ข้ามไปเนื้อหา

หมาป่าญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

หมาป่าญี่ปุ่น
ตัวอย่างหมาป่าญี่ปุ่นที่จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอตา
Eukaryota
อาณาจักร: สัตว์
Animalia
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
Chordata
ชั้น: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Mammalia
อันดับ: สัตว์กินเนื้อ
Carnivora
วงศ์: Canidae
สกุล: Canis
สปีชีส์: C.  lupus
สปีชีส์ย่อย: C.  l. hodophilax
Trinomial name
Canis lupus hodophilax
(Temminck, 1839)[2]
ชื่อพ้อง

หมาป่าญี่ปุ่น (อังกฤษ: Japanese wolf; ญี่ปุ่น: ニホンオオカミ(日本狼), เฮปเบิร์น: Nihon ōkami หรือ 山犬, yamainu; Canis lupus hodophilax) มีอีกชื่อว่า หมาป่าฮนชู เป็นหมาป่าสีเทาชนิดย่อยที่สูญพันธุ์แล้ว ซึ่งเคยเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นในเกาะฮนชู, ชิโกกุ และคีวชูในหมู่เกาะญี่ปุ่น

หมาป่าญี่ปุ่นเป็น 1 ใน 2 สายพันธุ์ย่อยที่เคยพบในหมู่เกาะญี่ปุ่น โดยอีกสายพันธุ์หนึ่งคือหมาป่าฮอกไกโด การจัดลำดับพันธุกรรมบ่งชี้ว่าหมาป่าญี่ปุ่นมีความแตกต่างอย่างมากจากประชากรหมาป่าที่ยังมีชีวิตอยู่

แม้ได้รับความเคารพนับถือในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลายาวนาน การเข้ามาของไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าและโรคไข้หัดสุนัขสู่ญี่ปุ่น ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงอย่างมาก และนโยบายที่บังคับใช้ในช่วงการปฏิรูปเมจินำไปสู่การรบกวนและกำจัดสายพันธุ์ย่อยในที่สุดเมื่อช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการสังเกตหมาป่าที่มีลักษณะคล้ายกันนี้ซึ่งมีการบันทึกอย่างดีจำนวนมากตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึง 21 และมีการเสนอแนะว่าเป็นหมาป่าญี่ปุ่นที่รอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เนื่องมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม จึงยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของพวกมันอยู่[4][5][6]

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

ชื่อทวินามของ C. hodopylax มาจากภาษากรีกว่า Hodos (เส้นทาง) กับ phylax (ผู้พิทักษ์) ซึ่งอ้างอิงถึงโอกูริอินุจากคติชนญี่ปุ่น ซึ่งวาดเป็นหมาป่าหรือวีเซิลที่เป็นผู้ปกป้องนักเดินทาง[7]

มีนามแฝงอื่น ๆ มากมายที่ใช้เรียกหมาป่าญี่ปุ่น[8] และชื่อ โอกามิ (หมาป่า) มาจากคำในภาษาญี่ปุ่นเก่าว่า öpö-kamï ซึ่งแปลว่า "วิญญาณยิ่งใหญ่"[9]ที่สัตว์ป่ามีความเกี่ยวข้องกับยามะ-โนะ-คามิ วิญญาณแห่งภูเขาในศาสนาชินโต[7] หรือ "สุนัขตัวใหญ่"[8] หรือ "รอยกัดใหญ่" (โอกามิ หรือ โอกาเมะ)[10] และ "ปากใหญ่" โอกูจิ-โนะ-มากามิ (ญี่ปุ่น) เป็นนามแฝงเชิงเททพเจ้าเก่าแก่ที่ใช้เรียกหมาป่าญี่ปุ่น โดยที่หมาป่าได้รับการบูชาและเกรงกลัว และคำนี้หมายถึง "เทพเจ้าที่แท้จริงผู้มีปากใหญ่" ตามทฤษฎีต่าง ๆ หลายประการ ซึ่งอาจหมายถึงปากหมาป่าซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตำนานและนิทานพื้นบ้านต่าง ๆ เช่น หมาป่านำทาง ยามาโตะ ทาเกรุ และได้รับตำแหน่งดังกล่าวจากเจ้าชาย หรือพื้นที่อาซูกะเรียกว่า โอกูจิ-โนะ-มากามิ-โนะ-ฮาระ ซึ่งอาซูกะ โนะ คินูนูอิ โนะ โคโนฮะ (ญี่ปุ่น) อาศัยอยู่ และมีเรื่องเล่ากันว่ามีคนจำนวนมากถูกหมาป่าแก่ตัวหนึ่งฆ่าตายที่นั่น[11]

อ้างอิง

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Boitani, L.; Phillips, M.; Jhala, Y. (2018). "Canis lupus". IUCN Red List of Threatened Species. 2018: e.T3746A163508960. doi:10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T3746A163508960.en. สืบค้นเมื่อ 19 November 2021.
  2. Temminck, C. J. (1839) Over de Kennis en de Verbreiding der Zoogdieren van Japan. Tijidschrift voor Natuurlijke Geschiedenis en Physiologie, pt5, 274–293 – refer page 284
  3. 3.0 3.1 Smithsonian – Animal Species of the World database. "Canis lupus hodophilax".
  4. "In search of Japan's lost wolves: Primal howl". Deep reads from The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-10-29.
  5. Martin, Alex K. T. (2019-05-25). "In search of Japan's extinct wolves: Sightings of a mysterious canine in Chichibu have been captivating animal enthusiasts". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-10-29.
  6. "In search of Japan's lost wolves: Territorial threat". Deep reads from The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-10-29.
  7. 7.0 7.1 Knight, John (1997). "On the Extinction of the Japanese Wolf". Asian Folklore Studies. Nanzan University. 56 (1): 129–159. doi:10.2307/1178791. JSTOR 1178791.
  8. 8.0 8.1 Kazue Nakamura, 2004, Japanese Names of the Animals Belonging to Genus Canis Described in "the Flora, Fauna and Crops of the Japan Islands" in the 18th Century., Bulletin of The Kanagawa Prefectural Museum Natural Science No. 34, pp.69-73, Kanagawa Prefectural Museum Natural
  9. Kokugo Dai Jiten, Revised Edition 1988 (in Japanese), Tōkyō:Shogakukan
  10. Miku Bansho, 2019, Why the oinu-sama' had not become extinct : A study on actual conditions of Musashi Mitake shrine, Research Journal of the Graduate School of Humanities and Human Sciences, Vol. 19, p.115, Faculty of Humanities and Human Sciences, Graduate School of Humanities and Human Sciences, and School of Humanities and Human Sciences, Hokkaido University
  11. Kichiro Akimoto, 1958, Fudoki Nihon Koten Bungaku Taikei 2 (Japanese), p.421, Iwanami Shoten

อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ชื่อ "koblmuller2016" ซึ่งนิยามใน <references> ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ชื่อ "matsumura2014" ซึ่งนิยามใน <references> ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า

อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ชื่อ "pilot2010" ซึ่งนิยามใน <references> ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า

อ่านเพิ่ม

[แก้]