ข้ามไปเนื้อหา

เจฟฟ์ เฮิสต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซอร์
Geoff Hurst
MBE
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เจฟฟรีย์ ชาลส์ เฮิร์สต์[1]
วันเกิด (1941-12-08) 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 (83 ปี)[2]
สถานที่เกิด แอชตันอันเดอร์ไลน์, อังกฤษ
ส่วนสูง 5 ft 11.5 in (1.82 m)[3]
ตำแหน่ง กองหน้า

เซอร์ เจฟฟรีย์ ชาลส์ เฮิร์สต์ (อังกฤษ: Geoffrey Charles Hurst, เกิด 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ในฐานะกองหน้า เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำแฮตทริกในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก เมื่อช่วยให้อังกฤษชนะเยอรมันตะวันตก 4–2 ที่สนามเวมบลีย์ในปี ค.ศ. 1966 จากการเสียชีวิตของเซอร์บ็อบบี ชาร์ลตัน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2023 เฮิร์สต์จึงกลายเป็นผู้เล่นคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่จากทีมชุดที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก

เฮิร์สต์เริ่มต้นอาชีพกับเวสต์แฮมยูไนเต็ดโดยเขาทำได้ 242 ประตูจากการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ 500 นัด ที่นั่นเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ในปี ค.ศ. 1964 และยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ ในปี ค.ศ. 1965 เขาถูกขายให้กับสโตกซิตีในปี ค.ศ. 1972 ด้วยค่าตัว 80,000 ปอนด์ หลังจากอยู่กับสโตกมาสามฤดูกาล ซึ่งเขาคว้าแชมป์วอตนีย์คัพในปี ค.ศ. 1973[4] เขาจบการเล่นฟุตบอลลีกกับเวสต์บรอมมิชอัลเบียนในปี ค.ศ. 1976 เฮิร์สต์ไปเล่นฟุตบอลในไอร์แลนด์ (คอร์กเซลติก) และสหรัฐอเมริกา (ซีแอตเทิลซาวน์เดอร์ส) ก่อนจะกลับมาอังกฤษเพื่อคุมทีมนอกลีกอย่างเทลฟอร์ดยูไนเต็ด เขายังเป็นโค้ชให้กับทีมชาติอังกฤษก่อนที่จะมาเป็นผู้จัดการทีมเชลซีเป็นเวลา 2 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ถึง 1981 ต่อมาเขาได้ทำหน้าที่โค้ชให้กับคูเวต เอสซี ก่อนที่จะออกจากวงการเพื่อมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจของเขา

โดยรวมแล้ว เฮิร์สต์ทำไป 24 ประตูจากการลงเล่น 49 นัดให้กับทีมชาติอังกฤษ นอกจากจะประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกปี 1966 แล้ว เขายังได้ลงเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1968 และฟุตบอลโลก 1970 อีกด้วย เขายังมีอาชีพนักคริกเก็ตช่วงสั้น ๆ โดยได้ลงเล่นในนามทีมเอสเซ็กซ์ในระดับเฟิร์สคลาสในปี ค.ศ. 1962 ก่อนที่จะหันมามุ่งความสนใจไปที่ฟุตบอล

ชีวิตวัยเด็ก

[แก้]

เฮิร์สต์เกิดที่แอชตันอันเดอร์ไลน์ แลงคาเชอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941[5] เขามีน้องสองคน: ไดแอนและรอเบิร์ต[5] ครอบครัวของเขาย้ายไปที่เชล์มสฟอร์ด เอสเซกซ์ เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ[5] ชาร์ลี เฮิร์สต์ พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เคยเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟให้กับบริสตอลโรเวอส์ โอลดัมแอทเลติก และรอชเดล[6] เอเวลิน ฮอปกินส์ แม่ของเขาครอบครัวมาจากกลอสเตอร์เชอร์ ส่วนแม่ของเธอเดิมเป็นชาวเยอรมัน[7] ในวัยรุ่น เขาหลงใหลในฟุตบอลมาก และเคยถูกปรับ 1 ปอนด์เนื่องจากก่อความวุ่นวายหลังจากเตะฟุตบอลเข้าไปในสวนของเพื่อนบ้านอยู่เสมอ[8]

ภายใต้การคุมทีมของพ่อของเขา เฮิร์สต์ลงเล่นให้กับทีมสำรองของฮัลสเตดทาวน์เพียงนัดเดียวเมื่ออายุ "ประมาณ 14 ปี"

ระดับสโมสร

[แก้]

เวสต์แฮมยูไนเต็ด

[แก้]

อาชีพนักฟุตบอลของเฮิสต์เริ่มต้นเมื่อเขาเป็นเด็กฝึกหัดของเวสต์แฮมยูไนเต็ดเมื่ออายุ 15 ปี[9] เขาเล่นเคียงข้างกับบ็อบบี มัวร์ในเอฟเอยูธคัพ นัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 1959 ซึ่งแพ้ให้กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ (รวมผลสองนัด 1-2) แต่ทั้งคู่ยังอยู่ในทีมที่คว้าแชมป์รายการ Southern Junior Floodlit Cup (พบกับเชลซี 1-0) ในปีนั้นด้วย[10] เท็ด เฟนตัน ผู้จัดการทีมเวสต์แฮมในขณะนั้นเลือกให้เขาติดทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในรายการ Southern Floodlit Cup ที่พบกับฟูลัมในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1958[11] เขาผันตัวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพของสโมสรในอีกสี่เดือนต่อมา และได้รับค่าเหนื่อย 7 ปอนด์ต่อสัปดาห์พร้อมค่าเซ็นสัญญา 20 ปอนด์[11] การลงประเดิมสนามครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960 เมื่ออาการบาดเจ็บของผู้เล่นตัวจริงทำให้เฟนตันต้องส่งเฮิสต์ลงเล่นแทน เขาเล่นได้ไม่ดีนักและทีมก็แพ้ไป 3–1[11] เขาลงเล่นเพียงสองนัดในฤดูกาล 1959–60 และตระหนักว่าบ็อบบี มัวร์มีผลงานที่ดีกว่าในตำแหน่งเดียวกัน[12] เขาลงเล่น 6 นัดในฤดูกาล 1960–61 และพิจารณาอย่างจริงจังที่จะหันไปให้ความสำคัญกับคริกเก็ตเป็นหลัก[12] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 รอน กรีนวูด เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมแทนเฟนตัน และเปลี่ยนการฝึกซ้อมของทีมอย่างสิ้นเชิงโดยเน้นที่ทักษะฟุตบอลมากกว่าความฟิตของร่างกาย[13]

เฮิสต์พลาดการฝึกซ้อมช่วงพรีซีซั่นก่อนเริ่มฤดูกาล 1961–62 เนื่องจากการเล่นคริกเก็ต แต่ได้ลงเล่นในตำแหน่งครึ่งซ้ายไป 24 นัด และทำประตูแรกให้กับสโมสรในนัดที่เอาชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 4–2 ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1961[14] อย่างไรก็ตาม เขาพลาดการฝึกซ้อมก่อนฤดูกาลอีกครั้งในช่วงฤดูร้อนของปีถัดมา และถูกดร็อปเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บในเกมเปิดฤดูกาล 1962–63[15] ในเดือนกันยายนของฤดูกาลนั้น กรีนวูดพยายามให้เฮิสต์เล่นเป็นกองหน้า หลังจากตัดสินใจว่าการเล่นเกมรับเป็นจุดอ่อนของกองกลางดาวรุ่งคนนี้ เขาประสบความสำเร็จในการเป็นคู่หูกับจอห์นนี เบิร์น และทำได้ 13 ประตูจาก 27 เกมในดิวิชัน 1 ในขณะที่เบิร์นทำได้ 9 ประตูจาก 30 เกมในฤดูกาล 1962–63 ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1963 เขาและสโมสรได้ไปทัวร์พรีซีซันที่นิวยอร์ก และได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงเล่นเจอกับผู้เล่นคุณภาพชั้นนำจากสโมสรต่าง ๆ ทั่วโลกใน International Soccer League ซึ่งเป็นการแข่งขันกระชับมิตร

อ้างอิง

[แก้]

ทั่วไป

  • Hurst, Geoff; Hart, Michael (2002). 1966 and All That. Headline Publishing Group. ISBN 0-7472-4187-2.

เฉพาะเจาะจง

  1. "เจฟฟ์ เฮิสต์". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2019.
  2. ,. ukwhoswho.com. Who's Who. Vol. 2015 (online Oxford University Press ed.). A & C Black, an imprint of Bloomsbury Publishing plc. Closed access
  3. "Geoff Hurst". englandfootballonline.com. สืบค้นเมื่อ 1 November 2023.
  4. "Stoke City And The Watney Cup". World Football Index. 18 August 2018. สืบค้นเมื่อ 25 June 2022.
  5. 5.0 5.1 5.2 Hurst & Hart 2002, p. 24
  6. Hurst & Hart 2002, p. 22
  7. Hurst & Hart 2002, p. 23
  8. Hurst & Hart 2002, p. 26
  9. Hurst & Hart 2002, p. 28
  10. "1959 FA Youth Cup Final / The Class of 1959". Fly So High. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 September 2017. สืบค้นเมื่อ 17 August 2020.
  11. 11.0 11.1 11.2 Hurst & Hart 2002, p. 31
  12. 12.0 12.1 Hurst & Hart 2002, p. 32
  13. Hurst & Hart 2002, p. 37
  14. Hurst & Hart 2002, p. 39
  15. Hurst & Hart 2002, p. 40

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Hamilton, Duncan (2023). Answered Prayers: England and the 1966 World Cup. United Kingdom: Quercus Publishing. ISBN 9781529419986.