เกออร์ก ฟอร์สเตอร์
เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ | |
---|---|
![]() เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ ขณะอายุ 26 ปี ภาพวาดโดย เจ. เอช. ดับเบิลยู. ทิสช์ไบน์ ในปี ค.ศ. 1781 | |
เกิด | โยฮันน์ เกออร์ก อดัม ฟอร์สเตอร์ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1754 นัสเซินฮูเบิน, ปอมเมอเรเนียน วอยโวเดชิป, คราวน์ออฟเดอะคิงดอมออฟโปแลนด์ |
เสียชีวิต | 10 มกราคม ค.ศ. 1794 กรุงปารีส, สาธารณรัฐฝรั่งเศส | (39 ปี)
การศึกษา | โรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก), วิทยาลัยวอร์ริงตัน |
มีชื่อเสียงจาก | ผู้บุกเบิกงานเขียนวรรณกรรมการท่องเที่ยวสมัยใหม่ |
คู่สมรส | เทเรเซ ไฮน์ |
บุตร | เทเรเซ่ ฟอร์สเตอร์ |
รางวัล | ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสภา, ค.ศ. 1777 |
อาชีพทางวิทยาศาสตร์ | |
สาขา | ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ, ชาติพันธุ์วิทยา |
สถาบันที่ทำงาน | มหาวิทยาลัยวิลนีอุส, มหาวิทยาลัยไมนทซ์, วิทยาลัยแคโรลินุม |
ผู้สนับสนุน | เยกาเจรีนามหาราชินี |
ชื่อย่อที่ใช้ทางพฤกษศาสตร์ | G.Forst. |
ลายมือชื่อ | |
![]() |
โยฮันน์ เกออร์ก อดัม ฟอร์สเตอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม เกออร์ก ฟอร์สเตอร์[nb 1] (ภาษาเยอรมัน: [ˈɡeːɔʁk ˈfɔʁstɐ]; 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1754 – 10 มกราคม ค.ศ. 1794) เป็นนักภูมิศาสตร์, นักธรรมชาตินิยม, นักชาติพันธุ์วิทยา, นักเขียนวรรณกรรมท่องเที่ยว, นักหนังสือพิมพ์ และนักปฏิวัติชาวเยอรมัน โดยตั้งแต่ปฐมวัย เขาได้ร่วมเดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์หลายครั้งร่วมกับบิดาของเขา, โยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ ซึ่งรวมถึงการเดินทางรอบโลกครั้งที่สองของเจมส์ คุก ที่มุ่งหน้าไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก รายงานจากการเดินทางของเขาในชื่อ อะวอยเอจราวด์เดอะเวิลด์ (A Voyage Round the World) เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาของชาวพื้นเมืองในภูมิภาคพอลินีเชีย และได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่า ด้วยผลจากรายงานดังกล่าว ฟอร์สเตอร์จึงได้รับการตอบรับเข้าเป็นภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสภา (Royal Society) ตั้งแต่อายุเพียง 22 ปี และถือว่าได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวรรณกรรมท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (modern scientific travel literature)
ภายหลังจากการเดินทางกลับสู่ยุโรป ฟอร์สเตอร์ได้หันมาทำงานทางวิชาการ เขาดำรงตำแหน่งอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ณ วิทยาลัยแคโรลินุม (Collegium Carolinum) ในออทโทเนียม, เมืองคัสเซิล (ค.ศ. 1778–84) และต่อมาได้สอนที่สถาบันวิลนา (มหาวิทยาลัยวิลนีอุส) (Academy of Vilna, Vilnius University) (ค.ศ. 1784–87) ในปี ค.ศ. 1788 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าบรรณารักษ์ประจำมหาวิทยาลัยไมนทซ์ (University of Mainz) ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาส่วนใหญ่ช่วงเวลานี้ประกอบด้วยเรียงความเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา แต่เขายังคงเขียนบทนำและแปลหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการสำรวจหลายเล่ม ซึ่งรวมไปถึงการแปลบันทึกประจำวันของคุกเป็นภาษาเยอรมัน
ฟอร์สเตอร์ถือเป็นบุคคลสำคัญในยุคเรืองปัญญาของเยอรมนี และได้เกี่ยวข้องกับนักคิดส่วนใหญ่ในยุคนั้น รวมถึงเพื่อนสนิทของเขาอย่างเกออร์ก คริสตอฟ ลิชเตนเบิร์ก ในส่วนของแนวคิด บันทึกการเดินทาง และบุคลิกภาพของเขานั้น มีอิทธิพลต่ออเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งยกย่องฟอร์สเตอร์ว่าเป็นผู้ก่อตั้งทั้งสาขาวิชาชาติพันธุ์วิทยา (Völkerkunde) และภูมิศาสตร์ภูมิภาค (Länderkunde)[5] เมื่อกองทัพฝรั่งเศสเข้ายึดครองเมืองไมนทซ์ในปี ค.ศ. 1792 ฟอร์สเตอร์มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสาธารณรัฐไมนทซ์ (Mainz Republic) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐเริ่มแรกในเยอรมนี ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1793 ขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนของสาธารณรัฐไมนทซ์ที่เพิ่งสถาปนาในปารีส กองกำลังพันธมิตรปรัสเซียและออสเตรียได้เข้ายึดเมืองคืน และฟอร์สเตอร์ถูกประกาศว่าเป็นอาชญากร (outlaw) เขาไม่สามารถเดินทางกลับเยอรมนี และต้องพลัดพรากจากมิตรสหายและครอบครัว จึงเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตที่กรุงปารีสด้วยอาการเจ็บป่วยในช่วงต้นปี ค.ศ. 1794 ในขณะที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1754[nb 2] ที่หมู่บ้านนัสเซินฮูเบิน[13][nb 3] (ปัจจุบันคือ มอคริดวูร์, ประเทศโปแลนด์) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้เมืองดันซิก[15][16] เขาเป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้อง 7 คนของโยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ (Johann Reinhold Forster) ศิษยาภิบาลและนักวิชาการโปรเตสแตนต์ขนบปฏิรูป และภรรยาของเขา จัสตินา เอลิซาเบธ (Justina Elisabeth) สกุลเดิม นิโคไล (Nicolai) [13][14] ตั้งแต่ปฐมวัย เกออร์กมีความสนใจในการศึกษาธรรมชาติอย่างมาก และบิดาของเขาก็ได้เริ่มเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรรมชาติเป็นครั้งแรกจากหนังสือของคาร์ล ลินเนียส และยังได้สอนวิชาชีววิทยา รวมถึงภาษาละติน ภาษาฝรั่งเศส และศาสนาให้กับลูกชายของเขา[17][18] ในปี ค.ศ. 1765 ไรน์โฮลด์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลรัสเซียให้สำรวจอาณานิคมที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใกล้เมืองซาราตอฟ บนแม่น้ำวอลกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอาณานิคมเยอรมัน[19] ในขณะที่เกออร์กเมื่อวัย 10 ขวบ จึงได้ติดตามร่วมกับบิดาในการเดินทาง 4,000 กิโลเมตร (2,500 ไมล์) ซึ่งมีจุดหมายถึงทุ่งหญ้าสเตปป์คัลมึคและทะเลสาบเอลตัน ในระหว่างทาง เขาได้เก็บตัวอย่างพืชนับร้อยชนิด และช่วยบิดาในการตั้งชื่อและระบุชนิด[20] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1765 เขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก[21] ในขณะที่บิดาของเขากำลังจัดทำรายงานสภาพอาณานิคม[22] รายงานของไรน์โฮลด์ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้ว่าราชการเมืองซาราตอฟ (voivode of Saratov) และสภาพความเป็นอยู่ภายในอาณานิคม จึงทำให้ครอบครัวฟอร์สเตอร์ต้องเดินทางออกจากรัสเซียโดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนท่ามกลางความขัดแย้งกับกริกอรี ออร์ลอฟ[21][23] ในระหว่างการเดินทางกลับทางเรือจากครอนสตัดต์ เกออร์กได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษและได้ฝึกฝนภาษารัสเซีย พวกเขาถึงลอนดอนในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1766[24][25] เมื่อเกออร์กวัย 12 ขวบได้เขียนหนังสือแปลประวัติศาสตร์รัสเซียของโลโมโนซอฟเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และเขียนต่อมาจนหนังสือได้นำเสนอตีพิมพ์ต่อสมาคมนักโบราณคดีลอนดอนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1767[26][27] บิดาของเขาเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ที่วิทยาลัยวอร์ริงตันในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1767 โดยรับช่วงต่อจากโจเซฟ พรีสต์ลีย์ ในระหว่างนั้น บิดาให้เกออร์กเป็นเด็กฝึกงานกับพ่อค้าในลอนดอนเพื่อให้สมาชิกครอบครัวที่เหลือเดินทางมาถึงอังกฤษในเดือนกันยายน ค.ศ. 1767[28][29] ในวอร์ริงตัน เกออร์กได้เรียนวิชาวรรณคดีคลาสสิก (classics) และวิชาศาสนาจากจอห์น ไอกิน วิชาคณิตศาสตร์จากจอห์น โฮลต์ และวิชาภาษาฝรั่งเศสกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติจากบิดาของเขาเอง[30][31]
การเดินทางรอบโลกร่วมกับกัปตันคุก
[แก้]
ในปี ค.ศ. 1770 ครอบครัวฟอร์สเตอร์ได้ย้ายกลับมายังลอนดอน[32] ซึ่งโยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ บิดาของเกออร์ก ได้สร้างสัมพันธ์กับบุคคลในแวดวงวิทยาศาสตร์ และในปี ค.ศ. 1772 บิดาของเกออร์กได้รับเลือกเป็นภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสภา[33] ซึ่งหลังจากโจเซฟ แบงค์สถอนตัวไปร่วมสมาคมทหารเรืออังกฤษ (British Admiralty) จึงได้เชิญบิดาของเกออร์กให้เข้าร่วมการเดินทางสำรวจแปซิฟิกครั้งที่สองของเจมส์ คุกด้วย (ค.ศ. 1772–1775) เกออร์ก ฟอร์สเตอร์จึงได้เข้าร่วมเดินทางไปกับบิดาอีกครั้งในฐานะนักวาดภาพ (draughtsman) ส่วนภารกิจของโยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ บิดาของเกออร์ก นั่นคือการจัดทำรายงานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการค้นพบจากการเดินทางเพื่อเผยแพร่เมื่อกลับมา[34]
พวกเขาออกเดินทางโดยเรือหลวงรีโซลูชัน (HMS Resolution) ในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1772 จากเมืองพลิมัท (Plymouth) เส้นทางเดินเรือเริ่มจากมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ผ่านมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรใต้ ไปยังหมู่เกาะพอลินีเชีย (Polynesia) และสุดท้ายวนรอบแหลมฮอร์น (Cape Horn) ก่อนกลับสู่ประเทศอังกฤษ โดยเดินทางกลับมาถึงในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1775 ตลอดสามปีของการเดินทาง นักสำรวจได้เยือนนิวซีแลนด์, หมู่เกาะตองงา, นิวแคลิโดเนีย, ตาฮีตี, หมู่เกาะมาร์เคซัส, และเกาะอีสเตอร์ พวกเขาเดินทางลงทางตอนใต้ โดยไกลกว่านักสำรวจคนอื่นที่เคยมาสำราวจก่อนหน้า ซึ่งเกือบจะค้นพบทวีปแอนตาร์กติกา การเดินทางในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า "ทฤษฎีเทอร์ราออสตราลิสอินคอกนิตา" (Terra Australis Incognita) ที่อ้างว่า มีทวีปขนาดใหญ่และมีผู้อยู่อาศัยทางตอนใต้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง[35]
ภายใต้การดูแลของบิดา เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ได้เริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับสัตววิทยาและพฤกษศาสตร์ของทะเลใต้ ผ่านการวาดภาพสัตว์และพืช อย่างไรก็ตาม เกออร์กก็ให้ความสนใจในเรื่องที่ตนชอบ ซึ่งนำไปสู่การสำรวจอย่างอิสระในด้านภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา[36] เขาสามารถเรียนรู้ภาษาของหมู่เกาะพอลินีเชียได้อย่างรวดเร็ว รายงานของเขาเกี่ยวกับประชากรในหมู่เกาะพอลินีเชียได้รับการยกย่องอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องด้วยเขาบรรยายถึงประชากรผู้อยู่อาศัยบนเกาะทางใต้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ (empathy) เห็นอกเห็นใจ (sympathy) และโดยรวมปราศจากอคติของตะวันตกหรืออคติของคริสเตียน[37]

แตกต่างจากหลุยส์ อ็องตวน ดยุกแห่งอ็องแกง ซึ่งรายงานการเดินทางไปตาฮีตีเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้าซึ่งได้จุดประกายความจินตนิยมแบบ "คนเถื่อนใจธรรม" (noble savage) โดยปราศจากการวิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่ฟอร์สเตอร์ได้ฉายภาพที่ซับซ้อนของสังคมบนหมู่เกาะแปซิฟิกใต้[38] เขาบรรยายถึงโครงสร้างทางสังคมและศาสนาที่หลากหลายที่เขาพบบนหมู่เกาะโซไซเอตี, เกาะอีสเตอร์ และตองงา รวมถึงนิวซีแลนด์ และให้เหตุผลว่าความหลากหลายนี้เกิดจากความแตกต่างในสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน ในขณะเดียวกัน เขาสังเกตเห็นว่าภาษาของหมู่เกาะที่กระจัดกระจายห่างกันนั้นมีความคล้ายคลึงกันเกี่ยวโยงกับประชากรผู้อยู่อาศัยบนหมู่เกาะโนมูกา (อยู่ในกลุ่มหมู่เกาะฮาอาปายของตองงาในปัจจุบัน) เขาบันทึกว่า ภาษา พาหนะ อาวุธ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า รอยสัก รูปแบบเครา กล่าวโดยสรุปคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับสิ่งที่เขาเคยเห็นขณะศึกษาชนเผ่าบนโตงาตาปู อย่างไรก็ตาม เขายังบันทึกว่า "เราไม่สามารถสังเกตเห็นการจัดลำดับชั้นในหมู่พวกเขาได้เลย แม้ว่าสิ่งนี้จะแสดงลักษณะของชาวโตงาตาปูอย่างชัดเจน ซึ่งดูเหมือนจะแสดงความนอบน้อมต่อกษัตริย์ถึงขั้นยอมรับใช้เลยทีเดียว"[39]
การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยคำตอบทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวฟอร์สเตอร์กับกัปตันคุกและคนของเขามักมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง[40] ทั้งจากอารมณ์หงุดหงิดของไรน์โฮลด์ และการที่กัปตันคุกไม่ยอมให้เวลามากขึ้นสำหรับการสังเกตทางพฤกษศาสตร์และวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ด้วยเหตุผลนี้ กัปตันคุกจึงปฏิเสธที่จะให้นักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมการเดินทางครั้งที่สามของเขาอีกเลย หลังจากประสบพบเจอประสบการณ์กับครอบครัวฟอร์สเตอร์[41]
กำเนิดวรรณกรรมท่องเที่ยวสมัยใหม่
[แก้]
ความขัดแย้งระหว่างผู้จัดทำบันทึกการเดินทางฉบับทางการในครั้งนี้ได้เกิดขึ้นดำเนินต่อเนื่องไปหลังจากเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง ลอร์ดแซนด์วิชแม้มีความประสงค์จะชำระค่าตอบแทนตามที่ตกลงไว้ แต่ก็ไม่พอใจกับบทนำที่เขียนโดยโยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ และมีความพยายามจะแก้ไข อย่างไรก็ตาม ฟอร์สเตอร์ปฏิเสธที่จะให้งานเขียนของตนถูกแก้ไข "ประหนึ่งเป็นแบบฝึกหัดของนักเรียน" และยืนกรานที่ไม่ประนีประนอม[34] จึงเป็นเหตุให้บันทึกฉบับทางการนั้นเขียนโดยกัปตันคุก และตระกูลฟอร์สเตอร์ถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการเขียนรวบรวมบันทึก อีกทั้งไม่ได้ค่าตอบแทนสำหรับผลงานที่เขียนไปก่อนหน้าด้วย ในระหว่างการเจรจาปี ค.ศ. 1777 นั้น เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ได้ตัดสินใจเผยแพร่บันทึกการเดินทางฉบับไม่เป็นทางการเรื่อง "อะวอยเอจราวด์เดอะเวิลด์ฯ" (A Voyage Round the World in His Britannic Majesty's Sloop Resolution, Commanded by Capt. James Cook, during the Years, 1772, 3, 4, and 5) ได้รับการตีพิมพ์ รายงานฉบับนี้ถือเป็นบันทึกแรกเกี่ยวกับการเดินทางครั้งที่สองของกัปตันคุก (ซึ่งตีพิมพ์ก่อนฉบับทางการถึงหกสัปดาห์) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนในวงกว้าง ในส่วนของฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลภาษาเยอรมันที่เขาจัดทำขึ้น (ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1778–1780) ได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับผู้ประพันธ์วัยเยาว์ คริสตอฟ มาร์ติน วีแลนด์ กวีผู้โดดเด่น ได้ยกย่องหนังสือบันทึกเล่มนี้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดในยุคสมัยของเขา และแม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงถือเป็นหนึ่งในวรรณกรรมบรรยายการเดินทางสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีการประพันธ์มา หนังสือบันทึกเล่มนี้ยังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อวงการวรรณกรรม วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ของเยอรมนี ซึ่งมีอิทธิพลต่อนักวิทยาศาสตร์ อย่างอเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์เป็นอาทิ[42] และเป็นแรงบันดาลใจแก่นักชาติพันธุ์วิทยาในยุคหลังเป็นอย่างมาก
