ข้ามไปเนื้อหา

เกียซู

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เกียซู
อักษรจีน驚輸 / 惊输
เป่อ่วยยีkiaⁿ-su
Tâi-lôkiann-su

เกียซู (อังกฤษ: kiasu; จีนตัวย่อ: 惊输; จีนตัวเต็ม: 驚輸; เป่อ่วยยี: kiaⁿ-su) มาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน คำว่า "เกีย" แปลว่า กลัว และ "ซู" แปลว่า แพ้[1] คำนี้มักจะแปลว่า "ความกลัวที่จะสูญเสีย" และใช้เรียกคนที่แสดงพฤติกรรมแข่งขันเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเองหรือเพื่อที่จะล้ำหน้าคนอื่น[1] คำว่าเกียซูเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ในภาษาอังกฤษแบบพูดของสิงคโปร์ (Singlish) ซึ่งใช้กันในประเทศสิงคโปร์มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980[2]

ตั้งแต่นั้นมาแนวคิดเกียซู (Kiasuism) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสิงคโปร์และเป็นส่วนหนึ่งของบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม เช่น ในระบบการศึกษาในท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมการเข้าคิว อย่างไรก็ตามแนวคิดแบบเดียวกับเกียซูยังคงมีอยู่ในประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีการใช้คำที่แตกต่างกันไป การกระทำตามแนวคิดเกียซูอาจเป็นได้ทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบ ขึ้นอยู่กับเจตนาของบุคคลที่กระทำและผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำนั้น[3]

แนวคิดเกียซูมีประวัติที่น่าสนใจ ตั้งแต่การแพร่ออกจากค่ายทหารกองทัพสิงคโปร์ (SAF) ไปยังถนนในสิงคโปร์ จากการปรากฏตัวของหนังสือการ์ตูนชุด Mr. Kiasu ไปจนถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะยับยั้งแนวคิดนี้

มีคนมองว่าแนวคิดเกียซูเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ปัจจัยหนึ่งคือทัศนคติที่ผลักดันให้คนสิงคโปร์จำนวนมากทำงานหนักขึ้นและมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ซึ่งช่วยให้ประเทศกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญรุ่งเรืองและมีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก แนวคิดนี้ยังส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นให้ผู้คนเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ และส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยง สิ่งนี้ทำให้ชาวสิงคโปร์จำนวนมากเป็นคนระมัดระวังและรอบคอบ ซึ่งช่วยปรับปรุงความปลอดภัยโดยรวมของประเทศ[4]

นิรุกติศาสตร์และการใช้งาน

[แก้]

คำนี้มาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน โดยคำว่า "เกีย" แปลว่า "กลัว" และ "ซู" แปลว่า "แพ้"[1] มักใช้เพื่อสื่อถึงทัศนคติที่กระตือรือร้นและชอบการแข่งขัน ซึ่งเกิดจากความกลัวที่จะพลาดโอกาส[2][5][6] และเน้นย้ำถึงความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเป็นคนที่ดีกว่าคนอื่น[1]

คำว่าเกียซูสามารถใช้เป็นคำคุณศัพท์ในเชิง "การบรรยายสถานะ" เพื่ออธิบายถึงคนที่ต้องการจะนำหน้าคนอื่นได้ นอกจากนี้เกียซูยังสามารถใช้เป็นคำกริยา เพื่ออธิบายถึงการกระทำที่คน ๆ หนึ่งทำไปเพราะกลัวที่จะเสียเปรียบ และใช้เป็น "สถานะทางความรู้สึก" เมื่อคน ๆ นั้นมีความต้องการที่จะแสดงพฤติกรรมแบบเกียซู[1] ส่วนคำว่า Kiasuism (แนวคิดเกียซู) เป็นคำนามที่ใช้เรียกการกระทำที่มาจากคำว่าเกียซู

เกียซูเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ในภาษาพูดของสิงคโปร์ที่เรียกว่าซิงลิช (Singlish) ซึ่งเป็นภาษาครีโอลที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นฐาน โดยมีคำศัพท์จากภาษาจีนถิ่นเช่น ฮกเกี้ยน, แต้จิ๋ว และกวางตุ้ง รวมถึงภาษาอังกฤษและมาเลย์ และมีศัพท์ในจำนวนที่น้อยกว่าจากภาษาทมิฬและภาษาจีนกลาง[7] โดยภาษาอังกฤษ มาเลย์ ทมิฬ และจีนกลาง เป็นภาษาทางการของสิงคโปร์[8] อย่างไรก็ตามซิงลิชแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดแบบสิงคโปร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน มากกว่าที่จะเป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแต่ละภาษา[8] คำว่าเกียซูสะท้อนให้เห็นถึงกรอบความคิดของชาวสิงคโปร์ที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของประเทศ[8]

คำว่าเกียซูมีรากศัพท์ที่คล้ายคลึงกับอีกคำหนึ่งในซิงลิชคือ เกียสี (อังกฤษ: kiasi; จีนตัวย่อ: 惊死; จีนตัวเต็ม: 驚死; เป่อ่วยยี: kiaⁿ-sí) ซึ่งแปลตรงตัวว่า "กลัวตาย"[9] ทั้งสองคำใช้อธิบายทัศนคติที่คล้ายกัน แต่มีการใช้งานที่เกือบจะตรงข้ามกัน เกียซูหรือแนวคิดเกียซู หมายถึงการใช้มาตรการขั้นรุนแรงเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ในขณะที่เกียสีหรือแนวคิดเกียสี (Kiasiism) หมายถึงการใช้มาตรการขั้นรุนแรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง[10]

นักวิชาการได้ระบุว่าแนวคิดเกียซู มีกลยุทธ์สองประเภทที่แตกต่างกัน คือกลยุทธ์เกียซูเชิงบวก ("kiasu-positive") และกลยุทธ์เกียซูเชิงลบ ("kiasu-negative")[3] การกระทำของแนวคิดเกียซูจะเป็นแบบกลยุทธ์เชิงบวกหรือเชิงลบนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาเบื้องต้น, ผลลัพธ์ของการกระทำ และความพยายามที่ใช้ในกลยุทธ์นั้น ๆ ว่าสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้หรือไม่[11] กลยุทธ์เกียซูเชิงบวกเกี่ยวข้องกับการที่บุคคลใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน โดยที่ผลตอบแทนสุดท้ายนั้นมีความคุ้มค่ากับวิธีการที่ใช้[12] ส่วนกลยุทธ์เกียซูเชิงลบเกี่ยวข้องกับการที่บุคคลได้เปรียบโดยการลดทอนผู้อื่น ซึ่งมักจะสร้างความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่น โดยที่ผลตอบแทนสุดท้ายนั้นไม่คุ้มค่ากับวิธีการที่ใช้[13][14]

คำที่คล้ายกับเกียซูในประเทศอื่น

[แก้]

จากงานวิจัยที่ทำกับชาวออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ได้ข้อสรุปว่าแนวคิดเกียซูมีอยู่ภายนอกประเทศสิงคโปร์[3][15] การศึกษาในกลุ่มชาวออสเตรเลียพบว่าไม่มีความแตกต่างที่สังเกตได้ระหว่างพฤติกรรม "เกียซู" ของชาวสิงคโปร์และชาวออสเตรเลีย ซึ่งหมายความว่าแนวคิดเกียซูไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของคนสิงคโปร์เพียงอย่างเดียว[16] คำภาษากวางตุ้งจากฮ่องกง "怕執輸" (ยฺหวิดเพ็ง: paa3 zap1 syu1) เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับเกียซูโดยมีความหมายตามตัวอักษรว่า "กลัวที่จะเสียเปรียบ"[17] เนื่องจากคำว่าเกียซูมีที่มาจากภาษาจีนถิ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่ความหมายคล้ายกับเกียซูจะพบในคำศัพท์และค่านิยมของจีน ตัวอย่างเช่น วลีภาษาจีนที่มีความหมายว่า "อย่าปล่อยให้ลูกของคุณแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น" (จีนตัวย่อ: 不要让孩子输在起跑线上; จีนตัวเต็ม: 不要讓孩子輸在起跑線上; พินอิน: bùyào ràng háizi shū zài qǐpǎoxiàn shàng) มีความหมายคล้ายกับเกียซู[15]

ในระดับสากลมีคำว่า FOMO (fear of missing out) และ hyper-competitiveness ที่ถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเกียซู อย่างไรก็ตามทั้งสองคำนี้ไม่ใช่คำที่มีความหมายตรงกันกับเกียซู โดย FOMO กับแนวคิดเกียซูมีจุดร่วมกันในเรื่องความต้องการที่จะเชื่อมต่อกับผู้อื่นโดยมาจากแรงขับดัน แต่ FOMO ขาดองค์ประกอบของการแข่งขันแบบเกียซู[18][19] ส่วน Hyper-competitiveness มีองค์ประกอบของการแข่งขันร่วมกับเกียซูแต่ hyper-competitiveness และ FOMO มักถูกนิยามว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้และเป็น "การปรับตัวที่ผิดปกติ" (maladaptive) โดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่แนวคิดเกียซูเป็นกลยุทธ์ที่สามารถควบคุมและตั้งใจทำขึ้นเพื่อให้ได้เปรียบ[20]

คำในภาษาอังกฤษที่ใกล้เคียงกับเกียซูที่สุดคือสำนวน “keeping up with the Joneses” ซึ่งพจนานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์นิยามว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า "เราดีพอ ๆ กับคนอื่น" โดยการมีสิ่งของหรือทำในสิ่งที่คนอื่นมีหรือทำ[21] อย่างไรก็ตามสำนวนนี้แตกต่างจากเกียซูในแง่ของระดับความอยากเป็นเจ้าของ (compulsivity) การขาดคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับเกียซูที่นอกเหนือจากค่านิยมและคำศัพท์ของจีน อาจเป็นเพราะสิงคโปร์ให้ความสนใจกับกลยุทธ์แบบเกียซูมากกว่าประเทศอื่น [22]

ประวัติ

[แก้]

อ้างอิงจากงานของแอนเน็ตตา อัยยาวู (Annetta Ayyavoo) และเบรนแดน เทนนาคูน (Brendan Tennakoon) พฤติกรรมเกียซูที่เกิดขึ้นในหมู่ชาวสิงคโปร์น่าจะเป็นผลมาจากที่ ประเทศนี้เป็นชาติที่ประกอบด้วยผู้อพยพ เนื่องจากผู้อพยพในยุคแรกมักจะขาดการศึกษาและอยู่ในชนชั้นทางสังคมที่ต่ำกว่า พวกเขาจึงต้องมีการแข่งขันอย่างเปิดเผยเพื่อที่จะหาเลี้ยงชีพได้เพียงพอ[23]

คำว่า “เกียซู” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษ 1980 ในรูปคำดั้งเดิมคือ "kian su" ซึ่งถูกใช้ในกลุ่มทหารที่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร (national service)[2][18] คำว่า "เกียน ซู" ใช้เรียกทหารที่กลัวความล้มเหลว[18] ในที่สุดเกียซูก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ที่ชาวสิงคโปร์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ในคริสต์ทศวรรษ 1990 คำนี้ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออธิบายกลยุทธ์เชิงลบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากตัวละครของหนังสือการ์ตูน Mr. Kiasu ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการแสดงพฤติกรรมแนวคิดเกียซูที่เกินจริง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ[8] รัฐบาลสิงคโปร์กังวลว่าคนทั่วโลกจะมีภาพลักษณ์เชิงลบต่อชาวสิงคโปร์[8] ดังนั้นรัฐบาลจึงเริ่มดำเนินมาตรการเพื่อจัดการและแก้ไขแนวคิดเกียซู ตัวอย่างเช่น การรณรงค์อัธยาศัยไมตรีระดับชาติ (National Courtesy Campaign) ของรัฐบาลในปี ค.ศ. 1993 มีคำขวัญว่า "If we could only see ourselves sometimes" (ถ้าเราเพียงมองเห็นตัวเองบ้าง) โดยหวังว่าชาวสิงคโปร์จะพยายามแสดงพฤติกรรมเกียซูให้น้อยลง[24] นอกจากนี้ในการอภิปรายรัฐสภาในปี ค.ศ. 1990 ลี ซิวโจ๋ (Lee Siew-Choh; จีน: 李绍祖; ยฺหวิดเพ็ง: Lei5 Siu6 Zou2) สมาชิกรัฐสภาได้กล่าวว่า เขาหวังว่ารัฐมนตรีจะไม่ป่วยด้วย "โรคเกียซู (kiasu syndrome)" ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลรณรงค์ต่อต้านอย่างจริงจัง[25] สุนทรพจน์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "เกียซู" ในรัฐสภา[2]

แม้จะมีความพยายามของรัฐบาล แต่แนวคิดเกียซูยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องจนถึงช่วงหลังปี ค.ศ. 1990 ตัวอย่างเช่น ในสุนทรพจน์วันชาติปี ค.ศ. 2012 นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ได้เตือนผู้ชมให้ระวังพฤติกรรม "ชาวสิงคโปร์ที่น่าเกลียด" (ugly Singaporean) ซึ่งหมายถึงแนวคิดเกียซูและพฤติกรรมเชิงลบอื่น [8] สี่ปีต่อมาในปี ค.ศ. 2016 สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งอ้างว่าแนวคิดเกียซูกำลังขัดขวางนวัตกรรมในสิงคโปร์[26] นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2012 จากการประเมินคุณค่าแห่งชาติ (National Values Assessment) ที่สำรวจผู้คน 2,000 คน คำว่า "kiasu" และ "competitive" (ชอบการแข่งขัน) เป็นคำตอบสองอันดับที่สูงที่สุดในรายการที่ให้ชาวสิงคโปร์นิยามสังคมของตนเอง[27]

แทนที่จะมองว่าแนวคิดเกียซูเป็นเพียงพฤติกรรมเชิงลบ ชาวสิงคโปร์เริ่มยอมรับแนวคิดเกียซูในฐานะส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ประจำชาติ ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2017 ซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือ Giant ได้จัดทำแบบทดสอบออนไลน์เพื่อค้นหาว่าเขตไหนในสิงคโปร์ที่มีพฤติกรรมเกียซูมากที่สุด แบบทดสอบนี้มีผู้เข้าร่วมถึง 57,000 คน โดยเขตแทมปิเนสเป็นผู้ชนะการแข่งขัน ซึ่ง Giant ได้แจกจ่ายสินค้าฟรีเช่น ไมโล และเครื่องดื่มกระป๋อง ให้แก่ชาวแทมปิเนสเป็นรางวัล[28]

คำว่าเกียซูได้รับความสนใจในระดับสากลมากขึ้น เมื่อได้บรรจุลงในฉบับออนไลน์ของพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด (Oxford English Dictionary, OED) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007[29] และในปี ค.ศ. 2015 kiasu ยังได้รับเลือกให้เป็น Word of the Day ของ OED อีกด้วย[29]

บริบททางวัฒนธรรม

[แก้]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 รายงานของสภาที่ปรึกษาเยาวชน (Advisory Council on Youths) ระบุว่าแนวคิดเกียซูมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมมุมมองของเยาวชนชาวสิงคโปร์ ในด้านต่าง ๆ ของชีวิต เช่น การศึกษาและการทำงาน[30] แม้ว่าแนวคิดเกียซูจะเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากแต่ละบุคคล แต่พฤติกรรมนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ "บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม" ที่ชาวสิงคโปร์มีร่วมกัน[31] ซึ่งหมายความว่าในสถานการณ์ทางสังคมที่ต้องมีการแข่งขัน ชาวสิงคโปร์จะรู้สึกจำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมเกียซู เพราะพวกเขาคิดว่าคนอื่นก็จะทำแบบเดียวกัน[32] ตัวอย่างเช่น การหลั่งไหลเข้ามาของชาวต่างชาติที่มีความสามารถ (foreign talent) ในสิงคโปร์ ทำให้ชาวสิงคโปร์รู้สึกร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการแข่งขันมากขึ้นเพื่อที่จะเป็นผู้นำในสายงานของตนเอง[33] เพื่อให้สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตที่สูงของสิงคโปร์ ชาวสิงคโปร์จึงรู้สึกถูกกดดันให้ต้องยอมรับแนวคิดเกียซูในการเป็นหนทางพัฒนาการเรียน, สิทธิ์ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการทำงาน, และการมีชีวิตส่วนตัวในแบบที่ต้องการ[34]

วัฒนธรรมการศึกษา

[แก้]

แนวคิดเกียซูสังเกตเห็นได้ในทัศนคติของชาวสิงคโปร์ที่มีต่อการศึกษา เนื่องจากสังคมสิงคโปร์เป็นสังคมอภิชน (elite) ความสำเร็จจึงมักถูกวัดจากผลการเรียนที่โรงเรียน[30] ดังนั้นเพื่อที่จะนำหน้าคนอื่นและประสบความสำเร็จนักเรียนจึงแสดงพฤติกรรมเกียซูเช่น "sandbagging" ซึ่งเป็นกลยุทธ์แบบเกียซูเชิงลบ[35] ในบริบทของโรงเรียนในสิงคโปร์ sandbagging หมายถึงการที่นักเรียนโกหกว่าตัวเองไม่ได้อ่านหนังสือมากนัก โดยหวังว่าจะทำให้นักเรียนคนอื่น ๆ ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือมากเกินไป[36] กลยุทธ์อื่น ๆ ได้แก่ การพยายามหาเอกสารการเรียนที่มีคุณภาพและเข้ารับการติว ซึ่งการกระทำทั้งสองอย่างนี้สามารถมองได้ว่าเป็นได้ทั้งบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับเจตนา[36]

ผู้ปกครองชาวสิงคโปร์หลายคนถือว่าแนวคิดเกียซูเป็นหนทางสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ[30][33] ดังนั้นเด็ก ๆ จึงถูกกดดันจากพ่อแม่ให้มีพฤติกรรมเกียซูเพื่อที่จะได้เป็นนักเรียนที่ทำคะแนนได้สูง ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2014 สำนักงานสถิติสิงคโปร์ พบว่าพ่อแม่ใช้จ่ายเงินรวมกันเกือบ 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปกับการเรียนพิเศษภายนอกในแต่ละปีเพื่อให้แน่ใจว่าลูก ๆ ของตนจะทำได้ดีกว่านักเรียนคนอื่น [8] นอกจากนี้ การศึกษาในปี ค.ศ. 1992 ชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนของนักเรียนที่เรียนพิเศษเพิ่มขึ้นจาก 19% ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็น 32% ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990[30] ผู้ปกครองยังส่งลูก ๆ ที่อยู่ในวัยก่อนเข้าเรียนไปเรียนในชั้นเรียนเสริมทักษะ เพื่อให้ลูกได้เริ่มต้นนำหน้านักเรียนคนอื่น [8] ผู้ปกครองยังใช้มาตรการมากมายเพื่อให้แน่ใจว่าลูก ๆ จะได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเช่น การเข้าร่วมโบสถ์ที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน, การบริจาคเงินจำนวนมากให้กับโรงเรียน, และการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับที่อยู่บ้าน[30] ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2015 คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งให้ที่อยู่บ้านปลอมซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียน 1 กิโลเมตร เพื่อให้ลูกของตนได้รับสถานะอยู่ในช่วง Phase 2C ของการลงทะเบียนนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งจะจัดสรรที่นั่งให้กับเด็กที่อาศัยอยู่ใกล้โรงเรียน[37]

วัฒนธรรมการเข้าคิว

[แก้]

แนวคิดเกียซูยังมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเข้าคิวของสิงคโปร์ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปรากฏการณ์ "Hello Kitty fever" ในปี ค.ศ. 2019 เมื่อแมคโดนัลด์เปิดตัวกระเป๋าใส่ของลายเฮลโลคิตตีรุ่นจำกัดจำนวน ชาวสิงคโปร์ก็เริ่มต่อคิวล่วงหน้าหลายชั่วโมงเพื่อให้เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้กระเป๋ามา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดที่ให้ซื้อได้เพียง 2 ชิ้นต่อครั้ง ชาวสิงคโปร์บางคนก็กลับไปต่อคิวอีกครั้งเพื่อซื้อเพิ่ม จากการสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์ The New Paper ลูกค้าบางคนยอมรับว่าไม่รู้ว่าจะนำกระเป๋าไปทำอะไรหลังจากซื้อมาแล้ว ในขณะที่บางคนนำไปขายต่อในเว็บไซต์ Carousell ซึ่งเป็นตลาดออนไลน์ ในราคาที่สูงกว่าราคาเดิมถึง 5 เท่า[38] วัฒนธรรมการเข้าคิวนี้แสดงให้เห็นว่าแนวคิดเกียซูโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์เกียซูเชิงลบได้กลายเป็นบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมในสิงคโปร์ได้อย่างไร บุคคลหนึ่งอาจจะเข้าไปต่อคิวที่ตนเห็นเพราะความคิดแบบเกียซูที่ฝังรากอยู่ในตัวทำให้พวกเขาเชื่อว่าคิวนั้นเพื่อสำหรับสิ่งที่มีค่า[39] แนวคิดเกียซูทำให้ผู้คนเข้าไปรอคิวเฉย ๆ เพียงเพราะพวกเขาต้องการทำตามกระแสและไม่ต้องการพลาดโอกาส[39]

ในผลงานสมัยนิยม

[แก้]

เกียซูยังถูกนำมาใช้ในผลงานยอดนิยมของสิงคโปร์ เช่น บทละครเรื่อง Army Daze ที่ออกแสดงในปี ค.ศ. 1987[18]

มิสเตอร์เกียซู

[แก้]

เกียซูเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัดกับหนังสือการ์ตูนเรื่อง "Mr. Kiasu" ที่ตีพิมพ์ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ซึ่งสร้างโดย จอห์นนี เลา (Johnny Lau) และเขียนโดย อวี เฉิง (Yu Cheng) กับเจมส์ สุเรศ (James Suresh)[40][41] เรื่องราวในหนังสือเป็นการติดตามตัวละครหลักอย่าง Mr. Kiasu ที่เป็นที่รู้จักจากการแสดงพฤติกรรมเกียซูขั้นสุด[30] ชาวสิงคโปร์สามารถเข้าถึงตัวละครนี้ได้ดีเพราะเขาสามารถรวบรวมลักษณะของเกียซูที่หลายคนมีอยู่ได้เป็นอย่างดี แม้ว่ากลยุทธ์ของตัวละครจะถูกนำเสนออย่างเกินจริงก็ตาม[8] หลังจากที่ตัวละครประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1993 แมคโดนัลด์ได้ร่วมมือกับจอห์นนี เลา เพื่อผลิตและประชาสัมพันธ์ "เกียซูเบอเกอร์" ในจำนวนจำกัดซึ่งขายได้ถึง 1.2 ล้านชิ้น[41] เนื่องจากหนังสือได้รับความนิยม ในปี ค.ศ. 2001 บริษัทกระจายเสียงของสิงคโปร์ มีเดียคอร์ป (Mediacorp) ได้ผลิตละครซิตคอมแบบคนแสดงเรื่อง "Mr. Kiasu" โดยอิงจากหนังสือชุดนี้[41] นอกจากนี้ยังมีสินค้ามากมายที่ผลิตออกมาจากตัวละครนี้ เช่น แก้วน้ำ, นาฬิกา และเครื่องเขียน[8]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 5 Yap, Suanne (2013). The story of kiasu: expressions of identity and status via conspicuous consumption : an ethnographic study of Singaporean young women in a newly adopted culture (วิทยานิพนธ์ Masters). Western Sydney University.
  2. 1 2 3 4 Lim, Lisa (6 ตุลาคม 2016). "Where the word kiasu came from and how it spread". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  3. 1 2 3 Kirby & Ross, p. 110.
  4. Thirumaran & Foo.
  5. definition of kiasu from Chimbridge Singlish Dictionary of Singlish & Singaporean Terminology.
  6. "definition of kiasu from Oxford Dictionaries Online". 17 กรกฎาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2023.
  7. Languages of Origin of Singlish, Chimbridge Singlish Dictionary of Singlish & Singaporean Terminology.
  8. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Bedford & Chua, p. 492.
  9. Ho & Ang, p. 363.
  10. Ho & Ang, p. 367.
  11. Tan, Jun Kiak (2014). "Development of a kiasu construct". Digital Repository of NTU (ภาษาอังกฤษ): 14–16.
  12. Kirby and Ross, “Kiasu Tendency and Tactics,” 110.
  13. Kirby & Ross, p. 111.
  14. Bedford & Chua, p. 504.
  15. 1 2 Cheng & Hong, p. 888.
  16. Ho & Ang, p. 364.
  17. Ho & Ang, p. 361.
  18. 1 2 3 4 Keating, Sarah. "The most ambitious country in the world?". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  19. Bedford & Chua, p. 506.
  20. Kirby & Ross, p. 109-110.
  21. "Definition of KEEP UP WITH THE JONESES". www.merriam-webster.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2023.
  22. Ho & Ang, p. 368.
  23. Thirumaran & Foo, p. 114.
  24. Thirumaran & Foo, p. 112.
  25. Leimgruber, Jakob R. E. (มกราคม 2011). "Singapore English: Singapore English". Language and Linguistics Compass (ภาษาอังกฤษ). 5 (1): 60. doi:10.1111/j.1749-818X.2010.00262.x.
  26. Cheng & Hong, p. 873.
  27. Hermes (24 กรกฎาคม 2015). "Singaporeans see virtues like compassion in themselves but view society as materialistic | The Straits Times". www.straitstimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  28. Auto, Hermes (25 ตุลาคม 2017). "Tampines most 'kiasu' town in Singapore, says supermarket chain Giant | The Straits Times". www.straitstimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  29. 1 2 Auto, Hermes (12 พฤษภาคม 2016). "Shiok! 19 Singlish items added to the Oxford English Dictionary | The Straits Times". www.straitstimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  30. 1 2 3 4 5 6 Ho & Ang, p. 360.
  31. Cheng & Hong, p. 886.
  32. Cheng & Hong, p. 874.
  33. 1 2 Ooi 2013, p. 5.
  34. Ooi 2013, p. 12.
  35. Bedford & Chua, p. 501.
  36. 1 2 Bedford & Chua, p. 502.
  37. Auto, Hermes (29 มกราคม 2018). "Couple fined for lying about home address to get child enrolled in prestigious primary school | The Straits Times". www.straitstimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  38. Auto, Hermes (15 พฤศจิกายน 2019). "Fans queue from midnight for limited-edition Hello Kitty carrier | The Straits Times". www.straitstimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023.
  39. 1 2 "Consuming the Nation: National Day Parades in Singapore". New Zealand Journal of Asian Studies. 3 (2): 13. ธันวาคม 2001.
  40. Bedford & Chua, p. 491.
  41. 1 2 3 Yoong, Soon Chye David (2009). "Standard English and Singlish:The Clash of Language Values in Contemporary Singapore" (PDF). p. 19.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]