เฟรนส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เฟรนส์
ประเภทซิตคอม
สร้างโดยเดวิด เครน
มาร์ทา คอฟฟ์แมน
แสดงนำเจนนิเฟอร์ อนิสตัน
คอร์ตนีย์ ค็อกซ์
ลิซา คูโดรว์
แมตต์ เลอบลังก์
แมตธิว เพร์รี
เดวิด ชวิมเมอร์
ผู้ประพันธ์ดนตรีแก่นเรื่องไมเคิล สคลอฟฟ์
อัลลี วิลลิส
ดนตรีแก่นเรื่องเปิด"ไอล์บีแดร์ฟอร์ยู"
โดย เดอะเรมแบรนส์
ประเทศแหล่งกำเนิดสหรัฐ
ภาษาต้นฉบับอังกฤษ
จำนวนฤดูกาล10
จำนวนตอน236 (รายชื่อตอน)
การผลิต
ผู้อำนวยการผลิตเดวิด เครน
มาร์ทา คอฟฟ์แมน
เควิน เอส. ไบรต์
ไมเคิล บอร์คาว (ฤดูกาล 4)
ไมเคิล เคอร์ทิส (ฤดูกาล 5)
แอดัม เชส (ฤดูกาล 5–6)
เกร็ก มาลินส์ (ฤดูกาล 5–7)
วิล แคลโฮน (ฤดูกาล 7)
สกอตต์ ซิลเวรี (ฤดูกาล 8–10)
ชานา โกลด์เบิร์ก-มีแฮน (ฤดูกาล 8–10)
แอนดรูว์ ไรช์ (ฤดูกาล 8–10)
เท็ด โคเฮน (ฤดูกาล 8–10)
กล้องMulti-camera
ความยาวตอน20–22 นาที (per episode)
22–65 นาที (extended international TV & DVD episodes)
บริษัทผู้ผลิตไบรต์/คอฟฟ์แมน/เครนโปรดักชันส์
วอร์เนอร์บราเธอส์เทเลวิชัน
ออกอากาศ
เครือข่ายเอ็นบีซี
ออกอากาศ22 กันยายน ค.ศ. 1994 (1994-09-22) –
6 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 (2004-05-06)
การแสดงที่เกี่ยวข้อง
โจอี (2004–06)

เฟรนส์ (อังกฤษ: Friends) เป็นละครซิตคอมสัญชาติอเมริกัน สร้างโดยเดวิด เครน และมาร์ทา คอฟฟ์แมน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1994 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ยาวนาน 10 ฤดูกาล มีนักแสดงหลักได้แก่ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ ลิซา คูโดรว์ แมตต์ เลอบลังก์ แมตธิว เพร์รี และเดวิด ชวิมเมอร์ ละครเล่าเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนอายุ 20-30 ปี จำนวน 6 คน อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตัน ซีรีส์ผลิตโดยไบรต์/คอฟฟ์แมน/เครนโปรดักชันส์ ร่วมกับวอร์เนอร์บราเธอส์เทเลวิชัน โปรดิวเซอร์หลักชุดแรกได้แก่ เควิน เอส. ไบรต์ มาร์ทา คอฟฟ์แมน และเดวิด เครน

คอฟฟ์แมนและเครนเริ่มพัฒนาซีรีส์ เฟรนส์ ในชื่อ อิมซอมเนียคาเฟ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ. 1993 พวกเขานำเสนอแนวคิดนี้แก่ไบรต์ และส่งตัวอย่างบทยาวเจ็ดหน้ากระดาษให้ช่องเอ็นบีซี หลังจากปรับบทใหม่หลายครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น ซิกส์ออฟวัน[1] และ เฟรนส์ไลก์อัส สุดท้ายแล้วซีรีส์เปลี่ยนชื่อเป็น เฟรนส์[2]

ซีรีส์ถ่ายทำที่วอร์เนอร์บราเธอส์สตูดิโอส์ในเบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เรตติงของซีรีส์ เฟรนส์ จำนวนสิบฤดูกาลติดสิบอันดับแรกจากการจัดอันดับรายการโทรทัศน์ และขึ้นสูงสุดอันดับที่ 1 ในฤดูกาลที่แปด ตอนสุดท้ายออกอากาศวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 มีผู้ชมชาวอเมริกันประมาณ 52.5 ล้านคน ติดหนึ่งในห้าซีรีส์ตอนสุดท้ายที่มีคนชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการโทรทัศน์[3][4][5] และเป็นตอนที่มีผู้ชมมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 2000[6][7]

เฟรนส์ ได้รับคำชื่นชมตลอดเวลาออกอากาศ กลายเป็นหนึ่งในรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมที่สุดตลอดกาล[8] ซีรีส์ได้เข้าชิงรางวัลไพรม์ไทม์เอ็มมีอะวอดส์ 62 รางวัล ในปี ค.ศ. 2002 ฤดูกาลที่แปดได้รับรางวัลซีรีส์ตลกโดดเด่น (Outstanding Comedy Series) รายการติดอันดับ 21 ในรายชื่อ 50 รายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยทีวีไกด์[9] และติดอันดับ 7 ในรายชื่อ 50 รายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยนิตยสารเอ็มไพร์[10][11] ในปี ค.ศ. 1997 ตอน "The One with the Prom Video" ติดอันดับ 100 ในรายชื่อ 100 ตอนยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยทีวีไกด์[12] ในปี ค.ศ. 2013 เฟรนส์ ติดอันดับ 24 ในรายชื่อ 101 ซีรีส์โทรทัศน์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา[13] และติดอันดับ 28 ในรายชื่อ 60 รายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยทีวีไกด์[14]

