อัลวะลีดที่ 2
อัลวะลีดที่ 2 الْوَلِيد بْنِ يَزِيد | |||||
---|---|---|---|---|---|
อะมีรุลมุอ์มินีน เคาะลีฟะตุลลอฮ์ | |||||
![]() เฟรสโกของวะลีด อิบน์ ยะซีดจากก็อศร์อัมเราะฮ์ | |||||
เคาะลีฟะฮ์องค์ที่ 11 แห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ | |||||
ครองราชย์ | 6 กุมภาพันธ์ 743 – 17 เมษายน 744 | ||||
ก่อนหน้า | ฮิชาม อิบน์ อับดุลมะลิก | ||||
ถัดไป | ยะซีด อิบน์ อัลวะลีด | ||||
ประสูติ | ป. ค.ศ. 709 อัชชาม รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ | ||||
สวรรคต | 17 เมษายน ค.ศ. 744 (35 พรรษา) อัชชาม รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน) สาเหตุการสวรรคต: ถูกปลงพระชนม์ | ||||
คู่อภิเษก | อาติกะฮ์ บินต์ อุษมาน อิบน์ มุฮัมมัด | ||||
พระราชบุตร |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | อุมัยยะฮ์ | ||||
พระราชบิดา | ยะซีดที่ 2 | ||||
พระราชมารดา | อุมมุลฮัจญาจญ์ บินต์ มุฮัมมัด | ||||
ศาสนา | อิสลาม |
อัลวะลีด อิบน์ ยะซีด อิบน์ อับดุลมะลิก (อาหรับ: الْوَلِيد بْنِ يَزِيد بْنِ عَبْد الْمَلِك, อักษรโรมัน: Al-Walīd ibn Yazīd ibn ʿAbd al-Malik; ค.ศ. 709 – 17 เมษายน ค.ศ. 744) โดยทั่วไปรู้จักกันในพระนาม อัลวะลีดที่ 2 เป็นเคาะลีฟะฮ์องค์ที่ 11 แห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ที่ครองราชย์ใน ค.ศ. 743 จนกระทั่งถูกลอบปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 744 พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากฮิชาม อิบน์ อับดุลมะลิก พระปิตุลา
พระราชสมภพแและภูมิหลัง
[แก้]อัลวะลีดเป็นพระราชโอรสของยะซีดที่ 2 เคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ กับอุมมุลฮัจญาจญ์ บินต์ มุฮัมมัด อัษษะเกาะฟี พระมเหสี ใน ค.ศ. 709 พระราชมารดาเป็นธิดาในข้าราชการอุมัยยะฮ์ มุฮัมมัด อิบน์ ยูซุฟ อัษษะเกาะฟี
ยะซ๊ดที่ 2 พระราชบิดา ครองราชย์ใน ค.ศ. 720 ถึงมกราคม ค.ศ. 724 ยะซีดที่ 2 สวรรคตที่อิรบิดในบัลกออ์ (ทรานส์จอร์แดน) ซึ่งอยู่ในญุนด์ดิมัชก์ (เขตทหารของดามัสกัส) เมื่อวันที่ 26 ชะอ์บาน ฮ.ศ. 105 (28 มกราคม ค.ศ. 724)[1] อัลวะลีด พระราชโอรส หรือฮิชาม พระเชษฐาร่วมพระราชบิดา เป็นผู้นำละหมาดพระศพ[2] ยะซีดตั้งพระทัยแต่งตั้งอัลวะลีดเป็นผู้สืบทอด แต่มัสละมะฮ์เกลี้ยกล่อมให้แต่งตั้งฮิชามก่อน แล้วค่อยต่อด้วยอัลวะลีด[3]
พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ขึ้นครองราชย์
[แก้]
ฮิชามสวรรคตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 743 และมัสละมะฮ์ พระราชโอรส เป้นผู้นำละหมาดพระศพ[4] อัลวะลีดที่ 2 ขึ้นครองเป็นเคาะลีฟะฮ์และสั่งให้อัลอับบาส อิบน์ อัลวะลีด ลูกพี่ลูกน้อง ให้จับกุมลูกชายของฮิชามที่ริศอฟะฮ์ ใกล้แพลไมราในทันที แต่ห้ามมิให้รบกวนมัสละมะฮ์หรือครัวเรือนของเขาโดยเด็ดขาด เพื่อแสดงความเคารพต่อความเป็นพระสหายเก่าของทั้งสอง และป้องกันอัลวะลีดจากเคาะลีฟะฮ์ฮิชามของมัสละมะฮ์[5][6]
รัฐเคาะลีฟะฮ์
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สวรรคต
[แก้]ยะซีดแอบเข้าไปในดามัสกัสและโค่นล้มอัลวะลีดด้วยการรัฐประหาร ตามมาด้วยการเบิกจ่ายเงินจากกระทรวงการคลัง[7] องค์เคาะลีฟะฮ์ถูกล้อมในปราสามนอกเมือง โดยสู้รบอย่างดี จนกระทั่งวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 744 ที่ Al-Aghdaf ตรงบริเวณประเทศจอร์แดนในปัจจุบัน พระองค์พ่ายแพ้และถูกสังหารโดยกองกำลังของซุลัยมาน อิบน์ ฮิชาม ยะซีดที่ 3 ลูกพี่ลูกน้อง ขึ้นครองราชย์ต่อ
ตามรายงานของตัวยะซีดเองระบุว่า ยะซีดส่งอับดุลอะซีซ อิบน์ อัลฮัจญาจญ์ ไปพบกับอัลวะลีดที่ al-Bakhra[8] อับดุลอะซีซเสนอที่จะจัดตั้งสภาเผ่า (ชูรอ) เพื่อตัดสินอนาคตของอาณาจักร วะลีดปฏิเสธข้อเสนอนี้และโจมตี ซึ่งทำให้พระองค์สูญเสียชีวิต[9]
พระราชวงศ์
[แก้]อาติกะฮ์ บินต์ อุษมาน อิบน์ มุฮัมมัด ธิดาคนหนึ่งของอุษมาน อิบน์ มุฮัมมัด อิบน์ อะบีซุฟยาน สมรสกับเคาะลีฟะฮ์อัลวะลีดที่ 2[10][11] อัลวะลีดยังนำนักขับร้องสองคนนาม Shuhda และ Al-Nawar เป็นพระสนม[12]
อัลวะลีดที่ 2 มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ อัลฮะกัมและอุษมาน พระองค์แต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นผู้สืบทอด แต่เมื่อยะซีดที่ 3 ชนะและขึ้นครองราชย์ พระองค์สั่งให้คุมขังอุษมานและฮะกัม[13][14]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Powers 1989, pp. 193–194.
- ↑ Powers 1989, p. 194.
- ↑ Blankinship 1989, p. 87, note 439.
- ↑ Hillenbrand 1989, p. 72.
- ↑ Judd 2008, p. 453.
- ↑ Hillenbrand 1989, p. 100.
- ↑ Theophilus. Quoted Robert Hoyland, Seeing Islam as Others Saw It (Darwin Press, 1998), 660
- ↑ 1234 Chronicle apud Hoyland confirms this, 660; it was a fortress near Palmyra. 1234 and Muslim sources dispute over whether Walid was there all along or whether he had fled there.
- ↑ Patricia Crone, God's Caliph (Cambridge University Press, 1986), 127
- ↑ Howard 1990, pp. 197–198, note 655.
- ↑ Robinson 2020, p. 146.
- ↑ Bernards, M.; Nawas, J.A. (2005). Patronate And Patronage in Early And Classical Islam. Islamic History and Civilization. Brill. p. 335. ISBN 978-90-04-14480-4.
- ↑ Theophilus and Muslim sources apud Hoyland, 660-1
- ↑ God's Caliph 124-5
บรรณานุกรม
[แก้]- Powers, Stephan, บ.ก. (1989). The History of al-Ṭabarī, Volume XXIV: The Empire in Transition: The Caliphates of Sulaymān, ʿUmar, and Yazīd, A.D. 715–724/A.H. 96–105. SUNY Series in Near Eastern Studies. Albany, New York: State University of New York Press. ISBN 978-0-7914-0072-2.
- Blankinship, Khalid Yahya, บ.ก. (1989). The History of al-Ṭabarī, Volume XXV: The End of Expansion: The Caliphate of Hishām, A.D. 724–738/A.H. 105–120. SUNY Series in Near Eastern Studies. Albany, New York: State University of New York Press. ISBN 978-0-88706-569-9.
- Muhammad ibn Jarir al-Tabari History, v. 26 "The Waning of the Umayyad Caliphate," transl. Carole Hillenbrand, SUNY, Albany, 1989
- Glubb, Sir John, The Empire of the Arabs, Hodder and Stoughton, London, 1963
- Howard, I. K. A., บ.ก. (1990). The History of al-Ṭabarī, Volume XIX: The Caliphate of Yazīd ibn Muʿāwiyah, A.D. 680–683/A.H. 60–64. SUNY Series in Near Eastern Studies. Albany, New York: State University of New York Press. ISBN 978-0-7914-0040-1.
- Robinson, Majied (2020). Marriage in the Tribe of Muhammad: A Statistical Study of Early Arabic Genealogical Literature. Berlin: Walter de Gruyter. ISBN 9783110624168.
- Marsham, Andrew (2009). The Rituals of Islamic Monarchy: Accession and Succession in the First Muslim Empire. Edinburgh: Edinburgh University Press. ISBN 978-0-7486-2512-3.
- Hillenbrand, Carole, บ.ก. (1989). The History of al-Ṭabarī, Volume XXVI: The Waning of the Umayyad Caliphate: Prelude to Revolution, A.D. 738–744/A.H. 121–126. SUNY Series in Near Eastern Studies. Albany, New York: State University of New York Press. ISBN 978-0-88706-810-2.
- Bosworth, C. Edmund (1994). "Abū Ḥafṣ 'Umar al-Kirmānī and the Rise of the Barmakids". Bulletin of the School of Oriental and African Studies. 57 (2): 268–282. doi:10.1017/S0041977X0002485X. JSTOR 620573.
- Judd, Steven (July–September 2008). "Reinterpreting al-Walīd b. Yazīd". Journal of the American Oriental Society. 128 (3): 439–458. JSTOR 25608405.
- Patricia Crone, God's Caliph 1986