระบาง ได้รับการตั้งชื่อในปี พ.ศ. 1141 หลังจากที่ขุนลอ เจ้าชาวลาวเข้ายึดครอง ซึ่งพระองค์ได้รับเมืองนี้จากขุนบรม พระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษในตำนานของลาว
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรน่านเจ้าได้เข้าแทรกแซงรัฐต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง ส่งผลให้เมืองชวาถูกยึดครองในปี พ.ศ. 1252 เจ้านายหรือผู้ปกครองจากน่านเจ้าเข้าแทนที่เจ้าชาวไท แม้ว่าระยะเวลาในการยึดครองจะไม่แน่ชัด แต่มีแนวโน้มว่าสิ้นสุดลงก่อนการขยายอำนาจขึ้นสู่เหนือของอาณาจักรพระนครภายใต้การปกครองของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1420–1432) ซึ่งครอบคลุมไปถึงดินแดนสิบสองปันนาในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน
ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวขอมตั้งมั่นอยู่ที่เมืองซายฟองใกล้กับเมืองเวียงจันทน์ ส่วนอาณาจักรจามปาได้ขยายอำนาจไปยังดินแดนลาวตอนใต้ และยึดครองสองฝั่งแม่น้ำโขงจนถึงปี พ.ศ. 1613 พระยาจันทพานิช เจ้าเมืองซายฟองเดินทางขึ้นเหนือสู่เมืองชวา และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ปกครองหลังจากที่ผู้ปกครองจากน่านเจ้าจากไป พระยาจันทพานิชและพระโอรสครองราชย์เป็นระยะเวลายาวนาน ในช่วงเวลาดังกล่าว เมืองชวาเป็นที่รู้จักในชื่อไทว่า เชียงดงเชียงทอง[1] ต่อมาราชวงศ์ของเมืองชวาตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนครรัฐหลายแห่ง ขุนเจือง ผู้ปกครองซึ่งอาจเป็นชาวขมุ (มีการสะกดอีกแบบหนึ่งคือ กำมุ) ได้ขยายอาณาเขตของตนจากสงครามระหว่างนครรัฐเหล่านี้ และอาจปกครองระหว่างปี พ.ศ. 1671 ถึง 1712[2] ราชวงศ์ของขุนเจืองได้ฟื้นฟูระบอบการปกครองลาวในพุทธศตวรรษที่ 12 ขึ้นมาใหม่ ต่อมาเมืองชวาได้เปลี่ยนเป็นอาณาจักรศรีสัตตนาค ซึ่งเป็นชื่อที่เชื่อมโยงกับตำนานพญานาค ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นผู้ขุดแม่น้ำโขง ในเวลานี้ ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทถูกแทนที่ด้วยศาสนาพุทธนิกายมหายาน
เมืองชวาตกอยู่ภายใต้การปกครองของขอมเป็นช่วงสั้นๆ ภายใต้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ระหว่างปี พ.ศ. 1728 ถึง 1734[3] ในปี พ.ศ. 1723 ดินแดนสิบสองปันนาเป็นอิสระจากขอม และในปี พ.ศ. 1781 ก็เกิดการก่อกบฏภายในดินแดนสุโขทัย ซึ่งขับไล่ผู้ปกครองชาวขอมออกไป
งานวิจัยด้านประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า ชาวมองโกลซึ่งทำลายต้าหลี่ในปี พ.ศ. 1796 และผนวกดินแดนดังกล่าวเป็นมณฑลหนึ่งในจักรวรรดิของตนโดยตั้งชื่อว่ายูนนาน ได้แผ่อิทธิพลอย่างหนักสู่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางเป็นเวลาเกือบศตวรรษ ในปี พ.ศ. 1814 พระยาลัง ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ซึ่งใช้บรรดาศักดิ์เป็นพระยา ได้เข้าปกครองเมืองชวาอย่างเป็นเอกราช ในปี พ.ศ. 1829 พระยาสุวรรณคำผง พระราชโอรสของพระยาลัง ได้ทรงยึดอำนาจ ซึ่งอาจจะได้รับการยุยงจากมองโกล และทำให้พระราชบิดาของพระองค์ถูกเนรเทศ เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 1859 พระสุวรรณคำผงก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ปกครองของราชวงศ์ไทยในสุโขทัย ทรงได้สถาปนาพระองค์เป็นพันธมิตรทางการเมืองของมองโกล และในปี พ.ศ. 1825–1827 พระองค์ทรงทำลายอิทธิพลของขอมและจามที่ยังหลงเหลือในลาวตอนกลาง พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงได้รับการสวามิภักดิ์จากเมืองชวาและรัฐต่างๆ ในเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างปี พ.ศ. 1829 ถึง 1840 เหล่าแม่ทัพของพระยาสุวรรณคำผงได้เข้าปราบปรามดินแดนต่างๆ แทนพ่อขุนรามคำแหงและมองโกล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1840 ถึง 1844 กองทัพลาวภายใต้บัญชาของมองโกลได้รุกรานอาณาจักรดั่ยเหวียต แต่ถูกกองทัพเวียดนามตอบโต้กลับไป กองทัพเมืองชวายึดครองเมืองพวนในปี พ.ศ. 1835–1840 ในปี พ.ศ. 1851 พระยาสุวรรณคำผงทรงได้จับตัวเจ้าเมืองพวน และในปี พ.ศ. 1855 นครรัฐแห่งนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองชวา
อิทธิพลของมองโกลไม่เป็นที่ชื่นชอบภายในเมืองชวา ความขัดแย้งภายในระหว่างเจ้าในราชวงศ์เกี่ยวกับการแทรกแซงของมองโกลส่งผลให้เกิดความวุ่นวายตามมา พระยาสุวรรณคำผงทรงได้เนรเทศพระโอรส คือ เจ้าผีฟ้า และทรงน่าจะตั้งใจที่จะยกราชบัลลังก์ให้แก่พระราชนัดดาพระองค์เล็ก คือ เจ้าฟ้าเงี้ยว เจ้าฟ้าเงี้ยวซึ่งทรงพยายามก่อการยึดอำนาจหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 1873 พระองค์ทรงส่งพระโอรสทั้งสองของพระองค์ไปยังวัดนอกเขตมองโกลเพื่อความปลอดภัย สองพี่น้องถูกจับตัวไปในปี พ.ศ. 1878 และถูกนำตัวไปที่เมืองพระนคร จากนั้นทั้งสองถูกนำตัวไปถวายแด่พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ซึ่งอาณาจักรของพระองค์ยอมรับอำนาจของมองโกลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1828
เจ้าฟ้างุ้ม เจ้าชายองค์เล็กได้อภิเษกกับพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง และในปี พ.ศ. 1892 พระองค์เสด็จจากเมืองพระนคร โดยทรงนำกองทัพจำนวน 10,000 คนไปด้วย ในช่วงหกปีต่อมาพระองค์ทรงเข้ายึดครองดินแดนต่างๆ ทางตอนเหนือของพระนคร ซึ่งตัดขาดความสัมพันธ์กับมองโกลไปก่อนหน้า การเข้ามาของเจ้าฟ้างุ้มทำให้มองโกลสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับดินแดนเหล่านี้ได้อีกครั้ง เจ้าฟ้างุ้มทรงได้จัดระเบียบอาณาจักรที่พระองค์ยึดได้เป็นจังหวัดต่างๆ และยึดเมืองชวาคืนจากพระราชบิดาและพระเชษฐาของพระองค์ เจ้าฟ้างุ้มทรงราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรล้านช้างที่เวียงจันทน์ ซึ่งพระองค์ยึดครองได้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 1897 อาณาจักรล้านช้างทอดตัวตั้งแต่ชายแดนจีนถึงเซียมโบกใต้แก่งแม่น้ำโขงที่ดอนโขง และจากชายแดนเวียดนามถึงตะวันตกของที่ราบสูงโคราช
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Ring, Trudy; Watson, Noelle; Schellinger, Paul (12 November 2012). Asia and Oceania: International Dictionary of Historic Places. Taylor & Francis. p. 530. ISBN 978-1-884964-04-6.
- ↑ Savada, Andrea Matles (1995). Laos: a country study. Federal Research Division, Library of Congress. p. 7. ISBN 978-0-8444-0832-3.
- ↑ Ray, Nick (11 September 2009). Lonely Planet Vietnam Cambodia Laos & the Greater Mekong. Lonely Planet. p. 33. ISBN 978-1-74179-174-7.