บทนำเรื่อง[แก้]

เรเชล กรีน หนีจากงานสมรสและตามหาเพื่อนสมัยเรียน มอนิกา เกลเลอร์ แม่ครัวที่นครนิวยอร์ก พวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน และเรเชลได้เป็นหนึ่งในคนโสดในหมู่เพื่อนวัยยี่สิบปีกลาง ๆ ได้แก่ โจอี ทริบเบียนี นักแสดงตกอับ แชนด์เลอร์ บิง นักธุรกิจ ฟีบี บุฟเฟย์ หมอนวดและนักดนตรี และรอสส์ เกลเกอร์ พ่อหม้ายนักบรรพชีวินวิทยาและเป็นพี่ชายของมอนิกา เรเชลทำงานเป็นบริกรหญิงที่ร้านกาแฟเซนทรัลเพิร์กในย่านแมนฮัตตันเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และเพื่อน ๆ มักไปรวมตัวกันที่ร้านกาแฟแห่งนั้น หากไม่อยู่ที่นั้น พวกเขาหกคนมักจะอยู่ที่ห้องพักของมอนิกาและเรเชลที่ย่านเวสต์วิลเลจ หรือห้องพักของโจอีและแชนด์เลอร์ที่อยู่ตรงข้าม

แต่ละตอนจะเล่าเกี่ยวกับการผจญภัยและปัญหาการงานเชิงตลกขบขันและโรแมนติกของผองเพื่อน เช่น โจอีเข้ารับการคัดเลือกนักแสดง และเรเชลมองหางานเกี่ยวกับแฟชัน ตัวละครหกคนคบหาและมีความสัมพันธ์รักใคร่จริงจังหลายครั้ง เช่น มอนิกากับริชาร์ด เบิร์ก และรอสส์กับเอมิลี วอลต์แฮม รอสส์และเรเชลมีความสัมพันธ์แบบรัก ๆ เลิก ๆ ตลอดทั้งเรื่อง รอสส์สมรสกับเอมิลีในช่วงสั้น ๆ เขามีบุตรกับเรเชลหนึ่งคน แชนด์เลอร์และมอนิกาคบกันและสมรสกัน ขณะที่ฟีบีสมรสกับไมก์ ฮันนิแกน ตัวละครบทบาทรองคนอื่น ๆ ได้แก่ บิดามารดาของรอสส์และมอนิกาอาศัยในลองไอส์แลนด์ อดีตภรรยาและบุตรของรอสส์ กุนเทอร์ บาริสตาประจำร้านเซนทรัลเพิร์ก เจนิซ คนรักเก่าของแชนด์เลอร์ และเออร์ซูลา พี่สาวฝาแฝดของฟีบี

ตัวละครหลัก[แก้]

หญิงสาวผู้คลั่งไคล้แฟชัน และเป็นเพื่อนสนิทของมอนิกา เกลเลอร์ตั้งแต่วัยเด็ก เรเชลย้ายมาอยู่กับมอนิกาในฤดูกาลที่หนึ่งหลังจากเกือบได้สมรสกับแบร์รี ฟาร์เบอร์ เรเชล และรอสส์ เกลเลอร์ ได้เข้าพัวพันและคบหากันแบบรัก ๆ เลิก ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เรเชลได้คบกับผู้ชายคนอื่น ๆ อีกหลายคนในเรื่อง เช่น เปาโล เพื่อนบ้านชาวอิตาลี ในฤดูกาลที่หนึ่ง โจชัว เบอร์กิน ลูกค้าจากห้างบลูมมิงเดล ในฤดูกาลที่สี่ แท็ก โจนส์ ผู้ช่วย ในฤดูกาลที่เจ็ด และโจอี ทริบเบียนี ในฤดูกาลที่สิบ เรเชลทำงานที่แรกเป็นบริกรในร้านกาแฟ เซนทรัลเพิร์ก ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยพนักงานจัดซื้อที่ร้านบลูมมิงเดลในฤดูกาลที่สาม เป็นพนักงานจัดซื้อที่ราลฟ์ ลอเรนในฤดูกาลที่ห้า เรเชลและรอสส์มีบุตรสาวชื่อ เอ็มมา ในตอน "The One Where Rachel Has a Baby, Part Two" ในท้ายฤดูกาลที่แปด ในตอนสุดท้ายของเรื่อง รอสส์และเรเชลสารภาพรักกัน เรเชลทิ้งงานที่ปารีสเพื่อมาอยู่กับเขา
ผู้หญิงที่คอยดูแลเพื่อน ๆ และเป็นแม่ครัว[15] มีนิสัยนิยมความสมบูรณ์แบบ เจ้ากี้เจ้าการ ชอบแข่งขัน และย้ำคิดย้ำทำ[16][17] มอนิกาเคยอ้วนตอนเด็ก เธอได้ทำงานเป็นแม่ครัวในร้านอาหารหลายร้านตลอดทั้งเรื่อง มอนิกาคบหาจริงจังครั้งแรกกับริชาร์ด เบิร์ก เพื่อนของครอบครัวที่คบมายาวนาน อายุมากกว่าเธอ 21 ปี ทั้งคู่คบกันระยะหนึ่งจนริชาร์ดแสดงออกว่าเขาไม่ต้องการมีบุตร มอนิกาและแชนด์เลอร์ บิง เริ่มคบหากันหลังจากนอนด้วยกันหนึ่งคืนในลอนดอนในช่วงท้ายฤดูกาลที่สี่ นำไปสู่การสมรสกันในฤดูกาลที่เจ็ด และรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมฝาแฝดในช่วงท้ายเรื่อง
หมอนวดสาว และนักดนตรีที่ฝึกฝนด้วยตนเอง สมัยเด็ก ฟีบีอาศัยอยู่กับแม่ที่ตอนเหนือของนิวยอร์ก จนเธอฆ่าตัวตาย และฟีบีออกมาเดินข้างถนน เธอเขียนเพลงและร้องเพลงที่แต่งเอง และหิ้วกีตาร์ไปด้วย เธอมีฝาแฝดเหมือนชื่อ เออร์ซูลา ซึ่งมีลักษณะนิสัยเหมือนกัน ฟีบีมีความสัมพันธ์สามครั้งตลอดทั้งเรื่อง ได้แก่ เดวิด นักวิทยาศาสตร์ ในฤดูกาลที่หนึ่ง โดยเธอเลิกกับเขาเมื่อเขาย้ายไปทำงานวิจัยที่มินสค์ แกรี เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เธอเป็นคนพบเหรียญตราของเขา ในฤดูกาลที่ห้า และได้คบแบบรัก ๆ เลิก ๆ กับไมก์ ฮันนิแกน ในฤดูกาลที่เก้าและสิบ ในฤดูกาลที่เก้า ฟีบีเลิกกับไมก์เพราะไมก์ไม่อยากแต่งงาน เดวิดกลับจากมินสค์ ทำให้เขาได้มาเจอกันอีกครั้ง เดวิดและไมก์ต่างขอเธอแต่งงาน แต่เธอปฏิเสธเดวิดในที่สุด เพื่อไปแต่งงานกับไมก์ ฟีบีสมรสกับไมก์ในฤดูกาลที่สิบ[18][19]
นักแสดงผู้รักการกินอาหาร มีชื่อเสียงจากบทบาท หมอเดรก รามอเรย์ ในละคร เดส์ออฟอาวร์ไลฟส์ โจอีมีคนรักสาวที่คบกันสั้น ๆ หลายคน แม้ว่าจะเป็นเสือผู้หญิง แต่โจอีเป็นชายบริสุทธิ์ ชอบดูแลห่วงใบ และมีเจตนาดี[20] โจอีมักใช้วลีติดปากสำหรับจีบสาวว่า "How you doin'?" เพื่อเอาชนะใจสาว ๆ ที่เขาพบ โจอีอาศัยร่วมห้องกับแชนด์เลอร์ เพื่อนสนิท อยู่หลายปี จากนั้นมาอยู่กับเรเชล เขาตกหลุมรักเรเชลในฤดูกาลที่แปด แต่เรเชลบอกกับโจอีว่าเธอไม่ได้รู้สึกเหมือนเขา เธอกับเขาคบกันสั้น ๆ ในฤดูกาลที่สิบ แต่หลังจากทราบว่าไม่ได้ผล สาเหตุจากความเป็นเพื่อน และความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเรเชลกับรอสส์[21] เขาและเธอจึงกลับมาเป็นเพื่อนกัน
ผู้บริหารด้านการวิเคราะห์สถิติและข้อมูลให้กับบริษัทข้ามชาติ แชนด์เลอร์เกลียดงานของตนเอง แม้ว่าจะมีรายได้ดี เขาพยายามลาออกในฤดูกาลที่หนึ่ง แต่ถูกชักชวนให้ไปทำงานที่ออฟฟิศใหม่ และได้ขึ้นเงินเดือน เขาลาออกได้ในที่สุดในฤดูกาลที่เก้าเนื่องจากถูกย้ายไปที่ทัลซา เขากลายมาเป็นผู้เขียนคำโฆษณาให้กับบริษัทตัวแทนโฆษณาแห่งหนึ่งในฤดูกาลเดียวกัน แชนด์เลอร์มีครอบครัวที่มีประวัติพิลึก แม่ของเขาเป็นนักเขียนนิยายแนวอีโรติก และพ่อเป็นดาราเกย์ผู้แต่งกายข้ามเพศในลาสเวกัส แชนด์เลอร์มีอารมณ์ขันจอมเหน็บแนม และอับโชคในด้านความสัมพันธ์[22] เขาสมรสกับมอนิกาในฤดูกาลที่เจ็ด และรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมฝาแฝดในตอนท้ายเรื่อง ก่อนคบกับมอนิกา เขาได้คบกัยเจนิซ โฮเซนสไตน์ในฤดูกาลที่หนึ่ง และได้เลิกรากับเธออยู่หลายครั้ง
พี่ชายของมอนิกา เกลเลอร์ เป็นนักบรรพชีวินวิทยาทำงานที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาอเมริกัน ต่อมาเป็นอาจารย์ด้านบรรพชีวินวิทยาที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก รอสส์ได้คบกับเรเชลแบบรัก ๆ เลิก ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เขาเคยสมรสมาสามครั้งกับแครอล วิลลิก สาวเลสเบียนผู้เป็นแม่ของบุตรของเขา เบน เกลเลอร์ เอมิลี วอลแธม หย่าร้างกับเขาหลังจากที่เขาพูดชื่อเรเชลแทนชื่อเธอขณะกล่าวคำสาบานในงานแต่งงาน และเรเชล หลังจากพวกเขาแต่งงานกับตอนเมาที่ลาสเวกัส การหย่าร้างของรอสส์กลายเป็นมุกตลกที่ใช้เล่นซ้ำทั้งเรื่อง ในท้ายฤดูกาลที่แปด หลังจากนอนกับเรเชลคืนหนึ่ง เขาและเรเชลมีบุตรสาวร่วมกันคนหนึ่งคือ เอ็มมา เขาและเธอสารภาพรักกันในช่วงท้ายเรื่อง

ตามสัญญาเดิม ในฤดูกาลแรก เหล่านักแสดงหลักจะได้ค่าจ้าง 22,500 ดอลลาร์ต่อตอน[23] ในฤดูกาลที่สอง เหล่านักแสดงได้รับค่าจ้างไม่เท่ากัน เริ่มตั้งแต่ 20,000 ดอลลาร์ ถึง 40,000 ดอลลาร์ต่อตอน[23][24] ก่อนการเจรจาต่อรองเงินเดือนสำหรับฤดูกาลที่สาม เหล่านักแสดงตัดสินใจเจรจารายได้ร่วมกัน แม้ว่าเดิม วอร์เนอร์บราเธอส์ต้องการตกลงเป็นรายบุคคล[25] นักแสดงได้รับเงินเดือนเท่ากับนักแสดงที่ได้น้อยที่สุด หมายความว่าอนิสตันและชวิมเมอร์จะถูกลดเงินเดือนลง เหล่านักแสดงได้ค่าจ้าง 75,000 ดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่สาม 85,000 ดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่สี่ 100,000 ดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่ห้า 125,000 ดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่หก 750,000 ดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่เจ็ดและแปด และ 1 ล้านดอลลาร์ต่อตอนในฤดูกาลที่เก้าและสิบ ทำให้อนิสตัน คอกซ์ และคูโดรว์ เป็นนักแสดงหญิงทางโทรทัศน์ที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดตลอดกาล[26][27][28] เหล่านักแสดงยังได้ค่าลิขสิทธิ์จากการออกอากาศเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 หลังมีการเจรจาต่อรอง ในขณะนั้น ผลประโยชน์จากรายได้เบื้องหลังของรายการส่วนหนึ่งจะถูกมอบให้กับนักแสดงที่มีสิทธิ์ครอบครองรายการ เช่น เจอร์รี ไซน์เฟลด์ และบิล คอสบี[29]

เดวิด เครน ผู้สร้างซีรีส์ ต้องการให้นักแสดงหกคนมีความโดดเด่นเท่า ๆ กัน[30] และซีรีส์ได้รับการยกย่องว่าเป็น "รายการที่มีคณะนักแสดงหลักที่แท้จริงรายการแรก"[31] เหล่านักแสดงพยายามรักษาความเป็นคณะนักแสดง ไม่ให้ใครโดดเด่นกว่ากัน พวกเขาเข้าชิงรางวัลการแสดงสาขาเดียวกัน[32] เพื่อการเจรจาเงินเดือนร่วมกัน[31] และขอขึ้นหน้าปกนิตยสารด้วยกันในฤดูกาลแรก เหล่านักแสดงกลายเป็นเพื่อนสนิทนอกจอกันจริง ๆ[33] สนิทกันจนทอม เซลิก นักแสดงรับเชิญ ให้สัมภาษณ์ว่าบางครั้งเขารู้สึกโดดเดี่ยวคนเดียว[34]

เหล่านักแสดงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหลังซีรีส์จบ ที่โดดเด่นคือคอกซ์และอนิสตัน โดยอนิสตันได้เป็นแม่ทูนหัวให้ โคโค่ บุตรสาวของคอกซ์ และเดวิด อาเคต[35] ในหนังสือที่ระลึกเพื่ออำลาชื่อ เฟรนส์ทิลดิเอนส์ นักแสดงแต่ละคนต่างยอมรับว่า เหล่านักแสดงหลักทุกคนได้กลายเป็นครอบครัวของเขาไปแล้ว[36][37]

ตอน[แก้]

ฤดูกาลที่ 1[แก้]

ฤดูกาลแรกแนะนำตัวละครหลักหกคน ได้แก่ เรเชล มอนิกา ฟีบี โจอี แชนด์เลอร์ และรอสส์ เรเชลมาถึงร้านกาแฟเซนทรัลเพิร์กหลังจากหนีพิธีสมรสกับคู่หมั้นชื่อ แบร์รี และย้ายมาอยู่ในห้องชุดกับมอนิกา เพื่อนเก่าจากไฮสกูล รอสส์ เคยตกหลุมรักเรเชลตั้งแต่สมัยเรียนที่ไฮสกูล พยายามจะสารภาพความรู้สึกกับเธออยู่บ่อยครั้ง แต่มีอุปสรรคขวางตลอดเวลา เช่น ความจริงที่ว่าเขากำลังจะมีลูกกับอดีตภรรยา แครอล ที่กลายเป็นเลสเบียน โจอีเป็นนักแสดงที่ดิ้นรนหางานแสดง ขณะที่ฟีบีทำงานเป็นหมอนวดและมีนิสัยแปลก ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากตอนเธอเป็นเด็ก แม่ของเธอฆ่าตัวตาย แม้กระนั้น เพื่อนในกลุ่มก็รักเธอ แชนด์เลอร์เลิกกับคนรักสาว แจนิซ (แมกกี วีเลอร์) ซึ่งกลับมาปรากฏตัวในฤดูกาลหลัง ๆ แชนด์เลอร์เผลอเผยความในใจของรอสส์ให้เรเชลฟัง ซึ่งเรเชลเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ฤดูกาลจบลงที่เรเชลยืนรอรอสส์กลับมาที่สนามบิน

