เขตปกครองตนเองชูคอตคา
เขตปกครองตนเองชูคอตคา | |
---|---|
Чукотский автономный округ | |
การถอดเสียงอื่น | |
• ชูคอต | Чукоткакэн автономныкэн округ |
![]() ทิวทัศน์ของเทือกเขาซาลาโตยที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชูคอตคา | |
เพลง: เพลงสดุดีเขตปกครองตนเองชูคอตคา[1] | |
![]() | |
พิกัด: 66°40′N 171°00′E / 66.667°N 171.000°E | |
ประเทศ | รัสเซีย |
เขตสหพันธ์ | ตะวันออกไกล[2] |
เขตเศรษฐกิจ | ตะวันออกไกล[3] |
สถาปนา | 10 ธันวาคม ค.ศ. 1930[4] |
ศูนย์กลางการบริหาร | อะนาดีร์ |
การปกครอง | |
• องค์กร | สภาดูมา[5] |
• ผู้ว่า[7] | วลาดิสลาฟ คุซเนตซอฟ[6] |
พื้นที่[8] | |
• ทั้งหมด | 737,700 ตร.กม. (284,800 ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | 7 |
ประชากร (สำมะโนครัวปี 2010)[9] | |
• ทั้งหมด | 50,526 คน |
• ประมาณ (2018)[10] | 49,348 (−2.3%) คน |
• อันดับ | 82 |
• ความหนาแน่น | 0.068 คน/ตร.กม. (0.18 คน/ตร.ไมล์) |
• เขตเมือง | 64.8% คน |
• นอกเมือง | 35.2% คน |
เขตเวลา | UTC+12 ([11]) |
รหัส ISO 3166 | RU-CHU |
ทะเบียนรถ | 87 |
รหัส OKTMO | 77000000 |
ภาษาราชการ | รัสเซีย[12] |
เว็บไซต์ | чукотка.рф |
เขตปกครองตนเองชูคอตคา (อังกฤษ: Chukotka Autonomous Okrug; รัสเซีย: Чуко́тский автоно́мный о́круг, อักษรโรมัน: Chukotsky avtonomny okrug, สัทอักษรสากล: [tɕʊˈkotskʲɪj ɐftɐˈnomnɨj ˈokrʊk]; ชูคอต: Чукоткакэн автономныкэн округ, Chukotkaken avtonomnyken okrug, สัทอักษรสากล: [tɕukotˈkaken aβtonomˈnəken ˈokɹuɣ]) หรือ ชูคอตคา (รัสเซีย: Чуко́тка, อักษรโรมัน: Chukotka) เป็นหน่วยองค์ประกอบทิศตะวันออก (เขตปกครองตนเอง) ในสหพันธรัฐรัสเซีย มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกไกลของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของเขตการปกครองของเขตสหพันธ์ตะวันออกไกล ชูคอตคาเป็นหน่วยองค์ประกอบที่มีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 จำนวน 50,526 คน (สำมะโนประชากร ค.ศ. 2010) และมีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุด[9]
อะนาดีร์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของชูคอตคาและนิคมตะวันออกสุดที่มีสถานะเมืองในรัสเซีย
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
[แก้]เขตปกครองตนเองชูคอตกามีอาณาเขตติดกับทะเลชุกชีและทะเลไซบีเรียตะวันออกทางทิศเหนือ; ทะเลและช่องแคบเบริงทางทิศตะวันออก; ดินแดนคัมชัตคาและแคว้นมากาดันทางทิศใต้; และสาธารณรัฐซาคาทางทิศตะวันตก คาบสมุทรชุกชีพาดไปทางทิศตะวันออกเพื่อเป็นการทำให้เกิดช่องแคบเบริงระหว่างไซบีเรียและคาบสมุทรอะแลสกาและเป็นตัวแบ่งระหว่างอ่าวอะนาดีร์กับมหาสมุทรแปซิฟิก แหลมเดจเนฟ (Cape Dezhnyov) ซึ่งเป็นจุดทิศตะวันออกที่สุดในรัสเซียแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองชูคอตกา
ตามหลักนิเวศวิทยาแล้ว ชูคอตคาสามารถแบ่งได้เป็น 3 โซน ซึ่งได้แก่ทะเลทรายอาร์กติกทางตอนเหนือ ทันดราทางตอนกลาง และป่าไทกาทางตอนใต้ ครึ่งหนึ่งของเขตปกครองตนเองชูคอตคาอยู่ในวงกลมอาร์กติก พื้นที่ของเขตปกครองตนเองชูคอตคามีภูเขาตั้งอยู่เป็นส่วนมาก โดยมีเทือกเขาชูคอตสกีและที่ราบสูงอะนาดีร์เป็นต้น
แม่น้ำในชูคอตคาส่วนมากมีต้นธารจากภูเขาทางตอนเหนือและตอนกลางของเขตปกครองตนเอง โดยจะมีแม่น้ำอะนาดีร์ แม่น้ำโอโมโลน (Omolon river) และแม่น้ำราอูฉัว (Rauchua river) เป็นแม่น้ำสายสำคัญของชูโคตกา เป็นต้น
พื้นที่ส่วนมากของชูคอตคาปกคลุมด้วยมอส ไลเคน และพืชในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งเหมือนกันกับอะแลสกาตะวันตก รอบ ๆ อ่าวอะนาดีร์และหุบเขาแม่น้ำมีต้นสน ต้นเบิร์ช ต้นพอปลาร์ และต้นวิลโลว์เจริญเติบโตอยู่ มากกว่า 900 สปีชีส์ของพืชเจริญเติบโตในชูคอตคา ซึ่งรวมทั้งสปีชีส์ 400 กว่าสปีชีส์ของมอสและไลดคนด้วย รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 220 สปีชีส์และปลาน้ำจืดกว่า 30 สปีชีส์[13]
สภาพภูมิอากาศ
[แก้]สภาพภูมิอากาศของชูคอตคาได้รับผลกระทบจากทะเลที่อยู่รอบข้าง ได้แก่ทะเลเบริง ไซบีเรียตะวันออก และชุกชี สภาพอากาศของชูคอตคาในแต่ละฤดูกาลมักจะได้รับผลกระทบจากลมหนาวจากทางตอนเหนือและลมมรสุมจากทางตอนใต้ แหลมนาวาริน (Navarin cape) ที่ซึ่งตั้งอยู่ในชูคอตกา เป็นพื้นที่ที่โดนพายุเฮอร์ริเคนและพายุต่าง ๆ พัดผ่านมามากที่สุดในประเทศรัสเซีย พื้นที่ที่ติดทะเลหรือชายหาดของชูคอตคามักจะมีลมพัดผ่านตลอดและมีจำนวนฝนที่ตกมาต่อปีที่น้อยมาก คิดเป็น 200 ถึง 400 มิลลิเมตรต่อปี อุณหูมิจะแตกต่างกันระหว่าง −35 และ −15 องศาเซลเซียสในเดือนมกราคม และมีอุณหภูมิระหว่าง 5 ถึง 14 องศาเซลเซียสในเดือนกรกฎาคม ฤดูกาลปลูกพืชในชูคอตคาถือว่าสั้นมากถ้าเปรียบเทียบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในโลก โดยจะยาวนานเพียง 80 ถึง 100 วันต่อปีเท่านั้น
ประวัติ
[แก้]ยุคก่อนประวัติศาสตร์
[แก้]ผู้ที่มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณชูคอตคาเป็นกลุ่มแรกคือนักล่าชาว Paleo-Siberian ที่มาจากภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออก พื้นที่นี้ในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของเบอรินเจียที่ซึ่งเป็นสะพานแผ่นดินที่เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกา[ต้องการอ้างอิง]
ก่อนการมาถึงของรัสเซีย
[แก้]ตามเดิมแล้ว ดินแดนชูคอตคาเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมืองที่อยู่ที่นั่น โดยหลัก ๆ แล้วจะมีชาวชูคอต (Chukchi), ยูอิท (Siberian Yupiks; Yuit), กอร์ยัก (Koryaks), ชูวาน (Chuvans), อีเวน (Evens; Lamuts), และอีนูอิต[ต้องการอ้างอิง] เป็นต้น ตามข้อมูลในปีคริสต์ศักราช 1930 ประชากรพื้นเมืองส่วนมากที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนชูคอตคาคือชาวชูคอต
การสำรวจและยึดครองโดยรัสเซีย
[แก้]
หลังจากการยึดครองคาซานได้โดยรัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เส้นทางการค้าที่ไปทางเทือกเขายูรัลและไซบีเรียได้เปิดให้ใช้งาน หนึ่งในผู้ที่เดินทางไปตามเส้นทางนั้นคือชาวคอสแซ็ก ชาวคอสแซ็กได้ทำการตั้งป้อมปราการไว้บริเวณตะวันออกของรัสเซียและได้ขดขี่ชนพื้นเมืองที่อยู่ในบริเวณนั้นไปด้วย
ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 17 รัสเซียได้เดินทางไปถึงบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือไกล การค้นพบของชาวชูคอตครั้งแรกได้ถูกค้นพบโดยชาวคอสแซ็กเมื่อปี 1641 เมื่อปี 1649 นักสำรวจชาวรัสเซีย เซมยอน เดจเนฟ (Semyon Dezhnyov) ได้ทำการสำรวจตะวันออกเฉียงเหนือไกลตามชายฝั่งและได้ตั้งค่ายพักทหารช่วงฤดูหนาวในบริเวณที่ใกล้ต้นน้ำของแม่น้ำอะนาดีร์ที่ซึ่งจะกลายเป็นเมืองในป้อมปราการอะนาดีรสค์ (Anadyrsk) ในเวลาต่อมา เดจนยอฟพยายามที่จะบังคับให้ชาวชูอคตจ่ายบรรณาการให้กับรัสเซียมาเป็นระยะเวลานานกว่าสิบปีแต่ก็ไม่สำเร็จ ป้อมปราการอะนาดีรสค์ได้ถูกทิ้งร้างในภายหลังอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนเกินไปและไม่มีสัตว์ป่าให้ล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ป้อมปราการอะนาดีรสค์ได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากการค้นพบเส้นทางเดินเรือจากอะนาดีรสค์ไปยังคาบสมุทรคัมชัตคา ป้อมปราการนี้ได้ใช้เป็นฐานในปฏิบัติการสำรวจดินแดนคัมชัตคาและที่อยู่อาศัยในบริเวณรอบ ๆ ก็ขึ้นกับอะนาดีรสค์ด้วยเช่นกัน เมื่อนักสำรวจได้ค้นพบว่าคัมชัตคานั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรที่มากมาย รัฐบาลรัสเซียได้ให้ความสนใจและสำคัญกับดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือไกลมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 1725 พระเจ้าซาร์ปิออตร์ที่ 1 มหาราชได้มีกระแสรับสั่งให้ไวทัส เบริงทำการสำรวจบริเวณคัมชัตคาและ Afanasy Shestakov เป็นผู้นำการสำรวจทางการทหารเพื่อบีบบังคัมชาวชูคอตให้ทำการจ่ายเครื่องบรรณาการให้กับทางรัสเซีย แต่ทว่าการสำรวจเหล่านั้นไม่ประสบผลสำเร็จเมื่อกองเรือได้ชนกับอะไรบางอย่างจังทำให้เรืออัปปางลง ผู้ที่รอดชีวิต รวมทั้ง Shestakov ได้ถูกสังหารโดยชาวชูคอตในเวลาต่อมา
ในปี 1731 ดมิทรี ปัฟลุตสกี (Dmitry Pavlutsky) ได้พยายามอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากชาวคอสแซ็กและชนพื้นเมืองในบริเวณนั้น ปัฟลุตสกีได้เดินเรือขึ้นไปตามแม่น้ำอะนาดีร์และได้ทำลายป้อมปราการของชาวชูคอตในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกได้สำเร็จ การกระทำอันไม่ยอมปราณีของเขาทำให้ชาวชูคอตต้องจ่ายเครื่องบรรณาการให้รัสเซียแค่เพียงเวลาชั่วคราวเท่านั้น จนกระทั่งปี 1747 ชาวชูคอตได้ปราชัยเหนือกองกำลังรัสเซียในบริเวณนั้นและได้สังหารปัฟลุตสกีอีกด้วย
เมื่อรัฐบาลรัสเซียตระหนักได้ว่าการบีบบังคับให้ชาวชูคอตอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียด้วยกำลังทหารนั้นไม่สำเร็จ รัฐบาลรัสเซียได้เปลี่ยนแบบแผนเป็นการเสนอสัญชาติรัสเซียแก่ชาวชูคอต สนธิสัญญาสันติภาพรพหว่างรัสเซียและชาวชูคอตได้ลงนามเมื่อปี 1778 ที่ซึ่งเป็นการยกเว้นการบังคับจ่ายเครื่องบรรณาการขนสัตว์แก่รัฐบาลรัสเซียโดยชาวชูคอต
ในปีเดียวกัน กัปตันชาวอังกฤษ เจมส์ คุก ได้ทำการสำรวจแหลมนอร์ท (ปัจจุบันชื่อว่าแหลม Schmidt) และอ่าว Providence ด้วยความกังวลที่ว่าชาติยุโรปชาติอื่นอาจจะมายึดครองดินแดนนี้เยกาเจรีนามหาราชินีได้ทรงมีพระดำรัสในการมีการสำรวจและทำแผนที่ของพื้นที่ในบริเวณนั้น จากการสำรวจที่นำโดย Joseph Billings และ Gavril Sarychev ที่ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1785 ได้เกิดการเขียนแผนที่ของคาบสมุทรชุกชี ชายฝั่งตะวันตกของอะแลสกา และหมู่เกาะอะลูเชียนขึ้น หลังจากนั้นมา เมื่อปี 1821 ถึง 1825 นายพลเรือชาวเยอรมันสัญชาติรัสเซีย Ferdinand von Wrangel และ Fyodor Matyushkin ได้นำการสำรวจตามชายฝั่งทะเลไซบีเรียตะวันออกและสำรวจดินแดนคาลึยมา และแม่น้ำ Bolshoy Anyuy และ Maly Anyuy
อิทธิพลจากชาติตะวันตก
[แก้]
ชูคอตคาส่วนมากยังคงไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิรัสเซียทั้งหมด จึงทำให้ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ (เช่น อเมริกา อังกฤษ หรือนอร์เวย์) เริ่มทำการล่าและแลกเปลี่ยนสิ่งของกันในบริเวณนั้นตั้งแต่ปี 1820 ขึ้นมา หลังจากการขายอะแลสกาให้กับสหรัฐอเมริกา นักล่าวาฬและพ่อค้าชาวอเมริกันได้ทำการขยายการทำกิจการต่าง ๆ ไปยังดินแดนชูคอตคาและอิทธิพลต่างชาติก็ถึงจุดสูงสุด ณ เวลานั้น หลังจากปี 1880 รัสเซียได้ทำการตอบโต้โดยการสร้างหน่วยสาดตระเวนชายฝั่งขึ้นมาเพื่อหยุดเรืออเมริกันไม่ให้เข้ามาในดินแดนนั้นและยึดทรัพย์สินของเรือเหล่านั้นไปด้วย และในปี 1888 เขตการบริหารอะนาดีร์ได้ถูกจัดตั้งขึ้น แต่ทว่าอำนาจเหนือพื้นที่ชูคอตคาโดยรัสเซียได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งในช่วงประมาณ 1900 ชาวต่างชาติได้เข้ามาในดินแดนชูคอตคาหลังเหตุการณ์การตื่นทองที่ยูคอนเมื่อปี 1898
ในปี 1909 เพื่อทำให้พื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย เขตทั้ง 2 เขตได้ถูกจัดตั้งขึ้นในภูมิภาคอะนาดีร์ ซึ่งก็คือเขตอะนาดีร์และชูคอตคา รัฐบาลรัสเซียได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติ เช่น Hudson's Bay Company และ US Northeast Siberia Company มีสิทธิในการขุดทอง เหล็ก และแกรไฟต์ในบริเวณชูคอตคาตั้งแต่ปี 1902 และ 1912
เกาะแรงเกลเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำหรับการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองโดยสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในปี 1916 รัสเซียได้ทำการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองเหนือดินแดนเกาะแรงเกลอย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1921 ชาวแคนาดานามว่า Vilhjalmur Stefansson ได้พยายามที่จะอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองเกาะนั้นโดยการไปสร้างที่อยู่อาศัยขนาดย่อมบนเกาะนั้น แต่ทว่าในปี 1924 สหภาพโซเวียตได้ยึดครองเกาะนั้นอย่างถาวรและทำการทำลายที่อยู่อาศัยของคนชาติตะวันตกและเนรเทศพวกเขาออกไปจากเกาะแรงเกล อันเป็นจุดจบของอิทธิพลของชาติตะวันตกเหนือดินแดนชูคอตคา
สมัยสหภาพโซเวียต
[แก้]ในสมัยสหภาพโซเวียตนั้น ดินแดนชูคอตคาเป็นเป้าหมายในการทำนารวมของสหภาพโซเวียต รวมถึงการขับไล่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แล้วออกจากพื้นที่นั่น แต่ทว่ากระบวรการดังกล่าวจะรุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต[14][15]
เมื่อนาซีเยอรมนีได้รุกรานสหภาพโซเวียตเมื่อปีคริสต์ศักราช 1941 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในชูคอตคาเริ่มมีการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการขุดแร่ดีบุกจากเหมืองในพื้นที่แถบนั้นจนถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจหลักในชูคอตคา แต่ต่อมานักธรณีวิทยาได้สำรวจดินแดนนั้นจนพบปริมาณแร่ทองที่มีจำนวนมากที่ซึ่งจะเริ่มมีการทำเหมืองทองในบริเวณนั้นตอนช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ต่อมา
สมัยสหพันธรัฐรัสเซีย
[แก้]
ในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 2001 ถึง 2008 ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองชูคอตคาในขณะนั้น โรมัน อับราโมวิช ได้ลงทุนกับการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของชูคอตคาด้วยกำลังทรัพย์ของตัวเขาเอง การพัฒนาเศรษฐกิจนี้ได้ทวีคูณผลิตภัณฑ์มวลรวมของเขตปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและเพิ่มรายได้ของประชากรที่นั่นเป็นสามเท่าจากเดิม[16] ในปีคริสต์ศักราช 2004 อับราโมวิชได้พยายามที่จะลาออกจากตำแหน่งแต่ดันถูกแต่งตั้งขึ้นให้เป็นผู้ว่าการเขตปกครองตนเองไปอีกหนึ่งสมัยโดยวลาดีมีร์ ปูติน จนกระทั่งในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมของปี 2008 ประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น ดมีตรี เมดเวเดฟ ได้ยอมรับคำขอของอับราโมวิชในลาออกจากตำแหน่งของเขาถึงแม้โครงการเพื่อการกุศลของเขาในชูคอตกาจะดำเนินอยู่ต่อก็ตาม เงินเดือนโดยเฉลี่ยของประชากรที่นั่นได้เพิ่มจากเพียง 165 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 5,550 บาท) ต่อเดือนในปี 2000 ขึ้นไปเป็น 826 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 27,750 บาท) ต่อเดือนในปี 2006[17]
เศรษฐกิจ
[แก้]ชูคอตคาเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณสำรองน้ำมัน แก๊ซธรรมชาติ ถ่านหิน แร่เงิน แร่ทอง และทังสเตนมาก โดยทรัพยากรเหล่านั้นกำลังถูกขุดไปใช้อย่างช้า ๆ แต่ประชากรในชนบทของชูคอตกาส่วนมากมักจะพึ่งพาการเลี้ยงกวางเรนเดียร์ การล่าวาฬ และการประมงเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ในขณะที่ประชากรที่อยู่ในเมืองมักจะทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการขุดเหมือง การบริหาร การก่อสร้าง วัฒนธรรม การศึกษา ยารักษาโรค และงานอื่น ๆ ทำ
การเดินทาง
[แก้]พื้นที่ส่วนมากของชูคอตคานั้นไม่มีถนนตัดผ่าน ดังนั้นการเดินทางทางอากาศจึงเป็นช่องทางหลักในการเดินทางภายในชูคอตคา อย่างไรก็ดี ในชูคอตคาก็ยังมีถนนที่เชื่อมระหว่างที่อยู่อาศัยบางแห่งกับอีกแห่ง เช่น เอกเวกิโนต-อีอุลติน (ยาว 200 กิโลเมตร) เป็นต้น เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว ถนนบางเส้นได้ถูกสร้างขึ้นบนแหล่งน้ำที่แข็งตัวลงเป็นกาลชั่วคราวเพื่อเชื่อมระกว่างที่ตั้งถิ่นฐานจากแห่งหนึ่งไปสู่แห่งหนึ่ง
ในปี 2009 การสร้างสะพานลอเรนเพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างลาฟเรนติยาสู่ลอริโน (ยาว 40 กิโลเมตร) ถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการที่สำคัญของเส้นทางการเดินทางภายในชูคอตคา
การปกครองส่วนท้องถิ่น
[แก้]
เขตปกครองตนเองชูคอตคาสามารถแบ่งได้เป็น 6 เขต ดังนี้:
- เขตอะนาดีร์สกี (Anadyrsky; Анадырский)
- เขตบิลิบินสกี (Bilibinsky; Билибинский)
- เขตอีอุลตินสกี (Iultinsky; Иультинский)
- เขตปราวิเดนสกี (Providensky; Провиденский)
- เขตชาอุนสกี (Chaunsky; Чаунский)
- เขตชูคอตสกี (Chukotsky; Чукотский)
ประชากร
[แก้]ปี | ประชากร | ±% |
---|---|---|
1897 | 12,900 | — |
1926 | 13,500 | +4.7% |
1939 | 21,524 | +59.4% |
1959 | 46,689 | +116.9% |
1970 | 101,184 | +116.7% |
1979 | 132,859 | +31.3% |
1989 | 157,528 | +18.6% |
2002 | 53,824 | −65.8% |
2010 | 50,526 | −6.1% |
2021 | 47,490 | −6.0% |
แหล่งอ้างอิง: สำมะโนประชากรของรัสเซียและสหภาพโซเวียต |
เขตปกครองตนเองชูคอตคามีประชากรอยู่ที่ 47,490 (การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2021); 50,526 (การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2010);[9] 53,824 (สำมะโน ค.ศ. 2002);[18] 157,528 (สำมะโน ค.ศ. 1989).[19] อีกทั้ง ชูคอตคาเป็นเพียงไม่กี่ที่ที่มีประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงในประเทศรัสเซีย[20]
การคาดหมายคงชีพ
[แก้]
ชาติพันธุ์ของประชากร
[แก้]ประชากรกว่าร้อยละ 37 เป็นชนพื้นเมืองตากข้อมูลสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อปี 2021 โดยมีชาวรัสเซียคิดเป็นประมาณร้อยละ 54 และชนชาติอื่น ๆ อีกคิดเป็นประมาณร้อยละ 9 โดยในร้อยละเก้านี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวยูเครน คัลมึค ตาตาร์ และบูร์ยัต รองลงมาตามลำดับ
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Law #45-OZ
- ↑ Президент Российской Федерации. Указ №849 от 13 мая 2000 г. «О полномочном представителе Президента Российской Федерации в федеральном округе». Вступил в силу 13 мая 2000 г. Опубликован: "Собрание законодательства РФ", No. 20, ст. 2112, 15 мая 2000 г. (President of the Russian Federation. Decree #849 of May 13, 2000 On the Plenipotentiary Representative of the President of the Russian Federation in a Federal District. Effective as of May 13, 2000.).
- ↑ Госстандарт Российской Федерации. №ОК 024-95 27 декабря 1995 г. «Общероссийский классификатор экономических регионов. 2. Экономические районы», в ред. Изменения №5/2001 ОКЭР. (Gosstandart of the Russian Federation. #OK 024-95 December 27, 1995 Russian Classification of Economic Regions. 2. Economic Regions, as amended by the Amendment #5/2001 OKER. ).
- ↑ Resolution of 10 December 1930.
- ↑ Charter of Chukotka Autonomous Okrug, Article 27
- ↑ "Putin appointed an official from the "LPR" as the head of Chukotka". Novaya Gazeta Europe (ภาษารัสเซีย). 15 March 2023. สืบค้นเมื่อ 15 March 2023.
- ↑ Charter of Chukotka Autonomous Okrug, Article 40
- ↑ Федеральная служба государственной статистики (Federal State Statistics Service) (2004-05-21). "Территория, число районов, населённых пунктов и сельских администраций по субъектам Российской Федерации (Territory, Number of Districts, Inhabited Localities, and Rural Administration by Federal Subjects of the Russian Federation)". Всероссийская перепись населения 2002 года (All-Russia Population Census of 2002) (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2011-11-01.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Russian Federal State Statistics Service (2011). "Всероссийская перепись населения 2010 года. Том 1" [2010 All-Russian Population Census, vol. 1]. Всероссийская перепись населения 2010 года (2010 All-Russia Population Census) (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ June 29, 2012.
- ↑ "26. Численность постоянного населения Российской Федерации по муниципальным образованиям на 1 января 2018 года". สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2019.
- ↑ "Об исчислении времени". Официальный интернет-портал правовой информации (ภาษารัสเซีย). 3 June 2011. สืบค้นเมื่อ 19 January 2019.
- ↑ ภาษาอย่างเป็นทางการของสหพันธ์ตามมาตรา 68.1 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
- ↑ WWF International, The Bering Sea Ecoregion, Chukotka's Natural Heritage at a Glance ("online version" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 4, 2016.)
- ↑ "Корякский язык" (ภาษาRussian). UNESCO Moscow Office. สืบค้นเมื่อ 1 March 2024.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ Хаковская, Л.Н. (2016). "Коллективизация оленеводческих хозяйств Чукотки в 1940-х гг" [Collectivization of Reindeer Husbandries in Chukotka through the 1940s] (PDF). Proceedings of III Всероссийская конференция, посвященная памяти А. П. Васьковского (ภาษาRussian). Magadan: 358–361. สืบค้นเมื่อ 1 March 2024.
{{cite journal}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ Smale, Will (29 September 2005). "What Abramovich may do with his money". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 April 2009. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
- ↑ Shaun Walker (4 July 2008). "Abramovich quits job in Siberia to spend more time on Western front". The Independent. London: Independent News and Media Limited. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 July 2008. สืบค้นเมื่อ 4 July 2008.
- ↑ Russian Federal State Statistics Service (May 21, 2004). "Численность населения России, субъектов Российской Федерации в составе федеральных округов, районов, городских поселений, сельских населённых пунктов – районных центров и сельских населённых пунктов с населением 3 тысячи и более человек" [Population of Russia, Its Federal Districts, Federal Subjects, Districts, Urban Localities, Rural Localities—Administrative Centers, and Rural Localities with Population of Over 3,000] (XLS). Всероссийская перепись населения 2002 года [All-Russia Population Census of 2002] (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ August 9, 2014.
- ↑ Demoscope Weekly (1989). "Всесоюзная перепись населения 1989 г. Численность наличного населения союзных и автономных республик, автономных областей и округов, краёв, областей, районов, городских поселений и сёл-райцентров" [All Union Population Census of 1989: Present Population of Union and Autonomous Republics, Autonomous Oblasts and Okrugs, Krais, Oblasts, Districts, Urban Settlements, and Villages Serving as District Administrative Centers]. Всесоюзная перепись населения 1989 года [All-Union Population Census of 1989] (ภาษารัสเซีย). Институт демографии Национального исследовательского университета: Высшая школа экономики [Institute of Demography at the National Research University: Higher School of Economics]. สืบค้นเมื่อ August 9, 2014.
- ↑ "Каталог публикаций::Федеральная служба государственной статистики". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2018. สืบค้นเมื่อ 27 May 2013.
- ↑ "Демографический ежегодник России" [The Demographic Yearbook of Russia] (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service of Russia (Rosstat). สืบค้นเมื่อ 28 June 2022.
- ↑ "Ожидаемая продолжительность жизни при рождении" [Life expectancy at birth]. Unified Interdepartmental Information and Statistical System of Russia (ภาษารัสเซีย). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 February 2022. สืบค้นเมื่อ 28 June 2022.