สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในฤดูกาล 1994–95

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 1994–95
ประธานสโมสรมาร์ติน เอ็ดเวิดส์
ผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
กัปตันทีมสตีฟ บรูซ
สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
พรีเมียร์ลีกรองแชมป์
ผู้เข้าชมในบ้านเฉลี่ย43,682 คน
สีชุดเหย้า
สีชุดเยือน
สีชุดที่ 3

ฤดูกาล 1994–95 เป็นฤดูกาลที่สามของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก และเป็นฤดูกาลที่ 20 ติดต่อกันในลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ[1]

ยูไนเต็ดได้เดวิด เมย์จากแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในช่วงต้นฤดูกาล จากนั้นพวกเขาก็ซื้อแอนดี โคลจากนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในเดือนมกราคมด้วยค่าตัวเป็นสถิติของอังกฤษในช่วงเวลานั้นที่ 7 ล้านปอนด์ (เงินสด 6 ล้านปอนด์บวกคีธ กิลเลสพี มูลค่า 1 ล้านปอนด์ในฐานะผู้เล่นที่สลับไปเล่นให้กับนิวคาสเซิล) ในเดือนนั้น เอริก ก็องโตนาได้รับใบแดงในเกมเยือนคริสตัลพาเลซ จากการยั่วยวนของแฟนพาเลซนาม แมทธิว ซิมมอนส์ ก็องโตนาหลุดจากมือของนอร์แมน เดวีส์ ขณะที่เขากำลังพาออกจากสนาม และปล่อยกังฟูคิกใส่ซิมมอนส์ ก็องโตนาถูกแบน 8 เดือนและปรับ 20,000 ปอนด์โดยสโมสรของเขาและอีก 10,000 ปอนด์โดยสมาคมฟุตบอล

หลังจากจบฤดูกาล ยูไนเต็ดได้ขายพอล อินซ์ให้กับอินเตอร์ มิลาน และมาร์ก ฮิวส์ ให้กับเชลซี ในขณะที่อังเดร แคนเชลสกี ถูกขึ้นบัญชีขายและในที่สุดก็ตกลงย้ายไปเอฟเวอร์ตัน

เหตุการณ์ในฤดูกาล[แก้]

พรีซีชั่น[แก้]

การเซ็นสัญญาครั้งสำคัญของยูไนเต็ดในช่วงปิดฤดูกาลคือ เดวิด เมย์ ปราการหลังวัย 24 ปีของแบล็กเบิร์นโรเวอส์ ด้วยค่าตัว 1.4 ล้านปอนด์[2] โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากกัปตันทีมที่มีอายุมากแล้วอย่างสตีฟ บรูซในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ซึ่งเมย์เองก็สามารถเล่นแบ็คขวาได้ด้วย[3] นอกจากนี้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังเพิ่มผู้เล่นสำรองด้วยการซื้อ แกรม ทอมลินสัน กองหน้าแบรดฟอร์ดซิตี วัย 18 ปี ด้วยค่าตัว 100,000 ปอนด์[4]

"กัปตันมาร์เวล" ไบรอัน ร็อบสันออกจากสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1993–94 หลังจาก 13 ปีที่ยูไนเต็ดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 เพื่อมาเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมของมิดเดิลส์เบรอ[5] โดยมีสตีฟ บรูซเป็นกัปตันทีมแทน เคลย์ตัน แบล็กมอร์ ผู้เล่นอีกคนที่รับใช้สโมสรมายาวนานกว่าทศวรรษ พลาดการลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาล 1993–94 เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ได้กลับมาร่วมงานกับร็อบสันอีกครั้งที่มิดเดิลส์เบรอ[6]

เลส ซีลีย์ ผู้รักษาประตูมือ 2 ย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว โดยเป็นผู้รักษาประตูให้กับยูไนเต็ด 2 ครั้งในช่วง 18 เดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1989[7] เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีม ไมค์ ฟีแลน ซึ่งเล่นตำแหน่งกองกลางมา 5 ปีหลังย้ายมาจากนอริช[8] หลังจากเริ่มต้นฤดูกาล นีล วิทเวิร์ธ[9] กองหลังและคอลิน แม็คคี กองหน้าก็มุ่งหน้าออกจากถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดเพื่อเซ็นสัญญากับคิลมาร์น็อคในสกอตติชพรีเมียร์ลีก[10]

มีการสับเปลี่ยนหมายเลขผู้เล่นภายในทีม เดวิด เมย์ สวมเสื้อหมายเลข 12 แทนที่ ไบรอัน ร็อบสัน อดีตกัปตันทีมที่ออกจากสโมสรไป