ฟอร์สเตอร์ได้ประพันธ์บทร้อยแก้วภาษาเยอรมันที่มีความประณีต ซึ่งไม่เพียงแต่มีความถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์และมีความเป็นกลางเท่านั้น แต่ยังคงความน่าสนใจและอ่านเข้าใจง่าย นี่เป็นความแตกต่างจากวรรณกรรมการเดินทางตามแบบแผนทั่วไปในยุคนั้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยนำเสนอข้อมูลอย่างลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การรวบรวมข้อมูลดิบ แต่ยังแสดงข้อเท็จจริงทางชาติพันธุ์วิทยาที่มีความสอดคล้องกัน มีรายละเอียดชัดเจน และมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นผลมาจากการสังเกตการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนและด้วยทัศนคติที่เห็นอกเห็นใจ เขามักจะสอดแทรกข้อสังเกตเชิงปรัชญาสะท้อนจากสิ่งที่เขาพบเห็นลงไปในงานเขียนเพื่อเพิ่มพูนคุณค่าทางปัญญา[43] จุดเน้นหลักของเขาอยู่ที่ผู้คนที่เขาได้พบปะ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา และรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมของพวกเขา ในหนังสือ อะวอยเอจราวด์เดอะเวิลด์ฯ เขายังได้นำเสนอเพลงที่ขับร้องโดยผู้คนในพอลินีเซีย พร้อมทั้งเนื้อเพลงและโน้ตดนตรี (notation) ครบถ้วน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับสังคมในภูมิภาคแปซิฟิกใต้ในช่วงเวลาก่อนที่อิทธิพลของยุโรปจะเริ่มมีบทบาทสำคัญอย่างมาก[44]
ทั้งฟอร์สเตอร์ บิดาของเกออร์ก และเกออร์ก ฟอร์สเตอร์ได้ร่วมกันตีพิมพ์บทความบรรยายเกี่ยวกับการเดินทางในแปซิฟิกใต้ของพวกเขาในวารสาร Magazin von merkwürdigen neuen Reisebeschreibungen (นิตยสารเรื่องเล่าการเดินทางใหม่ที่น่าสนใจ) ซึ่งตีพิมพ์ในกรุงเบอร์ลิน และเกออร์กยังได้ตีพิมพ์ฉบับแปลของ "อะวอยเอจทูเดอะเซาท์ซี, โดยร้อยโท วิลเลียม ไบลจ์, ลอนดอน 1792" (A Voyage to the South Sea, by Lieutenant William Bligh, London 1792) ในช่วงปี ค.ศ. 1791–93
ฟอร์สเตอร์ที่มหาวิทยาลัย
[แก้]การตีพิมพ์หนังสือเรื่อง "อะวอยเอจราวด์เดอะเวิลด์" เป็นเหตุให้ฟอร์สเตอร์ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์ทั่วทวีปยุโรป[45] ซึ่งราชบัณฑิตยสภา (Royal Society) อันทรงเกียรติได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในภาคีสมาชิกเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1777[46] แม้ว่าขณะนั้นเขาอายุยังไม่ครบ 23 ปี และเขายังได้รับตำแหน่งลักษณะอย่างนี้จากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ตั้งแต่สมาคมสหายวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งเบอร์ลิน (Berlin Society of Friends of Natural Science) ไปจนถึงราชบัณฑิตยสถานแพทยศาสตร์แห่งมาดริด (Royal Madrilenian Academy of Medicine) [47] อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่กล่าวเหล่านี้ไม่มีค่าตอบแทน
ในปี ค.ศ. 1777 เขาเดินทางไปยังกรุงปารีสเพื่อพบปะกับเบนจามิน แฟรงคลิน นักปฏิวัติชาวอเมริกัน[48] ในปี ค.ศ. 1778 เขาเดินทางไปยังเยอรมนีเพื่อเข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่วิทยาลัยแคโรลินุม (Collegium Carolinum) ในคัสเซิล ซึ่งเขาได้พบกับเทเรเซ ไฮน์ (Therese Heyne) บุตรีของคริสเตียน กอทท์โลบ ไฮน์ (Christian Gottlob Heyne) นักวรรณคดีคลาสสิก โดยทั้งคู่แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1785 (หลังจากที่เขาออกจากคัสเซิลแล้ว) และมีบุตรสองคน กล่าวคือ เทเรเซ ฟอร์สเตอร์ (Therese Forster) และคลารา ฟอร์สเตอร์ (Clara Forster) แต่ชีวิตสมรสของพวกเขากลับไม่ราบรื่นนัก เทเรเซแยกจากเขาไปอยู่กับลุดวิก แฟร์ดินันด์ ฮูเบอร์ (Ludwig Ferdinand Huber) และกลายเป็นหนึ่งในนักเขียนหญิงอิสระคนแรกของเยอรมนี ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคัสเซิล ฟอร์สเตอร์ได้ติดต่ออย่างสม่ำเสมอกับบุคคลสำคัญในยุคเรืองปัญญาหลายคนอย่างก็อทโฮลด์ เอฟไรม์ เลสสิง, โยฮัน ก็อทฟรีท แฮร์เดอร์, คริสตอฟ มาร์ติน วีแลนด์ และโยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ เขายังริเริ่มความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยแคโรลินุมในคัสเซิลกับมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน (University of Göttingen) ซึ่งเป็นที่ทำงานของเพื่อนของเขา เกออร์ก คริสต็อฟ ลิชเทนเบิร์ก (Georg Christoph Lichtenberg) พวกเขาร่วมกันก่อตั้งและตีพิมพ์วารสารวิทยาศาสตร์และวรรณกรรมชื่อว่า Göttingisches Magazin der Wissenschaften und Litteratur[49] ซามูเอ็ล ทอมัส ฟ็อน เซิมเมอร์ริง (Samuel Thomas von Sömmering) เพื่อนสนิทของฟอร์สเตอร์ ได้เดินทางมาถึงคัสเซิลหลังจากฟอร์สเตอร์ไม่นาน และทั้งสองก็มีส่วนร่วมกับขบวนการโรสิครูเซียน (Rosicrucians) ในคัสเซิล ซึ่งฟอร์สเตอร์ได้มีฉายาลับว่า "Amadeus Sragorisinus Segenitor"[50]

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1783 ฟอร์สเตอร์เห็นว่าการมีส่วนร่วมกับขบวนการโรสิครูเซียนไม่เพียงแต่นำพาเขาออกห่างจากวิทยาศาสตร์อันแท้จริง แต่ยังทำให้เขามีหนี้สินมากกว่าเดิมอีกด้วย[51] (มีผู้กล่าวว่า เขาไม่ถนัดเรื่องการเงิน[52]) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ในปี ค.ศ. 1784 ฟอร์สเตอร์จึงยินดีตอบรับข้อเสนอจากคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (Commission of National Education) ของเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย เข้าดำรงตำแหน่งประธานภาควิชาประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยวิลนีอุส[53] ในช่วงแรกนั้น เขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากมหาวิทยาลัย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ การติดต่อส่วนใหญ่ของเขายังคงเป็นนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรณีพิพาทระหว่างเขาและอิมมานูเอล คานต์ว่าด้วยคำจำกัดความของ "เชื้อชาติ" (race) [54] ในปี ค.ศ. 1785 ฟอร์สเตอร์เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยฮัลเลอ ซึ่งเขาได้ยื่นวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพืชพรรณในแปซิฟิกใต้ เพื่อขอรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตด้านแพทยศาสตร์[55] เมื่อกลับมายังมหาวิทยาลัยวิลนีอุส ความทะเยอทะยานของฟอร์สเตอร์ที่จะสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่แท้จริง กลับไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากส่วนทางการในเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ยิ่งไปกว่านั้น สุนทรพจน์อันโด่งดังของเขาในปี ค.ศ. 1785 เรื่องประวัติศาสตร์ธรรมชาติกลับไม่เป็นที่น่าสนใจ และไม่ได้ถูกตีพิมพ์จนถึงปี ค.ศ. 1843 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างมากระหว่างเขาและชุมชนแวดล้อม[56] ในที่สุด เขาจึงยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดหกปี เนื่องด้วยจักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเสนอเข้าร่วมสำหรับการเดินทางรอบโลก (การสำรวจมูลอฟสกี (Mulovsky expedition)) พร้อมทั้งค่าตอบแทนสูงและตำแหน่งศาสตราจารย์ในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก[57] สิ่งนี้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างฟอร์สเตอร์กับนักวิทยาศาสตร์โปแลนด์ผู้ทรงอิทธิพล แยดรีจ์ ชเนียเดตสกี (Jędrzej Śniadeck) อย่างไรก็ดี ข้อเสนอรัสเซียนี้ถูกตีตกไป ฟอร์สเตอร์จึงเดินทางออกจากมหาวิทยาลัยวิลนีอุส ไปตั้งรกรากในมหาวิทยาลัยไมนทซ์ (University of Mainz) ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ของมหาวิทยาลัยไมนทซ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เพื่อนของเขา โยฮันเนส ฟ็อน มุลเลอร์ (Johannes von Müller) เคยดำรงตำแหน่งมาก่อน จึงได้ให้ฟอร์สเตอร์รับช่วงต่อจากเขา โดยมุลเลอร์ย้ายไปทำงานเป็นฝ่ายบริหารภายใต้เจ้าผู้ครองนครรัฐ (Kurfürst) ฟรีดริช คาร์ล โยเซฟ ฟ็อน แอร์ทาล (Friedrich Karl Josef von Erthal) [58]
ฟอร์สเตอร์ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการสำรวจร่วมสมัยอย่างสม่ำเสมอ และยังคงเป็นนักแปลที่มีผลงานมากมาย อย่างเช่นเขาเขียนเกี่ยวกับบันทึกการเดินทางครั้งที่สามของกัปตันคุกสู่แปซิฟิกใต้ และบันทึกเกี่ยวกับการสำรวจเรือ บาวน์ตี รวมถึงแปลบันทึกของคุกและบลายจากงานสำรวจเหล่านี้เป็นภาษาเยอรมัน[59] ตั้งแต่ปีที่เขาพำนักในลอนดอน ฟอร์สเตอร์ได้ติดต่อกับเซอร์ โจเซฟ แบงค์ส (Joseph Banks) ผู้ริเริ่มการสำรวจเรือบาวน์ตีและเป็นผู้เข้าร่วมการเดินทางครั้งแรกของคุก ขณะที่เขาอยู่มหาวิทยาลัยวิลนีอุสได้เขียนบทความเรื่อง Neuholland und die brittische Colonie in Botany-Bay ซึ่งตีพิมพ์ใน "Allgemeines historisches Taschenbuch" (เบอร์ลิน, เดือนธันวาคม ค.ศ. 1786) ซึ่งเป็นความเรียงเกี่ยวกับอนาคตของอาณานิคมอังกฤษก่อตั้งขึ้นในรัฐนิวเซาท์เวลส์ในปี ค.ศ. 1788[60]
ความสนใจอีกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ อินโดวิทยา (indology) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการสำรวจที่ล้มเหลวซึ่งแต่เดิมจะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 2 กล่าวคือการเดินทางไปถึงอินเดีย เขาแปลบทละครภาษาสันสกฤตเรื่อง ศกุนตลา (Shakuntala) โดยใช้ฉบับภาษาละตินที่จัดหาโดยเซอร์ วิลเลียม โจนส์ ซึ่งต่อมาหนังสือแปลเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อโยฮันน์ ก็อทท์ฟรีด แฮร์เดอร์ (Johann Gottfried Herder) และเป็นการจุดประกายความสนใจของชาวเยอรมันในวัฒนธรรมอินเดียอีกด้วย[61]
วิวส์ฟลอมเดอะโรเวอร์ไรน์
[แก้]
ในช่วงไตรมาสที่สองของปี ค.ศ. 1790 ฟอร์สเตอร์และอเล็กซานเดอร์ ฟ็อน ฮุมโบลดต์ ได้เริ่มต้นการเดินทางที่ยาวนานจากไมนทซ์ ผ่านเนเธอร์แลนด์ใต้, สาธารณรัฐดัตช์, และอังกฤษ ก่อนจะสิ้นสุดลงที่กรุงปารีส ความประทับใจจากการเดินทางครั้งนี้ถูกบรรยายไว้ในหนังสือชุดสามเล่มชื่อว่า "Ansichten vom Niederrhein, von Brabant, Flandern, Holland, England und Frankreich im April, Mai und Juni 1790" (วิวส์ฟลอมเดอะโรเวอร์ไรน์ฯ; ทัศนียภาพจากไรน์ตอนล่าง, จากบราบันต์, ฟลานเดอร์ส, ฮอลแลนด์, อังกฤษและฝรั่งเศส ในเดือนเมษายน, เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1790) ซึ่งตีพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1791–94 เกอเธ่ได้กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า "เมื่ออ่านจบแล้ว อยากจะเริ่มอ่านใหม่อีกครั้ง และปรารถนาที่จะได้เดินทางไปกับผู้สังเกตการณ์ (observer) ที่เก่งกาจและเต็มเปี่ยมความรู้เช่นนี้" หนังสือเล่มนี้ยังรวมถึงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อศาสตร์ที่ว่านี้ เช่นเดียวกับหนังสือ "อะวอยเอจราวด์เดอะเวิลด์" ที่มีอิทธิพลต่อชาติพันธุ์วิทยา อย่างเช่นฟอร์สเตอร์เป็นหนึ่งในนักเขียนคนแรกที่ให้การพิจารณาอย่างเป็นธรรมต่อสถาปัตยกรรมกอทิกแห่งอาสนวิหารโคโลญ,[62] ซึ่งในเวลานั้นถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็น "แบบอนารยชน" (barbarian) หนังสือเล่มนี้สอดคล้องเป็นอย่างดีกับการเคลื่อนไหวทางปัญญาในยุคจินตนิยมตอนต้นในยุโรปที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก[63]
อย่างไรก็ตาม ความสนใจหลักของฟอร์สเตอร์ยังคงมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมทางสังคมของผู้คน เช่นเดียวกับเมื่อ 15 ปีก่อนในแปซิฟิก การลุกฮือในแนวคิดชาตินิยมในแฟลนเดอส์และบราบันต์ และการปฏิวัติในฝรั่งเศส ได้จุดประกายความใคร่รู้ของเขา การเดินทางผ่านภูมิภาคเหล่านี้ รวมถึงเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ซึ่งพลเมืองมีเสรีภาพได้รับการพัฒนาอย่างดีเฉกเช่นกัน ในท้ายที่สุด จึงช่วยให้เขาตัดสินใจกำหนดความคิดเห็นทางการเมืองของตนเองได้ นับตั้งแต่นั้นมา เขาได้กลายเป็นผู้ต่อต้านระบอบอองเซียง เรฌีม (ancien régime) อย่างแข็งขันร่วมกับนักวิชาการชาวเยอรมันคนอื่น เขาเห็นพ้องกับการปะทุขึ้นสำหรับการปฏิวัติว่าเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนของยุคเรืองปัญญา นับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ไม่นานหลังจากที่เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทลายคุกบัสตีย์ เขาได้เขียนถึงคริสเตียน กอทท์โลบ ไฮน์ พ่อตาของเขาซึ่งเป็นนักนิรุกติศาสตร์ว่าเป็นเรื่องที่สวยงามที่ได้เห็นว่าปรัชญาได้บ่มเพาะอะไรในจิตใจของผู้คนและสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงในรัฐ เขาเขียนอีกว่า การให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับสิทธิของพวกเขาในลักษณะนี้ เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด และส่วนที่เหลือก็จะตามมาราวกับเป็นไปโดยธรรมชาติ[64]
ช่วงชีวิตในฐานะนักปฏิวัติ
[แก้]การก่อตั้งสาธารณรัฐไมนทซ์
[แก้]
กองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสภายใต้การนำของนายพลคูสติน (General Custine) เข้ายึดครองไมนทซ์ได้สำเร็จในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1792 สองวันต่อมา ฟอร์สเตอร์และคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันก่อตั้งสโมสรฌากอแบ็ง (Jacobin Club) ชื่อว่า Freunde der Freiheit und Gleichheit (สหายแห่งเสรีภาพและเสมอภาค) ขึ้น ณ พระราชวังเจ้าผู้ครองนครรัฐแห่งไมนทซ์ (Electoral Palace Mainz) ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1793 เขามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการจัดตั้งสาธารณรัฐไมนทซ์ (Mainz Republic) ซึ่งถือว่าเป็นสาธารณรัฐแห่งแรกบนแผ่นดินเยอรมันที่ถูกสถาปนาขึ้นบนหลักการทางประชาธิปไตย โดยครอบคลุมพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำไรน์ระหว่างเมืองลินเดาและบิงเงิน ฟอร์สเตอร์ได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารเป็นการชั่วคราวของสาธารณรัฐ และเป็นหนึ่งในผู้สมัครเลือกตั้งสภาท้องถิ่น ที่มีชื่อเรียกว่า Rheinisch-Deutscher Nationalkonvent (ไรนิช-ด็อยเชอร์ นาทิโอนัลคอนเวนต์; สภาแห่งชาติเยอรมัน–ไรน์) ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม ค.ศ. 1793 เขาเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Die neue Mainzer Zeitung oder Der Volksfreund (หนังสือพิมพ์ไมนทซ์ฉบับใหม่หรือสหายของประชาชน) ซึ่งเป็นชื่อที่เลือกโดยอ้างถึง L'Ami du peuple ของมารา (Jean-Paul Marat)[65] ในบทความแรกของเขา เขาเขียนว่า:
