อุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง
วันที่5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 249[a]
สถานที่
ผล สุมาอี้ยึดอำนาจจากโจซอง
คู่สงคราม
สุมาอี้ โจซอง
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
สุมาอี้ โจซอง
โจอี้
โจหุ้น
อุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง
อักษรจีนตัวเต็ม高平陵之變
อักษรจีนตัวย่อ高平陵之变

อุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง (จีน: 高平陵之變) เป็นเหตุการณ์รัฐประหารที่เกิดขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 249[a] ในรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊ก (ค.ศ. 220-280) ของจีน ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก่ฝ่ายของสุมาอี้และฝ่ายของโจซองซึ่งต่างก็เป็นผู้สำเร็จราชการของโจฮองจักรพรรดิวุยก๊กซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 17 พรรษา ในวันนั้นขณะที่โจซองและเหล่าน้องชายตามเสด็จจักรพรรดิโจฮองไปเยือนสุสานหลวงโกเบงเหลง สุมาอี้ได้ก่อการรัฐประหารเข้าควบคุมนครหลวงลกเอี๋ยงและออกพระราชเสาวนีย์ในพระนามของกวยทายเฮากล่าวโทษถึงความผิดต่าง ๆ ที่โจซองเคยกระทำ โจซองยอมจำนนและสละอำนาจของตนหลังได้รับคำมั่นว่าตนและครอบครัวจะได้รับการไว้ชีวิต โดยโจซองคิดว่าตนจะยังคงได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่ไม่นานหลังจากนั้น โจซองและเหล่าน้องชายรวมถึงผู้ติดตามถูกตั้งข้อหากบฏและถูกประหารชีวิตพร้อมครอบครัวในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เหตุการณ์รัฐประหารนี้ได้เพิ่มอิทธิพลของตระกูลสุมาและปูทางให้การเข้าแทนที่สมัยปกครองของวุยก๊กด้วยราชวงศ์จิ้นของตระกูลสุมาในปี ค.ศ. 266

ภูมิหลัง[แก้]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 239 โจยอยจักรพรรดิวุยก๊กสวรรคต โจฮองพระโอรสบุญธรรมวัย 7 พรรษาของพระองค์ขึ้นสืบราชบัลลังก์ ก่อนที่โจยอยจะสวรรคตได้ทรงตั้งให้มหาขุนพลโจซองและเสนาบดีกลาโหมสุมาอี้เป็นผู้สำเร็จราชการช่วยเหลือโจฮอง

โจซองต้องการผูกขาดอำนาจในราชสำนักวุยก๊ก จึงใช้กลวิธีทางการเมืองหลายอย่างเพื่อรวบอำนาจไว้ในมือตนเอง โจอี้ (曹羲 เฉา ซี) และโจหุ้น (曹訓 เฉา ซฺวิ่น) ผู้เป็นน้องชาย รวมถึงเหล่าผู้ติดตาม โจซองปฏิบัติตามคำแนะนำของโฮอั๋น (何晏 เหอ เยี่ยน) เตงเหยียง (鄧颺 เติ้ง หยาง) และเตงปิด (丁謐 ติง มี่) ให้เชิญกวยทายเฮา (พระมเหสีของจักรพรรดิโจยอย) ให้ย้ายไปประทับที่วังหย่งหนิง (永寧宮 หย่งหนิงกง) เพื่อป้องกันไม่ให้พระองค์ก้าวก่ายราชกิจ โจซองยังมอบหมายให้เหล่าน้องชายเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร เลื่อนขั้นให้คนสนิทใกล้ชิดในดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นในราชสำนัก และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก สุมาอี้พยายามหยุดยั้งโจซองแต่ไม่สำเร็จ โจซองยิ่งไม่ไว้ใจและระแวดระวังสุมาอี้มากขึ้นเรื่อย ๆ[2] ในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ค.ศ. 247 สุมาอี้อ้างว่าตนป่วยและลาออกจากราชการ ในเวลานั้นมีคำกล่าวในลกเอี๋ยงว่า "โฮ (อั๋น), เตง (เหยียง) และเตง (ปิด) สร้างความปั่นป่วนในนครหลวง"[3]

ในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ค.ศ. 248 เตียวต๋อง (張當 จาง ตาง) ขันทีในพระราชวังหลวงย้ายสนม 11 คนออกจากวังอย่างผิดจารีตและมอบให้เป็นภรรยาน้อยของโจซอง โจซองและคนสนิทเห็นว่าสุมาอี้ป่วยหนักและไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป จึงวางแผนกับเตียวต๋องคิดการจะโค่นล้มจักรพรรดิโจฮองและตั้งโจซองขึ้นครองราชบัลลังก์ แต่พวกเขาก็ยังคงระแวงสุมาอี้และยังไม่ลดการป้องกันลง[4]

เวลานั้นหลีซินขุนนางคนสนิทคนหนึ่งของโจซองเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงมณฑลเกงจิ๋ว โจซองลอบสั่งหลีซินให้ไปตรวจสอบว่าสุมาอี้ป่วยจริงอย่างที่อ้างหรือไม่ หลีซินจึงไปเยี่ยมสุมาอี้ก่อนจะเดินทางไปยังเกงจิ๋ว สุมาอี้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยี่ยมของหลีซิน จึงแสร้างทำเป็นอ่อนแรง หลีซินเห็นว่าสุมาอี้ไม่สามารถเดินเหินและไม่สามารถสวมเสื้อผ้าหากคนรับใช้ไม่ช่วยเหลือ ถึงขั้นไม่สามารถรับประทานข้าวต้มโดยไม่ทำหกรดเปื้อนเสื้อผ้า จากนั้นหลีซินจึงพูดกับสุมาอี้ว่า "ใคร ๆ ก็คิดว่าท่านป่วยเล็กน้อย ใครจะนึกเลยว่าท่านจะมีสุขภาพย่ำแย่ถึงเพียงนี้" สุมาอี้แสร้งทำเป็นไอและหอบขณะตอบว่า "ข้าทั้งแก่ทั้งป่วยและจะตายในไม่ช้า เมื่อท่านไปถึงเป๊งจิ๋ว ท่านต้องระมัดระวังจงดีเพราะอยู่ใกล้อาณาเขตของอนารยชน เราอาจไม่ได้พบกันอีก ขอฝากสูและเจียวบุตรข้าไว้ให้ท่านดูแลด้วย" หลีซินจึงว่า "ข้าพเจ้าจะกลับไปมณฑลบ้านเกิดของข้าพเจ้า ไม่ใช่เป๊งจิ๋ว" สุมาอี้แสร้งทำเป็นฟังผิดและพูดว่า "ท่านจะไปเป๊งจิ๋วไม่ใช่หรือ" หลีซินจึงพูดว่า "มณฑลบ้านเกิดของข้าพเจ้าคือเกงจิ๋ว" สุมาอี้ตอบว่า "ข้าแก่และอ่อนแอมากแล้วจนไม่ได้ยินแม้แต่คำพูดของท่าน บัดนี้ท่านจะกลับไปยังมณฑลบ้านเกิด ก็ขอให้ท่านสร้างผลงานอันรุ่งโรจน์!" หลีซินกลับไปพบโจซองและแจ้งว่า "สุมาอี้กำลังจะตายในไม่ช้า สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีอะไรที่ท่านต้องกังวลอีกต่อไป" แล้วกล่าวต่อไปว่า "น่าเศร้าที่เห็นว่าราชครูไม่มีสุขภาพที่ดีพอจะรับราชการต่อไป" โจซองจึงลดการระแวงสุมาอี้ลง[5]

รัฐประหาร[แก้]

ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 249[a] โจซองและเหล่าน้องชายตามเสด็จจักรพรรดิโจฮองไปยังสุสานโกเบงเหลง (高平陵 เกาผิงหลิง) เพื่อสักการะโจยอยอดีตจักรพรรดิและพระบิดาบุญธรรมของโจฮองผู้ล่วงลับ ในวันนั้นสุมาอี้ฉวยโอกาสนี้ก่อการรัฐประหารต่อโจซองขึ้น สุมาอี้เข้าไปในวังหย่งหนิง (永寧) เพื่อเข้าเฝ้ากวยทายเฮาและทูลขอให้ถอดโจซองและน้องชายจากอำนาจ ขณะเดียวกันสุมาอี้ยังสั่งให้สุมาสูบุตรชายคนโตให้นำกำลังทหารไปยังประตูพระราชวัง ภายหลังจากสุมาอี้เข้าเฝ้ากวยทายเฮาและออกมาแล้ว สุมาอี้ได้ไปยังค่ายซึ่งเป็นที่ตั้งกำลังทหารของโจซอง เหยียน ชื่อ (嚴世)[b] ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของโจซองเตรียมยิงเกาทัณฑ์ใส่สุมาอี้ แต่ซุนเหียม (孫謙 ซุน เชียน) ห้ามไว้ถึง 3 ครั้งโดยกล่าวว่า "เรายังไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น"[7]

ฮวนห้อมผู้เป็นเสนาบดีพระคลัง (大司農 ต้าซือหนง) และขุนนางคนสนิทคนหนึ่งของโจซองหลบหนีออกจากลกเอี๋ยงและมุ่งหน้าไปยังสุสานโกเบงเหลง เจียวเจ้ผู้เป็นเสนาบดีกลาโหม (太尉 ไท่เว่ย์) บอกกับสุมาอี้ว่า "ถุงปัญญา" (ชื่อเล่นของฮวนห้อม) หนีไปแล้ว สุมาอี้ตอบว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเพราะตนรู้ว่าโจซองจะไม่ทำตามคำแนะนำของฮวนห้อม[8] จากนั้นสุมาอี้จึงมอบอาญาสิทธิ์ให้กับโกหยิวผู้เป็นเสนาบดีมหาดไทย (司徒 ซือถู) ตั้งให้เป็นรักษาการมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจวิน) มอบหมายให้บัญชาการกำลังทหารของโจซอง สุมาอี้ยังบอกว่าโกหยิวว่า "บัดนี้ท่านเหมือนกับจิวบุด (周勃 โจว ปั๋ว)" สุมาอี้ยังแต่งตั้งให้อองก๋วนผู้เป็นเสนาบดีราชรถ (太僕 ไท่ผู) ให้เป็นรักษาการผู้บัญชาการทหารส่วนกลาง (中領軍 จงหลิ่งจฺวิน) และมอบหมายให้เข้ายึดอำนาจบัญชาการกำลังทหารของโจอี้ (曹羲 เฉา ซี) น้องชายของโจซอง[9]

สุมาอี้พร้อมด้วยเจียวเจ้และคนอื่น ๆ นำกำลังทหารออกจากลกเอี๋ยงไปยังสะพานลอยน้ำที่ใช้ข้ามแม่น้ำลั่ว สุมาอี้ส่งฎีกามาถวายจักรพรรดิโจฮอง ทูลแจ้งรายการความผิดของโจซอง (เช่น การไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ฉ้อราษฎร์บังหลวง, สมคบคิดจะชิงราชบัลลังก์) และทูลเสนอจักรพรรดิให้ถอดถอนโจซองและน้องชายจากตำแหน่ง[10] โจซองปิดงำฎีกาไม่ให้ไปถึงจักรพรรดิโจฮอง และให้จักรพรรดิประทับอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำอีระหว่างที่ตัวโจซองสั่งให้ทหารไปตัดไม้สร้างสิ่งกีดขวางสำหรับต้านทหารม้าและให้ตั้งกองทหารราว 1,000 นายในบริเวณใกล้เคียงเพื่อป้องกันการรุกคืบของสุมาอี้ เวลานั้นฮวนห้อมแนะนำโจซองให้เชิญเสด็จจักรพรรดิไปยังฮูโต๋ ประณามสุมาอี้ว่าเป็นกบฏ และเรียกทุกกองกำลังทั่ววุยก๊กให้เข้าโจมตีสุมาอี้ โจซองไม่ฟังคำของฮวนห้อม ในคืนนั้นโจซองส่งเค้าอิ๋น (許允 สฺวี อิ่น) และต้านท่ายไปพบสุมาอี้ สุมาอี้อธิบายกับทั้งสองว่าตนเพียงต้องการให้โจซองยอมจำนนและสละอำนาจ สุมาอี้ยังส่งอินต้ายบก (尹大目 อิ่น ต้ามู่) ซึ่งเป็นผู้ที่โจซองไว้ใจอย่างมากให้ไปเกลี้ยกล่อมโจซองให้ยอมจำนน โจซองต้องการจะยอมจำนน ฮวนห้อมจึงพยายามคัดค้านแต่ท้ายที่สุดโจซองก็ไม่ฟังคำแนะนำของฮวนห้อม โจซองกล่าวว่า "สุมาอี้เพียงต้องการยึดอำนาจของข้า ข้ายังสามารถกลับไปบ้านในฐานะโหว ใช้ชีวิตอย่างหรูหราและสุขสบาย" ฮวนห้อมได้แต่ถอนหายใจและทุบหน้าอกตนเองด้วยความขัดเคือง จากนั้นโจซองจึงให้จักรพรรดิโจฮองได้ทรงอ่านฎีกาของสุมาอี้และตกลงที่ยอมจำนนและสละอำนาจของตน[11]

ผลสืบเนื่อง[แก้]

ภายหลังจากโจซองกลับมาลกเอี๋ยง ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 249[c] โจซองถูกตั้งข้อหาว่าวางแผนก่อกบฏร่วมกับเตียวต๋อง (張當 จาง ตาง) ขันทีในพระราชวัง รวมไปถึงขุนนางคนสนิทได้แก่โฮอั๋น เตงปิด เตงเหงียง ปิดห้วน และหลีซิน ทั้งหมดถูกประหารชีวิตในวันเดียวกันพร้อมด้วยครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้อง เจียวเจ้พยายามโน้มน้าวสุมาอี้ให้ไว้ชีวิตโจซองและน้องชายโดยคำนึงถึงความดีความชอบในการทำราชการของโจจิ๋นผู้เป็นบิดาของพวกเขา แต่สุมาอี้ปฏิเสธ[13] สุมาเล่าจี๋ (魯芝 หลู่ จือ) และเอียวจ๋ง (楊綜 หยาง จง) ผู้ใต้บังคับบัญชา 2 คนของสุมาอี้ ก่อนหน้านี้เคยพยายามคัดค้านโจซองไม่ให้ยอมจำนนต่อสุมาอี้ หลังโจซองถูกจับกุม สุมาเล่าจี๋และเอียวจ๋งก็ถูกจับกุมด้วยเช่นกัน แต่สุมาอี้อภัยโทษให้ทั้งคู่และปล่อยตัวไป[14]

ก่อนหน้านี้เมื่อฮวนห้อมหนีออกจากลกเอี๋ยงไปสมทบกับโจซองที่สุสานโกเบงเหลง ฮวนห้อมได้พบกับสูหวน (司蕃 ซือ ฟาน) ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูผิงฉาง (平昌門 ผิงฉางเหมิน) สูหวนเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฮวนห้อมมาก่อน จึงไว้ใจฮวนห้อมและอนุญาตให้ฮวนห้อมผ่านประตูออกไป เมื่อฮวนห้อมออกนอกลกเอี๋ยงก็หันกลับบอกสูหวนว่า "ราชครู (สุมาอี้) กำลังดำเนินแผนก่อกบฏ ท่านควรมากับข้า!" สูหวนนำทหารไล่ตามจับฮวนห้อมแต่ไล่ตามไม่ทันจึงล่าถอยกลับไป หลังการรัฐประหาร สูหวนสวามิภักดิ์ต่อสุมาอี้และบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สุมาอี้ถามว่า "การกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นกบฏมีโทษสถานใด" เหล่าผู้ติดตามของสุมาอี้ตอบว่า "ตามกฎหมายแล้ว ผู้ที่กล่าวหาเท็จจะต้องถูกลงโทษในข้อหากบฏ" ฮวนห้อมจึงถูกประหารชีวิตพร้อมกับครอบครัว โจซองพร้อมด้วยครอบครัวและผู้ติดตามก็ถูกประหารชีวิต[15]

ในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ค.ศ. 249 จักรพรรดิโจฮองแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (丞相 เฉิงเซี่ยง) เพิ่มขนาดศักดินาของสุมาอี้และพระราชทานเอกสิทธิ์เพิ่มเติม แต่สุมาอี้ปฏิเสธการรับแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี[16] ในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ ค.ศ. 250 เมื่อโจฮองพระราชทานเครื่องยศเก้าประการแก่สุมาอี้ สุมาอี้ก็ปฏิเสธที่จะรับอีก[17] ในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ค.ศ. 250 โจฮองโปรดให้สร้างศาลบรรพชนให้กับตระกูลสุมาในลกเอี๋ยง เพิ่มจำนวนขุนนางในสังกัดของสุมาอี้ เลื่อนขั้นให้ขุนนางของสุมาอี้บางคน และพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวระดับหมู่บ้านในกับบุตรชายของสุมาอี้คือซือหม่า หรง (司馬肜) และซือหม่า หลุน (司馬倫)[18]

ในปี ค.ศ. 251 หวาง หลิง (王淩) และหลิงหู ยฺหวี (令狐愚) หลานชายวางแผนก่อกบฏในฉิวฉุนโดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มสุมาอี้และตั้งเฉา เปี่ยว (曹彪) เป็นจักรพรรดิแทนโจฮอง สุมาอี้ล่วงรู้ว่าหวาง หลิงวางแผนก่อกบฏจึงยกกำลังทหารไปใกล้ฐานที่มั่นของหวาง หลิงก่อนที่หวาง หลิงจะเริ่มก่อการ หวาง หลิงยอมจำนนและฆ่าตัวตายในภายหลังขณะถูกคุมตัวในฐานะนักโทษไปยังลกเอี๋ยง สุมาอี้จับกุมผู้ร่วมสมคบคิดของหวาง หลิงรวมไปถึงเฉา เปี่ยวและนำตัวไปประหารชีวิตพร้อมกับครอบครัว

หลังจากสุมาอี้เสียชีวิตในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 251 สุมาสูและสุมาเจียวผู้เป็นบุตรชายของสุมาอี้ได้กุมอำนาจในราชสำนักวุยก๊กต่อไปและกำจัดการต่อต้านทางการเมืองทุกรูปแบบ อิทธิพลของราชวงศ์โจในวุยก๊กอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในขณะที่อิทธิพลของตระกูลสุมายิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในปี ค.ศ. 266 สุมาเอี๋ยนบุตรชายของสุมาเจียวชิงบัลลังก์จากโจฮวน ก่อตั้งราชวงศ์จิ้นแทนที่รัฐวุยก๊ก โดยตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่

ในวัฒนธรรมประชานิยม[แก้]

ในภาคที่ 7 ของซีรีส์วิดีโอเกมไดนาสตีวอริเออร์ของโคเอ มีด่านที่สร้างจากเหตุการณ์รัฐประหารต่อโจซอง ในเกมไม่มีการกล่าวถึงการเสด็จไปสุสานโกเบงของจักรพรรดิโจฮอง ระบุเพียงว่าพระองค์ไปประพาสป่าล่าสัตว์กับโจซอง

หมายเหตุ[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 วันเจี๋ยอู่ (甲午) ของเดือน 1 ในศักราชเจียผิงปีที่ 1 ตามพระราชประวัติโจฮองในจดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 4[1]
  2. ในนิยายสามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ตัวละครที่มีบทบาทเดียวกันกับเหยียน ชื่อมีชื่อว่าพัวกี๋ (潘舉 พาน จวี่)[6]
  3. พระราชประวัติโจฮองในจดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่า โจซองกับผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ เตงปิด, เตงเหยียง, โฮอั๋น, ปิดห้วน, หลีซิน และฮวนห้อม ถูกประหารชีวิตพร้อมกับครอบครัวในวันอู้ซฺวี (戊戌) ของเดือน 1 ของศักราชเจียผิง ปีที่ 1 ในรัชสมัยของโจฮอง[12] ตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 249 ตามปฏิทินกริกอเรียน และยังเป็น 4 วันหลังจากเหตุรัฐประหาร

อ้างอิง[แก้]

  1. (嘉平元年春正月甲午,車駕謁高平陵。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 4.
  2. (曹爽用何晏、鄧颺、丁謐之謀,遷太后於永寧宮,專擅朝政,兄弟並典禁兵,多樹親黨,屢改制度。帝不能禁,於是與爽有隙。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  3. (五月,帝稱疾不與政事。時人為之謠曰:「何、鄧、丁,亂京城。」) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  4. (九年春三月,黃門張當私出掖庭才人石英等十一人,與曹爽為伎人。爽、晏謂帝疾篤,遂有無君之心,與當密謀,圖危社稷,期有日矣。帝亦潛為之備,爽之徒屬亦頗疑帝。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  5. (會河南尹李勝將莅荊州,來候帝。帝詐疾篤,使兩婢侍,持衣衣落,指口言渴,婢進粥,帝不持杯飲,粥皆流出霑胷。勝曰:「衆情謂明公舊風發動,何意尊體乃爾!」帝使聲氣纔屬,說「年老枕疾,死在旦夕。君當屈并州,并州近胡,善為之備。恐不復相見,以子師、昭兄弟為託」。勝曰:「當還忝本州,非并州。」帝乃錯亂其辭曰:「君方到并州。」勝復曰:「當忝荊州。」帝曰:「年老意荒,不解君言。今還為本州,盛德壯烈,好建功勳!」勝退告爽曰:「司馬公尸居餘氣,形神已離,不足慮矣。」他日,又言曰:「太傅不可復濟,令人愴然。」故爽等不復設備。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  6. (นางเล่าซีก็ออกไปหน้าจวน จึงเรียกนายทหารซึ่งรักษาจวนนั้นมาถามว่า โจซองสิตามเสด็จออกไปแล้ว สุมาอี้คุมทหารมาเปนอันมากดังนี้จะทำเปนประการใด พัวกี๋ผู้รักษาจวนจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะออกไปถามให้ได้เนื้อความ ว่าแล้วก็คุมทหารประมาณห้าสิบคนขึ้นไปบนหอใหญ่หน้าจวน แลลงไปเห็นสุมาอี้คุมทหารเดิรเข้ามาถึงหน้าจวน ก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ลงไป สุมาอี้จะเดิรไปก็ไม่ได้ ซุนเหียมทหารสุมาอี้ยืนอยู่ใกล้สุมาอี้ จึงร้องห้ามขึ้นไปว่าอย่ายิงเกาทัณฑ์ลงมา ท่านผู้ใหญ่จะไปเปนข้อราชการบ้านเมือง ถ้าขืนยิงลงมาทหารทั้งปวงจะเปนโทษถึงตาย ซุนเหียมร้องห้ามถึงสองครั้งสามครั้ง พัวกี๋ก็ห้ามทหารมิให้ยิงลงไป) "สามก๊ก ตอนที่ ๗๙". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ March 28, 2024.