สิงหาคม[แก้]

ฤดูกาลของยูไนเต็ดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1994 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ โดยพวกเขาพบกับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในเอฟเอแชริตีชีลด์ (ปัจจุบันคือเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์) พวกเขาชนะ 2-0 จากจุดโทษของเอริก ก็องโตนา และอีกประตูจากพอล อินซ์[11] การป้องกันแชมป์ลีกของพวกเขาเริ่มต้นในอีก 6 วันต่อมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งพวกเขาพบกับควีนส์พาร์กเรนเจอส์ และคว้าชัยชนะ 2-0 เสมอ 1-1 กับนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 1-0 และสุดท้ายเปิดบ้านเอาชนะวิมเบิลดัน 3-0 โดยยูไนเต็ดรั้งอันดับ 2 เมื่อสิ้นเดือนหลังจากผ่านไป 4 นัดโดยมีเพียงนิวคาสเซิลยูไนเต็ดเท่านั้นที่นำหน้าพวกเขา[12]

กันยายน[แก้]

ความท้าทายในลีกของยูไนเต็ดยังคงดำเนินต่อไป และพวกเขาก็เริ่มความท้าทายในลีกคัพและแชมเปียนส์ลีกด้วย ในวันที่ 11 กันยายน พวกเขาแพ้นัดแรกของฤดูกาล โดยแพ้ 1-2 ให้กับลีดส์ยูไนเต็ด พวกเขายังแพ้เกมเยือนนัดถัดไปคือ แพ้ 2-3 สุดช็อกต่ออิปสวิชทาวน์ที่กำลังดิ้นรน สำหรับผู้ทำประตูให้ยูไนเต็ดในเกมนั้นคือพอล สโคลส์ กองหน้าวัย 19 ปี ซึ่งทำ 2 ประตูเมื่อ 3 วันก่อนหน้าในการแข่งขันนัดเปิดตัวในลีก คัพ รอบ 2 เลกแรกที่เวล พาร์ค ซึ่งพวกเขาเอาชนะพอร์ตเวล 2-1[13] ภารกิจแชมเปี้ยนส์ลีกของพวกเขาเริ่มต้นจากการเอาชนะ IFK โกเธบอร์กของสวีเดน 4-2 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในนัดแรกของกลุ่ม แม้ว่าพวกเขาจะเสมอแบบไร้สกอร์ในอิสตันบูลกับกาลาตาซาราย (ที่เคยเขี่ยพวกเขาตกรอบน็อคเอาท์รอบ 2 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว) ในรอบถัดมา

ตุลาคม[แก้]

เดือนตุลาคมเป็นอีกเดือนที่ผสมผสานกันสำหรับยูไนเต็ด ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 2-0 ก่อนจะแพ้ต่อเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 0-1 ในเกมถัดมา จากนั้นพวกเขาก็เปิดบ้านเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 1-0 ตามด้วย 4 วันต่อมาเสมอกับบาร์เซโลนายักษ์ใหญ่ของสเปน 2-2 ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มนัดที่สามที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จากนั้นพวกเขาเดินทางไปที่อีวูดพาร์ก พบกับคู่แข่งแย่งตำแหน่งแชมป์ลีกคือ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ภายใต้การคุมทีมของเคนนี แดลกลีช ซึ่งพวกเขาชนะ 4-2 โดยได้ 2 ประตูจากอังเดร แคนเชลสกี ปีกชาวรัสเซีย แต่พวกเขายังต้ามหลังจ่าฝูงคือนิวคาสเซิลยูไนเต็ด 7 คะแนนและรองจ่าฝูงคือนอตทิงแฮมฟอเรสต์ 5 คะแนน[14]

จากนั้นพวกเขาก็ตกรอบลีกคัพด้วยการบุกไปแพ้นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 0-2 ในรอบที่ 3 แต่ก็ล้างแค้นทีมนิวคาสเซิลในลีกได้ในอีก 3 วันต่อมาด้วยการชนะ 2-0 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งหมายความว่าพวกเขาตามหลังนิวคาสเซิ่ล 4 แต้มเมื่อสิ้นเดือน[15]

พฤศจิกายน[แก้]

พฤศจิกายนนำมาซึ่งผลงานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้สำหรับยูไนเต็ด เริ่มต้นเดือนด้วยการถล่มบาร์เซโลนา 4-0 ในแชมเปียนส์ลีก พวกเขากลับมาในลีก 4 วันต่อมาด้วยการชนะ 2-1 เหนือแอสตันวิลลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่รอน แอตกินสันอดีตผู้จัดการทีมยูไนเต็ดจะถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมวิลลา จากนั้นมาเปิดบ้านเอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 5-0 ในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บีที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่ง อังเดร แคนเชลสกี ทำแฮตทริกได้ ทำให้ไล่จี้นิวคาสเซิลซึ่งนำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกเหลือเพียง 2 แต้ม[16] พวกเขายังคว้าชัยชนะเหนือคริสตัล พาเลซ 3-0 ในเกมนัดถัดมา ซึ่งถูกบดบังด้วยอาการบาดเจ็บที่หลังของผู้รักษาประตูมือหนึ่ง พีเตอร์ สไมเกิล ซึ่งทำให้เขาต้องพักรักษาตัวใน 10 นัดถัดไปในลีก โดยผู้รักษาประตูมือ 2 แกรี วอลช์ ลงเล่นแทน และมี เควิน พิลคิงตัน ผู้รักษาประตูหนุ่มมือ 3 นั่งสแตนด์บาย[17]

ยูไนเต็ดประสบความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของฤดูกาลในวันที่ 23 พฤศจิกายน เมื่อพวกเขาออกไปเยือนโกเตนเบิร์กในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกนัดที่ 5 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 1-3 ซึ่งพอล อินซ์โดนใบแดง ผลลัพธ์ทำให้พวกเขาต้องการปาฏิหาริย์เพื่อเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ มีความเป็นไปได้หาก โกเตนเบิร์ก สามารถเอาชนะบาร์เซโลนา ในเกมนัดสุดท้ายของกลุ่มได้ เช่นเดียวกับที่ยูไนเต็ดต้องเอาชนะกาลาตาซารายที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[18]

เดือนนั้นจบลงด้วยการเสมอกันแบบไร้สกอร์กับอาร์เซนอลที่อาร์เซนอลสเตเดียม (ไฮบิวรี) ซึ่งมาร์ก ฮิวส์โดนใบแดงและพอล อินซ์ ถูกหามออกจากสนามหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจากการสกัดกั้นการยิงของยอห์น เจนเซ่น มิดฟิลด์ของอาร์เซนอลและทีมชาติเดนมาร์ก

ธันวาคม[แก้]

แม้ว่าจะเปิดบ้านเอาชนะกาลาตาซาราย 4-0 โดยได้ประตูแรกและประตูที่สองจากกองกลางดาวรุ่งอย่าง เดวิด เบ็คแคม และไซมอน เดวีส์ (อย่าสับสนกับไซมอน เดวีส์ ที่เล่นกับทอตนัมฮอตสเปอร์) พวกเขาตกรอบแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขามีสมาธิกับการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก

เดือนธันวาคมทำให้ยูไนเต็ดมีผลงานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในลีก เมื่อพวกเขาเอาชนะนอริชซิตี, ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ และเชลซี อย่างไรก็ตามพวกเขาพ่ายแพ้ในบ้านนัดแรกในรอบ 9 เดือนในวันที่ 17 ธันวาคมเมื่อพวกเขาแพ้ 1-2 ให้กับนอตทิงแฮมฟอเรสต์[19] พวกเขาทำให้โอกาสหลุดลอยอีกครั้งในวันที่ 28 ธันวาคมเมื่อพวกเขาเสมอกันในบ้าน 1-1 กับเลสเตอร์ซิตีอันดับรองสุดท้าย[20] พวกเขาจบปีด้วยการเสมอกับเซาแทมป์ตัน 2-2 ซึ่งนิคกี บัตต์กองกลางวัย 19 ปีทำประตูแรกของเขาให้ทีมชุดใหญ่

มกราคม[แก้]

ค.ศ. 1995 เริ่มต้นด้วยชัยชนะในบ้านเหนือคอเวนทรีซิตี 2-0 ในลีก ตามด้วยการเริ่มต้นภารกิจเอฟเอคัพของพวกเขาที่บรามอลล์เลน ซึ่งพวกเขาเอาชนะเชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 2-0 ในรอบที่ 3

หลังจากล้มเหลวในการคว้าตัวสแตน คอลลีมอร์[21] กองหน้าของนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ยูไนเต็ดก็ทำลายสถิติการย้ายทีมในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1995 ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ในการเซ็นสัญญาคว้าตัวแอนดี โคล กองหน้าวัย 23 ปีจากนิวคาสเซิลยูไนเต็ด โคลซึ่งเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1993-94 ด้วยจำนวน 34 ประตูและทำไปแล้ว 9 ประตูในฤดูกาล 1994-95 ทำให้ยูไนเต็ดต้องจ่ายเงินสดให้นิวคาสเซิ่ล 6 ล้านปอนด์บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกทีมชาติไอร์แลนด์เหนือที่มีมูลค่า 1 ล้านปอนด์ โดยยูไนเต็ดมอบเสื้อหมายเลข 17 ให้กับโคล[22] 5 วันต่อมา ทั้ง 2 สโมสรพบกันที่เซนต์เจมส์พาร์กในลีก แต่ผู้เล่นทั้ง 2 คนคือโคลและกิลเลสพีไม่ได้ลงสนามให้กับทีมใหม่ในการแข่งขันที่จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ยูไนเต็ดได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากมาร์ก ฮิวส์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าและไม่ได้ลงสนามจนถึงเดือนถัดมา ก่อนที่นิวคาสเซิลจะตีเสมอจากพอล คิทสัน ชายผู้เข้ามาแทนที่โคลในเกมรุกของนิวคาสเซิล

เมื่อวันที่ 22 มกราคม ยูไนเต็ดเปิดบ้านรับแบล็กเบิร์น ซึ่งยังคงเป็นจ่าฝูงของตารางที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ประตูชัยของเอริก ก็องโตนา ทำให้พวกเขาเอาชนะเกมนี้ไปได้ 1-0 ตามแบล็คเบิร์นเหลือ 2 แต้ม[23]

25 มกราคม ค.ศ. 1995 เกิด 1 ในเหตุการณ์ที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในนาทีที่ 48 ของเกมลีกที่เสมอกับคริสตัลพาเลซ 1-1 ที่เซลเฮิสต์พาร์ก เอริก ก็องโตนาโดนใบแดงจากการเตะใส่ริชาร์ด ชอว์ กองหลังของพาเลซ และจากนั้นก็ถูกแมทธิว ซิมมอนส์ซึ่งเป็นแฟนพาเลซใช้วาจาเหยียดหยาม เขาตอบกลับการเย้ยหยันด้วยการกระโดดกังฟูคิกใส่ซิมมอนส์วัย 21 ปีและแลกหมัดกัน ภายใน 48 ชั่วโมง สโมสรได้ปรับก็องโตนา 20,000 ปอนด์ ในขณะที่พาเลซสั่งห้ามซิมมอนส์เข้าสนามตลอดชีวิต และยูไนเต็ดสั่งพักก็องโตนาจากทีมชุดใหญ่ตลอดฤดูกาลที่เหลือ[24] ไม่นานสมาคมฟุตบอลได้ขยายการแบนเป็น 8 เดือน (จนถึง 30 กันยายน ค.ศ. 1995) และปรับเขาอีก 10,000 ปอนด์

ทีม[แก้]

ผู้รักษาประตู[แก้]

กองหลัง[แก้]

กองกลาง[แก้]

กองหน้า[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "Manchester United Season 1994/95". StretfordEnd.co.uk. สืบค้นเมื่อ 13 June 2008.
  2. "Sporting Heroes".
  3. "May's Days". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 December 2010. สืบค้นเมื่อ 12 May 2011.
  4. "Graeme Murdoch Tomlinson".
  5. "Manchester United Legends".
  6. "Sporting Heroes".
  7. "Sporting Heroes".
  8. "Sporting Heroes".
  9. "Neil Anthony Whitworth".
  10. "Colin McKee".
  11. "1994/95 Charity Shield".
  12. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 31st August 1994".
  13. "Yaya Toure not fit to lace Paul Scholes' boots". Manchester Evening News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-12. สืบค้นเมื่อ 2023-03-23.
  14. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 23rd October 1994".
  15. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 29th October 1994".
  16. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 10th November 1994".
  17. "Schmeichel out for six weeks". New Straits Times.
  18. "UEFA Champions League 94/95 / IFK Gothenburg vs Man Utd". Statbunker.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 August 2011. สืบค้นเมื่อ 12 May 2011.
  19. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 17th December 1994".
  20. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 28th December 1994".
  21. "Stan Collymore factfile". The Guardian. London. 7 March 2001.
  22. "Hot shot Cole Now a Red Devil". New Straits Times.
  23. "F.A. Carling Premiership 1994/1995. Historical league standings at 22nd January 1995".
  24. "1995: Cantona banned over attack on fan". BBC News. 27 January 1995.