ข้ามไปเนื้อหา

อาการเคล็ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาการเคล็ด/อาการแพลง
(Sprain)
ชื่ออื่นเอ็นยึดฉีก, distorsion
ข้อเท้าแพลง มีรอยฟกช้ำและบวม
สาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา, เวชศาสตร์และการฟื้นฟูกายภาพ, ออร์โทพีดิกส์, เวชศาสตร์ครอบครัว, เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
อาการเจ็บปวด บวม ฟกช้ำ ข้อต่อไม่เสถียร ช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อจำกัด
ระยะดำเนินโรคเป็นน้อย - ไม่กี่วัน–6 สัปดาห์
เป็นมาก - ไม่กี่สัปดาห์–เดือน 
สาเหตุการบาดเจ็บ การบาดเจ็บจากกีฬา การใช้งานมากเกินไป อันตรายจากสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อายุ การฝึกซ้อมไม่ดีหรืออุปกรณ์กีฬาไม่เหมาะสม
วิธีวินิจฉัยตรวจร่างกาย เอกซเรย์ข้อ
โรคอื่นที่คล้ายกันกล้ามเนื้อฉีก กระดูกหัก
การป้องกันยืดแขนขาและออกแรงกล้ามเนื้อบ่อย ๆ, ใส่อุปกรณ์พยุงข้อต่อที่เสี่ยงระหว่างออกกำลังกาย
การรักษาพักผ่อน, ประคบน้ำแข็ง, พันผ้ารัด, ยกสูง, ยาแก้ปวด NSAID
ยายาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAID)
พยากรณ์โรคแบบเป็นน้อยหายเองได้ดี
แบบเป็นมากน่าจะต้องผ่าตัดหรือทำกายภาพบำบัด

อาการเคล็ด[1] หรือ อาการแพลง[2] (อังกฤษ: sprain) เป็นการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนคือเอ็นภายในข้อต่อ มักเกิดจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันที่เกินขอบเขตการเคลื่อนไหวปกติ เอ็น/เอ็นยึด (ligament) เป็นเส้นใยที่เหนียวและยืดไม่ได้ ทำด้วยคอลลาเจน ทำหน้าที่เชื่อมกระดูกตั้งแต่สองชิ้นขึ้นไปเป็นข้อต่อ สำคัญต่อความเสถียรของข้อต่อและการรับรู้อากัปกิริยาซึ่งเป็นการรับรู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของแขนขา[3][4] อาการอาจเป็นขั้นเบา (ระดับหนึ่ง) ปานกลาง (ระดับสอง) หรือมาก (ระดับสาม) โดยเอ็นยึดจะฉีกขาดบ้างในสองอย่างหลัง นี่อาจเกิดขึ้นที่ข้อต่อใดก็ได้แต่มักเกิดที่ข้อเท้า เข่า หรือข้อมือ[5] การบาดเจ็บที่คล้ายกันที่เกิดกับกล้ามเนื้อหรือเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) เรียกว่า กล้ามเนื้อฉีก (strain)

ส่วนใหญ่อาการเป็นแบบเบา ทำให้เกิดอาการบวมและช้ำเล็กน้อยซึ่งหายได้ด้วยการรักษาแบบอนุรักษนิยม คือ พักผ่อน ประคบน้ำแข็ง พันผ้ารัด และยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง อย่างไรก็ตาม อาการหนักอาจเป็นแบบฉีกขาดออกหมด การฉีก หรือกระดูกหักแบบดึงขาด (avulsion fracture) ซึ่งทำให้ข้อต่อไม่เสถียร เจ็บมาก และใช้งานได้น้อยลง ขั้นนี้ต้องผ่าตัดเพื่อยึดตรึง จำกัดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน และทำกายภาพบำบัด[6]

อาการ

[แก้]
  • เจ็บปวด
  • บวม
  • ฟกช้ำหรือมีเลือดออกในเนื้อเยื่อเพราะหลอดเลือดแตกภายในเอ็นยึดที่บาดเจ็บ
  • ข้อต่อไม่เสถียร[7]
  • รับน้ำหนักได้ไม่ดี
  • ใช้งานหรือมีช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่บาดเจ็บลดลง[8]
  • เมื่อเอ็นฉีกขาดอาจก่อเสียงแตกหรือเสียงดังป๊อบในขณะนั้น[9]