ฤดูกาลที่ 2[แก้]

ฤดูกาลที่สองเริ่มด้วยเรเชลยืนรอรอสส์ที่ประตูขาเข้าเพื่อสารภาพรักเขา แต่เธอพบว่าเขากำลังคบกับจูลี (ลอเรน ทอม) ผู้หญิงที่เขารู้จักจากโรงเรียน ความพยายามของเรเชลสะท้อนให้เห็นความพยายามที่ล้มเหลวของรอสส์ในฤดูกาลแรก แต่ในที่สุดเขาก็ได้เริ่มคบกัน โจอีได้แสดงในละครเรื่อง Days of Our Lives แต่ตัวละครถูกตัดออกหลังจากมีปัญหากับนักเขียนบท โดยอ้างว่าเขาเขียนบทของตนเองมากเกินไป แชนด์เลอร์กลับมาคบกับแจนิซ คนรักเก่าจากฤดูกาลแรก มอนิกาเริ่มคบกับริชาร์ด (ทอม เซลเล็ก) เพื่อนของครอบครัวที่เพิ่งหย่า และอายุมากกว่าเธอ 21 ปี ในตอนสุดท้าย พวกเขาเลิกกันเมื่อริชาร์ดไม่ต้องการมีลูก

ฤดูกาลที่ 3[แก้]

ฤดูกาลที่สามมีเนื้อหาต่อเนื่องมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เรเชลเริ่มทำงานที่บลูมมิงเดล ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และรอสส์หึงเรเชลกับเพื่อนร่วมงานของเธอที่ชื่อ มาร์ก เรเชลตัดสินใจพักความสัมพันธ์ ทำให้รอสส์เสียใจและเมาจนนอนกับคนอื่น ทำให้เรเชลบอกเลิกเขา ขณะเดียวกัน แชนด์เลอร์ต้องรับมือกับการเลิกราของรอสส์และเรเชลเพราะมันทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งพ่อแม่หย่าร้างกัน หลังจากฟีบีเชื่อว่าเธอไม่มีญาติอีกนอกจากเออร์ซูลา (ลิซา คูโดรว์) ฝาแฝดของเธอ ฟีบีได้รู้จักกับน้องชายต่างแม่ (โจวานนี รีบีซี) และแม่ผู้ให้กำเนิด (เทรี การ์) โจอีสานสัมพันธ์กับเพื่อนนักแสดง เคต (ดีนา เมเยอร์) และมอนิกาเริ่มคบหากับเศรษฐี พีต เบ็กเกอร์ (จอน แฟวโร) แต่ความสัมพันธ์จบลงหลังเกิดเหตุไม่ลงรอยกัน

ฤดูกาลที่ 4[แก้]

ในตอนแรกของฤดูกาลที่สี่ รอสส์และเรเชลคืนดีกันเป็นเวลาสั้น ๆ หลังจากรอสส์แกล้งว่าอ่านจดหมายฉบับยาวที่เรเชลเขียนไว้ให้เขาอ่าน แต่ยืนกรานว่าจะขอพักความสัมพันธ์ พวกเขาจึงเลิกกันอีกครั้ง โจอีคบกับแคที (แพจิต บรูว์สเตอร์) หญิงสาวที่แชนด์เลอร์ตกหลุมรัก หลังจากนั้นแคทีกับแชนด์เลอร์จูบกัน ทำให้เกิดปัญหาระหว่างแชนด์เลอร์กับโจอี โจอีให้อภัยแชนด์เลอร์หลังจากทำโทษแชนด์เลอร์โดยการให้อยู่ในกล่องหนึ่งวัน ฟีบีกลายเป็นแม่อุ้มบุญให้น้องชายและภรรยาชื่อ อลิซ (เดบรา โจ รัปป์) มอนิกาและเรเชลถูกบังคับให้สลับห้องชุดกับโจอีและแชนด์เลอร์หลังจากแพ้พนันเกมตอบคำถาม แต่สลับกลับมาได้หลังจากให้สินบนด้วยตั๋วชมการแข่งขันบาสเกตบอลของสโมสรนิกส์ และมอนิกากับเรเชลจูบกันนานหนึ่งนาที (ไม่แสดงให้เห็น) รอสส์เริ่มคบกับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อเอมิลี (เฮเลน แบกเซนเดล) ตอนสุดท้ายเสนองานแต่งงานของพวกเขาที่ลอนดอน แชนด์เลอร์และมอนิกานอนด้วยกัน และเรเชลตัดสินใจตามไปร่วมงานแต่งงานของรอสส์ ขณะกล่าวคำปฏิญาณที่แท่นบูชา รอสส์พูดชื่อผิด (ชื่อเรเชล) สร้างความตกใจให้เจ้าสาวและแขกร่วมงาน

ฤดูกาลที่ 5[แก้]

ฤดูกาลที่ห้านำเสนอมอนิกาและแชนด์เลอร์พยายามปกปิดความสัมพันธ์จากเพื่อน ๆ ฟีบีคลอดบุตรฝาแฝดสามในตอนที่ 100 ของรายการ เธอให้กำเนิดบุตรชายชื่อแฟรงก์ จูเนียร์ จูเนียร์ และบุตรสาวสองคนชื่อ เลสลี และแชนด์เลอร์ (เดิมพวกเขาคิดว่าจะมีบุตรชายสองคน และบุตรสาวหนึ่งคน แต่ตัดสินใจใช้ชื่อแชนด์เลอร์ แม้ว่าจะเป็นบุตรสาว) เอมิลีกล่าวว่าเธอจะสมรสกับรอสส์หากรอสส์เลิกติดต่อกับเรเชล รอสส์ตกลง แต่ในระหว่างอาหารมื้อเย็นร่วมกันหกคน เอมิลีโทรศัพท์หารอสส์และพบว่าเรเชลอยู่ด้วย ทำให้เธอไม่เชื่อใจเขา และล้มเลิกงานสมรส ฟีบีเริ่มคบกับตำรวจชื่อแกรี (ไมเคิล แรพาพอร์ต) หลังเธอพบตราของเขาและนำมาเป็นของตนเอง มอนิกาและแชนด์เลอร์เปิดเผยความสัมพันธ์ สร้างความประหลาดใจและความสุขให้เพื่อน ๆ พวกเขาตัดสินใจสมรสกันระหว่างเดินทางไปลาสเวกัส แต่เปลี่ยนแผนหลังพบว่ารอสส์และเรเชลต่างคนต่างเมาเดินออกมาจากโบสถ์สมรส

ฤดูกาลที่ 6[แก้]

ในฤดูกาลที่หก การสมรสของรอสส์และเรเชลเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความเมา รอสส์และเรเชลพยายามทำให้เป็นโมฆะเพราะรอสส์ไม่ต้องการหย่าเป็นครั้งที่สาม อย่างไรก็ตาม เขาทำไม่ได้ และพยายามเก็บเรื่องการสมรสเป็นความลับ แม้กระนั้น พวกเขาหย่าร้างกันในที่สุด มอนิกาและแชนด์เลอร์ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทำให้เรเชลต้องย้ายไปอยู่กับฟีบี โจอีได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่องMac and C.H.E.E.S.E. ร่วมกับหุ่นยนต์ รอสส์ได้งานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และเริ่มคบหากับนักศึกษาชื่อ เอลิซาเบธ (อเล็กซานดรา โฮลเดน) ความสัมพันธ์จบลงด้วยเหตุความแตกต่างทางวุฒิภาวะ ห้องพักของฟีบีและเรเชลไฟไหม้ เรเชลย้ายมาอยู่กับโจอี และฟีบีย้ายมาอยู่กับแชนด์เลอร์และมอนิกา แชนด์เลอร์ขอมอนิกาแต่งงาน มอนิกาตอบตกลง แม้ว่าคนรักเก่า ริชาร์ด กลับมาสารภาพรักกับเธอ

ฤดูกาลที่ 7[แก้]

ฤดูกาลที่เจ็ดติดตามเรื่องราวของมอนิกาและแชนด์เลอร์ที่เริ่มวางแผนงานแต่งและประสบปัญหาด้านการเงิน แต่ได้รับความช่วยเหลือจากเงินทุนลับของแชนด์เลอร์ ละครโทรทัศน์เรื่อง Mac and C.H.E.E.S.E.ของโจอีถูกยกเลิกการผลิต แต่เขาได้กลับไปแสดงในละครเรื่องDays of Our Lives ขณะเดียวกัน รอสส์สวมชุดอาร์มาดิลโลเพื่อหวังจะแนะนำให้เบนรู้จักเทศกาลฮานุกกะห์ ห้องชุดของฟีบีบูรณะจนเสร็จ แต่เหลือห้องนอนขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว จากเดิมมีสองห้อง เรเชลจึงตัดสินใจอยู่กับโจอี ฤดูกาลจบลงก่อนเหตุการณ์งานแต่งของมอนิกาและแชนด์เลอร์ ฟีบีและเรเชลเจอผลตรวจครรภ์เป็นบวกในห้องน้ำในห้องชุดของมอนิกาและแชนด์เลอร์

ฤดูกาลที่ 8[แก้]

ฤดูกาลที่แปดเปิดเผยในงานสมรสของมอนิกาและแชนด์เลอร์ว่า ผลตรวจครรภ์เป็นบวกที่พบในห้องน้ำในห้องชุดของมอนิกาและแชนด์เลอร์แท้จริงแล้วเป็นของเรเชล เรเชลลองตรวจครรภ์อีกครั้ง ทีแรกฟีบีอ้างว่าไม่ตั้งครรภ์ เพื่อให้เรเชลแสดงความรู้สึกเมื่อตระหนักว่าตนเองตั้งครรภ์จริง เรเชลรู้สึกเศร้าเมื่อเธอคิดว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์ ฟีบีจึงบอกความจริงกับเธอ จากนั้นเธอสองคนและมอนิกาแสดงความยินดีให้กันในห้องน้ำนั้น ฤดูกาลนี้เกียวพับกับการตั้งครรภ์ของเรเชล ต่อมามีการเปิดเผยว่ารอสส์เป็นพ่อของเด็กหลังมีการสืบสาวถึงเสื้อคลุมสีแดง เรเชลและรอสส์ตัดสินใจมีลูกร่วมกันแต่ไม่สานต่อความสัมพันธ์ โจอีตกหลุมรักเรเชล แต่เธอปฏิเสธ ในตอนสุดท้าย เรเชลคลอดลูกให้ชื่อว่า เอมมา ณ โรงพยาบาล แม่ของรอสส์ให้แหวนหมั้นแก่รอสส์เพราะเธอต้องการให้เขาสมรสกับเรเชล รอสส์ไม่ได้ตั้งใจจะขอเรเชลแต่งงาน เขาจึงเก็บแหวนไว้ในกระเป๋าเสื้อ ขณะเดียวกัน ในห้องหลังคลอดบุตร โจอีมองหากระดาษชำระให้เรเชลที่กำลังอารมณ์เสีย เขาหยิบเสื้อของรแสส์ แหวนหมั้นตกลงบนพื้น เขาคุกเข่าเก็บแหวนขึ้นมาและหันไปทางเรเชลโดยที่ยังยืนเข่าและถือแหวนอยู่ เรเชลตอบตกลงเพราะเธอคิดว่าเขาขอเธอแต่งงาน

ฤดูกาลที่ 9[แก้]

ฤดูกาลที่เก้าเริ่มต้นด้วยรอสส์และเรเชลเป็นเพื่อนร่วมห้องกันอาศัยอยู่กับลูกสาวชื่อ เอ็มมา มอนิกาและแชนด์เลอร์พยายามมีลูกด้วยตนเองแต่พบว่าร่างกายของพวกเขาไม่อาจมีลูกได้ ฟีบีเริ่มคบหากับไมก์ ฮันนิแกน (พอล รัดด์) และเลือกที่จะอยู่กับเขาแทนคนรักเก่าชื่อ เดวิด (แฮงก์ อะเซเรีย) เรเชลและเอ็มมาย้ายมาอยู่กับโจอีในกลางฤดูกาล และเรเชลเริ่มแอบรักโจอี ขณะที่ "เพื่อน ๆ" ที่เหลือพยายามอย่างหนักเพื่อให้รอสส์กลับมาคืนดีกับเรเชล กลุ่มเพื่อนเดินทางเที่ยวที่ประเทศบาร์เบโดสตอนท้ายฤดูกาลเพื่อฟังรอสส์บรรยายในการประชุมเกี่ยวกับบรรพชีวินวิทยา โจอีและคนรักชื่อ ชาร์ลี (ไอชา ไทเลอร์) เลิกรากัน เธอเริ่มคบหากับรอสส์ จากนั้นโจอีเห็นรอสส์จูบกับชาร์ลี โจอีจึงไปที่ห้องของเรเชลในโรงแรม และจบฤดูกาลในฉากที่เขาสองคนจูบกัน

ฤดูกาลที่ 10[แก้]

ฤดูกาลที่สิบขมวดเรื่องราวสู่จุดจบ ชาร์ลีเลิกรากับรอสส์และกลับไปคืนดีกับคนรักเก่า โจอีและเรเชลพยายามปลอบความรู้สึกของรอสส์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาสองคน และตัดสินใจว่ากลับมาเป็นเพื่อนกันนั้นดีที่สุดแล้ว ฟีบีและไมก์แต่งงานกันที่ด้านนอกร้านกาแฟเซนทรัลเพิร์กช่วงกลางฤดูกาล มอนิกาและแชนด์เลอร์สมัครรับบุตรบุญธรรมและได้รับเลือกโดยเอริกา (แอนนา ฟาริส) ในช่วงท้ายซีรีส์ เอริกาคลอดฝาแฝด สร้างความประหลาดใจให้มอนิกาและแชนด์เลอร์ มอนิกาและแชนด์เลอร์เตรียมย้ายไปอยู่ที่ชานเมือง โจอีวิตกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เรเชลถูกไล่ออกจากงานและรับงานใหม่ที่ปารีส รอสส์พยายามดึงตัวเธอกลับมาทำที่เดิมโดยนัดพบหัวหน้าของเธออย่างลับ ๆ แต่ยอมรับความจริงหลังทราบว่างานที่ปารีสคืองานในฝันของเรเชล เรเชลบอกลาเพื่อนทุกคนยกเว้นรอสส์ รอสส์ที่รู้สึกเจ็บและโกรธไปพบกับเรเชล และได้นอนด้วยกัน เรเชลออกเดินทาง รอสส์ตระหนักแล้วว่าเขารักเรเชล ตามเธอไปที่สนามบิน เมื่อเขาไปถึง เรเชลตระหนักว่าเธอก็รักเขาเช่นกัน และยกเลิกเที่ยวบินที่ไปปารีส ซีรีส์จบลงโดยเพื่อน ๆ ทุกคน รวมถึงลูก ๆ ของมอนิกาและแชนด์เลอร์ เดินออกจากอพาร์ตเมนต์ด้วยกันเพื่อไปดื่มกาแฟ แชนด์เลอร์ทิ้งมุกตลกสุดท้ายไว้ ละครจบลงด้วยฉากกุญแจอพาร์ตเมนต์หลายดอกบนเคาน์เตอร์ และฉากประตูอพาร์ตเมนต์สีม่วง

อ้างอิง[แก้]

  1. "'Friends' Was Originally Called 'Six of One'". Abcnews.go.com. April 5, 2012. สืบค้นเมื่อ August 3, 2016.
  2. Matt Lauer (May 5, 2004). "'Friends' Creators Share Show's Beginnings". NBSnews.com. สืบค้นเมื่อ May 5, 2004.
  3. Zach Seemayer (March 31, 2014). "The 10 Most-Watched TV Series Finales Ever!". สืบค้นเมื่อ May 23, 2015.
  4. Stacy Conradt (February 28, 2015). "The 10 Most-Watched Series Finales Ever". สืบค้นเมื่อ May 24, 2015.
  5. Natalie Kalin (April 29, 2015). "Top 10 Most Watched TV Finales Ever". HuffingtonPost.com. สืบค้นเมื่อ May 24, 2015.
  6. "'Friends' Finale Is Decade's Most-Watched TV Show". Chicago Tribune. December 4, 2009. สืบค้นเมื่อ August 18, 2010.
  7. "The Most Watched TV Episode of the Decade Was...The Series Finale of 'Friends'". Daily News. New York. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-07. สืบค้นเมื่อ December 22, 2009.
  8. "The 100 Best Tv Shows Of All-Time". Time. September 6, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ 2017-05-03.
  9. "TV Guide Names Top 50 Shows". CBS News. April 26, 2002.
  10. "Empire Magazine's 50 Greatest TV Shows of All Time list". Listal.com. December 23, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-13. สืบค้นเมื่อ April 2, 2011.
  11. "The 50 Greatest TV Shows of All Time". empireonline.com. December 23, 2008. สืบค้นเมื่อ April 2, 2011.
  12. "Special Collector's Issue: 100 Greatest Episodes of All Time". TV Guide (June 28 – July 4). 1997.
  13. "101 Best Written TV Series List". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-10. สืบค้นเมื่อ 2017-05-03.
  14. Fretts, Bruce; Roush, Matt. "The Greatest Shows on Earth". TV Guide Magazine. 61 (3194–3195): 16–19.
  15. Lomartire, Paul (September 4, 1994). "Fall TV '94". The Palm Beach Post. สืบค้นเมื่อ February 14, 2009.
  16. Bianco, Robert (March 3, 2004). "Friends played great game of poker". USA Today. สืบค้นเมื่อ February 20, 2009.
  17. Booth, Jenny (May 21, 2006). "Sarey Carey: Does pride in housework make me bad as well as mad?". The Sunday Times. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2011. สืบค้นเมื่อ February 20, 2009.
  18. Jicha, Tom (May 2, 2004). "They leave as they began: With a buzz". The Baltimore Sun. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 4, 2011. สืบค้นเมื่อ December 23, 2008.
  19. Andreeva, Nellie (September 20, 2004). "Kudrow has Comeback; Cox, HBO talk". The Hollywood Reporter. AllBusiness.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-07-14. สืบค้นเมื่อ February 20, 2009.
  20. "Matt LeBlanc – Friends Interview". NBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 11, 2016.
  21. McLellan, Dennis (February 12, 2008). "Married .. With Children Co-Creator Dies". The Baltimore Sun. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 4, 2011. สืบค้นเมื่อ December 23, 2008.
  22. "Friends Star Finally has Chance to Enjoy Success". Los Angeles Times. March 26, 1995. สืบค้นเมื่อ February 20, 2009.
  23. 23.0 23.1 Lowry, Brian (August 12, 1996). "Friends cast returning amid contract dispute". Los Angeles Times. Los Angeles. ISSN 0458-3035. OCLC 3638237. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-20. สืบค้นเมื่อ March 8, 2009.
  24. Carter, Bill (July 16, 1996). "Friends Cast Bands Together To Demand a Salary Increase". The New York Times. ISSN 0362-4331. OCLC 1645522. สืบค้นเมื่อ March 7, 2018.
  25. Rice, Lynette (April 21, 2000). "Friendly Fire". Entertainment Weekly. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 19, 2009. สืบค้นเมื่อ March 8, 2009.
  26. Guinness World Records 2005 (Special 50th anniversary ed.). New York City: Guinness World Records Ltd. 2004. p. 288. ISBN 978-1892051226. OCLC 56213857.
  27. Saah, Nadia (January 21, 2004). "Friends til the end". USA Today. ISSN 0734-7456. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  28. Rice, Lynette (April 21, 2000). "Friendly Fire". Entertainment Weekly. p. 2. ISSN 1049-0434. OCLC 21114137. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 20, 2009. สืบค้นเมื่อ March 7, 2018.
  29. Carter, Bill (February 12, 2002). "'Friends' Deal Will Pay Each Of Its 6 Stars $22 Million". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 8, 2013. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  30. Jicha, Tom (May 2, 2004). "They leave as they began: With a buzz". The Baltimore Sun. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 4, 2011. สืบค้นเมื่อ December 23, 2008.
  31. 31.0 31.1 McCarroll, Christina (May 6, 2004). "A family sitcom for Gen X - Friends cast a new TV mold". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 31, 2009. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  32. Bianco, Robert (January 1, 2005). "The Emmy Awards: Robert Bianco". USA Today. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  33. Zaslow, Jeffrey (October 8, 2000). "Balancing friends and family". USA Weekend. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 2012. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  34. Power, Ed (May 6, 2004). "Why we will miss our absent Friends". Irish Independent. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  35. "People: DeGeneres tries to calm the howling pack". The Denver Post. October 18, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 19, 2009. สืบค้นเมื่อ December 19, 2008.
  36. Wild, David (2004). Friends 'Til the End: The Official Celebration of All Ten Years (Authorized collector's ed.). New York City: Time Warner. ISBN 978-1932273199. OCLC 55124193.
  37. Wild, David (2004). Friends 'Til the End: The Official Celebration of All Ten Years. Time Warner. ISBN 1-932273-19-0.