  7. (嘉平元年春正月甲午,天子謁高平陵,爽兄弟皆從。是日,太白襲月。帝於是奏永寧太后廢爽兄弟。時景帝為中護軍,將兵屯司馬門。帝列陣闕下,經爽門。爽帳下督嚴世上樓,引弩將射帝,孫謙止之曰:「事未可知。」三注三止,皆引其肘不得發。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  8. (大司農桓範出赴爽,蔣濟言於帝曰:「智囊往矣。」帝曰:「爽與範內踈而智不及,駑馬戀短豆,必不能用也。」) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  9. (於是假司徒高柔節,行大將軍事,領爽營,謂柔曰:「君為周勃矣。」命太僕王觀行中領軍,攝羲營。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  10. (帝親帥太尉蔣濟等勒兵出迎天子,屯于洛水浮橋,上奏曰:「先帝詔陛下、 ... 伺察非常。」) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  11. (爽不通奏,留車駕宿伊水南,伐樹為鹿角,發屯兵數千人以守。桓範果勸爽奉天子幸許昌,移檄徵天下兵。爽不能用,而夜遣侍中許允、尚書陳泰詣帝,觀望風旨。帝數其過失,事止免官。泰還以報爽,勸之通奏。帝又遣爽所信殿中校尉尹大目諭爽,指洛水為誓,爽意信之。桓範等援引古今,諫說萬端。終不能從,乃曰:「司馬公正當欲奪吾權耳。吾得以侯還第,不失為富家翁。」範拊膺曰:「坐卿,滅吾族矣!」遂通帝奏。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  12. ([嘉平元年春正月]戊戌,有司奏収黃門張當付廷尉,考實其辭,爽與謀不軌。又尚書丁謐、鄧颺、何晏、司隷校尉畢軌、荊州刺史李勝、大司農桓範皆與爽通姦謀,夷三族。) จดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 4.
  13. (既而有司劾黃門張當,并發爽與何晏等反事,乃收爽兄弟及其黨與何晏、丁謐、鄧颺、畢軌、李勝、桓範等誅之。蔣濟曰:「曹真之勳,不可以不祀。」帝不聽。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  14. (初,爽司馬魯芝、主簿楊綜斬關奔爽。及爽之將歸罪也,芝、綜泣諫曰:「公居伊周之任,挾天子,杖天威,孰敢不從?舍此而欲就東市,豈不痛哉!」有司奏收芝、綜科罪,帝赦之,曰:「以勸事君者。」) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  15. (範不從,乃突出至平昌城門,城門已閉。門候司蕃,故範舉吏也,範呼之,舉手中版以示之,矯曰:「有詔召我,卿促開門!」蕃欲求見詔書,範呵之,言「卿非我故吏邪,何以敢爾?」乃開之。範出城,顧謂蕃曰:「太傅圖逆,卿從我去!」蕃徒行不能及,遂避側。 ... 會司蕃詣鴻臚自首,具說範前臨出所道。宣王乃忿然曰:「誣人以反,於法何應?」主者曰:「科律,反受其罪。」乃收範於闕下。時人持範甚急,範謂部官曰:「徐之,我亦義士耳。」遂送廷尉。) อรรถาธิบายจากเว่ย์เลฺว่ในจดหมายเหตุสามก๊ก เล่มที่ 9.
  16. (二月,天子以帝為丞相,增封潁川之繁昌、鄢陵、新汲、父城,并前八縣,邑二萬戶,奏事不名。固讓丞相。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  17. (冬十二月,加九錫之禮,朝會不拜。固讓九錫。) จิ้นชู เล่มที่ 1.
  18. (二年春正月,天子命帝立廟于洛陽,置左右長史,增掾屬、舍人滿十人,歲舉掾屬任御史、秀才各一人,增官騎百人,鼓吹十四人,封子肜平樂亭侯,倫安樂亭侯。) จิ้นชู เล่มที่ 1.

บรรณานุกรม[แก้]