อสัมปทานชาดก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อสัมปทานชาดก เป็นชาดกที่ว่าด้วยการไม่รับของ ทำให้เกิดความแตกร้าว เป็นชาดกลำดับที่ 131

เนื้อเรื่อง[แก้]

ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สังขะ อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ มีสมบัติ 80 โกฏิ และเศรษฐีอีกคนหนึ่งชื่อว่า ปิลิยะ อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี มีสมบัติ 80 โกฏิเช่นกัน ทั้งสองคบกันเป็นสหายมายาวนาน ไปหามาสู่กันเป็นประจำ เรียกว่าเป็นเพื่อนรักกันก็ได้

ต่อมาไม่นาน กรุงพาราณสีก็เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ฝนตกน้ำท่วมบ้านเมือง ไร่นาเสียหาย หลังจากพายุสงบก็เกิดภัยแล้ง เพาะปลูกไม่ได้ บ้านของปลิยเศรษฐีพังยับเยิน สิ้นเนื้อประดาตัว และปลิยะก็จำได้ขึ้นใจว่าตนยังมีสหายอีกคนหนึ่ง เพราะที่นั้นไม่เกิดภัยพิบัติ เขาน่าจะช่วยเหลือเราได้ จึงตกลงเดินทางไปกับภรรยาของตน มุ่งหน้าสู่บ้านของสังขเศรษฐี แต่เนื่องจากไม่มีเงินเป็นค่าโดยสาร จึงต้องเดินเท้าเปล่าไปตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงบ้านของสังขเศรษฐี

เมื่อสังขะ เห็นปิลิยะมาในสภาพเช่นนั้น จึงถามว่า

ท่านปิลิยะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาในสภาพเช่นนั้น

— สังขเศรษฐี

ปิลิยะจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านสังขะฟัง ท่านสังขะคิดสงสารจึงจัดหาที่พัก และอาหารให้ เช้าวันรุ่งขึ้น ท่านสังขะจึงนำสมบัติ 40 โกฏิ มอบให้แก่ปิลิยะ ท่านปลิยะจึงกล่าวขอบคุณท่านสังขะ

แต่ต่อมาไม่นาน กรุงราชคฤห์ก็เกิดภัยพิบัติ เช่นเดียวกับพาราณสีที่เคยประสบ เกิดพายุ น้ำท่วม ฝนแล้ง จนเพาะปลูกไม่ได้ กิจการของสังขะเสียหายขาดทุนย่อยยับ สังขะจึงแบ่งเงินก้อนสุดท้ายให้กับบริวารรับใช้ทั้งหลาย ก่อนแยกย้ายกันไป จากเศรษฐีกลายเป็นยาจกภายในพริบตา สังขะจึงตกลงไปบ้านปลิยเศรษฐี กับภรรยาของตน ซึ่งต้องเดินเท้าเปล่าเช่นกัน แต่คราวนี้ไม่ได้พาภรรยาไปยังบ้านปิลิยะเลย แต่ให้ภรรยาพักที่ศาลาริมทาง ใกล้กรุงพาราณสี แล้วสังขะจึงเดินไปบ้านปิลิยะต่อไป จนกระทั่งมาถึงบ้านของปิลิยเศรษฐี

เมื่อปิลิยะ เห็นสังขะมาในสภาพเช่นนั้น จึงไม่ได้กล่าวแบบสงสารอะไรมาก แต่กลับถามว่า

มาหาข้ามีธุระอะไร ข้ากำลังยุ่ง

— ปิลิยเศรษฐี

สังขะจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านปลิยะฟัง แต่ปิลิยะไม่ได้คิดสงสารอะไรมาก และไม่ได้จัดหาที่พัก และอาหารเลย แต่กลับสั่งบริวารว่า

ตวงข้าวสารลีบ 4 ทะนาน ให้กับชายผู้นั้น

และให้บริวารมอบให้กับสังขะ และเดินจากไปด้วยความไม่ใยดี ทั้ง ๆ ที่มีข้าวสาลีอยู่แล้ว แต่กลับนำข้าวลีบไปมอบให้ เปรียบเสมือนมหาโจร สังขะให้ไปถึง 40 โกฏิ แต่ปิลิยะกลับให้เพียงข้าวลีบ 4 ทะนาน จึงคิดจะตัดมิตรภาพเสีย

เมื่อสังขะนำข้าวลีบมาให้ภรรยาจีงกล่าวว่า

น้องเอ๋ย พี่คิดว่าในโลกนี้มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก ถึงเขาจะให้ของชั้นต่ำไม่คุ้มกับคุณค่า กับที่เราช่วยเหนือเขาไว้ก็ตาม

แต่มันจำเป็นต้องรับใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเราและเพื่อรักษาไว้ซึ่งมิตรภาพมีให้กันมา พี่จึงจำเป็นต้องรับข้าวนี้มาให้เจ้าให้มีข้าวกินยังไงล่ะ

— สังขะ

เมื่อภรรยาได้ฟังจบนั้นก็ถึงกับร้องไห้ในศาลานั้น ขณะนั้นมีบริวารที่เคยเป็นของท่านสังขะผู้หนึ่ง เห็นเหตุการณ์นี้เข้าจึงถามว่า ภรรยาของเจ้ามานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ทำไมกัน สังขะเศรษฐีจีงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บริวารผู้นั้นถึงกับตะลึง และโกรธแค้นปิลิยะมาก ๆ จีงแนะนำให้สังขะ และภรรยาไปพักที่บ้านของบริวารก่อน แล้วจะหาทางแก้แค้นให้

วิธีการแก้แค้นนั้น ก็คือ บริวารผู้นั้นจะบอกให้บริวารคนอื่น ๆ ให้รู้ถึงพฤติกรรมของสังขะ และปิลิยะ จนบริวารทั้งหลายเริ่มนำเรื่องนี้มาพูดกันบ่อย ๆ เพื่อหาทางช่วยท่านสังขะ ให้พ้นจากขั้นยาจกได้ พวกเขาจึงพากันไปร้องต่อให้พระราชาช่วยจัดการเรื่องนี้

ณ พระราชวังของพระเจ้าพรหมทัต พระราชาจึงถามปิลิยะว่า

เป็นจริงอย่างที่สังขะพูดหรือไม่

— พระเจ้าพรหมทัต

แต่ปิลิยะเศรษฐีเกรงกลัวอาญาจึงไม่กล้าตอบ พระราชาจึงซ้ำเติมไปว่า

ในยามที่เจ้าสิ้นเนื้อประดาตัว เจ้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเจ้า เขาทำอย่างที่เจ้าทำหรือไม่ เขาต้อนรับเจ้าอย่างดี ดูแลเจ้าทุกอย่าง แล้วทำไมเจ้าถึงเนรคุณได้ลงคอ

— พระราชา

ปิลิยะจึงกล้าตอบไปว่าเป็นเรื่องจริง พระชาจึงสอบสวนให้โหรพราหมณ์คิดเกี่ยวกับเรื่องคนไม่รู้จักบุญคุณ พราหมณ์ก็ตอบไปว่า เราควรจะยึดสมบัติของปิลิยะ ให้กลายเป็นของสังขะทั้งหมด แต่ท่านสังขะไม่เห็นด้วย พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

ข้าพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการสมบัติทั้งหมดของปิลิยะเลยพ่ะย่ะค่ะ ข้าพุทธเจ้าขอเพียงสมบัติในส่วนที่ข้าพุทธเจ้าได้ให้กับปิลิยะเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ

— สังขะ

และพระราชาต้องการที่จะให้ปิลิยเศรษฐีเป็นคนดีเสมอ

สมบัติ 40 โกฏิที่ได้คืนมา ทำให้สังขะกลับเป็นเศรษฐีได้ดังเดิม และเดินทางกลับกรุงราชคฤห์ และใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขต่อไป ส่วนปิลิยะ แม้สังขะจะไม่ได้ตัดไมตรีกับเขา แต่เขาก็ละอายใจ ไม่กล้าสู้หน้าสังขะอีกเลย

ข้อคิด[แก้]

มิตรภาพสำคัญมาก เราอาจได้สิ่งตอบแทนน้อยกว่าที่เราให้เขา แต่ก็ไม่ควรทำให้ความไม่เท่าเทียมมาทำลายมิตรภาพ เพราะความจริงใจสำคัญกว่าสิ่งของ คนที่ทำไม่ดีต่อเราจะละอายไปเอง เราต้องรักษาความดีให้เสมอต้นเสมอปลาย จึงจะเป็นคนดีจริง ๆ

มิตรภาพใช้เวลาสร้างนานกว่าจะเหนียวแน่นได้ แต่ใช้เวลานิดเดียวในการทำลาย หากมิตรภาพจะต้องถูกทำลายก็อย่าให้มันพังลงด้วยมือของเราเลย เพราะคนที่ได้ชื่อว่าทำลายมิตรภาพนั้นคือคนพาลนั่นเอง

การตรัสชาดก[แก้]

สถานที่ตรัสชาดก[แก้]

วัดเวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์

สาเหตุที่ตรัสชาดก[แก้]

ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระตถาคต พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน หลังจากนั้นจึงนำ อสัมปทานชาดก มาตรัสเล่า

อ้างอิง[แก้]

  • หนังสือ ผจญภัยตามรอยพระพุทธเจ้า เล่มที่ 27 จัดพิมพ์โดย บริษัทสกายบุ๊คส์ จำกัด

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

ก่อนหน้า อสัมปทานชาดก ถัดไป
โกสิยชาดก
ชาดกชาติที่ 51

ลำดับชาดก 547 ชาติ (พระเจ้า 500 ชาติ)
(ชาดกชาติที่ 51)
ปัญจภีรุกชาดก
ชาดกชาติที่ 132
โกสิยชาดก
เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์

การเสวยพระชาติของพระพุทธเจ้า
(เป็นสังขเศรษฐี)
ปัญจภีรุกชาดก
เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของพระเจ้าพรหมทัต