หมั่นโถว
![]() หมั่นโถวสีขาว | |
ประเภท | ขนมปัง, ติ่มซำ |
---|---|
แหล่งกำเนิด | จีน |
ภูมิภาค | เอเชียตะวันออก |
ส่วนผสมหลัก | แป้งสาลี, น้ำ, สารช่วยขึ้นฟู |
หมั่นโถว | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 饅頭 | ||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 馒头 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีนอื่น ๆ | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 麵頭 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 面头 | ||||||||||||||||||||
|
หมั่นโถว (จีนตัวย่อ: 馒头; จีนตัวเต็ม: 饅頭; พินอิน: mántóu ออกเสียง หมานโถว) เป็นขนมแป้งนึ่งชนิดหนึ่งที่มีสีขาวและมีสัมผัสอ่อนนุ่ม นิยมรับประทานในภาคเหนือของประเทศจีน[1] นิรุกติศาสตร์พื้นบ้านเชื่อมโยงชื่อหมั่นโถวเข้ากับเรื่องเล่าเกี่ยวกับจูกัดเหลียง[1]
ลักษณะ
[แก้]หมั่นโถวนิยมรับประทานเป็นอาหารหลักในภาคเหนือของประเทศจีนที่ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าวสาลีมากกว่าข้าว หมั่นโถวทำจากข้าวสาลี น้ำ และสารช่วยขึ้นฟู หมั่นโถวมีขนาดตั้งแต่ 4 เซนติเมตร (1.6 นิ้ว) ซึ่งมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มในภัตตาคารที่หรูหราที่สุด ไปจนถึงขนาดมากกว่า 15 เซนติเมตร (5.9 นิ้ว) ซึ่งมีเนื้อสัมผัสที่แน่นสำหรับเป็นอาหารกลางวันของผู้ชายวัยทำงาน ในช่วงหนึ่งหมั่นโถวสีขาวมีราคาแพงมาก ถือเป็นอาหารหรูหราในประเทศจีนยุคก่อนอุตสาหกรรม เพราะเวลานั้นแป้งประกอบอาหารใช้กระบวนการผลิตมากมีต้นทุนสูง
หมั่นโถง ปิ่ง และบะหมี่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตหลักของอาหารจีนภาคเหนือ คล้ายกับข้าวที่เป็นอาหารหลักของจีนภาคใต้ หมั่นโถวนั้นเป็นที่รู้จักในภาคใต้ แต่มักจำหน่ายในฐานะอาหารข้างถนนหรืออาหารในภัตตาคารมากกว่าจะเป็นอาหารหลักหรืออาหารทำที่บ้าน หมั่นโถวในภัตตาคารมักมีขนาดเล็กกว่าและประณีตกว่า และสามารถดัดแปลงเพิ่มเติมได้ เช่นโดยการทอดและจุ่มในนมข้นหวาน อาจเพิ่มเติมสีและ/หรือรสชาติด้วยส่วนผสมอื่น ๆ ตั้งแต่น้ำตาลทรายแดงไปจนถึงสีผสมอาหารในการปรุงหมั่นโถว บางครั้งในโอกาสพิเศษมีการปรุงหมั่นโถวโดยการทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ในมณฑลชานซี ฉ่านซี และชานตง
หมั่นโถวกึ่งสำเร็จรูปมีจำหน่ายทั่วไปในส่วนอาหารแช่แข็งของซูเปอร์มาเก็ตในเอเชีย พร้อมสำหรับการเตรียมโดยการนึ่งหรือให้ความร้อนในเตาอบไมโครเวฟ
ซาลาเปาหรือเปาจึ (包子) เป็นอาหารที่คล้ายคลึงกับหมั่นโถวแต่มีไส้เค็มหรือไส้หวานอยู่ข้างใน[2] หมั่นโถวเป็นคำที่เก่าแก่กว่า ในบางภูมิภาค เช่นภูมิภาคเจียงหนานและเกาหลี คำว่า หมั่นโถว (หรือคำอ่านในภาษาท้องถิ่นที่เทียบเท่า) สามารถใช้ระบุถึงขนมแป้งนึ่งทั้งที่มีไส้และไม่มีไส้ ในประเทศญี่ปุ่น คำอ่านท้องถิ่นที่เทียบเท่ากับคำว่าหมั่นโถวในภาษาจีนคือคำว่ามันจู ซึ่งใช้หมายถึงเฉพาะขนมแป้งนึ่งที่มีไส้
นิรุกติศาสตร์และประวัติศาสตร์
[แก้]
หมั่นโถวอาจมีต้นกำเนิดจากรัฐฉินในยุคราชวงศ์โจวในสมัยของฉินเจาเซียงหฺวาง (307 – 250 ปีก่อนคริตกาล)[3] หมั่นโถวรวมถึงอาหารที่ทำจากข้าวสาลีอื่น ๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว แป้งทอด และซาลาเปากลายมาเป็นที่นิยมในยุคราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 206) และเป็นที่รู้จักในชื่อเรียกรวมกันว่า ปิ่ง (餅; bǐng) หมั่นโถวถูกเรียกว่าเจิงปิ่ง (蒸餅; zhēngbǐng) หรือหลงปิ่ง (籠餅; lóngbǐng)[4] ในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันตก (ค.ศ. 265–316) ชู่ ซี (束皙) เขียนเกี่ยวกับเจิงปิ่ง (蒸餅; zhēngbǐng) ในบทกวี "ถางปิ่งฟู่" (湯餅賦; tāngbǐngfù) ที่เขียนเมื่อราวปี ค.ศ. 300 ชู่ ซีเป็นคนแรกที่เรียกเจิงปิ่งว่าม่านโถว (曼頭; màntóu) ในบทกวีนี้มีการแนะนำให้กินเจิงปิ่งหรือม่านโถวในงานเลี้ยงในช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ[5]
เชื่อกันว่าชาวมองโกลได้นำหมั่นโถวแบบที่มีไส้ (ซาลาเปาหรือเปาจี) ไปเผยแพร่ในหลายประเทศในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเมื่อช่วงต้นยุคราชวงศ์หยวนในศตวรรษที่ 13 คำว่าหมั่นโถวกลายเป็นรากศัพท์ของคำว่า manty และ mantı ซึ่งเป็นเกี๊ยวใส่ไส้ในอาหารตุรกี[6]และอาหารอุซเบกิสถาน[7] (mantu)[8]
คติชาวบ้าน
[แก้]ตำนานของจีนยอดนิยมเล่าว่าชื่อหมั่นโถว (หมานโถว) แท้จริงแล้วมีที่มาจากคำพ้องเสียงคือคำว่าหมานโถว ที่เขียนว่า 蠻頭 (mántóu) ซึ่งมีความหมายว่า "ศีรษะอนารยชน"
ตำนานเป็นเรื่องราวในยุคสามก๊ก (ค.ศ. 220–280) เมื่อจูกัดเหลียง อัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐจ๊กก๊กนำกองทัพจ๊กก๊กทำศึกกับกองกำลังของชนเผ่าลำมัน (南蠻 หนานหมาน) ในดินแดนทางใต้ของจ๊กก๊ก ซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณมณฑลยูนนานของประเทศจีนและทางเหนือของประเทศพม่า
หลังจากปราบเบ้งเฮ็กผู้เป็นมันอ๋อง (蠻王 หมานหวาง) หรือกษัตริย์ของชนเผ่าลำมันให้สวามิภักดิ์ จูกัดเหลียงก็นำทัพกลับจ๊กก๊ก แต่ระหว่างทางมาถึงริมแม่น้ำลกซุย (瀘水 หลูฉุ่ย) ที่ไหลเชี่ยวกรากยากจะข้ามไปได้ คนท้องถิ่นบอกจูกัดเหลียงว่าในสมัยก่อน ชนเผ่าลำมันจะสังเวยมนุษย์ผู้ชาย 49 คน ตัดศีรษะโยนลงไปในแม่น้ำเพื่อทำให้วิญญาณในแม่น้ำสงบลงและยอมให้ข้ามแม่น้ำได้ แต่จูกัดเหลียงไม่ต้องการเข่นฆ่าคนเพิ่มอีก จึงสั่งให้ฆ่าวัวและม้าที่ทัพจ๊กก๊กนำมาด้วย ยัดเนื้อลงในก้อนแป้งสาลีที่ปั้นเป็นรูปคล้ายศีรษะมนุษย์ (ลักษณะกลมและส่วนก้นแบน) จากนั้นนำมานึ่งแล้วโยนขนมแป้งนึ่งเหล่านั้นลงในแม่น้ำ แม่น้ำก็กลับมาสงบ หลังจากข้ามแม่น้ำมาได้ จูกัดเหลียงจึงต้องชื่อขนมแป้งนึ่งนี้ว่า หมานโถว (mántóu, 蠻頭, ซึ่งพัฒนาเป็นอักษรว่า 饅頭 ในปัจจุบัน) ซึ่งมีความหมายว่า "ศีรษะอนารยชน"[9] มีเรื่องเล่าอีกแบบหนึ่งย้อนไปถึงการยกทัพบุกใต้ของจูกัดเหลียง เมื่อจูกัดเหลียงสั่งให้ทหารที่ล้มป่วยด้วยโรคท้องร่วงและโรคอื่น ๆ ที่ระบาดในพื้นที่หนองน้ำให้รับประทานขนมแป้งนึ่งที่ยัดไส้เนื้อหรือไส้หวาน[10]
ความหลากหลายของความหมายนอกภาคเหนือของจีน
[แก้]ก่อนยุคราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) คำว่าหมั่นโถวมีความหมายถึงขนมแป้งนึ่งทั้งที่มีไส้และไม่มีไส้[11] คำว่าเปาจึ (包子) เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ซ่งเพื่อใช้ระบุถึงเฉพาะขนมแป้งนึ่งที่มีไส้[12] เป็นผลให้คำว่าหมั่นโถวค่อย ๆ กลายเป็นคำที่ใช้ระบุถึงเฉพาะขนมแป้งนึ่งที่ไม่มีไส้ในภาษาจีนกลางและบางภาษาถิ่นของจีน
อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่คำว่าหมั่นโถวยังคงมีความหมายถึงขนมแป้งนึ่งที่มีไส้อยู่ ในภูมิภาคเจียงหนานที่พูดภาษาอู๋ คำว่าหมั่นโถวมักหมายถึงทั้งขนมแป้งนึ่งที่มีไส้และไม่มีไส้ ในมณฑลชานซีที่พูดภาษาจิ้น ขนมแป้งนึ่งที่ไม่มีไส้มักเรียกว่า หมัวหมัว (饃饃) ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรที่มีความหมายว่า "ขนมแป้งนึ่ง" ชื่อหมัวหมัวแพร่หลายในทิเบตและเนปาล และปัจจุบันมักใช้หมายถึงขนมแป้งนึ่งหรือเกี๊ยวที่มีไส้[13]
ชื่อหมั่นโถวเป็นรากศัพท์ของคำว่า manty และ mantı ซึ่งเป็นเกี๊ยวมีไส้ในอาหารตุรกี[14] อาหารเปอร์เซีย[15] อาหารอุซเบกิสถาน[16] และอาหารปากีสถาน (mantu, มีที่มาจากผู้อพยพชาวมองโกลเชื้อสายเติร์ก)[17] ในประเทศญี่ปุ่น คำว่า มันจู (饅頭) มักใช้หมายถึงขนมแป้งนึ่งที่มีไส้ ซึ่งแบบดั้งเดิมจะมีไส้ถั่วบดหรือไส้เนื้อบดผสมผัก (นิกูมัง 肉まん "มันจูเนื้อ")[18] หมั่นโถวมีไส้เรียกว่า siyopaw ในภาษาฟิลิปปินส์[19] แผลงมาจากคำภาษาจีนว่า เชาเปา (燒包) ในประเทศไทยมีหมั่นโถวมีไส้ที่มีคำเรียกว่า ซาลาเปา[20] ในประเทศเกาหลี มันทู (만두; 饅頭)[21] สามารถหมายถึงทั้งซาลาเปาหรือเปาจึ (飽子) และเกี๊ยวซ่าหรือเจี่ยวจึ (餃子) ในอาหารมองโกล buuz และ manty หรือ mantu เป็นเกี๊ยวนึ่ง[22][23] อาหารนึ่งนี้กล่าวกันว่าเป็นต้นกำเนิดของมันทูในเกาหลี[24] ในประเทศสิงคโปร์แลมาเลเซีย ปูผัดพริกมักเสิร์ฟพร้อมกับหมันโถวทอด[25][26][27] ในประเทศนาอูรูและประเทศปาปัวนิวกินี หมั่นโถวรู้จักในชื่อว่า mãju
ดูเพิ่ม
[แก้]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Graves, Helen (2 October 2013). "Chinese food and drink: Pork belly mantou – recipe". TheGuardian.com. Guardian News & Media LLC. สืบค้นเมื่อ 28 January 2015.
- ↑ Hsiung, Deh-Ta (2002). The Chinese Kitchen: A Book of Essential Ingredients with Over 200 Easy and Authentic Recipes. New York, New York: MacMillan. p. 33. ISBN 9780312288945.
- ↑ Jina (2006-05-24). "Mán tóu dí lì shǐ" 馒头的历史 [History of Mantou]. 中国国学网 (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 2, 2007. สืบค้นเมื่อ April 25, 2018.
《事物绀珠》说,相传"秦昭王作蒸饼"。
{{cite web}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Jina (2006-05-24). "Mán tóu dí lì shǐ" 馒头的历史 [History of Mantou]. 中国国学网 (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 2, 2007. สืบค้นเมื่อ April 25, 2018.
自汉代开始有了磨之后,人们吃面食就方便多了,并逐渐在北方普及,继而传到南方。中国古代的面食品种,通称为"饼"。据《名义考》,古代凡以麦面为食,皆谓之"饼"。以火炕,称"炉饼",即今之"烧饼",以水沦,称"汤饼"(或煮饼),即今之切面、面条:蒸而食者,称"蒸饼"(或笼饼),即今之馒头、包子:绳而食者,称"环饼"(或寒具),即今之馓子。
{{cite web}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
三春之初,陰陽交際,寒氣既消,〈《北堂書鈔》卷一百四十四「消」作「除」。〉溫不至熱。
— 束皙, 湯餅賦 on Wikisource - ↑ Malouf, Greg and Lucy (2008). Turquoise: A Chef's Travels in Turkey. San Francisco: Chronicle Books. p. 244. ISBN 9780811866033.
- ↑ Rishi, Inderjeet (2012). Super Snacks: 100 Favorite Snacks from Five Continents. Trafford Publishing. p. 173. ISBN 9781466963559.
- ↑ Brown, Lindsay; Clammer, Paul; Cocks, Rodney (2008). Pakistan and the Karakoram Highway. Lonely Planet. p. 198. ISBN 9781741045420.
- ↑ Bates, Roy (2008). 29 Chinese Mysteries. Lulu.com. pp. 103–104. ISBN 9780557006199.
- ↑ Lee, Keekok (2008). Warp and Weft, Chinese Language and Culture. Strategic Book Publishing. p. 86. ISBN 9781606932476.
- ↑ cf Zhuge Liang tale; also "Shǐ huà " mán tóu " hé " bāo zǐ " yóu lái" 史話“饅頭”和“包子”由來 (ภาษาจีน).
- ↑ "Shǐ huà " mán tóu " hé " bāo zǐ " yóu lái" 史話“饅頭”和“包子”由來 (ภาษาจีน).
- ↑ Gordon, Stewart (2009). When Asia Was the World: Traveling Merchants, Scholars, Warriors, and Monks Who Created the "Riches of the "East" (Reprint ed.). Da Capo Press. p. 13. ISBN 978-0306817397.
- ↑ Malouf, Greg and Lucy (2008). Turquoise: A Chef's Travels in Turkey. San Francisco: Chronicle Books. p. 244. ISBN 9780811866033.
- ↑ Civitello, Linda (2007). Cuisine and Culture: A History of Food and People. John Wiley & Sons. p. 89. ISBN 9780471741725.
- ↑ Rishi, Inderjeet (2012). Super Snacks: 100 Favorite Snacks from Five Continents. Trafford Publishing. p. 173. ISBN 9781466963559.
- ↑ Brown, Lindsay; Clammer, Paul; Cocks, Rodney (2008). Pakistan and the Karakoram Highway. Lonely Planet. p. 198. ISBN 9781741045420.
- ↑ The East, Volumes 30-31. Tokyo: East Publications. 1994. p. 9.
- ↑ Eggs, Malcolm; Emina, Seb (2013). The Breakfast Bible. Bloomsbury Publishing. ISBN 9781408839904.
- ↑ Sukphisit, Suthon (1997). The vanishing face of Thailand: folk arts and folk culture. Post Books. p. 155. ISBN 9789742020279.
- ↑ Wong, Lee Anne (2014). Dumplings All Day Wong: A Cookbook of Asian Delights From a Top Chef. New York, New York: Macmillan. p. 51. ISBN 9781624140594.
- ↑ Bloom, Greg; Clammer, Paul; Kohn, Michael (2010). Central Asia. Lonely Planet. p. 86. ISBN 9781741791488.
- ↑ Mezhenina, Tatiana. "Close-up buryat, mongolian or chinese traditional buuz, buuza,." 123RF (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-01-12.
Stock Photo - Close-up buryat, mongolian or chinese traditional buuz, buuza, baozi. Asian steamed food made of dough and meat.
- ↑ Pettid, Michael J. (2008). Korean Cuisine: An Illustrated History. Reaktion Books. p. 98. ISBN 9781861893482.
- ↑ Tan, Jeanette (28 October 2014). "Chilli crab, mantou wow MasterChef Australia's George Calombaris in Singapore". Yahoo Asia Pacific Pte. Ltd. Yahoo Entertainment, Singapore. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2014. สืบค้นเมื่อ 28 January 2015.
- ↑ Ting, Deanna (12 December 2012). "5 Can't-Miss Singapore Dining Experiences". Successful Meetings. Northstar Travel Media LLC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2015. สืบค้นเมื่อ 28 January 2015.
- ↑ Sietsema, Robert (7 August 2012). "Chili Crab Dip With Mantou From Masak, Dish #71". Village Voice. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2015. สืบค้นเมื่อ 28 January 2015.