การรู้จักอาการแพลงอาจมีประโยชน์ในการแยกแยะการบาดเจ็บนี้จากกล้ามเนื้อฉีก (strain) และกระดูกหักธรรมดา อาการเคล็ดมักมากับความเจ็บปวด ตะคริว กล้ามเนื้อหดเกร็ง และกล้ามเนื้ออ่อนแรง กระดูกหักมักมากับอาการกดเจ็บที่กระดูกโดยเฉพาะเมื่อต้องรับน้ำหนัก[10]

สาเหตุ

[แก้]

อาการเคล็ดเฉียบพลันมักเกิดเมื่อข้อต่อถูกบังคับให้เคลื่อนไหวเกินขีดจำกัดอย่างกะทันหัน ในสถานการณ์ที่เกิดการบาดเจ็บ หรือเมื่อเล่นกีฬา สาเหตุที่พบมากที่สุดทั่วไปก็คือการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ (คือใช้งานมากเกินไป)[11]

กลไก

[แก้]

เอ็นยึดเป็นเส้นใยคอลลาเจนที่เชื่อมต่อกระดูกเข้าด้วยกัน และให้ความเสถียรแบบไม่ใช้แรงแก่ข้อต่อ พบได้ในรูปแบบการจัดเรียงที่หลากหลาย เช่น ขนาน เฉียง เป็นเกลียว โดยขึ้นอยู่กับหน้าที่ของข้อต่อที่เกี่ยวข้อง เอ็นยึดสามารถอยู่นอกแคปซูลข้อต่อ (extra-capsular) เป็นส่วนต่อเนื่องกับแคปซูลข้อต่อ (capsular) หรืออยู่ภายในแคปซูลข้อต่อ (intra-articular)[3] ตำแหน่งมีความสำคัญในการรักษา เพราะเอ็นภายในแคปซูลมีเลือดไหลเลี้ยงน้อยเทียบกับทั้งสองตำแหน่งอื่นที่เหลือ[12]

เส้นใยคอลลาเจนมีเขตยืดหยุ่นประมาณ 4% ซึ่งเส้นใยจะยืดออกเมื่อเพิ่มน้ำหนักที่ข้อ อย่างไรก็ตาม การเกินขีดจำกัดความยืดหยุ่นนี้จะทำให้เส้นใยฉีก ทำให้แพลง เอ็นยึดจะปรับตัวต่อการออกกำลังกล้ามเนื้อโดยเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของเส้นใย[13] เมื่อเอ็นยึดถูกตรึงให้อยู่กับที่ ก็พบว่าจะอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กิจกรรมประจำวันเป็นปกติจึงสำคัญเพื่อรักษาคุณสมบัติทางกลของเอ็นยึดไว้ประมาณ 80–90%[3]

ปัจจัยเสี่ยง

[แก้]
  • ความเหนื่อยล้าและการใช้งานมากเกินไป[3]
  • กีฬาที่ปะทะกันรุนแรง
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
  • วิธีการออกกำลังกายหรืออุปกรณ์ที่ใช้ไม่ดี[9]
  • อายุและความโน้มเอียงทางพันธุกรรมต่อการบาดเจ็บของเอ็นยึด[14]
  • ไม่ยืดแข้งเหยียดขาหรือวอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย ซึ่งเมื่อทำอย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและความยืดหยุ่นของข้อต่อ[15]

การวินิจฉัย

[แก้]

อาการแพลงมักวินิจฉัยได้ทางคลินิกโดยอาศัยอาการของผู้ป่วย กลไกการบาดเจ็บ และการตรวจร่างกาย แต่ก็สามารถเอกซ์เรย์เพื่อช่วยตรวจกระดูกหักได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการกดเจ็บหรือปวดกระดูกบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ[16] ในบางกรณี โดยเฉพาะถ้าหายช้าหรือสงสัยว่าบาดเจ็บหนักกว่าที่เห็น ก็อาจตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอเพื่อดูเนื้อเยื่ออ่อนและเอ็นยึดรอบ [17]