Die Pressefreiheit herrscht endlich innerhalb dieser Mauern, wo die Buchdruckerpresse erfunden ward.[66]
ในที่สุด เสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ (freedom of the press) จักได้เบ่งบานขึ้น ภายใต้กำแพงแห่งนี้ ในสถานที่ถือกำเนิดของแท่นพิมพ์
อย่างไรก็ตาม เสรีภาพนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน สาธารณรัฐไมนทซ์ตั้งขึ้นเพียงชั่วขณะจนกระทั่งกองทัพฝรั่งเศสถอนตัวในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1793 หลังจากการล้อมเมืองไมนทซ์
ฟอร์สเตอร์มิได้อยู่ในไมนทซ์ระหว่างที่มีการล้อมเมือง เนื่องจากเขาและอดัม ลักซ์ (Adam Lux) ในฐานะตัวแทนของสภาแห่งชาติไมนทซ์ ถูกส่งไปยังกรุงปารีสเพื่อยื่นเรื่องขอให้ไมนทซ์ ซึ่งไม่อาจดำรงสถานะได้ในฐานะรัฐอิสระให้ผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐฝรั่งเศส คำขอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบ แต่ก็ไม่มีผลประการใด เนื่องด้วยไมนทซ์ถูกกองทัพปรัสเซียและออสเตรียเข้ายึดครอง และระบอบเดิมก็ได้รับการฟื้นฟู[67] เป็นเหตุให้ฟอร์สเตอร์สูญเสียห้องสมุดและของสะสมของเขา และเขาตัดสินใจพำนักอยู่ในกรุงปารีสต่อไป[68]
มรณกรรมในยุคปฏิวัติกรุงปารีส
[แก้]
จักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 ทรงตราพระราชกฤษฎีกาขึ้น ซึ่งกำหนดโทษแก่ประชาชนชาวเยอรมันที่ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลปฏิวัติฝรั่งเศส ฟอร์สเตอร์จึงถูกประกาศว่าเป็นอาชญากร และถูกประกาศจับโดยฝ่ายราชอาณาจักร โดยมีรางวัลนำจับ 100 ดูกัต สำหรับเป็นค่าหัวของเขา และเขาไม่อาจจะเดินทางกลับเยอรมนี[69] ด้วยความที่ปราศจากหนทางทำมาหากินและขาดการติดต่อกับภรรยา ซึ่งยังคงอยู่ในไมนทซ์กับบุตรทั้งหลาย และลุดวิก แฟร์ดินันด์ ฮูเบอร์ สามีใหม่ของเธอ เขาจึงคงพำนักอยู่ในกรุงปารีส ถึงจุดนี้ การปฏิวัติในกรุงปารีสได้เข้าสู่สมัยแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) ที่ริเริ่มโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะภายใต้การปกครองของมักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ฟอร์สเตอร์จึงมีโอกาสได้สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างคำสัญญาที่มีสำหรับการปฏิวัติว่าจะนำความสุขมาสู่ทุกคน กับผลพวงของการปฏิวัติสู่การปฏิบัติที่แสนโหดร้าย ตรงกันข้ามกับผู้สนับสนุนการปฏิวัติชาวเยอรมันหลายคน อย่างเช่นฟรีดริช ชิลเลอร์ ฟอร์สเตอร์ไม่ได้หันหลังให้กับอุดมการณ์ปฏิวัติของเขาภายใต้แรงกดดันของความหวาดกลัว เขาได้เห็นเหตุการณ์ในฝรั่งเศสเป็นเสมือนพลังธรรมชาติที่ไม่อาจชะลอได้ และต้องปลดปล่อยพลังงานของตัวเอง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้น[70]
ก่อนที่สมัยแห่งความหวาดกลัวนั้นจะถึงจุดสูงสุด ฟอร์สเตอร์ได้เสียชีวิตลงด้วยอาการป่วยไข้รูมาติก[71] ในห้องใต้หลังคาข้างบนอะพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กของเขาบนถนนรูเดมูแลง (Rue des Moulins)[72]ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1794 ขณะอายุเพียง 39 ปี[69] ในเวลาขณะนั้น เขามีแผนที่จะเดินทางไปยังอินเดีย[68]
มุมมองต่อชาติและวัฒนธรรม
[แก้]ฟอร์สเตอร์มีเชื้อสายผสมสกอตแลนด์ และเขาเกิดในราชอาณาจักรปรัสเซียของโปแลนด์ ดังนั้นโดยกำเนิดแล้วเขาเป็นพลเมืองโปแลนด์ เขาทำงานในรัสเซีย, อังกฤษ, โปแลนด์, และในหลายรัฐของเยอรมันในช่วงชีวิตของเขา ท้ายที่สุด เขาเสียชีวิตลงในฝรั่งเศส เขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและเดินทางมากตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขามีมุมมองว่า สิ่งนี้ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะทางวิทยาศาสตร์ของเขา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานตามหลักการของยุคเรืองปัญญา ทำให้เขาได้มุมมองที่กว้างขวางเกี่ยวกับชาติพันธุ์และประชาชาติที่แตกต่างกัน ความว่า:

ผู้คนทั้งหมดบนโลกล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการได้รับความปรารถนาดีจากข้าพเจ้า ... และคำชมเชยหรือคำตำหนิของข้าพเจ้านั้นถือว่าเป็นอิสระจากอคติทางเชื้อชาติ[76]
ในทัศนะของเขา มนุษย์ทุกคนมีความสามารถพื้นฐานเท่าเทียมกันในด้านเหตุผล ความรู้สึก และจินตนาการ แต่ส่วนประกอบพื้นฐานเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกันและในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมที่หลากหลาย จากทัศนะของเขาเป็นที่ชัดเจนว่าวัฒนธรรมบนกลุ่มเกาะติเอร์ราเดลฟูเอโก (Tierra del Fuego) อยู่ในระดับการพัฒนาด้อยกว่าวัฒนธรรมบนทวีปยุโรป แต่เขาก็ยอมรับว่าสภาพความเป็นอยู่ที่กลุ่มเกาะนั้นยากลำบากกว่ามาก และสิ่งนี้ทำให้ผู้คนมีโอกาสน้อยมากที่จะพัฒนาวัฒนธรรมสูงยิ่งขึ้น จากทัศนะของเขาเหล่านี้ เขาได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้เชื่อในคตินิยมสากลของเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 18[77]
ในทางตรงกันข้าม ก็พบว่ามีทัศนคติของเขาที่ขัดกับการแสดงออกในงานเขียน และช่วงชีวิตในยุคเรืองปัญญาก่อนหน้านี้ของเขา ฟอร์สเตอร์กลับใช้ถ้อยคำดูหมิ่นแสดงถึงอคติต่อชาวโปแลนด์ในจดหมายส่วนตัวระหว่างที่เขาพำนักอยู่ในวิลนีอุส และในสมุดบันทึกประจำวันจากการเดินทางผ่านโปแลนด์[78][79][80] แต่เขาไม่เคยตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับทัศนคตินี้[81] คำดูหมิ่นเหล่านี้เพิ่งจะเป็นที่รับรู้หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว เมื่อจดหมายโต้ตอบส่วนตัวและสมุดบันทึกประจำวันของเขาถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องด้วยการบันทึกสำหรับบรรยายประเทศอื่น ๆ ที่ฟอร์สเตอร์ตีพิมพ์นั้นถูกมองว่าเป็นการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นกลาง จึงทำให้การบันทึกเนื้อหาดูถูกเหยียดหยามต่อโปแลนด์ในจดหมายและสมุดบันทึกของฟอร์สเตอร์นี้ มักถูกตีความตามตัวอักษรในเยอรมนียุคจักรวรรดิและนาซี ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนความเหนือกว่าของชาวเยอรมันโดยอิงจากวิทยาศาสตร์[82] รวมถึงการแพร่กระจายแนวคิด "Polnische Wirtschaft" (เศรษฐกิจอย่างโปแลนด์) ที่มีเนื้อความเหียดหยายเศรษฐกิจของโปแลนด์นั้น[83][84] มีแนวโน้มอย่างมากว่าเกิดจากอิทธิพลจดหมายของเขา[85][84]
ทัศนคติของฟอร์สเตอร์ทำให้เขาขัดแย้งกับผู้คนในชาติที่แตกต่างกันที่เขาได้พบเจอ และทำให้เขาไม่ได้รับการต้อนรับจากที่ใดเลย เนื่องจากเขาเป็นนักปฏิวัติและต่อต้านความเป็นชาตินิยมสุดโต่งของชาวเยอรมัน[86] มีความหยิ่งยะโสและต่อต้านในการติดต่อกับชาวอังกฤษ[87] ไม่ให้ความสำคัญเพียงพอต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในโปแลนด์[84][88] และไม่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองและถูกละเลยขณะอยู่ในฝรั่งเศส[86]
สื่งสืบเนื่อง
[แก้]หลังจากการเสียชีวิตของฟอร์สเตอร์ ผลงานของเขาส่วนใหญ่ถูกลืมเลือน ยกเว้นในส่วนเฉพาะแวดวงวิชาชีพเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เขามีส่วนร่วมในการปฏิวัติฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม การยอมรับในตัวเขาได้เปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางการเมืองในแต่ละยุค โดยแต่ละช่วงเวลาให้ความสำคัญกับส่วนที่แตกต่างกันตามผลงานเขา ในช่วงที่กระแสชาตินิยมเฟื่องฟูหลังยุคนโปเลียน เขาถูกมองว่าเป็น "ผู้ทรยศชาติของเขา" (traitor to his country) ในเยอรมนี เป็นเหตุให้ผลงานในฐานะนักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ของเขาถูกบดบังไป ทัศนคตินี้เกิดขึ้นแม้ว่าคาร์ล วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช ชเลเกิล นักปรัชญา ได้เขียนเกี่ยวกับฟอร์สเตอร์ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ว่า:
ในบรรดานักเขียนร้อยแก้วทั้งหมดที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในปราชญ์คลาสสิกของเยอรมนี ไม่มีใครที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งความก้าวหน้าอย่างเสรีมากไปกว่าเกออร์ก ฟอร์สเตอร์[89]
ความสนใจในช่วงชีวิตและการกระทำปฏิวัติของฟอร์สเตอร์ได้กลับมาอีกครั้งในบริบทของแนวคิดเสรีนิยมจนนำไปสู่การปฏิวัติในปี ค.ศ. 1848[90] แต่โดยรวมความสนใจในเขาก็ถูกลืมเลือนไปในเยอรมนีช่วงรัขสมัยจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 และยิ่งกว่านั้นในสมัยนาซีเยอรมนี[72] ซึ่งความสนใจในฟอร์สเตอร์ถูกจำกัดอยู่เพียงทัศนคติของเขาเกี่ยวกับโปแลนด์จากจดหมายส่วนตัวของเขา ความสนใจในฟอร์สเตอร์กลับมาอีกครั้งในทศวรรษ 1960 ในเยอรมนีตะวันออก[91] ซึ่งเขาถูกยกว่าเป็นผู้นำการต่อสู้ระหว่างชนชั้น สถานีวิจัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (GDR research station) ในแอนตาร์กติกา ซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1987 ก็ได้ตั้งเป็นชื่อของเขา[92] ในเยอรมนีตะวันตก การแสวงหาจารีตระบอบประชาธิปไตยที่เคยดำรงมาก่อนในประวัติศาสตร์เยอรมัน ก็นำไปสู่ภาพลักษณ์ของเขาที่หลากหลายมากขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1970 และมูลนิธิอเล็กซานเดอร์ ฟ็อน ฮุมโบลดท์ ได้ตั้งชื่อโครงการทุนการศึกษาสำหรับนักวิชาการต่างชาติจากประเทศกำลังพัฒนาตามชื่อของเขาอีกด้วย[93] ชื่อเสียงของเขาในฐานะหนึ่งในนักชาติพันธุ์วิทยาชาวเยอรมันคนแรกและโดดเด่นที่สุดนั้นไม่อาจโต้แย้งได้ และผลงานของเขาถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชาติพันธุ์วิทยาในเยอรมนีให้เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่แยกออกมาต่างหาก[94]
สิ่งของทางชาติพันธุ์วิทยาที่รวบรวมโดยเกออร์กและโยฮันน์ ไรน์โฮลด์ ฟอร์สเตอร์ ปัจจุบันจัดแสดงเป็นชุดสะสมของคุก–ฟอร์สเตอร์ (Cook-Forster-Sammlung) ในหอสะสมทางมานุษยวิทยาซัมลุง เฟือร์ เฟิลเคอร์คุนเดอที่เมืองเกิททิงเงิน[95] อีกชุดสะสมหนึ่งของสิ่งของรวบรวมโดยฟอร์สเตอร์ ทั้งสองจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พิตต์ริเวอร์สในเมืองออกซฟอร์ด[96]
ผลงาน
[แก้]- A Voyage Round the World in His Britannic Majesty's Sloop Resolution, Commanded by Capt. James Cook, during the Years, 1772, 3, 4, and 5 (ค.ศ. 1777) เอกสารอินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์สแกน: เล่ม 1 และ 2; สิ่งพิมพ์สมัยใหม่พร้อมบทวิเคราะห์: (ตัวอย่าง)
- Characteres generum plantarum, quas in Itinere ad Insulas Maris Australis, Collegerunt, Descripserunt, Delinearunt, annis MDCCLXXII-MDCCLXXV Joannes Reinoldus Forster et Georgius Forster (ค.ศ. 1775/76), อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- De Plantis Esculentis Insularum Oceani Australis Commentatio Botanica (ค.ศ. 1786) อ่านทางออนไลน์ที่ โปรเจกต์กูเตนเบิร์ก
- Florulae Insularum Australium Prodromus (ค.ศ. 1786) อ่านทางออนไลน์ที่ โปรเจกต์กูเตนเบิร์ก และห้องสมุดมรดกความหลากหลายทางชีวภาพ (DOI:10.5962/bhl.title.10725) [1]
- Essays on moral and natural geography, natural history and philosophy (ค.ศ. 1789–97)
- Views of the Lower Rhine, Brabant, Flanders (มีสามเล่ม, ค.ศ. 1791–94)
- Georg Forsters Werke, Sämtliche Schriften, Tagebücher, Briefe, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งเยอรมนี ณ กรุงเบอร์ลิน, จี. ชไตเนอร์ และคณะ. เบอร์ลิน: อะคาเดมี ค.ศ. 1958
- Werke in vier Bänden, แกร์ฮาร์ด ชไตเนอร์ (บรรณาธิการ). ไลพ์ซิก: อินเซิล ค.ศ. 1965. ASIN: B00307GDQ0
- Reise um die Welt, แกร์ฮาร์ด ชไตเนอร์ (บรรณาธิการ). แฟรงก์เฟิร์ตอัมไมน์: อินเซิล, ค.ศ. 1983. ISBN 3-458-32457-7
- Ansichten vom Niederrhein, แกร์ฮาร์ด ชไตเนอร์ (บรรณาธิการ). แฟรงก์เฟิร์ตอัมไมน์: อินเซิล, ค.ศ. 1989. ISBN 3-458-32836-X
- Georg Forster, Briefe an Ernst Friedrich Hector Falcke. Neu aufgefundene Forsteriana aus der Gold- und Rosenkreuzerzeit, มิคาเอล เอเวิร์ต, แฮร์มันน์ ชุทท์เลอร์ (บรรณาธิการ). เกออร์ก-ฟอร์สเตอร์-ชตูเดียน ไบเฮฟท์ 4. คัสเซิล: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยคัสเซิล ค.ศ. 2009. ISBN 978-3-89958-485-1
ชื่อย่อผู้แต่งมาตรฐานที่ใช้ทางพฤกษศาสตร์ G.Forst. ถูกใช้เพื่อระบุถึงเขาว่าเป็นผู้แต่งเมื่อมีการอ้างอิงชื่อพฤกษศาสตร์[97]
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ เกออร์ก ฟอร์สเตอร์มีชื่อเมื่อรับพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนว่า "โยฮันน์ เกออร์ก อดัม ฟอร์สเตอร์" (Johann George Adam Forster) โดยใช้ตัวสะกดแบบภาษาอังกฤษว่า "George" ซึ่งเป็นที่นิยมในพื้นที่ดันซิกขณะนั้น[1] และอาจเลือกเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษของเขาจากยอร์คเชอร์[2] แต่อย่างไรก็ดี อักษรชื่อภาษาเยอรมันของเขาคือ "Georg" ก็เป็นที่ปรากฏการใช้งานในภาษาอังกฤษเช่นกัน (เช่น ชีวประวัติภาษาอังกฤษของทอมัส พี. เซน ปรากฏชื่อของเขาว่า "Georg Forster") [3] ซึ่งช่วยให้แยกแยะเขากับเกออร์ก ฟอร์สเตอร์ (George Forster) นักเดินทางชาวอังกฤษร่วมสมัยได้[4]
- ↑ ในเอกสารวิชาการปรากฏข้อมูลวันเกิดของเกออร์ก ฟอร์สเตอร์ ที่แตกต่างกันออกไป โดยวันเกิดที่ระบุเป็นวันที่ 26 พฤศจิกายน มักพบในงานเขียนก่อน ๆ[6][7] แต่อย่างไรก็ตาม ในบันทึกการทำพิธีศีลจุ่มของทั้งโบสถ์นัสเซินฮูเบินและโบสถ์เซนต์ปีเตอร์แอนด์พอล, เมืองกดัญสก์ (Gdańsk) ระบุตรงกันว่า ฟอร์สเตอร์เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน และประกอบพิธีศีลจุ่มเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม[8][9] ซึ่งวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ ได้รับการยืนยันจากทั้งตัวบิดาและฟอร์สเตอร์เอง[10] ดังปรากฏในบันทึกประจำวันของไรน์โฮลด์ (บิดาของฟอร์สเตอร์) เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1772 ได้เขียนบันทึกช่วงต้นว่า "วันนี้เป็นวันเกิดของเกออร์กและพวกเราทุกคนต่างมีความสุขมาก"[11][12]
- ↑ บางแหล่งระบุว่า เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ กำเนิด ณ บ้านพักศิษยาภิบาลในหมู่บ้านฮอคห์ไซท์ (Hochzeit) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับนัสเซินฮูเบิน (Nassenhuben) โดยมีแม่น้ำโมทวา (Motława) เป็นเส้นแบ่งกั้น[14]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Gordon 1975, p. 9.
- ↑ Thomas & Berghof 2000, p. 425.
- ↑ Saine 1972.
- ↑ Rosove 2015.
- ↑ Alexander von Humboldt in Kosmos (1874), quoted in Jovanović, Lazar, 2020. “The Cosmopolitan Circumnavigator of the South Seas: A Biography of Georg Forster”, in Bérose – Encyclopédie internationale des histoires de l'anthropologie, Paris.
- ↑ Saine 1972, p. 18.
- ↑ Hoare 1976, p. 18.
- ↑ Strehlke 1861, pp. 201–203.
- ↑ Enzensberger 1996, p. 15.
- ↑ Uhlig 2004, p. 353.
- ↑ Forster 1982, p. 184.
- ↑ Forster, Johann Reinhold. "Continuation of a Journal of a Voyage on board his Majesties Ship Resolution". Digitalisierte Sammlungen der Staatsbibliothek zu Berlin. สืบค้นเมื่อ 31 December 2024.
- ↑ 13.0 13.1 Thomas & Berghof 2000, p. xix.
- ↑ 14.0 14.1 Hoare 1976, pp. 15–16.
- ↑ Enzensberger 1996, p. 10.
- ↑ Uhlig 2004, p. 18.
- ↑ Hoare 1976, pp. 21–22.
- ↑ Uhlig 2004, pp. 19–20.
- ↑ Hoare 1976, pp. 25–26.
- ↑ Hoare 1976, p. 31.
- ↑ 21.0 21.1 Uhlig 2004, p. 26.
- ↑ Hoare 1976, pp. 32–33.
- ↑ Hoare 1976, pp. 33–36.
- ↑ Uhlig 2004, p. 27.
- ↑ Hoare 1976, p. 36.
- ↑ Gordon 1975, pp. 30–31.
- ↑ Uhlig 2004, p. 28.
- ↑ Uhlig 2004, p. 29.
- ↑ Hoare 1976, pp. 50–51.
- ↑ Hoare 1976, p. 52.
- ↑ Steiner 1977, p. 12.
- ↑ Hoare 1976, p. 67.
- ↑ Hoare 1976, pp. 68–69.
- ↑ 34.0 34.1 Aulie 1999a.
- ↑ Thomas & Berghof 2000, p. xxii.
- ↑ Daum 2019a.
- ↑ Ackerknecht 1955, pp. 85–86.
- ↑ Ackerknecht 1955, pp. 86–87.
- ↑ Forster, Georg. A Voyage Round the World, Book II, Chapter VIII
- ↑ Thomas & Berghof 2000, pp. xxii–xxvi.
- ↑ Saine 1972, p. 22.
- ↑ Smith 1990, p. 218.
- ↑ Thomas & Berghof 2000, pp. xiii–xiv.
- ↑ Ruth P. Dawson, "Navigating Gender: Georg Forster in the Pacific and Emilie von Berlepsch in Scotland." In: Weimar Classicism, ed. David Gallagher. Lampeter, Wales: Edwin Mellen Press, 2011. 39–64.
- ↑ Gray, Sally Hatch (2012). "Disinterested Pleasure and Aesthetic Autonomy in Georg Forster's Voyage 'round the World". Open Inquiry Archive. 1 (5). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2012. สืบค้นเมื่อ 23 May 2012.
- ↑ "Fellows of the Royal Society – F". Royal Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2007. สืบค้นเมื่อ 8 May 2015.
- ↑ Uhlig 2004, p. 75.
- ↑ Horton, Scott (13 April 2008). "Georg Forster's Recollection of Benjamin Franklin". Harper's Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2015. สืบค้นเมื่อ 8 May 2015.
- ↑ Saine 1972, p. 27.
- ↑ Harpprecht, Klaus (2007). "Das Abenteuer der Freiheit und die Liebe zur Welt". Georg Forster: Reise um die Welt : illustriert von eigener Hand. Frankfurt am Main: Eichborn. p. 22. ISBN 978-3-8218-6203-3. OCLC 173842524.
- ↑ Saine 1972, p. 33.
- ↑ Thomas & Berghof 2000, p. xx.
- ↑ Reintjes 1953, p. 50.
- ↑ Saine 1972, pp. 43–48.
- ↑ Aulie, Richard P. (1999). "On the Continent". The Voyages of Captain James Cook. Captain Cook Study Unit. สืบค้นเมื่อ 14 May 2015.
- ↑ Bodi, Leslie (2002). "Georg Forster: The "Pacific Expert" of eighteenth-century Germany". Literatur, Politik, Identität – Literature, Politics, Cultural Identity. Röhrig Universitätsverlag. pp. 29, 54. ISBN 3-86110-332-X.
- ↑ King, Robert J. (2008). "The Mulovsky expedition and Catherine II's North Pacific empire". Australian Slavonic and East European Studies. 21 (1/2): 101–126. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2009.
- ↑ Saine 1972, p. 59.
- ↑ King, Robert J. (2008). "The Call of the South Seas: Georg Forster and the expeditions to the Pacific of Lapérouse, Mulovsky and Malaspina". Georg-Forster-Studien. XIII.
- ↑ Sprengel, Matthias Christian (2008) [1787]. "German text (Google Books)". Neuholland und die brittische Colonie in Botany-Bay [New Holland and the British Colony at Botany Bay]. Translated by Robert J. King. Australasian Hydrographic Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2008.
- ↑ Ackerknecht 1955, p. 85.
- ↑ Saine 1972, p. 103.
- ↑ Murray, Christopher John (2003). Encyclopedia of the Romantic Era, 1760–1850: A-L. Taylor & Francis. pp. 365. ISBN 978-1-57958-423-8.
- ↑ Schweigard, Jörg (2001). "Freiheit oder Tod!" [Liberty or Death!]. Die Zeit (ภาษาเยอรมัน) (29). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2005. สืบค้นเมื่อ 30 May 2006.
- ↑ Harpprecht, Das Abenteuer der Freiheit, p. 33
- ↑ Lepenies, Wolf (May 17, 2010). "Freiheit, das Riesenkind" [Freedom, the giant child]. Süddeutsche Zeitung (ภาษาเยอรมัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 8, 2015. สืบค้นเมื่อ February 20, 2012.
- ↑ "The Mainz Republic". World History at KMLA (WHKLMA). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2016. สืบค้นเมื่อ 22 May 2015.
- ↑ 68.0 68.1 Gilman, D. C.; Peck, H. T.; Colby, F. M., บ.ก. (1906). . New International Encyclopedia (1st ed.). New York: Dodd, Mead.
- ↑ 69.0 69.1 Saine 1972, p. 154.
- ↑ Saine 1972, p. 152.
- ↑ Reintjes 1953, p. 136.
- ↑ 72.0 72.1 Schell, Christa (26 November 2004). Die Revolution ist ein Orkan [The Revolution is a Hurricane] (radio script (RTF)) (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2007. สืบค้นเมื่อ 12 April 2012.
- ↑ "Portrait of Dr Johann Reinhold Forster and his son George Forster, c. 1780". National Portrait Gallery. portrait.gov.au.
- ↑ Mariss, Anne (9 September 2019). Johann Reinhold Forster and the Making of Natural History on Cook's Second Voyage, 1772–1775 (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. p. 166. ISBN 978-1-4985-5615-6.
- ↑ Beaglehole, J. C. (1 April 1992). The Life of Captain James Cook (ภาษาอังกฤษ). Stanford University Press. p. viii. ISBN 978-0-8047-2009-0.
- ↑ Forster, Johann Georg (1958). Steiner, Gerhard (บ.ก.). Georg Forsters Werke, Sämtliche Schriften, Tagebücher, Briefe [Georg Forster's works, all writings, diaries, letters] (ภาษาเยอรมัน). Vol. II. Deutsche Akademie der Wissenschaften zu Berlin. pp. 13–14.
- ↑ Kleingeld, Pauline (1999). "Six Varieties of Cosmopolitanism in Late Eighteenth-Century Germany" (PDF). Journal of the History of Ideas. 60 (3): 515. doi:10.1353/jhi.1999.0025. hdl:1887/8607. ISSN 0022-5037. S2CID 59415888. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 February 2008.
- ↑ Lawaty, Andreas (2003). ""Polnische Wirtschaft" und "deutsche Ordnung": Nachbarbilder und ihr Eigenleben". ใน Oestreich, Bernhard (บ.ก.). Der Fremde, Interdisziplinäre Beiträge zu Aspekten von Fremdheit [The Stranger, Interdisciplinary Contributions to Aspects of Foreignness] (ภาษาเยอรมัน). Peter Lang Verlag. pp. 156–166.
- ↑ Krause, Hans-Thomas (1981). "Georg Forster und Polen". Georg Forster (1754–1794). Ein Leben für den wissenschaftlichen und politischen Fortschritt [Georg Forster (1754–1794). A Life of Scientific and Political Progress]. Wissenschaftliche Beiträge der Martin-Luther-Universität Halle-Wittenberg (ภาษาเยอรมัน). pp. 79–85.
- ↑ "Books and Periodicals Received: "Czarna legenda Polski: Obraz Polski i Polaków w Prusach 1772–1815"". The Sarmatian Review. XXII (3). September 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 1 September 2005.
- ↑ Bömelburg, Hans-Jürgen (1993). "Georg Forster und das negative deutsche Polenbild. Ein Kosmopolit als Architekt von nationalen Feindbildern?" [Georg Forster and the negative German image of Poland. A cosmopolitan as an architect of national bogeymen?]. Mainzer Geschichtsblätter (ภาษาเยอรมัน). 8: 79–90.
- ↑ Burleigh, Michael; Wippermann, Wolfgang (1991). The Racial State: Germany 1933–1945. Cambridge University Press. p. 26. ISBN 0-521-39802-9.
- ↑ Orłowski, Hubert (1996). "Polnische Wirtschaft": Zum deutschen Polendiskurs der Neuzeit. Studien der Forschungsstelle Ostmitteleuropa an der Universität Dortmund (ภาษาเยอรมัน). Vol. 21. ISBN 3-447-03877-2.
- ↑ 84.0 84.1 84.2 Salmonowicz, Stanisław (1987). "Jerzy Forster a narodziny stereotypu Polaka w Niemczech XVIII/XIX wieku". Zapiski Historyczne (ภาษาโปแลนด์). 52 (4): 135–147.
*Salmonowicz, Stanisław (1988). "Georg Forster und sein Polenbild: Kosmopolitismus und nationales Stereotyp" [Georg Forster and his image of Poland: cosmopolitanism and national stereotype]. Medizenhistorisches Journal (ภาษาเยอรมัน). 23 (3–4): 277–290. - ↑ Stasiewski, Bernhard (1941). ""Polnische Wirtschaft" und Johann Georg Forster, eine wortgeschichtliche Studie" ["Polish economy" and Johann Georg Forster, a word historical study]. Deutsche Wissenschaftliche Zeitschrift im Wartheland (ภาษาเยอรมัน). 2 (3/4): 207–216.
- ↑ 86.0 86.1 Craig, Gordon A. (March 1969). "Engagement and Neutrality in Germany: The Case of Georg Forster, 1754–94". Journal of Modern History. 41 (1): 2–16. doi:10.1086/240344. S2CID 143853614.
- ↑ Arlidge, Allan (2005). "Cook As A Commander – Cook and His Supernumeraries". Cook's Log. Captain Cook Society. 28 (1): 5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 September 2015. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ Grębecka, Wanda (2003). Stanisław Bonifacy Jundziłł (1761–1847). Wybitni Polacy na Ziemi Lidzkiej (ภาษาโปแลนด์). OCLC 749967908.
- ↑ Schlegel, Friedrich. Kritische Schriften, ed. W. Rasch, 2nd ed., Munich: Hanser 1964, translated by T. Saine in the preface to Georg Forster
- ↑ Saine 1972, pp. 14–15.
- ↑ Würzner, M. H. (1991). "The Effect of the French Revolution in Germany: Christoph Martin Wieland and Georg Forster". ใน Barfoot, Cedric Charles; D'haen, Theo (บ.ก.). Tropes of Revolution: Writers' Reactions to Real and Imagined Revolutions 1789–1989. Rodopi. ISBN 90-5183-292-3.
- ↑ König-Langlo, Gert; Gernandt, Hartwig (12 January 2009). "Compilation of ozonesonde profiles from the Antarctic Georg-Forster-Station from 1985 to 1992". Earth System Science Data. Copernicus GmbH. 1 (1): 1–5. Bibcode:2009ESSD....1....1K. doi:10.5194/essd-1-1-2009. ISSN 1866-3516. OCLC 277823257. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2014. สืบค้นเมื่อ 12 April 2012.
- ↑ "Georg Forster Research Fellowship". Alexander von Humboldt Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2023.
- ↑ Bast, Bianca (31 July 2000). "Georg Forster – Die Wiederentdeckung eines Genies" [Georg Forster – The Rediscovery of a Genius] (ภาษาเยอรมัน). uni-protokolle.de. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2005. สืบค้นเมื่อ 29 May 2006.
- ↑ Witzel, Frank; Riechel, Andreas. "Ethnographical Collection of the University of Göttingen". Uni-goettingen.de. สืบค้นเมื่อ 21 March 2010.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|archiv e-url=
ถูกละเว้น (help)CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Coote, Jeremy; Gathercole, Peter; Meister, Nicolette (2000). "'Curiosities sent to Oxford': The Original Documentation of the Forster Collection at the Pitt Rivers Museum". Journal of the History of Collections. XII (2): 177–192. doi:10.1093/jhc/12.2.177. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2015.
- ↑ International Plant Names Index. G.Forst.
แหล่งอ้างอิง
[แก้]- Ackerknecht, Erwin H. (June 1955). "George Forster, Alexander von Humboldt, and Ethnology". Isis. University of Chicago Press on behalf of The History of Science Society. 46 (2): 83–95. doi:10.1086/348401. JSTOR 227120. PMID 13242231. S2CID 26981757.
- Aulie, Richard P. (1999). "The Forsters at Home". The Voyages of Captain James Cook. Captain Cook Study Unit. สืบค้นเมื่อ 14 May 2015.
- Daum, Andreas (2019). "German Naturalists in the Pacific around 1800: Entanglement, Autonomy, and a Transnational Culture of Expertise". ใน Berghoff, Hartmut (บ.ก.). Explorations and Entanglements: Germans in Pacific Worlds from the Early Modern Period to World War I. Berghahn Books. pp. 79–102.
- Daum, Andreas (2019). Alexander von Humboldt. Munich: C. H. Beck. pp. 19–21, 43. ISBN 978-3-406-73436-6.
- Enzensberger, Ulrich (1996). Georg Forster: ein Leben in Scherben (ภาษาเยอรมัน). Eichborn. ISBN 978-3-8218-4139-7.
- Forster, Johann Reinhold (1982). Hoare, Michael E. (บ.ก.). The "Resolution" journal of Johann Reinhold Forster, 1772–1775 Vol. 2. Hakluyt Society. ISBN 978-0-904180-10-7. OCLC 58633015.
- Gordon, Joseph Stuart (1975). Reinhold and Georg Forster in England, 1766–1780 (วิทยานิพนธ์) (ภาษาEnglish). Ann Arbor: Duke University. OCLC 732713365.
{{cite thesis}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Hoare, Michael Edward (1976). The Tactless Philosopher: Johann Reinhold Forster (1729–98) (ภาษาอังกฤษ). Hawthorne Press. ISBN 978-0-7256-0121-8.
- Rosove, Michael H. (2015). "The folio issues of the Forsters' Characteres Generum Plantarum (1775 and 1776): a census of copies". Polar Record (ภาษาอังกฤษ). 51 (6): 611–623. Bibcode:2015PoRec..51..611R. doi:10.1017/S0032247414000722. ISSN 0032-2474. S2CID 129922206.
- Saine, Thomas P. (1972). Georg Forster. New York, NY: Twayne Publishers. ISBN 0-8057-2316-1.
- Smith, Alexander (1990). Explorers of the Amazon. University of Chicago Press. ISBN 0-226-76337-4.
- Steiner, Gerhard (1977). Georg Forster (ภาษาGerman). Stuttgart: J.B. Metzler. ISBN 978-3-476-10156-3. OCLC 462099778.
{{cite book}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Strehlke, F. (1861). "Georg Forster's Geburtsort". Neue Preußische Provinzialblätter. 3 Folge. 8: 189–212.
- Thomas, Nicholas; Berghof, Oliver, บ.ก. (2000). A Voyage Round the World. Forster, Georg. University of Hawai'i Press. ISBN 0-8248-2091-6. JSTOR j.ctvvn739.
- Uhlig, Ludwig (2004). Georg Forster: Lebensabenteuer eines gelehrten Weltbürgers (1754–1794) (ภาษาเยอรมัน). Vandenhoeck & Ruprecht. p. 107. ISBN 978-3-525-36731-5.
- Jovanović, Lazar, (2020). "The Cosmopolitan Circumnavigator of the South Seas: A Biography of Georg Forster", in BEROSE – International Encyclopaedia of the Histories of Anthropology, Paris.
- Reintjes, Heinrich (1953). Weltreise nach Deutschland (ภาษาเยอรมัน). Düsseldorf: Progress-Verlag.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- ของสะสมของฟอร์สเตอร์ที่พิพิธภัณฑ์พิตต์ริเวอร์
- สมาคมเกออร์ก ฟอร์สเตอร์ในเมืองคัสเซิล (ในภาษาเยอรมัน)
- จดหมายแนะนำเกออร์ก ฟอร์สเตอร์ต่อราชบัณฑิตยสภา (ลิงก์จัดเก็บข้อมูล, 21 ตุลาคม ค.ศ. 2006)
- ชีวประวัติที่ออสเตรเลียดิกชันนารีออฟไบโอกราฟี
- ผลงานของ เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ ที่โครงการกูเทินแบร์ค
- ผลงานเกี่ยวกับ/โดย เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ ที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- ผลงานโดย เกออร์ก ฟอร์สเตอร์ บนเว็บ LibriVox (หนังสือเสียง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ)
- ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย : BEROSE – International Encyclopaedia of the Histories of Anthropology. "Forster, Georg (1754–1794)", ปารีส, ค.ศ. 2020. (ISSN 2648-2770)