ข้ามไปเนื้อหา

เขาโรราอิมา

บทความนี้เป็นบทความแปลของพนักงานดีแทคในความร่วมมือกับวิกิพีเดีย คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เขาโรราอิมา
Monte Roraima
เขาโรราอิมา
จุดสูงสุด
ความสูง
เหนือระดับน้ำทะเล
2,810 เมตร (9,219 ฟุต) [1]
ความสูง
ส่วนยื่นจากฐาน
2,338 เมตร (7,671 ฟุต) [1]
รายชื่อจุดสูงสุดของประเทศ
ยอดเขาอัลตรา
พิกัด5°08′36″N 60°45′45″W / 5.14333°N 60.76250°W / 5.14333; -60.76250
ข้อมูลทางภูมิศาสตร์
เขาโรราอิมาตั้งอยู่ในเวเนซุเอลา
เขาโรราอิมา
เขาโรราอิมา
ที่ตั้งเขาโรราอิมาในเวเนซุเอลา ชายแดนกายอานาและบราซิล
ประเทศ เวเนซุเอลา
 บราซิล
 กายอานา
เทือกเขาที่ราบสูงกายอานา
ข้อมูลทางธรณีวิทยา
ประเภทภูเขาที่ราบสูง
การพิชิต
พิชิตครั้งแรกค.ศ. 1884 โดยเซอร์เอเวอราร์ด อิม ทูร์น, แฮร์รี อินนิส เพอร์กินส์ และชาวท้องถิ่นกายอานา [2][3]: 497 
เส้นทางง่ายสุดเดินเขา
มาเวอริกร็อก จุดสูงสุดของเขาโรราอิมา

เขาโรราอิมา (สเปน: Cerro Roraima, Tepuy Roraima) หรือ เขาโฮไรมา (โปรตุเกส: Monte Roraima, [ˈmõtʃi ʁoˈɾajmɐ]) เป็นเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาปาการาอิมาของที่ราบสูงเตปุยในทวีปอเมริกาใต้[4]: 156  นักสำรวจชาวอังกฤษชื่อ เซอร์วอลเตอร์ ราลี ได้บรรยายไว้เป็นคนแรกว่า พื้นที่บนยอดเขามีกว่า 31 ตารางกิโลเมตร[4]: 156  ประกอบขึ้นจากหน้าผารอบด้านซึ่งสูงถึง 400 เมตร (1,300 ฟุต) เขาแห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง 3 ประเทศอันได้แก่ประเทศเวเนซุเอลา บราซิล และกายอานา[4]: 156 

เขาโรราอิมาตั้งอยู่บนหินฐานทวีปกายอานา ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ในพื้นที่ 30,000 ตารางกิโลเมตรของอุทยานแห่งชาติกานาอิมา ซึ่งก่อให้เกิดยอดสูงสุดในเขตที่ราบสูงกายอานา ภูเขารูปโต๊ะของอุทยานได้รับการพิจารณาว่าเป็นการก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกมีอายุถึง 2 พันล้านปี นับตั้งแต่พรีแคมเบรียน

จุดสูงสุดในกายอานาและรัฐโฮไรมาของบราซิล ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่ราบสูง แต่เวเนซุเอลาและบราซิลยังมีเขาสูงแห่งอื่นอีก พิกัดของเส้นแบ่งเขตแดนของ 3 ประเทศนี้อยู่ที่ 5°12′08″N 60°44′07″W / 5.20222°N 60.73528°W / 5.20222; -60.73528 แต่จุดสูงสุดของเขาแห่งนี้คือ มาเวอริกร็อก สูงถึง 2,810 เมตร (9,219 ฟุต) ตั้งอยู่ทางใต้สุดของที่ราบสูงและทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของเวเนซุเอลา

พรรณพืชและพันธุ์สัตว์

[แก้]
พืชพันธุ์บนเขาโรราอิมา

ในเขตที่ราบสูง พืชหลายสายพันธุ์พบเฉพาะในเขาโรราอิมาเท่านั้น[5] เช่น พิชเชอร์แพลนท์ (ฮีเลียมโฟรา) แคมปานูลา (เบลฟลาวเวอร์) หรือพืชหายากอย่างต้นหญ้า ราปาที ก็พบได้ทั่วไปตามสันเขาและยอดเขา[4]: 156–157  มีฝนตกเกือบทุกวัน พื้นผิวเกือบทั้งหมดบนยอดเขาเป็นหินทรายเปล่า ๆ มีพุ่มไม้ปกคลุมเพียงเล็กน้อย (บอนเนเทียโรไรโม) และพบสาหร่ายด้วย[3]: 517 [6]: 464 [7]: 63  พืชหายากอื่น ๆ สามารถพบได้ในบ่อทรายที่กระจายอยู่ทั่วไปบนพื้นหินบนยอดเขา[3]: 517  สารอาหารในดินโดนชำระล้างไปตามกระแสน้ำที่ไหลตกจากขอบผาเกิดเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

มีตัวอย่างสัตว์หายากมากมายบนยอดเขาโรราอิมา เช่น Oreophrynella quelchii เรียกกันทั่วไปว่าคางคกพุ่มไม้โรราอิมา เป็นสัตว์หากินกลางวันพบได้ในพื้นหินที่เปิดโล่งหรือป่าพุ่มไม้ เป็นคางคกในตระกูล Bufonidae และสืบพันธุ์แบบ direct development (ไม่มีระยะลูกอ๊อด)[8] คางคกสายพันธุ์นี้ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ จึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวให้ทราบความสำคัญของปัญหาและไม่ให้รบกวนพวกมัน การเฝ้าระวังจำนวนประชากรอย่างใกล้ชิดก็จำเป็นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อสัตว์สายพันธุ์นี้ถูกพบแต่ที่นี่แห่งเดียว สัตว์ชนิดนี้ได้รับการคุ้มครองโดย Monumento Natural Los Tepuyes ในเวเนซุเอลา และ Parque Nacional Monte Roraima ในบราซิล[9]

วัฒนธรรม

[แก้]

เป็นเวลานานก่อนนักสำรวจชาวยุโรปจะเข้ามา เขาโรราอิมาเป็นถิ่นฐานสำคัญของชนพื้นเมืองในท้องถิ่น และยังเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อและตำนานต่าง ๆ ชาวเปมอน (Pemón) และชาวกาปอน (Kapon) ชนเผ่าพื้นเมืองของกรันซาบานา ถือเขาโรราอิมาว่าเป็นตอของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งรวมผลไม้และหน่อพืชผักทุกชนิดในโลก แต่เมื่อถูกโค่นลงโดยมากูไนมา (Makunaima) นักหลอกลวงตามตำนาน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ล้มลงสู่พื้นดิน ก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่[10] Roroi ในภาษาเปมอนแปลว่า สีน้ำเงินเขียว ส่วน ma แปลว่ายิ่งใหญ่[11]

ในปี ค.ศ. 2006 เขาโรราอิมาคือจุดหมายของสารคดีซึ่งชนะรางวัล เป็นรายการที่ออกอากาศ 2 ชม. ทางโทรทัศน์ของบริษัทกริฟฟอนโปรดักชันชื่อ เดอะเรียลลอสต์เวิลด์ รายการนี้ออกฉายทางช่อง แอนิมอลแพลนเน็ต, ดิสคัฟเวอรีเอชดีเธียเตอร์ และโอแอลเอ็น (แคนาดา) กำกับโดย ปีเตอร์ ฟอน พุตต์คาเมอร์ สารคดีท่องเที่ยว/ผจญภัยชุดนี้โดดเด่นด้วยคณะนักสำรวจรุ่นใหม่ ประกอบไปด้วย ริค เวสต์, ฮาเซล บาร์ตัน, เซธ ฮีลด์, ดีน ฮอริสัน และปีเตอร์ สเปราต์ พวกเขาเดินตามรอยนักสำรวจชาวอังกฤษอิม ทูร์น และแฮร์รี เพอร์กินส์ ผู้ออกตามหาพรรณพืชและสัตว์ในเขาโรราอิมาเมื่อช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 การผจญภัยของนักสำรวจเหล่านั้นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ เขียนหนังสือเกี่ยวกับคนและไดโนเสาร์คือเรื่อง เดอะลอสต์เวิลด์ ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1912[4]: 156  ในปี 2006 คณะถ่ายทำ เดอะเรียลลอสต์เวิลด์ เป็นคณะสำรวจแรกที่เข้าไปสำรวจถ้ำในเขาโรราอิมา หลายถ้ำถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ภายในถ้ำพวกเขาได้ค้นพบการก่อตัวของหินรูปแคร์รอตที่งอกอยู่ในถ้ำซึ่งมีอายุกว่า 2 พันล้านปี ดร.ฮาเซล บาร์ตัน กลับมาที่ถ้ำแห่งนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007 กับคณะสำรวจซึ่งสนับสนุนโดยองค์การนาซา เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการเจริญเติบโตต่าง ๆ บนผนังและเพดานถ้ำเช่น หลักฐานจากจุลินทรีย์อิกซ์ตรีโมไฟล์ ซึ่งกัดกินกำแพงที่มีพื้นฐานเป็นซิลิกา คงเหลือไว้แต่ฝุ่นผงที่ทับถมอยู่บนใยแมงมุมดึกดำบรรพ์ และก่อตัวเป็นหินย้อยที่รูปทรงเฉพาะตัว

ในปี ค.ศ. 2009 เขาโรราอิมาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อใช้เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์แอนิเมชันของค่ายดิสนีย์/พิกซาร์ เรื่อง อัพ ปู่ซ่าบ้าพลัง [12] ในภาพยนตร์เวอร์ชันแผ่นบลูเรย์ มีภาพยนตร์เบื้องหลังสั้น ๆ (ชื่อเรื่อง Adventure Is Out There) เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคณะถ่ายทำของพิกซาร์ เดินทางขึ้นไปยังเขาโรราอิมาเพื่อหาแรงบันดาลใจและความคิดเพื่อสร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่องนี้

การขึ้นเขา

[แก้]
ผาหินสูงชันของเขาโรราอิมา

แม้ฝั่งลาดชันของที่ราบสูงจะยากในการปีนขึ้นไป แต่มีบันทึกไว้ว่ามีผู้ที่พิชิตภูเขายอดราบนี้ได้เป็นคนแรก คือ เซอร์เอเวอราร์ด อิม ทูร์น เขาเดินตามทางลาดแนวป่าเพื่อวัดขนาดที่ราบสูงแห่งนี้ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1884 ปัจจุบันนักปีนเขาก็ใช้เส้นทางเดียวกันนี้

Utricularia campbelliana จากเขาโรราอิมา

ทุกวันนี้ เขาโรราอิมาเป็นจุดหมายของเหล่านักเดินทางแบบสะพายหลัง นักเดินทางเกือบทั้งหมดจะปีนขึ้นเขาจากฝั่งประเทศเวเนซุเอลา นักเดินทางส่วนใหญ่จะจ้างคนนำทางชาวอินเดียนเชื้อสายเปมอนจากหมู่บ้านปาราอิเตปุย ซึ่งสามารถเข้าถึงโดยเดินทางผ่านถนนดินจากถนนสายหลักกรันซาบานา ระหว่างกิโลเมตรที่ 88 และเมืองซันตาเอเลนาเดอูอาอิเรน แม้ว่าเส้นทางไต่เขาสู่ที่ราบสูงจะมีจุดสังเกตและเป็นเส้นทางยอดนิยม ก็สามารถหลงทางได้ง่ายเมื่อถึงยอดเขา เพราะมีร่องรอยให้สังเกตเพียงเล็กน้อย และมีเมฆปกคลุมยอดเขาอยู่ตลอด ทั้งยังมีหินรูปร่างประหลาดที่ยากต่อการคาดคะเนทางสายตา สามารถเดินทางถึงปาราอิเตปุยได้อย่างง่ายดายโดยยานพาหนะขับเคลื่อนสี่ล้อ จะยากอย่างยิ่งถ้าเดินทางโดยรถยนต์ถ้าถนนซึ่งไม่มีทางลาดอยู่ในสภาพที่ไม่ปกติ และใช้เวลาเป็นวันถ้าเดินเท้า[13][14]

จากปาราอิเตปุย นักปีนเขาจะใช้เวลา 2 วันในการเดินทางถึงตีนเขา และอีก 2 วันเดินไปตาม "ลาลัมปา" หรือบันไดธรรมชาติ เพื่อขึ้นสู่ยอดเขา และมักจะต้องใช้เวลาอีก 2 วันเดินทางกลับ หลายคนจะเที่ยวอยู่บนยอดเขา 1 วัน 1 คืน รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 วัน ถ้าเดินป่านานขึ้นจะสามารถไปถึงเตปุยทางด้านเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกายอานา ซึ่งถูกสำรวจน้อยกว่า และมีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น ทะเลสาบกลาดีส เส้นทางนี้จะเสี่ยงอันตรายมากกว่าเขาทางฝั่งใต้อันมีชื่อเสียง และเหมาะกับกลุ่มเดินทางที่เตรียมเสบียงไว้อย่างดีเท่านั้น ถ้าไม่ต้องการผจญภัยมากนักและถ้าสภาพอากาศอำนวย สามารถเดินทางขึ้นเขาด้วยทัวร์เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีให้บริการอยู่ไม่ไกลจากเมืองซันตาเอเลนาเดอูอาอิเรนของเวเนซุเอลา[15]

เส้นทางเดียวสู่ยอดเขาโดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคคือทางปาราอิเตปุย แต่อาจจะต้องพึ้งอุปกรณ์ปีนเขา มีนักปีนเขาปีนขึ้นจากฝั่งประเทศกายอานาและบราซิลบ้างบางโอกาส แต่เพราะพรมแดนทั้งสองด้านล้วนเป็นหน้าผาขนาดหึมา ซึ่งประด้วยแง่งหินสูงชัน ทำให้เป็นเส้นทางที่เข้าถึงยากอย่างยิ่งและต้องชำนาญการไต่หินผา การปีนเขาแบบนี้อาจต้องขออนุญาตเข้าพื้นที่หวงห้ามของอุทยานจากประเทศเหล่านั้นด้วย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 การปีนเขาจากฝั่งประเทศบราซิลเริ่มเกิดปัญหา เนื่องจากต้องเข้าผ่านทาง Raposa-Serra do Sol Amerindian reserve ซึ่งมีความขัดแย้งระหว่างคนท้องถิ่นอยู่ โดยบ่อยครั้งเป็นปัญหาระหว่างชาวนากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ[16]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "Monte Roraima, Venezuela". Peakbagger.com.
  2. From The London Times (22 พฤษภาคม 1885), "Mr. im Thurn's Achievement" (PDF), The New York Times, New York City, United States: The New York Times Company, p. 3, ISSN 0362-4331, OCLC 1645522, สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009, Lord Aberdare said that Mr. Perkins, who accompanied Mr. im Thurn in the ascent of the mountain, had fared little better, inasmuch as he also had been severely attacked by fever since his return, and though present that evening, was still too weak to read his notes.
  3. 3.0 3.1 3.2 im Thurn, Everard (สิงหาคม 1885), "The Ascent of Mount Roraima", Proceedings of the Royal Geographical Society and Monthly Record of Geography, New Monthly Series, London, England, U.K.: Blackwell Publishing, on behalf of the Royal Geographical Society, with the Institute of British Geographers, 7 (8): 497–521, doi:10.2307/1800077, ISSN 0266-626X, JSTOR 1800077, OCLC 51205375, สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009, For all around wore rocks and pinnacles of rocks of seemingly impossibly fantastic forms, standing in apparently impossibly fantastic ways—nay, placed one on or next to the other in positions seeming to defy every law of gravity—rocks in groups, rocks standing singly, rocks in terraces, rocks as columns, rocks as walls and rooks as pyramids, rocks ridiculous at every point with countless apparent caricatures of the faces and forms of men and animals, apparent caricatures of umbrellas, tortoises, churches, cannons, and of innumerable other most incongruous and unexpected objects.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 Swan, Michael (1957), British Guiana, London, England, U.K.: Her Majesty's Stationery Office, OCLC 253238145, Mount Roraima is the point where the boundaries of Venezuela, Brazil and British Guiana actually meet, and a stone stands on its summit, placed there by the International Commission in 1931.
  5. Green, Reg (24 กรกฎาคม 2009), "The Lost World of Venezuela's Mt. Roraima", Los Angeles Times, Los Angeles, CA, U.S.A.: Tribune Company, ISSN 0458-3035, OCLC 37745847, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 ตุลาคม 2011, สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009, The result of all that isolation: an abundance of plants and animals found nowhere else in the world, including a tiny black frog so primitive that it hasn't yet learned to hop but, when threatened, baffles its enemies by turning itself into a ball and rolling off the rocks.
  6. Clementi (née Eyres), Marie Penelope Rose (ธันวาคม 1916), "A Journey to the Summit of Mount Roraima", The Geographical Journal, London, England, U.K.: Blackwell Publishing, on behalf of the Royal Geographical Society, with the Institute of British Geographers, 48 (6): 456–473, doi:10.2307/1779816, ISSN 0016-7398, JSTOR 1779816, OCLC 1570660, The summit is covered with enormous black boulders, weathered into the weirdest and most fantastic shapes. We were in the middle of an amphitheatre, encircled by what one might almost call waves of stone. It would be unsafe to explore this rugged plateau without white paint to mark one's way, for one would be very soon lost in the labyrinth of extraordinary rocks. There is no vegetation on Roraima save a few dampsodden bushes (Bonnetia Roraimœ), and fire sufficient for cooking can be raised only by an Indian squatting beside it and blowing all the time.
  7. Tate, G. H. H. (มกราคม 1930), "Notes on the Mount Roraima Region", Geographical Review, New York, New York, U.S.A.: American Geographical Society, 20 (1): 53–68, doi:10.2307/209126, ISSN 0016-7428, JSTOR 209126, OCLC 1570664, In general the interior plateau looks flat and monotonous. Appearance is deceptive, for there are actually very few places where walking is not difficult, and these follow the joint system of the sandstone. For the most part, tumbled masses of rock, rifts, and gorges and whole acres of ten-foot mushrooms and loaves of bread formed in stone offer a maze in which one may wander long before finding better ground; while gullies many yards in depth and breadth, meandering undecidedly, force detours of sometimes half a mile.
  8. Hoogmoed, Marinus. "IUCN Red List of Threatened Species". Oreophrynella quelchii. IUCN 2012. สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2012.
  9. Geographical. "A Lost World Above the Clouds". สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2012.
  10. Abreu, Stela Azevedo de (กรกฎาคม 1995), Aleluia: o banco de luz, Campinas, Brazil.: Thesis for a Master's in Sociocultural Anthropology, at UNICAMP, สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2012
  11. "The meaning behind the name 'Mount Roraima'". Explorationjunkie.com. 7 ธันวาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 7 ธันวาคม 2019.
  12. Power, Ed (2 ตุลาคม 2009), "Up and away", Irish Independent, Dublin, Ireland: Independent News and Media, ISSN 0021-1222, OCLC 60623153, สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009, In order to make sure that they got their South American backdrops right, Docter and 11 other Pixar artists visited the famously inaccessible Monte Roraima region of Venezuela.
  13. Elms, Lindsay. "Mount Roraima: An Island Forgotten by Time". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 พฤษภาคม 2007. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2022 – โดยทาง shaw.ca.
  14. Dana Kennedy (12 เมษายน 2012). "An unearthly plateau in Venezuela". The Seoul Times (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 มกราคม 2022. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2022.
  15. "Raúl Helicópteros in Santa Elena de Uairén (Venezuela), Brazil". Lonely Planet. BBC Worldwide. n.d. สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2013.
  16. "Entenda o conflito na terra indígena Raposa Serra do Sol". g1 (ภาษาโปรตุเกสแบบบราซิล). Globo. 11 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2019.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]