การจำแนกประเภท

[แก้]
  1. อาการแพลงระดับหนึ่ง (เบา) มีการยืดและความเสียหายทางโครงสร้างของเอ็นยึดเล็กน้อย[18] ทำให้บวมและช้ำแบบเบา ๆ มักไม่มีอาการข้อต่อไม่เสถียรหรือช่วงการเคลื่อนไหวข้อที่ลดลง
  2. อาการแพลงระดับสอง (ปานกลาง) - มีการฉีกบ้างของเอ็นยึด มักมีอาการบวม กดเจ็บ และข้อต่อไม่เสถียรบ้าง ข้อต่ออาจรับน้ำหนักไม่ดี[19]
  3. อาการแพลงระดับสาม (หนัก) - มีการฉีกหรือขาดอย่างบริบูรณ์ของเอ็นยึด บางครั้งอาจดึงชิ้นส่วนกระดูกออกมาด้วย มักมีอาการข้อต่อไม่เสถียรมาก ปวด ช้ำ บวม ข้อต่อรับน้ำหนักไม่ได้[20]
ข้อเท้าแพลงแบบบิดเข้าด้านใน (บนซ้าย) ข้อเท้าปกติ (บนขวา ระดับ 1) เอ็นเสียหายเล็กน้อยแต่ไม่ฉีก (ล่างซ้าย ระดับ 2) เอ็นฉีกบ้าง (ล่างขวา ระดับ 3) เอ็นฉีกหมด

ข้อต่อที่เกี่ยวข้อง

[แก้]

แม้ว่าข้อต่อใดก็สามารถเกิดการแพลงได้ แต่ที่พบบ่อยได้แก่[6]

  • ข้อเท้า - การแพลงมักเกิดขึ้นที่ข้อเท้าและอาจใช้เวลาในการหายนานกว่ากระดูกข้อเท้าหัก ส่วนใหญ่มักเกิดที่เอ็นยึดด้านข้าง (lateral ligament) บริเวณด้านนอกของข้อเท้า เหตุสามัญรวมการเดินบนพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือเกิดระหว่างการเล่นกีฬาที่ปะทะกัน[21]
    • ข้อเท้าแพลงแบบบิดเข้าด้านใน - เกิดเมื่อข้อเท้าหมุน/พลิกเข้าด้านใน
    • ข้อเท้าแพลงแบบบิดออกด้านนอก - เกิดเมื่อข้อเท้าหมุน/พลิกออกด้านนอก
  • นิ้วเท้า
    • ข้อนิ้วโป้งเท้าแพลง (metatarsophalangeal joint sprain) เป็นการเหยียดนิ้วโป้งเท้าขึ้นเกินประมาณ โดยเฉพาะระหว่างการเล่นกีฬา (เช่น การเริ่มวิ่งเร็วบนพื้นที่แข็ง)[22]

  • เข่า เข่ามักแพลงอย่างสามัญ โดยเฉพาะหลังจากการหมุนตัวอย่างรวดเร็วบนขาที่ปักไว้กับพื้นระหว่างเล่นกีฬาที่มีการปะทะ (เช่น อเมริกันฟุตบอล ฟุตบอล บาสเกตบอล ซอฟต์บอล เบสบอล และศิลปะการต่อสู้บางประเภท)[23]
    • การบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หน้า (anterior cruciate ligament)
    • การบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หลัง (posterior cruciate ligament)
    • การบาดเจ็บที่เอ็นเข่าด้านใน (medial collateral ligament)
    • การบาดเจ็บที่เอ็นเข่าด้านนอก (lateral collateral ligament)
    • การเคล็ดที่ข้อต่อกระดูกแข้ง-น่องส่วนบน (superior tibiofibular joint sprain) มักเกิดจากการบิดที่ข้อต่อระหว่างกระดูกแข้งกับกระดูกน่อง
  • กระดูกสะบ้าเคลื่อน (patellar dislocation)

  • นิ้วมือและข้อมือ การเคล็ดข้อมือเกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะถ้าล้มแล้วใช้มือยัน
    • การแพลงที่นิ้วโป้งมือ คือการจับอย่างแรงจะก่อการบาดเจ็บที่ ulnar collateral ligament (UCL) ที่ข้อโคนนิ้วโป้ง (metacarpophalangeal) ของมือ[24]
  • กระดูกสันหลัง
    • การเคล็ดคอที่กระดูกสันหลังส่วนคอ (cervical vertebrae)
    • การบาดเจ็บที่คอแบบวิปแลช (traumatic Cervical Spine Syndrome) เกิดจากการเหยียดและงอคออย่างรุนแรง มักพบในอุบัติเหตุรถชนท้าย[25]
    • การเคล็ดหลัง เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง มักเกิดจากการยกของอย่างไม่ถูกวิธีและกล้ามเนื้อลำตัวที่ไม่แข็งแรง

