เขื่อนบางปะกง
เขื่อนบางปะกง | |
---|---|
หอคอยอาคารระบายน้ำของเขื่อน (19 ตุลาคม พ.ศ. 2547) | |
ชื่อทางการ | โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง |
ประเทศ | ประเทศไทย |
ที่ตั้ง | ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา |
พิกัด | 13°42′27″N 101°08′14″E / 13.7075°N 101.1371°E |
เริ่มก่อสร้าง | พ.ศ. 2539 |
เปิดดำเนินการ | 6 มกราคม พ.ศ. 2543 |
งบก่อสร้าง | 5,232 ล้านบาท |
เจ้าของ | กรมชลประทาน |
เขื่อนและทางน้ำล้น | |
ปิดกั้น | แม่น้ำบางปะกง |
ความสูง | 24 เมตร (เขื่อนหลัก) 7 เมตร (ลำน้ำเดิม) สันเขื่อน 39 เมตร (รทก.) |
ความยาว | 2,500 เมตร (เขื่อนหลัก) 1,600 เมตร (ลำน้ำเดิม) |
อ่างเก็บน้ำ | |
อ่างเก็บน้ำ | เขื่อนดินปิดกั้นลำน้ำ ประเภทแบ่งโซน |
ปริมาตรกักเก็บน้ำ | 248 ล้าน ลบ.ม. |
สะพาน | |
ช่องถนน | 2 ช่องจราจร (เขื่อนหลักและลำน้ำเดิม) |
เขื่อนบางปะกง[a] หรือ เขื่อนทดน้ำบางปะกง เป็นเขื่อนดินแบบปิดกั้นลำน้ำสำหรับป้องกันน้ำเค็มที่รุกล้ำเข้ามาจากปากแม่น้ำ และรักษาน้ำจืดที่อยู่เหนือเขื่อนไว้สำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตร อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน
ประวัติ
[แก้]แม่น้ำบางปะกงเป็นพื้นที่ราบลุ่มขนาดประมาณ 17,600 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 11 ล้านไร่) โดยมีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำปราจีนบุรีไหลมาบรรจบกันบริเวณอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี และอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อพื้นที่ราบลุ่มมีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการเกษตร ทำให้ความต้องการน้ำจืดมีสูงขึ้น จึงมีการกำหนดแผนพัฒนาลุ่มน้ำบางปะกง โดยมีวัตถุประสงค์ในการกักเก็บปริมาณน้ำจืดและป้องกันน้ำเค็ม โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับในการพัฒนาเขื่อนบางปะกง และอ่างเก็บน้ำคลองสียัดเป็นอันดับต้น ๆ ของโครงการ เพื่อใช้ในการรักษาน้ำจืดสำหรับอุปโภคบริโภค ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม จึงได้มีการวางแผนศึกษาการพัฒนาร่วมกันเมื่อปี พ.ศ. 2533 กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ JICA[1]
สภาพปัญหาหลักก็คือ แม่น้ำบางปะกงประสบปัญหาน้ำเค็มหนุนสูง เมื่อหมดฤดูฝนในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ปริมาณน้ำจืดที่ไหลลงมาน้อย ทำให้น้ำเค็มนั้นหนุนขึ้นไปถึงจังหวัดปราจีนบุรี สามารถวัดค่าความเค็มบริเวณที่ตั้งเขื่อนบางปะกงได้ถึง 20 ppt หรือเกลือ 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร เมื่อถึงช่วงฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคม น้ำจืดจะไหลดันน้ำเค็มกลับไปยังปากแม่น้ำบางปะกง เป็นประจำทุก ๆ ปี รวมถึงบางครั้งมีปริมาณมากจนกระทั่งไหล่บ่าท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ[1] จึงสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำจืดได้เพียงช่วงเดือนกรกฎาคม - ตุลาคม (4 เดือน) เท่านั้น จึงได้มีแนวคิดในการสร้างเขื่อนบางปะกงขึ้นมาเพื่อกักเก็บน้ำจืดไว้สำหรับการอุปโภคบริโภคและป้องกันการหนุนสูงของน้ำเค็ม[2]
โครงการเขื่อนบางปะกง ได้รับการอนุมัติในหลักการและเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2539 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2542 ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 5,232 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าที่ดินที่ใช้ในการเวนคืนแล้ว 900 ล้านบาท และเริ่มเปิดปิดประตูเขื่อนเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2543
คุณสมบัติ
[แก้]เขื่อนบางปะกง เป็นเขื่อนรูปแบบเขื่อนผันน้ำในรูปแบบปิดกั้นลำน้ำเดิม คือแม่น้ำบางปะกง โดยขุดคลองลัดขึ้นมาเพื่อบังคับการไหลของน้ำให้ผ่านมายังจุดที่ต้องการคือตัวเขื่อน และตัวแม่น้ำเดิมได้สร้างทำนบดินปิดกั้นไว้พร้อมกับประตูระบายน้ำ ตัวเขื่อนประกอบด้วยประตูระบายน้ำขนาดใหญ่จำนวน 5 ช่อง แบ่งเป็นชนิดบานเดี่ยวจำนวน 3 บาน สำหรับระบายน้ำ และบานคู่จำนวน 2 บาท สำหรับควบคุมระดับน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนบางปะกง โดยใช้การควบคุมทางไกลผ่านอาคารควบคุมบนตลิ่งทางด้านขวาของเขื่อน[1]
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำพลังงานไฟฟ้าจำนวน 4 เครื่อง ความสามารถสูบได้เครื่องละ 4 ลบ.ม./วินาที เพื่อสูบน้ำเข้าสู่โครงข่ายชลประทานในพื้นที่ โดยมีพื้นที่ชลประทานอยู่ในโครงการทั้งหมด 92,000 ไร่[1]
ลักษณะเขื่อน
[แก้]เขื่อนบางปะกง อยู่ห่างจากปากแม่น้ำบางปะกงประมาณ 71 กิโลเมตร มีขนาดความจุของอ่างเก็บน้ำ 248 ล้าน ลบ.ม. ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ เขื่อนหลัก และเขื่อนบริเวณลำน้ำเดิม มีรายละเอียด[2] ดังนี้
- เขื่อนหลัก เป็นเขื่อนดินประเภทแบ่งโซน (Zone Type) มีความยาว 2,500 เมตร มีความสูง 24 เมตร ระดับสันเขือน 39 เมตร (ระดับทะเลปานกลาง)
- ตัวเขื่อนส่วนที่เป็นประตูระบายน้ำ มีความยาว 166 เมตร ลึก 11 เมตร[3]
- สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ขนาด 2 ช่องจราจร แยกจากตัวเขื่อนในลักษณะคู่ขนานไปกับแนวของเขื่อน
- เขื่อนกั้นลำน้ำเดิม เป็นเขื่อนดินประเภทแบ่งโซน (Zone Type) มีความยาว 1,600 เมตร มีความสูง 7 เมตร ระดับสันเขื่อน 39 เมตร (ระดับทะเลปานกลาง) พร้อมด้วยประตูระบายน้ำและถนนบนสันเขื่อนพร้อมสะพานข้ามร่องลำน้ำเดิม สร้างขึ้นเพื่อควบคุมการไหลของน้ำให้ไปยังเขื่อนหลัก
พื้นที่ชลประทาน
[แก้]เขื่อนบางปะกง เป็นแหล่งกักเก็บน้ำไว้สำหรับทำเกษตรกรรมให้กับเกษตรกรในพื้นที่อำเภอบางคล้า อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอบางปะกง รวมไปถึงอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี และเป็นแหล่งน้ำไว้สำหรับสนับสนุนในพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางพลวง และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก[4][5]
การป้องกันน้ำเค็ม
[แก้]เขื่อนบางปะกงมีศักยภาพในการป้องกันน้ำเค็มที่รุกล้ำมาจากปากแม่น้ำบางปะกง และรักษาทรัพยากรน้ำจืดซึ่งอยู่เหนือเขื่อน ด้วยการชะลอปริมาณการไหลของน้ำจืดและน้ำเค็มจากทั้งสองทิศทาง ร่วมกับการปล่อยน้ำจืดจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน คืออ่างเก็บน้ำคลองสียัด อ่างเก็บน้ำคลองระบบ และพิจารณาการใช้น้ำจาก เขื่อนขุนด่านปราการชล อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา อ่างเก็บน้ำพระปรง อ่างเก็บน้ำคลองพระสะทึง เพื่อประคองสถานการณ์และรักษาน้ำจืดในพื้นที่เหนือเขื่อนจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูฝนเพื่อให้มีน้ำเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคและผลิตน้ำประปา[6][7]
การท่องเที่ยว
[แก้]เขื่องบางปะกง เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากทัศนียภาพของเขื่อนและบานประตูระบายน้ำที่สวยงาม มีลักษณะคล้ายกับประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถชมได้จากบนสะพานข้ามแม่น้ำ[8]บางปะกงที่ขนานไปกับแนวของเขื่อน มีประชาชนมักมาพักผ่อนหย่อยใจด้วยการตกปลาอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ซึ่งตัวเขื่อนบางปะกงนั้นอยู่ใกล้เคียงกับวัดสมานรัตนาราม
ผลกระทบ
[แก้]หลังจากเริ่มใช้งานเขื่อนด้วยการเปิดปิดประตูน้ำเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2543 ก็ประสบปัญหาขึ้นมา 2 ปัญหาในคราวแรก คือ ปัญหาแรก การคาดว่าจะสามารถเปิดปิดประตูเพื่อเก็บกักน้ำจืดสำหรับการอุปโภคบริโภคบริเวณเหนือเขื่อน แต่กลับเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียขึ้นมาแทน เนื่องจากน้ำไม่มีการไหลเวียน และปัญหาที่สอง การปิดประตูเขื่อนในคืนข้างแรมที่เกิดน้ำลด ทำให้บริเวณใต้เขื่อนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เกิดการพังทลายของตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อถึงข้างขึ้น น้ำก็จะล้นและเข้าท่วมบ้านเรือนและคลองต่าง ๆ ทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรของพื้นที่ใต้เขื่อน ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ท้ายเขื่อนกว่า 65,590 คนจากพื้นที่ 17 ตำบลในจังหวัดฉะเชิงเทรา[3]
เนื่องจากปัญหานี้เอง ทำให้ช่วงแรก กรมชลประทานจึงจำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ[3]
จากการศึกษาของอาจารย์นวนน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ[3] พบว่าเขื่อนบางปะกงส่งผลกระทบแบ่งออกเป็น 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ
- ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วย
- ผลกระทบด้านคุณภาพน้ำ พบว่ามีการปนเปื้อนสารอินทรีย์สูง เกิดจากการสร้างเขื่อนทำให้ทิศทางการไหลของน้ำเปลี่ยนผิดไปจากธรรมชาติ ในส่วนของเหนือเขื่อน เนื่องจากน้ำบริเวณเหนือเขื่อนมีการไหลที่ช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง ก่อให้เกิดปัญหาเน่าเสียของน้ำจนไม่สามารถใช้ในการผลิตน้ำประปาหรือในอุตสาหกรรมได้ และส่วนของใต้เขื่อนเกิดปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาเร็วขึ้น เนื่องจากขาดน้ำจืดลงไปผลักดันตามธรรมชาติ รวมไปถึงระยะการขึ้นลงของน้ำสั้นกว่าเดิม ทำให้สิ่งปนเปื่อนถูกถ่ายเทลงทะเลได้ช้างลงกว่าสภาพเดิมตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งปนเปื้อนจนอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียแบบแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยปนเปื้อนสารอินทรีย์และโลหะหนักสูง ออกซิเจนในน้ำมีต่ำ มีผลต่อการเลี้ยงสัตว์น้ำหรือสัตว์น้ำในแม่น้ำ ส่งผลกระทบไปถึงลำคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำที่น้ำในแม่น้ำไม่สามารถช่วยเจือจางน้ำเสียจากชุมชนหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยลงมาในลำคลองนั้นได้
- ผลกระทบด้านการพังทลายของดิน เกิดการพังทลายของตลิ่งอย่างรุนแรงในพื้นที่ท้ายเขื่อน เนื่องจากความแตกต่างของภาวะน้ำขึ้นน้ำลงที่ผิดธรรมชาติของการปิดประตูเขื่อน ทำให้ตลิ่งขาดความมั่นคงเพราะปริมาณน้ำลงและน้ำขึ้นแตกต่างกันเกินไป ทำให้มีการพังทลายและทรุดตัวของตลิ่ง
- ผลกระทบด้านสัตว์น้ำ ชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำระบุว่าระบบนิเวศทั้งหมดสูญเสีย เพราะปัญหาการเน่าเสียของน้ำ อันเนื่องมาจากการไหลเวียนของน้ำที่ช้าลง ออกซิเจนในน้ำจึงลดลง ปลาที่เคยมีอยู่ในแม่น้ำกว่า 350 ชนิด สูญหายไปกว่า 100 ชนิด ทำให้ชาวบ้านต้องใช้วิธีซึ่งซ้ำเติมระบบนิเวศมากขึ้นในการพยายามจับสัตว์น้ำมาเลี้ยงครอบครัว เช่น การโรยยาเขย่ากุ้งกับปลาขึ้นมา
- ผลกระทบต่อพันธุ์ไม้น้ำ มีพันธุ์ไม้น้ำอย่างสาหร่ายพุงชะโด และผักตบชวาเกิดขึ้นอย่างหนาแน่นในแม่น้ำจนปิดผิวน้ำ ทำให้แสงไม่สามารถส่องลงไปด้านล่าง ทำให้แพลงตอนพืชไม่เติบโต และพันธุ์ไม้น้ำบางชนิดเป็นตัวกลาง (host) ของพยาธิหลายชนิดที่ติดต่อสู่ และส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายน้ำ
- ผลกระทบต่อทรัพยากรป่าไม้ เนื่องจากบริเวณที่ก่อสร้างเขื่อนมีป่าชายเลนขึ้นอยู่เป็นแนวแคบ ๆ เมื่อสร้างเขื่อนเสร็จทำให้ไม่มีน้ำไหลผ่าน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวตื้นเขินจนสูญเสียพื้นที่ป่าชายเลน ทำให้เกิดการชะล้างของดินง่ายขึ้นหลังมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ
- ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 จนกระทั้งถึงปีที่ศึกษา คือ พ.ศ. 2545 ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่านานแค่ไหนเขื่อนแห่งนี้จะใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และอาจจะสูญเสียงบประมาณอีกมากมายในการดูแล
การรับฟังปัญหา
[แก้]หลังจากการเปิดใช้งานเขื่อนบางปะกงและมีผู้ได้รับผลกระทบข้างต้น กรมชลประทานจึงได้มีการศึกษาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ การซ่อมแซมตลิ่งช่วงที่เสียหาย การขุดลอกคูคลองสาขาต่าง ๆ ของแม่น้ำบางปะกง การจัดทำโครงการบำบัดน้ำก่อนปล่อยของผู้เลี้ยงสุกร[1]
นอกจากนี้ยังมีการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ผ่านการจัดประชุม 3 ขั้นตอน[1] คือ
- สร้างความเข้าใจในการแก้ไขปัญหา ด้านของชลศาสตร์และระบบส่งน้ำ คุณภาพน้ำ อาชีพ และวิถีชีวิต ให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หัวหน้าส่วนราชการ และคณะกรรมการการจัดประชุม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546
- สร้างความเข้าใจในการแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับครั้งแรก ให้กับผู้แทนภาคประชาชน ผู้แทนกลุ่มอาชีพ ผู้แทนสื่อมวลชน องค์กรอิสระเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2546
- จัดทำการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนบางประกง เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2546 และได้ประเด็นในการแก้ไขปัญหามา 4 ด้าน คือ การแก้ไขปัญหาด้านชลศาสตร์ ปัญหาคุณภาพน้ำ วิถีชุมชนและอาชีพของคนในลุ่มน้ำบางปะกง และการใช้เขื่อนบางปะกงให้เกิดประโยชน์
แนวทางแก้ไขปัญหา
[แก้]จากการรับฟังความคิดเห็นข้างตน กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนได้ทางออกเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแต่ละด้าน 4 ด้าน[1] คือ
- การแก้ไขปัญหาด้านชลศาสตร์ ประชาชนร้อยละ 79 เห็นด้วยที่จะให้ดำเนินการควบคุมบังคับบานประตูระบายน้ำด้วยการหรี่บานประตู และชะลอน้ำเค็ม แทนที่การปิดแบบเต็มบาน เพื่อชะลอน้ำเค็มและใช้ประโยชน์จากน้ำจืดได้เต็มประสิทธิภาพ ปรับระดับน้ำให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด คือการควบคุมระดับน้ำท้ายเขื่อนให้อยู่ในระดับ +1 และ -1.05 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง[2] รวมถึงติดตั้งระบบโทรมาตรเพิ่มเพื่อติดตามระดับน้ำ ระดับความเค็ม และคุณภาพน้ำ และติดตั้งระบบตรวจระบบน้ำในพื้นที่เสี่ยงตลิ่งทรุดตัวและน้ำท่วม
- การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ประชาชนร้อยละ 76 เห็นด้วยที่จะขยายทางระบายน้ำบนเขื่อนกั้นลำน้ำเดิม ขุดลอกลำน้ำเดิม และดำเนินการกำจัดผักตบฉวา พร้อมทั้งให้กรมปศุสัตว์กำกับการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำของฟาร์มเลี้ยงหมู และกรมประมงส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งกุลาดำแบบระบบปิด
- อาชีพและวิถีชีวิตลุ่มน้ำบางปะกง ประชาชนร้อยละ 76 เห็นด้วยให้สร้างแพสำหรับใช้แห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำขึ้นไปถึงอำเภอบางคล้า และเห็นว่าการบริหารจัดการของเขื่อนไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อวิถีชีวิต
- การใช้เขื่อนบางปะกงให้เกิดประโยชน์ ประชาชน 74 เห็นด้วยว่าการบริหารจัดการตามแนวทางข้างต้นที่มีมติออกมาจะทำให้ใช้ประโยชน์จากเขื่อนบางปะกงได้
การแก้ไขปัญหา
[แก้]หลังจากดำเนินการตามแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้ทำประชาพิจารณ์แล้วนั้น สามารถช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการหรี่บานประตูระบายน้ำให้ระดับน้ำอยู่ในจุดที่กำหนดใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด ที่ทำควบคู่กับการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำที่อยู่เหนือเขื่อน ประกอบไปด้วย เขื่อนขุนด่านปราการชล อ่างเก็บน้ำคลองสียัด และอ่างเก็บน้ำอื่น ๆ รวมถึงข้อมูลจากระบบโทรมาตรในสถานีต่าง ๆ ทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน ข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และข้อมูลทางอุทกวิทยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการทำงานของบานประตูระบายน้ำแบบอัตโนมัติในการควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน[1]
ส่วนของปัญหาด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม หลังจากการดำเนินการแก้ไขปัญหา พบว่าระบบนิเวศกลับมาดีขึ้น มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงขึ้นโดยเป็นระบบนิเวศในรูปแบบของน้ำกร่อย มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น พบแพลงตอนพืชที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด รวมถึงค่าความเค็มกลับมาที่น้อยกว่า 1 ppt.[2] และใช้รูปแบบการหรี่ประตูในการควบคุมปริมาณน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยไม่ได้ใช้งานตัวเขื่อนและประตูระบายน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างที่ออกแบบมาตั้งแต่ต้น[7]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ป้ายโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง
-
คันดินปิดกั้นลำน้ำบางปะกงเดิมเพื่อบังคับทิศทางน้ำไปยังเขื่อนบางปะกง
-
คลองชลประทานส่งน้ำในโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง
-
อาคารอัดน้ำกลางคลองในคลองชลประทานของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง
-
สะพานข้ามช่องทางสัญจรทางเรือบริเวณคันดินปิดกั้นลำน้ำบางปะกงเดิม
-
สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง บริเวณเขื่อนบางปะกง
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ใช้คำว่าเขื่อนบางปะกงตามป้ายโครงการที่ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนซึ่งเขียนว่า โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 "โครงการเขื่อนทดน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเฉิงเทรา". กรมชลประทาน. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2023.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 "เขื่อนบางประกง". sanumjun.go.th.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 กุลศิริ อรุณภาคย์. (2548). เขื่อนทดน้ำบางปะกง : ความล้มเหลวในการจัดการน้ำ. ดำรงวิชาการ, 4(2), 1–16
- ↑ "เขื่อนทดน้ำบางปะกง". thai.tourismthailand.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "กรมชลประทาน เร่งกำจัดผักตบเขื่อนทดน้ำบางปะกงอย่างต่อเนื่อง". bangkokbiznews. 27 พฤษภาคม 2022.
- ↑ "เปิดแผนรับมือน้ำเค็มรุกเร็ว ชลประทานที่ 9 ใช้เขื่อนทดน้ำบางปะกงป้องพื้นที่เกษตร-ประปาตะวันออก". mgronline.com. 12 ธันวาคม 2021.
- ↑ 7.0 7.1 "เตรียมปัดฝุ่นเขื่อนทดน้ำบางปะกง หลังบิ๊กป้อมลง พท. หนุนเพิ่มแหล่งน้ำ ตอ. - 77 ข่าวเด็ด". 17 มีนาคม 2022.
- ↑ "เขื่อนทดน้ำบางปะกง ฉะเชิงเทรา พร้อมที่เที่ยวที่พักใกล้เคียง". www.touronthai.com.
สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงในปัจจุบัน | |||
---|---|---|---|
เหนือน้ำ สะพานบางตลาด |
เขื่อนบางปะกง |
ท้ายน้ำ สะพานทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก |