อัมพปาลี
พระอัมพปาลีเถรี | |
---|---|
"อัมพปาลีไหว้พระพุทธเจ้า", งาช้างแกะสลัก, พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเดลี | |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | ป. 500 BCE |
มรณภาพ | |
รู้จักจาก | นครวธู (นางบำเรอหลวง) ประจำแคว้นเวสาลี |
อาชีพ | นางระบำ, โสเภณี |
อัมพปาลี (บาลี: อมฺพปาลี; การสะกดแบบอื่น: อามราปาลี, อัมพปาลิกา, อัมราปาลี, หรือ อมรา) เป็นนครวธู (นางบำเรอหลวง) ประจำแคว้นเวสาลี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย) เมื่อราว 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช[1][2][3] ต่อมานางอัมพปาลีได้เรียนรู้คำสอนของพระโคตมพุทธเจ้า จึงบวชเป็นภิกษุณี และในภายหลังได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรื่องของนางปรากฏในคัมภีร์ภาษาบาลีและอาคม ส่วนใหญ่มักกล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับในอามราปาลีวัน สวนมะม่วงของนาง และต่อมานางได้บริจาคที่ส่วนนี้ให้กับพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่แสดงธรรมเทศนาเรื่อง อัมพปาลิกาสูตร[4][5][6][7]
ประวัติ
[แก้]ชีวิตข่วงต้น
[แก้]อัมพปาลีเกิดเมื่อราว 600-500 ปีก่อนคริสต์ศักราช บิดาชื่อมหานามะ (Mahanama) ส่วนมารดาไม่ปรากฏนาม ชื่อของนางในทางศัพทมูลมาจากภาษาสันสกฤตสองคำ คือ อามร (มะม่วง) กับ ปลฺลว (ต้นอ่อน)[8] กล่าวกันว่านางคลอดออกมาเองที่โคนต้นมะม่วงต้นหนึ่งในราชอุทยานในแคว้นเวสาลี จึงเป็นที่มาของชื่อนาง[9]
นางอัมพปาลีมีโฉมงามตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กล่าวกันว่าเจ้านายนามว่า มหานามัน หลงในความงามของเด็กหญิงอามราปาลีมากจนยอมทิ้งแคว้นของตนเพื่อไปอาศัยอยู่กับนางในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเวสาลี (ปัจจุบันคืออมุซซัฟฟารปุระ)[10]
นางบำเรอ
[แก้]ในเวลานั้น เวสาลีเป็นราชธานีพวกเจ้าลิจฉวี หนึ่งในแปดตระกูลกษัตริย์ที่รวมกันตั้งแคว้นวัชชี[11] ตามธรรมเนียมแล้ว สตรีที่โฉมงามที่สุดในดินแดนจะถวายตัวเป็นนางบำเรอให้กับผู้ชายหลายคน มากกว่าที่จะเลือกแต่งงานกับขายคนเดียว[12]
อัมพปาลีเติบโตมาด้วยโฉมที่งดงามและมีความสามารถมากในศิลปะแขนงต่าง ๆ[12] บรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ ล้วนหมายปองนาง เมื่อมนูเทพ (Manudev) กษัตริย์แห่งเวสาลี ได้ชมนางร่ายรำในนคร มนูเทพได้วางแผนที่จะมีนางไว้ครอบครองเอง เขาสังหารคู่รักวัยเด็กและว่าที่เจ้าบ่าวของอัมพปาลี ชื่อว่า บุษปกุมาร (Pushpakumar) ในวันที่ทั้งสองจะแต่งงานกัน และประกาศให้นางแต่งงานเป็นเจ้าสาวของนครเวสาลี — หรือคือเป็น นครวธู และนางได้รับยศเป็น "เวสาลีชนบทกัลยาณี" (Vaishali Janpad Kalayani)
หลังได้รับสถานะนครวธู นางได้กลายมาเป็น "ราชนารฏิกี" (Rajanartiki) หรือนางรำประจำราชสำนัก[13] ค่าเข้าชมการร่ายรำของเธออยู่ที่ห้าสิบกหาปณะต่อคืน เธอจึงร่ำรวยมาก จนอาจมากกว่ามหาราชาบางพระองค์[12]
พบพระพุทธเจ้า
[แก้]ตามเอกสารของพุทธ อัมพปาลีมีโอกาสได้ถวายเพลแก่พระโคตมพุทธเจ้าขณะพระองค์เสด็จเยือนเวสาลีเป็นคืนสุดท้าย ไม่นานก่อนเสด็จปรินิพพาน[14] อัมพปาลีได้เข้าฟังเทศนาของพระพุทธองค์ในป่ามะม่วง (อัมพวัน) และซึ้งในรสพระธรรมมาก นางจึงได้นิมนต์พระพุทธองค์มาฉันที่บ้านของนาง[15] ในงานเขียนบางส่วนระบุว่าพระพุทธองค์เสด็จประทับในสวนมะม่วงของนางก่อน แล้วอัมพปาลีจึงได้ร้องขอให้ประทับต่อ[16] พระพุทธองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ[15] ขณะที่นางกำลังเดินทางกลับ รถของนางชนเข้ากับรถของเจ้าชายองค์หนึ่งของเวสาลี ซึ่งกำลังเดินทางไปนิมนต์พระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารกับตนเช่นกัน เขาก่นด่าและเหยียดเธออย่างรุนแรงว่า 'คณิกา' (กะหรี่) เพื่อให้เธอถอยทางให้เขาผ่าน จากนั้นจึงมีการประกาศว่าพระพุทธองค์จะเสด็จฉันภัตตาหารที่บ้านของนางอัมพปาลี เจ้าชายผู้นั้นผิดหวังและเสนอที่จะมอบทองให้กับนางเพื่อขอแลกสิทธิ์ในการรับเสด็จพระพุทธเจ้า แต่เธอปฏิเสธ[16][17]
พระพุทธเจ้ารับรู้ถึงโฉมงามของนาง และตรัสกับพุทธสาวกไม่ให้หลงไหลไปกับความงามของนาง[17] นางอัมพปาลีนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยผู้ติดตามของนาง ให้เสด็จเข้าประทับในที่พำนักของนางที่ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาเป็นพิเศษ[18] หลังพระองค์ฉันภัตตาหารเสร็จสิ้น นางอัมพปาลีได้ถวายสวนมะม่วงและที่พำนักของนางทั้งหมดให้แก่พระพุทธศาสนา และเพื่อให้ทรงใช้เป็นที่แสดงเทศนา[18] ไม่นานนับจากนั้น นางอัมพปาลีได้ออกจากการเป็นนางบำเรอ และบวชเป็นภิกษุณี[18] ระบุกันว่าท้ายที่สุดนางได้บรรลุเป็นอรหันต์
นางมีบุตรชายชื่อวิมลโกณฑัญญะ ซึ่งได้อุปสมบทและต่อมาเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง[14]
การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์
[แก้]เรื่องราวของนางอัมราปาลีมีความสำคัญมากในการทำความเข้าใจมุมมองร่วมสมัยต่อนางบำเรอและโสเภณี ถึงแม้นางจะมีชื่อเสียงมากในฐานะศิลปินที่มีฝีมือ[12] นางก็ยังถูกด่าและเหยียดโดยเจ้าชายแห่งเวสาลีคนหนึ่ง ที่ด่านางว่าเป็น 'คณิกา' ซึ่งเป็นคำเรียกโสเภณีที่มีความหยาบคายมาก[16] (เทียบเท่าภาษาไทย "กะหรี่") ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงท่าทีใด ๆ ต่อนางเป็นพิเศษ จึงมักถือเรื่องราวตอนนี้มาใช้ระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงปราศจากอคติต่อสตรี[15]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "The Sunday Tribune - Spectrum". tribuneindia.com. สืบค้นเมื่อ 4 July 2016.
- ↑ History of Vaishali
- ↑ "The Sunday Tribune - Spectrum". www.tribuneindia.com. สืบค้นเมื่อ 2017-04-18.
- ↑ Ambapaali vana Pali dictionary
- ↑ Khanna, p. 45
- ↑ Ambapaali Sutta Pali dictionary
- ↑ "Amrapali's Encounter with The Handsome Renunciate". The Times of India. June 30, 2006.
- ↑ "Ambapali or Amrapali c 600 BC - India". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-09.
- ↑ "The Sunday Tribune - Spectrum". tribuneindia.com. สืบค้นเมื่อ 4 July 2016.
- ↑ "Here's something different". thehindubusinessline.in. สืบค้นเมื่อ 4 July 2016.
- ↑ "Another historical serial on DD". The Hindu. Chennai, India. 2002-07-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-21.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Channa, Subhadra Mitra (2013). Gender in South Asia: Social Imagination and Constructed Realities. Daryaganj: Cambridge University Press. pp. 21–22. ISBN 978-1-107-04361-9.
- ↑ "Inside programming: On the sets of Aamrapali". indiantelevision.com. สืบค้นเมื่อ 4 July 2016.
- ↑ 14.0 14.1 Buswell Jr.1, Lopez Jr.2, Robert E.1, Donald S.2 (2014). The Princeton Dictionary of Buddhism. Oxfordshire: Princeton University Press. pp. 36–37. ISBN 978-0-691-15786-3.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Garling, Wendy (2016). Stars at Dawn: Forgotten Stories of Women in the Buddha's Life. Boulder: Shambhala Publications, inc. pp. 268–269. ISBN 9781611802658.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Verma, Archana (2011). Performance and Culture: Narrative, Image and Enactment in India. Newcastle: Cambridge Scholars Publishing. p. 109. ISBN 978-1-4438-2735-5.
- ↑ 17.0 17.1 Strong, John S. (2001). The Buddha: A Beginner's Guide. Oxford: One World Publications. ISBN 978-1-78074-054-6.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Gupta, N.L. (2000). Women Education Through the Ages. New Delhi: Concept Publishing Company. p. 92. ISBN 978-81-7022-826-4.
บรรณานุกรม
[แก้]- Khanna, Anita (2004). Stories Of The Buddha. Children's Book Trust. ISBN 978-81-7011-913-5.
- Vyasa & Vigneswara Malayalam Novel written by Anand
- Novel: Vaishali ki Nagarvadhu by Acharya Chatursen, 1948
- Khuddaka Nikaya, part 9 (Therigatha) Canto 13
- Digha Nikaya 16 (Mahaparinibbanasutta - part 2, 16-26)
- Malalasekera: Buddhist Dictionary of Pali Proper Names (s.v.)
- The Legend of Amrapali by Anurag Anand [1] เก็บถาวร 2012-06-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Rev. Osho - A story on Buddha and Amrapali