การรักษา

[แก้]

การรักษามักรวมมาตรการเชิงอนุรักษ์เพื่อลดอาการ การผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมการฉีกหรือการฉีกขาดที่หนัก และการฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อฟื้นสภาพการทำงานของข้อต่อ แม้อาการส่วนใหญ่จะรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่การบาดเจ็บหนักอาจต้องปลูกถ่ายเอ็นหรือซ่อมเอ็นยึดโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์[26] จะต้องทำการฟื้นฟูสมรรถภาพแค่ไหนและเวลาที่ต้องใช้ในการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความหนักเบา[27]

อาการแพลงที่เท้าเป็นการบาดเจ็บของเอ็นยึดที่เชื่อมกระดูกในเท้า กระบวนการฟื้นฟูมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคืนสภาพการทำงานปกติและป้องกันการบาดเจ็บในอนาคต บทความนี้อธิบายถึงแนวทางทั่วไปในการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บซึ่งแตกต่างกันไปตามความหนักเบา[28]

แบบไม่ผ่าตัด

[แก้]

ขึ้นอยู่กับกลไกการบาดเจ็บ ข้อต่อที่เกี่ยวข้อง และความหนักเบา อาการเคล็ดส่วนใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอนุรักษนิยมที่จะกล่าวต่อไป โดยทำภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่า การรักษาควรปรับให้เหมาะกับการบาดเจ็บและอาการเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย[29] ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ เช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ และยา NSAID แบบทาภายนอกก็อาจมีประสิทธิภาพเท่ากับยากิน[30]

  • ป้องกัน - บริเวณที่บาดเจ็บควรได้รับการป้องกันและยึดตรึง เพราะเสี่ยงเกิดการบาดเจ็บซ้ำที่เอ็นยึดซึ่งก่อปัญหาเพิ่มขึ้น[31]
  • พัก - ข้อต่อที่ได้รับผลกระทบควรยึดตรึงไว้และควรลดการรับน้ำหนักให้น้อยที่สุด เช่น ควรจำกัดการเดินในกรณีที่ข้อเท้าแพลง[32]
  • ประคบน้ำแข็ง - ควรใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่บาดเจ็บทันทีเพื่อลดอาการบวมและปวด[33] สามารถใช้น้ำแข็งประคบ 3–4 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 10–15 นาที หรือจนกว่าอาการบวมจะลดลง โดยสามารถใช้ร่วมกับการพันผ้าเพื่อพยุง[32] การประคบเย็นยังสามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ควรใช้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ (น้อยกว่า 20 นาที)[34] เพราะการใช้น้ำแข็งเป็นเวลานานอาจลดการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณที่บาดเจ็บและทำให้หายช้าลง[35]
  • กดรัด - ควรใช้ผ้าพันแผลหรือผ้าพันเพื่อยึดตรึงบริเวณที่บาดเจ็บและเพื่อให้การสนับสนุน เมื่อพันบริเวณที่บาดเจ็บ ควรรัดให้แน่นที่ปลายของบาดแผลแล้วลดความแน่นในทิศทางที่เข้ามาใกล้หัวใจ ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนจากปลายแขนขาไปยังหัวใจ การจัดการอาการบวมอย่างระมัดระวังด้วยการกดเย็น (cold compression therapy) สำคัญมากเพื่อให้หายเพราะป้องกันการคั่งของของเหลวในบริเวณที่บาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม การกดรัดไม่ควรขัดขวางการไหลเวียนของเลือดในแขนขา[32]
  • ยกสูง - การยกข้อต่อที่เคล็ดให้สูงขึ้น (เมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือของร่างกาย) จะช่วยลดอาการบวมได้[32]

วิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดอื่น ๆ รวมถึงเครื่องเคลื่อนไหวแขนขาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยผู้ป่วยไม่ออกแรง (continuous passive motion machine) และปลอกถุงน้ำแข็งแบบพิเศษ คือ cryocuff (เป็นเครื่องประคบเย็นที่เปิดใช้งานคล้ายกับเครื่องวัดความดันโลหิต) มีประสิทธิภาพลดอาการบวมและปรับปรุงช่วงการเคลื่อนไหว[36] การศึกษาปี 2018 แสดงว่าการให้ออกแรงที่ข้อเมื่อดึงไว้ด้วยสายยาง (joint mobilization using elastic band traction) มีประสิทธิภาพเท่ากับเทคนิคมาตรฐาน 5 อย่างด้านบนสำหรับผู้ป่วยเด็กที่แพลงข้อเท้า[37]

