เจิง กั๋วฟาน
เจิง กั๋วฟาน อี้หย่งโหฺวขั้นหนึ่ง | |
---|---|
เจิง กั๋วฟาน | |
อุปราชจื๋อลี่ | |
ดำรงตำแหน่ง 1868–1870 | |
ก่อนหน้า | กวนเหวิน |
ถัดไป | หลี่ หงจาง |
อุปราชเหลี่ยงเจียง | |
ดำรงตำแหน่ง 1860–1864 | |
ก่อนหน้า | He Guiqing |
ถัดไป | Ma Xinyi |
ดำรงตำแหน่ง 1870–1872 | |
ก่อนหน้า | Ma Xinyi |
ถัดไป | He Jing |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1811 เซียงเซียง, หูหนาน, จักรวรรดิชิง |
เสียชีวิต | 12 มีนาคม ค.ศ. 1872 ปักกิ่ง, ราชวงศ์ชิง | (60 ปี)
การศึกษา | Jinshi degree in the Imperial Examination |
อาชีพ | รัฐบุรุษทั่วไป |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ราชวงศ์ชิง |
สังกัด | ทัพเซียง |
ประจำการ | 1853–1872 |
ผ่านศึก | กบฏเมืองแมนแดนสันติ กบฎเหนียน การสังหารหมู่เทียนจิน |
เจิง กั๋วฟาน (จีน: 曾國藩; พินอิน: Zēng Guófān; 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1811 – 12 มีนาคม ค.ศ. 1872) ชื่อเกิดว่า เจิง จื่อเฉิง (曾子城) ชื่อรองว่า ปั๋วหาน (伯涵) และบรรดาศักดิ์ว่า อี้หย่งโหฺวขั้นหนึ่ง (一等毅勇侯) เป็นชาวจีนสมัยปลายราชวงศ์ชิง เป็นรัฐบุรุษ นายทหาร และปรัชญาเมธีลัทธิขงจื๊อ มีชื่อเสียงจากการจัดตั้งและวางระเบียบทัพเซียง (湘軍) ซึ่งช่วยกองทัพราชวงศ์ชิงในการปราบขบวนการเมืองแมนแดนสันติ (太平天國運動) และรื้อฟื้นความเป็นปึกแผ่นของราชวงศ์ เขายังมีส่วนในการวางรูปแบบการปฏิรูปถงจื้อ (同治中興) พร้อมด้วยคนสำคัญอีกสองคน คือ จั่ว จงถัง (左宗棠) และหลี่ หงจาง (李鴻章) เพื่อยับยั้งความล่มจมของราชวงศ์[1] นอกจากนี้ เขาเป็นที่รู้จักเพราะวิสัยทัศน์ทางยุทธศาสตร์ ความสามารถในการปกครอง และบุคลิกภาพอันสูงศักดิ์ตามหลักปฏิบัติขงจื๊อ แต่ก็มีความโหดร้ายรุนแรงต่อกบฏที่ปราบได้ เขายังเป็นตัวอย่างของผู้ซื่อสัตย์ภักดีในยุคสมัยอลหม่าน แต่ก็มีผู้มองเขาเป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิขุนศึก
ต้นชีวิต
[แก้]เขาเกิด ณ เซียงเซียง (湘乡) ในหูหนาน (湖南) เป็นบุตรของเจิง หลินชู (曾麟書) สืบเชื้อสายมาจากเจิงจื่อ (曾子) ปรัชญาเมธีขงจื๊อ เขาศึกษา ณ วิทยาลัยเยฺว่ลู่ (嶽麓書院) ในฉางชา (长沙) สอบขุนนางระดับเมืองผ่านใน ค.ศ. 1833 และสอบขุนนางระดับมณฑลผ่านในปีถัดมา ครั้น ค.ศ. 1838 เขาอายุได้ 27 ก็สอบขุนนางระดับชาติผ่าน ได้เป็นราชบัณฑิตชั้นจิ้นชื่อ (進士) จึงได้รับแต่งตั้งไปสถาบันฮั่นหลิน (翰林院) เพื่อทำหน้าที่ทางอักษร[2] เมื่อเข้าสถาบันฮั่นหลินแล้ว เขาเปลี่ยนชื่อตัวจาก "จื่อเฉิง" (子城) เป็น "กั๋วฟาน" (國藩) เพื่อให้ดูอลังการขึ้น และปฏิบัติราชการอยู่ในนครหลวงเป่ย์จิง (北京) เป็นเวลากว่า 13 ปี หน้าที่ส่วนใหญ่เป็นการตีความวรรณกรรมคลาสสิกของจื๊อ เขาได้รับเลื่อนขั้นเร็วมากเพราะความอนุเคราะห์ของอาจารย์ คือ มู่จางอา (穆彰阿) ภายในห้าปีก็มีตำแหน่งสูงถึงขั้นสอง
การเข้าสู่การเมือง
[แก้]ใน ค.ศ. 1843 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจข้อสอบมณฑลซื่อชวน (四川鄉試正考官) หกปีให้หลัง เขาได้เป็นรองเจ้ากรมพิธี (禮部侍郎) ต่อมาใน ค.ศ. 1851 มารดาของเขาเสียชีวิต เขาจึงต้องกลับหูหนานไปปลงศพสามปี ขณะนั้น ขบวนการเมืองแมนแดนสันติ (太平天國運動) ก่อการกำเริบทั่วหูหนาน สามารถยึดครองเมืองตลอดสองฝั่งฉางเจียง (長江) จึงมีราชโองการพิเศษให้เขาไปช่วยผู้ดำรงตำแหน่งสฺวินฝู่ (巡撫) แห่งหูหนานในการรวบรวมกำลังต่อต้านกบฏ เขาริเริ่มจัดตั้งทัพเรือและทัพปืนใหญ่เพื่อใช้ปราบกบฏ กองกำลังของเขาภายหลังได้ชื่อว่า "ทัพเซียง"[3] ในการควบคุมทัพเซียง เขาใช้นโยบาย "ผูกพันฉันครอบครัว รับผิดชอบเป็นรายคน ใช้วินัยยืดหยุ่นแต่ต้องรู้จักรับผิดชอบ เพิ่มเบี้ยหวัดทหาร เคารพซึ่งกันและกันในกองทัพ สร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งในไพร่พล"[4]
เมื่อปะทะกันครั้งแรก ตัวเขาเองไม่อาจเอาชนะกลุ่มกบฏได้ แต่ผู้บังคับบัญชารองจากเขาทำหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วงดีกว่าเขา เพราะสามารถยึดฉางชา เมืองหลวงของหูหนาน คืนได้ ทั้งยังทำลายทัพเรือกบฏป่นปี้[5] หลังจากผู้ใต้บัญชาประสบชัยชนะดังกล่าวแล้ว เขาจึงสามารถยึดเมืองอู่ชาง (武昌) และฮั่นหยาง (漢陽) คืนจากกบฏ เขาได้รับปูนบำเหน็จเป็นรองเจ้ากรมยุทธ์ (兵部侍郎)[6]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Franklin Ng (1995). The Asian American encyclopedia, Volume 5. Marshall Cavendish. p. 1457. ISBN 1-85435-684-4.
- ↑ William Joseph Haas (1996). China voyager: Gist Gee's life in Science. M.E. Sharpe. p. 59. ISBN 1-56324-675-9.
- ↑ John King Fairbank, Merle Goldman (2006). China: a new history (2nd ed.). Harvard University Press. p. 212. ISBN 0-674-01828-1.
- ↑ Maochun Yu, The Taiping Rebellion: A Military Assessment of Revolution and Counterrevolution, in A Military History of China 149 (David A. Graff & Robin Higham eds., 2002)
- ↑ David Hartill (2005). Cast Chinese Coins. Trafford Publishing. p. 425. ISBN 1-4120-5466-4.
- ↑ Pamela Kyle Crossley (1991). Orphan warriors: three Manchu generations and the end of the Qing world (reprint, illustrated ed.). Princeton University Press. p. 125. ISBN 0-691-00877-9.