เคาะวาริจญ์
เคาะวาริจญ์ (อาหรับ: الخوارج, อักษรโรมัน: al-Khawārij, เอกพจน์ อาหรับ: خارجي, อักษรโรมัน: khāriji, แปลว่า "ผู้ที่ออกไป"[1]) หรือ อัชชุรอต (อาหรับ: الشراة, อักษรโรมัน: al-Shurāt, แปลว่า "ผู้แลกเปลี่ยน"[2][3]) เป็นกลุ่มคนที่ปรากฏครั้งแรกในฟิตนะฮ์ครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 656–661) เดิมเคาะวาริจญ์เป็นผู้สนับสนุนอะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบแต่ก่อขบถหลังอะลียอมรับอนุญาโตตุลาการเพื่อยุติความขัดแย้งกับมุอาวิยะฮ์ที่ 1 ในยุทธการที่ศิฟฟีนในค.ศ. 657[4] เคาะวาริจญ์ยืนกรานว่า "การตัดสินเป็นของพระเป็นเจ้าเท่านั้น"[5] และกบฏอย่างมุอาวิยะฮ์สมควรถูกปราบตามคำสั่งห้ามในอัลกุรอาน[6] อะลีเอาชนะเคาะวาริจญ์ในยุทธการที่นะฮ์เราะวานใน ค.ศ. 658 แต่การกบฏยังดำเนินต่อไป อะลีถูกลอบสังหารใน ค.ศ. 661 โดยอับดุรเราะฮ์มาน อิบน์ มุลญัม เคาะวาริจญ์ผู้ต้องการแก้แค้นความพ่ายแพ้ที่นะฮ์เราะวาน[7]
หลังมุอะวิยะฮ์ตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ใน ค.ศ. 661 ข้าหลวงของมุอะวิยะฮ์ยังคงควบคุมเคาะวาริจญ์ไว้ได้ แต่สุญญากาศทางอำนาจจากฟิตนะฮ์ครั้งที่สอง (ค.ศ. 680–692) เอื้อให้เคาะวาริจญ์ก่อกบฏอีกครั้ง[8] อัลอะซาริเกาะฮ์และนัจญ์ดาต สองกลุ่มแยกของเคาะวาริจญ์ครองพื้นที่จำนวนมากในเปอร์เซียและอาระเบีย อย่างไรก็ตามปัญหาและความแตกแยกภายในบั่นทอนกำลังเคาะวาริจญ์ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพอุมัยยะฮ์ช่วง ค.ศ. 696–699 ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 740 เคาะวาริจญ์ก่อกบฏครั้งใหญ่ทั่วรัฐเคาะลีฟะฮ์ แต่ถูกปราบปรามจนสิ้น กระนั้นกบฏเคาะวาริจญ์ยังดำเนินต่อไปจนถึงสมัยอับบาซียะฮ์ (ค.ศ. 750–1258) ก่อนเคาะวาริจญ์หัวรุนแรงจะค่อย ๆ เสื่อมลงและแทนที่ด้วยสายกลางอย่างอิบาฎียะฮ์ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน[9] ด้านกลุ่มอิบาฎียะฮ์ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเคาะวาริจญ์ ทั้งยังประณามเคาะวาริจญ์ว่าเป็นพวกสุดโต่ง
เคาะวาริจญ์เชื่อว่ามุสลิมไม่ว่าจะเชื้อสายหรือชาติพันธุ์ใด หากผ่านการรับรองความเชื่อความศรัทธาย่อมมีคุณสมบัติเป็นเคาะลีฟะฮ์[10] จุดยืนนี้แตกต่างจากซุนนีย์ที่ยอมรับผู้นำจากเผ่ากุเรช[11] ขณะที่ชีอะฮ์ยืนยันว่าตำแหน่งผู้นำเป็นของอะลีและทายาท[12] อัลอะซาริเกาะฮ์และนัจญ์ดาตเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของมุสลิมในการขับไล่เคาะลีฟะฮ์ที่ผิดบาป[13] เคาะวาริจญ์สุดโต่งอย่างอะซาริกาถือว่าการฆ่ากาฟิร (ผู้ไม่ยอมรับ) ไม่ใช่เรื่องผิด[14][15] และการแต่งงานระหว่างเคาะวาริจญ์กับกาฟิรเป็นเรื่องต้องห้าม[16] ขณะที่นัจญดัตอนุญาตการแต่งงานกับผู้ไม่ใช่เคาะวาริจญ์[17] เคาะวาริจญ์หลายคนเป็นนักพูดและกวีที่มีความสามารถ หัวข้อบทกวีของพวกเขามักเป็นเรื่องศรัทธา ความกล้าหาญและชะฮีด[18][19][20] เคาะวาริจญ์สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 และ 9 มีส่วนในการถกเถียงทางเทววิทยาซึ่งมีส่วนพัฒนาต่อมาเป็นเทววิทยาอิสลามกระแสหลัก[21]
