อิหร่านสมัยซาฟาวี
รักขิตประเทศอิหร่าน | |||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1501–1736 | |||||||||||||||||||||||||||||
ธงชาติ (1576–1732)[1] | |||||||||||||||||||||||||||||
![]() แผนที่อิหร่านสมัยซาฟาวี | |||||||||||||||||||||||||||||
สถานะ | จักรวรรดิ | ||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง | |||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป |
| ||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา | อิสลามชีอะห์ (ศาสนาประจำชาติ)[2][a] อิสลามซุนนี ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาห์ | ||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||||||||||||||||||||||||
ชาห์ | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1501–1524 | พระเจ้าอิสมาอิลที่ 1 (องค์แรก) | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1732–1736 | พระเจ้าอับบาสที่ 3 (สุดท้าย) | ||||||||||||||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยใหม่ตอนต้น | ||||||||||||||||||||||||||||
• ก่อตั้ง | 1501 | ||||||||||||||||||||||||||||
• สิ้นสุด | 1736 | ||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||||||||||||||||||
1630[3] | 2,900,000 ตารางกิโลเมตร (1,100,000 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||||||||||||||||
• ค.ศ. 1650[4] | 8–10 ล้านคน | ||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน | ตูมัน (1 ตูมัน =50 อับบาซี) | ||||||||||||||||||||||||||||
|
อิหร่านสมัยซาฟาวี หรือ เปอร์เซียสมัยซาฟาวี หรือ จักรวรรดิซาฟาวี หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ รักขิตประเทศอิหร่าน (ممالک محروسهٔ ایران) หมายถึงประเทศอิหร่านในช่วงที่ปกครองโดยราชวงศ์ซาฟาวีระหว่างปี 1501 ถึง 1736 ซึ่งเป็นยุคที่อิหร่านเปลี่ยนจากนิกายซุนนีให้กลายเป็นนิกายชีอะฮ์ และเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่
การก่อตั้ง
[แก้]ราชวงศ์ซาฟาวีก่อตั้งโดยพระเจ้าอิสมาอีลที่ 1 ในปี1501 ซึ่งเป็นผู้นำทัพที่ผสานลักษณะของนักรบกับผู้นำทางจิตวิญญาณ เขาได้ประกาศให้ศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์สิบสองอิหม่าม เป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งเป็นการกระทำที่พลิกโฉมภูมิศาสตร์ศาสนาในตะวันออกกลาง โดยเปลี่ยนอิหร่านให้เป็นรัฐชีอะฮ์ท่ามกลางเพื่อนบ้านซุนนี เช่น จักรวรรดิออตโตมัน[6]
การให้ชีอะฮ์เป็นนิกายประจำชาติทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงกับจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะในยุทธการชัลดีรัน (Battle of Chaldiran) เมื่อปี 1514 ที่กองทัพซาฟาวีพ่ายแพ้แก่ออตโตมัน ส่งผลให้พรมแดนด้านตะวันตกของอิหร่านหยุดการขยายตัว[7]
ยุครุ่งเรือง
[แก้]![]() |
ประวัติศาสตร์อิหร่านแผ่นดินใหญ่ |
---|
อิหร่านเข้าสู่ยุครุ่งเรืองในสมัยของพระเจ้าอับบาสที่ 1 ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี 1588–1629 พระองค์เป็นผู้ปฏิรูประบบราชการและกองทัพอย่างเข้มแข็ง พระเจ้าอับบาสสร้างกองทัพด้วยการจ้างจากชาวอาร์เมเนีย จอร์เจีย และเชื้อสายคอเคซัสที่ถูกกวาดต้อนมา[8] พร้อมกับลดอำนาจของกองทัพชนเผ่าฆีซิลบัช (Qizilbash) กลุ่มนักรบชีอะฮ์ที่เคยมีบทบาทสำคัญ
ในด้านเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรม พระเจ้าอับบาสส่งเสริมการค้ากับชาติตะวันตก โดยตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เอสแฟฮอน ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางศิลปะสถาปัตยกรรมและหัตถกรรมโลกอิสลาม มีการก่อสร้างสุเหร่า มัสยิด และตลาดที่ยังคงความงดงามจนถึงปัจจุบัน[9]
การเสื่อมถอย
[แก้]หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอับบาสที่ 1 ในปี 1629 ราชวงศ์ซาฟาวีต้องเผชิญกับปัญหาผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพ หลายพระองค์ทรงสนพระทัยแต่เรื่องส่วนพระองค์และศาสนา ขาดทักษะในการปกครองประเทศ ทำให้ราชสำนักเต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจ การทุจริต และการอ่อนแอของกลไกรัฐ[10] นอกจากนี้ การพึ่งพากองกำลังชนเผ่าฆีซิลบาช (Qizilbash) มากเกินไปกลับกลายเป็นภาระ เนื่องจากชนเผ่าเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อผู้นำเผ่าของตนมากกว่า
ในด้านเศรษฐกิจ การค้าเส้นทางสายไหมและการค้ากับตะวันตกเริ่มลดปริมาณ ขณะเดียวกัน ราชสำนักก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้เต็มที่เนื่องจากระบบราชการเสื่อมประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ซาฟาวีขาดรายได้เพียงพอในการบริหารประเทศและบำรุงกองทัพ เมื่อราชวงศ์ซาฟาวีอ่อนแอถึงขีดสุด พวกอัฟกันชนเผ่ากิลไซ (Ghilzai) นำโดยมีร์มะฮ์มุด (Mir Mahmud) ก็ฉวยโอกาสเข้ายึดกรุงเอสแฟฮอนในปี 1722[11] และสถาปนาตนเป็นผู้ปกครองใหม่
การปกครองของพวกอัฟกันขาดความชอบธรรมในสายตาของชาวประชา และเผชิญกับการต่อต้านจากหลายฝ่ายทั่วจักรวรรดิ หนึ่งในนั้นคือผู้นำชนเผ่าอัฟชาร์นามว่า "นาเดอร์ ฆอลี เบก" เขาสามารถรวบรวมกองกำลังจากเผ่าต่าง ๆ และในปี 1729 เขาได้นำทัพเข้าปะทะกับกองทัพอัฟกันจนมีชัย และขับไล่พวกอัฟกันออกจากกรุงเอสแฟฮอนได้อย่างเด็ดขาด ต่อมา นาเดอร์ปราบดาภิเษกเป็นชาห์แห่งอิหร่านในปี 1736 และสำเร็จโทษอดีตกษัตริย์ราชวงศ์ซาฟาวี
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "... the Order of the Lion and the Sun, a device which, since the 17 century at least, appeared on the national flag of the Safavids the lion representing 'Ali and the sun the glory of the Shiʻi faith", Mikhail Borisovich Piotrovskiĭ, J. M. Rogers, Hermitage Rooms at Somerset House, Courtauld Institute of Art, Heaven on earth: Art from Islamic Lands: Works from the State Hermitage Museum and the Khalili Collection, Prestel, 2004, p. 178.
- ↑ The New Encyclopedia of Islam, Ed. Cyril Glassé, (Rowman & Littlefield Publishers, 2008), 449.
- ↑ Bang, Peter Fibiger; Bayly, C. A.; Scheidel, Walter (2020). The Oxford World History of Empire: Volume One: The Imperial Experience (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. pp. 92–94. ISBN 978-0-19-977311-4.
- ↑ Blake, Stephen P., ed. (2013), "Safavid, Mughal, and Ottoman Empires", Time in Early Modern Islam: Calendar, Ceremony, and Chronology in the Safavid, Mughal and Ottoman Empires, Cambridge: Cambridge University Press, pp. 21–47, doi:10.1017/CBO9781139343305.004, ISBN 978-1-107-03023-7, retrieved 2021-11-10
- ↑ Flaskerud, Ingvild (2010). Visualizing Belief and Piety in Iranian Shiism. A&C Black. pp. 182–3. ISBN 978-1-4411-4907-7.
- ↑ Blake, Stephen P. Half the World: The Social Architecture of Safavid Isfahan. Mazda Publishers, 1999.
- ↑ Savory, Roger. Iran under the Safavids. Cambridge University Press, 2007.
- ↑ Matthee, Rudi. Persia in Crisis: Safavid Decline and the Fall of Isfahan. I.B. Tauris, 2011.
- ↑ Newman, Andrew J. Safavid Iran: Rebirth of a Persian Empire. I.B. Tauris, 2006.
- ↑ Matthee, Rudi. Persia in Crisis: Safavid Decline and the Fall of Isfahan. I.B. Tauris, 2011.
- ↑ Axworthy, Michael. Empire of the Mind: A History of Iran. Basic Books, 2006.
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน