อัลเฟรท ฟ็อน วัลเดอร์เซ
อัลเฟรท ฟ็อน วัลเดอร์เซ | |
---|---|
Alfred von Waldersee | |
![]() | |
หัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่จักรวรรดิเยอรมัน | |
ดำรงตำแหน่ง 10 สิงหาคม 1888 – 7 กุมภาพันธ์ 1891 | |
กษัตริย์ | จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 |
ก่อนหน้า | เฮ็ลมูท ฟ็อน ม็อลท์เคอ |
ถัดไป | อัลเฟรท ฟ็อน ชลีเฟิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 8 เมษายน ค.ศ. 1832 พ็อทซ์ดัม ราชอาณาจักรปรัสเซีย สมาพันธรัฐเยอรมัน |
เสียชีวิต | 5 มีนาคม ค.ศ. 1904 ฮันโนเฟอร์ ราชอาณาจักรปรัสเซีย จักรวรรดิเยอรมัน | (71 ปี)
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ![]() |
สังกัด | กองทัพบก |
ประจำการ | 1850–1904 |
ยศ | จอมพล (Generalfeldmarschall) |
ผ่านศึก | สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย กบฏนักมวย |
อัลเฟรท ลูทวิช ไฮน์ริช คาร์ล กราฟ ฟ็อน วัลเดอร์เซ (เยอรมัน: Alfred Ludwig Heinrich Karl Graf von Waldersee) เป็นจอมพลเยอรมันและเป็นหัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่ระหว่าง ค.ศ. 1888–1891 และได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่กองกำลังนานาชาติในการปราบกบฏนักมวยในกรุงปักกิ่งเมื่อ ค.ศ. 1900
เขาเกิดในครอบครัวขุนนางและครอบครัวทหารระดับสูงของปรัสเซีย เขาเป็นบุตรของนายพลฟรันทซ์ ไฮน์ริช กราฟ ฟ็อน วัลเดอร์เซ (Franz Heinrich Graf von Waldersee) กับแบร์ทา ฟ็อน ฮือเนอร์ไบน์ (Bertha von Hünerbein) บิดาของเขาเป็นหลานปู่ของเลโอพ็อลท์ที่ 3 ดยุกแห่งอันฮัลท์-เด็สเซา
เขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนทหารและได้ติดยศร้อยตรีในกองทัพบกปรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 1850 และกลายเป็นทหารหนุ่มผู้มีความโดดเด่นในหน้าที่ เขาออกปฏิบัติการครั้งแรกในสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย ค.ศ. 1866 ในตำแหน่งนายทหารผู้ช่วยของพลเอกทหารปืนใหญ่ เจ้าชายฟรีดริช คาร์ล แห่งปรัสเซีย และได้ติดตามเจ้าชายในยุทธการที่เคอนิชเกร็ทซ์ หลังจากปฏิบัติการครั้งนี้ เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรีและย้ายไปสังกัดกองเสนาธิการปรัสเซีย ต่อมาใน ค.ศ. 1870 เขาได้เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำกรุงปารีส[1] ในช่วงนี้เอง เขาสอดแนมและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกำลังรบของกองทัพฝรั่งเศสเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในวันหน้า
ระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย วัลเดอร์เซในยศพันโท บทวิเคราะห์กองทัพข้าศึกที่เขาจัดทำไว้ก่อนหน้ากลายเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อแม่ทัพปรัสเซีย เขาได้ติดตามพลเอก แกรนด์ดยุกแห่งมัคเลินบวร์ค-ชเวรีน ในยุทธการใหญ่รอบ ๆ เมืองแม็ส ตัวแกรนด์ดยุกไม่ได้เป็นผู้เจนจัดด้านยุทธวิธี ชัยชนะของปรัสเซียในปฏิบัติการภาคตะวันตกจึงต้องยกเป็นความดีความชอบของวัลเดอร์เซในฐานะที่ปรึกษาเป็นส่วนใหญ่[1] หลังสงคราม เขาได้รับกางเขนเหล็กชั้น 1