การฟื้นฟูสภาพการใช้งาน

[แก้]

องค์ประกอบของโปรแกรมฟื้นฟูสภาพที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาการแพลงทั้งหมด รวมถึงการเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่เป็นปัญหาและการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบค่อย ๆ เพิ่ม[38] หลังจากใช้มาตรการอนุรักษนิยมเพื่อลดอาการบวมและปวดแล้ว การเคลื่อนไหวแขนขาภายใน 48–72 ชั่วโมงหลังการบาดเจ็บได้พบว่า ช่วยให้หายโดยกระตุ้น growth factor ในเนื้อเยื่อกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็น growth factor ที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์และการปรับโครงสร้างสารเคลือบเซลล์ (matrix remodeling)[27]

การยึดตรึงข้อให้ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานอาจทำให้อาการแพลงหายช้าลง เพราะกล้ามเนื้อมักจะฝ่อลีบหรืออ่อนแอ[39] อย่างไรก็ดี งานศึกษาปี 1996 แสดงนัยว่า การใช้อุปกรณ์พยุงสามารถช่วยให้หายโดยบรรเทาความปวดและทำให้ข้อมั่นคงเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติมต่อเอ็นยึดหรือการบาดเจ็บซ้ำ[40] เมื่อใช้อุปกรณ์พยุง จำเป็นต้องแน่ใจว่าปลายแขนขามีเลือดไหลเวียนถึงอย่างเพียงพอ[41] เป้าหมายสูงสุดของการฟื้นฟูการใช้งานก็คือให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บซ้ำให้น้อยที่สุด

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. "sprain", NECTEC's Lexitron-2, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, อาการเคล็ด
  2. ผาสุกสมิต, บุริศร์ (2023-03-17). "การเตรียมรับมือกับภาวะโรคข้อเท้าแพลง (Ankle Sprain)". Faculty of Physical Therapy, Mahidol University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-23.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Bahr, Roald; Alfredson, Håkan; Järvinen, Markku; Järvinen, Tero; Khan, Karim; Kjaer, Michael; Matheson, Gordon; Maehlum, Sverre (2012-06-22), Bahr, Roald (บ.ก.), "Types and Causes of Injuries", The IOC Manual of Sports Injuries, Wiley-Blackwell, pp. 1–24, doi:10.1002/9781118467947.ch1, ISBN 978-1-118-46794-7, Ligaments consist of collagen tissue that connects one bone to another. Their primary function is passive stabilization of the joints. In addition, the ligaments serve an important proprioceptive function.
  4. Frank, CB (June 2004). "Ligament structure, physiology and function" (PDF). J Musculoskelet Neuronal Interact. 4 (2): 199–201. PMID 15615126. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-02-26.
  5. Hartshorne, Henry. "Sprained Joints". The Home Cyclopedia Of Health And Medicine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-08-08. สืบค้นเมื่อ 2010-02-16.
  6. 6.0 6.1 "Ligament Sprain". Physiopedia (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-30. สืบค้นเมื่อ 2020-04-13.
  7. Nancy Garrick, Deputy Director (2017-04-10). "Sprains and Strains". National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-04-14.
  8. "Sprains and Strains". medlineplus.gov. สืบค้นเมื่อ 2020-04-14.
  9. 9.0 9.1 "Sprains - Symptoms and causes". Mayo Clinic (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-18. สืบค้นเมื่อ 2020-04-14.
  10. "Strains and Sprains Signs, Symptoms, Diagnosis and Treatment Information on MedicineNet.com". MedicineNet (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-05. สืบค้นเมื่อ 2020-04-20.
  11. "Sprains and Strains: Differences, Treatment, Symptoms, 3 Grades & Causes". MedicineNet (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-21.
  12. Frank, C. B. (June 2004). "Ligament structure, physiology and function". Journal of Musculoskeletal & Neuronal Interactions. 4 (2): 199–201. ISSN 1108-7161. PMID 15615126.
  13. Doschak, M. R.; Zernicke, R. F. (March 2005). "Structure, function and adaptation of bone-tendon and bone-ligament complexes". Journal of Musculoskeletal & Neuronal Interactions. 5 (1): 35–40. ISSN 1108-7161. PMID 15788869.
  14. Longo, Umile Giuseppe; Loppini, Mattia; Margiotti, Katia; Salvatore, Giuseppe; Berton, Alessandra; Khan, Wasim S.; Denaro, Nicola Maffulli and Vincenzo (2014-12-31). "Unravelling the Genetic Susceptibility to Develop Ligament and Tendon Injuries". Current Stem Cell Research & Therapy (ภาษาอังกฤษ). 10 (1): 56–63. doi:10.2174/1574888x09666140710112535. PMID 25012736. สืบค้นเมื่อ 2020-04-20.
  15. Woods, Krista; Bishop, Phillip; Jones, Eric (2007-12-01). "Warm-Up and Stretching in the Prevention of Muscular Injury". Sports Medicine (ภาษาอังกฤษ). 37 (12): 1089–1099. doi:10.2165/00007256-200737120-00006. ISSN 1179-2035. PMID 18027995. S2CID 27159577.
  16. Vuurberg, Gwendolyn; Hoorntje, Alexander; Wink, Lauren M.; Doelen, Brent F. W. van der; Bekerom, Michel P. van den; Dekker, Rienk; Dijk, C. Niek van; Krips, Rover; Loogman, Masja C. M.; Ridderikhof, Milan L.; Smithuis, Frank F. (2018-08-01). "Diagnosis, treatment and prevention of ankle sprains: update of an evidence-based clinical guideline". British Journal of Sports Medicine (ภาษาอังกฤษ). 52 (15): 956. doi:10.1136/bjsports-2017-098106. ISSN 0306-3674. PMID 29514819.
  17. "Sprains: Diagnosis & Treatement". Mayo Clinic. 2022-10-27. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-28. สืบค้นเมื่อ 2024-09-24.
  18. Part, Body. "Sprains, Strains & Other Soft-Tissue Injuries". OrthoInfo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-14. สืบค้นเมื่อ 2024-09-26.
  19. Publishing, Harvard Health (2019-05-17). "Sprain (Overview)". Harvard Health. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-21. สืบค้นเมื่อ 2020-04-20.
  20. "Sprains, Strains and Other Soft-Tissue Injuries - OrthoInfo - AAOS". www.orthoinfo.org. สืบค้นเมื่อ 2020-04-14.
  21. Shier, David; Butler, Jackie; Lewis, Ricki (2007). Hole's Human Anatomy & Physiology (11th ed.). McGraw Hill / Irwin. pp. 157, 160. ISBN 978-0-07-330555-4.
  22. "Turf Toe - OrthoInfo - AAOS". www.orthoinfo.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-07-19. สืบค้นเมื่อ 2020-04-24.
  23. Publishing, Harvard Health (2019-04-05). "Knee Sprain". Harvard Health. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-28. สืบค้นเมื่อ 2020-04-20.
  24. Hung, Chen-Yu; Varacallo, Matthew; Chang, Ke-Vin (2020), "Gamekeepers Thumb (Skiers, Ulnar Collateral Ligament Tear)", StatPearls, StatPearls Publishing, PMID 29763146, สืบค้นเมื่อ 2020-04-24
  25. Tanaka, Nobuhiro; Atesok, Kivanc; Nakanishi, Kazuyoshi; Kamei, Naosuke; Nakamae, Toshio; Kotaka, Shinji; Adachi, Nobuo (2018-02-28). "Pathology and Treatment of Traumatic Cervical Spine Syndrome: Whiplash Injury". Advances in Orthopedics. 2018: 4765050. doi:10.1155/2018/4765050. ISSN 2090-3464. PMC 5851023. PMID 29682354.
  26. Petersen, Wolf; Rembitzki, Ingo Volker; Koppenburg, Andreas Gösele; Ellermann, Andre; Liebau, Christian; Brüggemann, Gerd Peter; Best, Raymond (August 2013). "Treatment of acute ankle ligament injuries: a systematic review". Archives of Orthopaedic and Trauma Surgery. 133 (8): 1129–1141. doi:10.1007/s00402-013-1742-5. ISSN 0936-8051. PMC 3718986. PMID 23712708.
  27. 27.0 27.1 Publishing, Harvard Health (2007-02-08). "Recovering from an ankle sprain". Harvard Health. สืบค้นเมื่อ 2020-04-21.
  28. "Stepping Up Your Game: Mastering Foot Sprain Recovery". revivalpt.net (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-04-19. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-30. สืบค้นเมื่อ 2024-05-16.
  29. van den Bekerom, Michel P.J; Struijs, Peter A.A; Blankevoort, Leendert; Welling, Lieke; van Dijk, C. Niek; Kerkhoffs, Gino M.M.J (August 2012). "What Is the Evidence for Rest, Ice, Compression, and Elevation Therapy in the Treatment of Ankle Sprains in Adults?". Journal of Athletic Training. 47 (4): 435–443. doi:10.4085/1062-6050-47.4.14. ISSN 1062-6050. PMC 3396304. PMID 22889660.
  30. Derry, S; Moore, RA; Gaskell, H; McIntyre, M; Wiffen, PJ (June 2015). "Topical NSAIDs for acute musculoskeletal pain in adults". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 6 (6): CD007402. doi:10.1002/14651858.CD007402.pub3. PMC 6426435. PMID 26068955.
  31. Bleakley, CM; O'Connor, SR; Tully, MA; Rocke, LG; Macauley, DC; Bradbury, I; Keegan, S; McDonough, SM (2010-05-10). "Effect of accelerated rehabilitation on function after ankle sprain: randomised controlled trial". BMJ. 340: c1964. doi:10.1136/bmj.c1964. PMID 20457737.
  32. 32.0 32.1 32.2 32.3 "Sprained Ankle". American Academy of Orthopaedic Surgeons. March 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-04-01.
  33. Hubbard, Tricia J.; Denegar, Craig R. (2004). "Does Cryotherapy Improve Outcomes With Soft Tissue Injury?". Journal of Athletic Training. 39 (3): 278–279. ISSN 1062-6050. PMC 522152. PMID 15496998.
  34. Cramer, H; Ostermann, T; Dobos, G (February 2018). "Injuries and other adverse events associated with yoga practice: A systematic review of epidemiological studies". Journal of Science and Medicine in Sport. 21 (2): 147–154. doi:10.1016/j.jsams.2017.08.026. PMID 28958637.
  35. Singh, Daniel P.; Barani Lonbani, Zohreh; Woodruff, Maria A.; Parker, Tony J.; Steck, Roland; Peake, Jonathan M. (2017-03-07). "Effects of Topical Icing on Inflammation, Angiogenesis, Revascularization, and Myofiber Regeneration in Skeletal Muscle Following Contusion Injury". Frontiers in Physiology. 8: 93. doi:10.3389/fphys.2017.00093. ISSN 1664-042X. PMC 5339266. PMID 28326040.
  36. Liao, Chun-De; Tsauo, Jau-Yih; Huang, Shih-Wei; Chen, Hung-Chou; Chiu, Yen-Shuo; Liou, Tsan-Hon (April 2019). "Preoperative range of motion and applications of continuous passive motion predict outcomes after knee arthroplasty in patients with arthritis". Knee Surgery, Sports Traumatology, Arthroscopy. 27 (4): 1259–1269. doi:10.1007/s00167-018-5257-z. ISSN 1433-7347. PMID 30523369. S2CID 54446697.
  37. Iammarino, Kathryn; Marrie, James; Selhorst, Mitchell; Lowes, Linda P. (February 2018). "Efficacy of the Stretch Band Ankle Traction Technique in the Treatment of Pediatric Patients with Acute Ankle Sprains: A Randomized Control Trial". International Journal of Sports Physical Therapy. 13 (1): 1–11. doi:10.26603/ijspt20180001. ISSN 2159-2896. PMC 5808004. PMID 29484236.
  38. Keene, David J; Williams, Mark A; Segar, Anand H; Byrne, Christopher; Lamb, Sarah E (2016-02-25). "Immobilisation versus early ankle movement for treating acute lateral ankle ligament injuries in adults". Cochrane Database of Systematic Reviews. doi:10.1002/14651858.cd012101. ISSN 1465-1858. S2CID 74861780.
  39. Mattacola, Carl G.; Dwyer, Maureen K. (2002). "Rehabilitation of the Ankle After Acute Sprain or Chronic Instability". Journal of Athletic Training. 37 (4): 413–429. ISSN 1062-6050. PMC 164373. PMID 12937563.
  40. "Ankle Sprains: Healing and Preventing Injury". American Academy of Family Physicians. 2010-12-01 [Created:1996-01-01].
  41. Hsu, Hunter; Siwiec, Ryan M. (2019), "Forearm Splinting", StatPearls, StatPearls Publishing, PMID 29763155, สืบค้นเมื่อ 2019-03-12

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก