เจ้าชายมัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าชายมัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน
Prinz Maximilian von Baden
นายกรัฐมนตรีจักรวรรดิเยอรมัน
มุขมนตรีราชอาณาจักรปรัสเซีย
ดำรงตำแหน่ง
3 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 1918
กษัตริย์จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2
ก่อนหน้าเกออร์ค ฟ็อน แฮร์ทลิง
ถัดไปฟรีดริช เอเบิร์ท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปรัสเซีย
ดำรงตำแหน่ง
3 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 1918
ก่อนหน้าเกออร์ค ฟ็อน แฮร์ทลิง
ถัดไปไม่มี
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
มัคซีมีลีอาน อเล็กซานเดอร์ ฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม

10 กรกฎาคม ค.ศ. 1867(1867-07-10)
บาเดิน-บาเดิน แกรนด์ดัชชีบาเดิน จักรวรรดิเยอรมัน
เสียชีวิต6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1929(1929-11-06) (62 ปี)
ค็อนชตันทซ์ สาธารณรัฐไวมาร์
ศาสนาโรมันคาทอลิก
พรรคการเมืองไม่มี
คู่สมรสเจ้าหญิงมารีอา ลูอีเซอ แห่งฮันโนเฟอร์
บุตรเจ้าหญิงมารี อเล็กซานดราแห่งบาเดิน
เบร็คโทลด์ มาร์คกราฟแห่งบาเดิน
บุพการี

มัคซีมีลีอาน อเล็กซานเดอร์ ฟรีดริช เจ้าชายและมาร์คกราฟแห่งบาเดิน (เยอรมัน: Maximilian Alexander Friedrich Prinz und Markgraf von Baden) บ้างเรียก มัค ฟ็อน บาเดิน (Max von Baden) เป็นนักการเมืองเยอรมันและเจ้าชายจากแคว้นบาเดิน เขาเป็นทายาทผู้อ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ดยุกแห่งบาเดิน เขาได้ดำรงดำแหน่งนายกรัฐมนตรีจักรวรรดิเยอรมันคนสุดท้ายในปี 1918 ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้ระบอบสาธารณรัฐ

ประวัติ[แก้]

เจ้าชายมัคซีมีลีอานประสูติที่นครบาเดิน-บาเดิน เป็นโอรสของเจ้าชายวิลเฮล์ม มัค (โอรสองค์ที่สามของเลโอพ็อลด์ แกรนดยุกแห่งบาเดิน) กับเจ้าหญิงมารีอา มัคซีมีลีอานอฟนา แห่งล็อยช์เทินแบร์ค (หลานปู่ของเออแฌน เดอ โบอาร์แน) เจ้าชายมัคซีมีลีอานมีหน้าตาคล้ายคลึงกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง

เจ้าชายมัคซีมีลีอานเคยเป็นผู้รักร่วมเพศ และมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลอาชญากรรมของตำรวจเบอร์ลิน แต่แล้วในปี 1900 พระองค์ก็ตัดสินใจด้วยเหตุผลทางขัตติยวงศ์ ทำการสมรสกับเจ้าหญิงมารีอา ลูอีเซอ แห่งฮันโนเฟอร์[1]

งานการเมือง[แก้]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 ประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐได้ออกหลักการสิบสี่ข้อ อันเป็นเงื่อนไขที่เยอรมนีควรตอบสนองหากต้องการเปิดการเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร ต่อมาเมื่อเจ้าชายแห่งบาเดินขึ้นเป็นเป็นนายกรัฐมนตรีจักรวรรดิ ก็ทรงเปิดทางให้นักการเมืองจากพรรคสังคมประชาธิปไตยเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี เพื่อแสดงต่อสหรัฐว่าเยอรมนีเปลี่ยนจากรัฐบาลในระบอบจักรพรรดิมาเป็นรัฐบาลในระบอบรัฐสภาแล้ว และเรียกร้องการเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่ยอมรับการหยุดยิง โดยส่งสัญญาณเป็นนัยมาต่อเจ้าชายมัคซีมีลีอาน ว่าสหรัฐจะเข้าสู่การเจรจาต่อเมื่อไคเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติ

เมื่อได้รับแรงกดดันดังกล่าวจากสหรัฐ เจ้าชายมัคซีมีลีอานจึงโน้มน้าวให้ไคเซอร์ทรงสละราชสมบัติ ไคเซอร์ยินยอมสละราชสมบัติจักรพรรดิเยอรมัน เนื่องจากทรงเข้าพระทัยผิดคิดว่า พระองค์จะยังคงเป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียต่อไป แต่แล้ว เจ้าชายแห่งบาเดินก็กราบทูลให้ทรงทราบว่าตามธรรมนูญจักรวรรดิ ตำแหน่งจักรพรรดิเยอรมันกับตำแหน่งกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นหนึ่งเดียวกัน จะแยกจากกันมิได้ เมื่อไคเซอร์ได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนพระทัย ยังไม่ยอมสละราชสมบัติ

ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1918 เจ้าชายมัคซีมีลีอานหารือกับนักการเมืองพรรคสังคมประชาธิปไตย ว่าจะเดินทางไปเกลี้ยกล่อมให้ไคเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติอีกครั้ง โดยวางแผนจะเชิญให้เจ้าชายไอเทิล ฟรีดริช แห่งปรัสเซีย เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม แผนการดังกล่าวเป็นอันล่มไปเมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ซึ่งในวันดังกล่าว เจ้าชายมัคซีมีลีอานต้องการทำให้ฝูงชนสงบลงโดยเร็ว ในช่วงบ่ายของวันนั้นจึงออกประกาศแต่ฝ่ายเดียวในฐานะนายกรัฐมนตรีจักรวรรดิ ความว่า "องค์จักรพรรดิและองค์กษัตริย์ตัดสินพระทัยสละราชสมบัติแล้ว นายกรัฐมนตรีจักรวรรดิจะอยู่ในตำแหน่งจนกว่าการสละราชสมบัติโดยจักรพรรดิ การสละสิทธิ์สืบราชสมบัติโดยมกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิเยอรมันและแห่งปรัสเซีย และการตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จะเรียบร้อย"[2] กล่าวคือ ไคเซอร์วิลเฮ็ล์มถูกบังคับให้สละราชสมบัติทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

ชั่วครู่หลังเจ้าชายมัคซีมีลีอานออกประกาศดังกล่าว กลุ่มนักการเมืองพรรคสังคมประชาธิปไตยที่นำโดยฟรีดริช เอเบิร์ท ก็เดินทางมาที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีจักรวรรดิ และเรียกร้องให้เจ้าชายมัคซีมีลีอานลาออกเพื่อส่งมอบอำนาจแก่พรรคสังคมประชาธิปไตย เจ้าชายมัคซีมีลีอานจึงประกาศลาออกและประกาศแต่งตั้งฟรีดริช เอเบิร์ท เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง[3]: 87  (แม้ว่ากระบวนการนี้จะขัดต่อธรรมนูญจักรวรรดิก็ตาม เนื่องจากการแต่งตั้งหัวหน้ารัฐบาลเป็นอำนาจของไคเซอร์) และในวันเดียวกันนั้น ฟิลลิพ ไชเดอมัน ทำการประกาศเปลี่ยนจักรวรรดิเป็นสาธารณรัฐจากระเบียงของอาคารที่ประชุมใหญ่ไรชส์ทาค เพื่อระงับอารมณ์ของฝูงชนและยับยั้งการปฏิวัติแนวสังคมนิยม

เอเบิร์ทผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาลคนใหม่ยังคงต้องการรักษาระบบระเบียบเดิมเอาไว้ จึงเทียบเชิญให้เจ้าชายมัคซีมีลีอานเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ได้รับการปฏิเสธ เจ้าชายมัคซีมีลีอานเดินทางออกจากกรุงเบอร์ลินไปอาศัยอยู่ที่เมืองซาเลิมโดยไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมืองอีกเลย ซึ่งในปี 1928 แกรนด์ดยุกแห่งบาเดินถึงแก่พิราลัย ในยามนั้นประเทศเยอรมนีล้มเลิกระบบเจ้าผู้ครองนครแล้ว เจ้าชายมัคซีมีลีอานจึงได้สืบตระกูลในยศมาร์คกราฟแห่งบาเดิน เจ้าชายมัคซีมีลีอานสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1929 จากอาการไตวายที่โรงพยาบาลในเมืองค็อนชตันทซ์

อ้างอิง[แก้]

  1. Lothar Machtan: Prinz Max von Baden. Der letzte Kanzler des Kaisers. Berlin 2013, ISBN 978-3-518-42407-0, p. 243f and 253f.
  2. Michalka, Wolfgang; Niedhart, Gottfried, บ.ก. (1992). Deutsche Geschichte 1918–1933. Dokumente zur Innen- und Außenpolitik [German History 1918-1933. Documents on Domestic and Foreign Policy] (ภาษาเยอรมัน). Frankfurt am Main: Fischer. p. 18. ISBN 3596112508.
  3. Haffner, Sebastian (2002). Die deutsche Revolution 1918/19 (German). Kindler. ISBN 3-463-40423-0.