ประวัติศาสตร์และความเชื่อของเคาะวาริจญ์มาจากนักเขียนสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 ที่เป็นปฏิปักษ์กับเคาะวาริจญ์[22][23] การขาดหลักฐานจากทางเคาะวาริจญ์ทำให้ยากต่อการค้นหาเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา[24] มุสลิมดั้งเดิมมองเคาะวาริจญ์ว่าเป็นกลุ่มสุดโต่งที่โหดร้าย[2][25][26] ขณะที่มุสลิมสมัยใหม่เปรียบเทียบรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ อัลกออิดะฮ์ ภราดรภาพมุสลิมและเตฮ์รีกีตอลิบานปากีสถานกับเคาะวาริจญ์ในแง่อุดมการณ์เชิงมูลวิวัติและการใช้กำลัง[27][28][29][30] อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์อาหรับบางคนเน้นด้านสมภาคนิยมและแนวโน้มก่อนประชาธิปไตยของเคาะวาริจญ์[31][32] ปัจจุบันมุมมองของนักประวัติศาสตร์ต่อมูลเหตุเคาะวาริจญ์แบ่งเป็นจุดประสงค์ทางศาสนา[33] ปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ[34] หรือการตอบสนองของเบดูอินต่อการจัดตั้งรัฐที่เป็นแบบแผน[35]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Francesca 2006, p. 84.
- ↑ 2.0 2.1 Della Vida 1978, p. 1075.
- ↑ Gaiser 2016, pp. 1–2.
- ↑ "Kharijite". Encyclopedia Britannica. สืบค้นเมื่อ May 5, 2022.
- ↑ Della Vida 1978, p. 1074.
- ↑ Watt 1973, p. 14.
- ↑ Madelung 1997, p. 308.
- ↑ Gaiser, Adam R. (2010). Muslims, Scholars, Soldiers: The Origin and Elaboration of the Ibadi Imamate Traditions. Oxford, United Kingdom: Oxford University Press. p. 34. ISBN 978-0-19-973893-9.
- ↑ Campo, Juan Eduardo (2009). Encyclopedia of Islam. New York City, United States: Infobase Publishing. p. 432. ISBN 978-1-43-812696-8.
- ↑ Demichelis 2015, p. 108.
- ↑ "Sunni". Encyclopedia Britannica. สืบค้นเมื่อ May 5, 2022.
- ↑ Della Vida 1978, p. 1076.
- ↑ Wellhausen 1901, pp. 13–14.
- ↑ Kenney 2006, pp. 34–35.
- ↑ Hoffman 2012, p. 28.
- ↑ Lewinstein 2008.
- ↑ Gaiser 2020.
- ↑ Donner 1997, pp. 15–16.
- ↑ Hagemann 2021, p. 87.
- ↑ Badawi 1980, p. 6.
- ↑ Wellhausen 1901, p. 17.
- ↑ Gaiser 2013.
- ↑ Kenney 2006, pp. 28–29.
- ↑ Hagemann 2021, pp. 64–65.
- ↑ Gaiser 2016, p. 2.
- ↑ Hagemann & Verkinderen 2020, p. 489.
- ↑ Timani 2008, p. 78.
- ↑ Bunzel 2016, p. 23.
- ↑ Kenney 2006, pp. 90–91.
- ↑ Akram 2014, p. 596.
- ↑ Kennedy 2016, p. 68.
- ↑ Timani 2008, pp. 26ff, 77ff.
- ↑ Brünnow 1884, pp. 15–17.
- ↑ Hagemann 2021, pp. 10–11.
- ↑ Watt 1973, pp. 11, 20.