สันเขาเก้าสิบองศาตะวันออก

สันเขาเก้าสิบองศาตะวันออก (อังกฤษ: Ninety East Ridge, Ninetyeast Ridge, 90E Ridge, หรือ 90°E Ridge) เป็นสันเขาใต้ทะเลในมหาสมุทรอินเดีย มีชื่อเรียกเนื่องจากแนวสันเขาเรียงเป็นเส้นตรงเกือบจะขนานกับเส้นเมริเดียนที่ 90 องศาตะวันออกใกล้กับกึ่งกลางซีกโลกตะวันออก สันเขามีความยาวเหนือลงใต้ประมาณ 5,000 กิโลเมตร (3,100 ไมล์) เมื่อดูตามแผนที่ภูมิประเทศมีลักษณะทอดยาวตั้งแต่อ่าวเบงกอลจนถึงสันเขาอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตามสันเขามีส่วนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เนินตะกอนรูปพัดก้นสมุทรเบงกอล วางตัวทอดยาวจากเส้นขนานที่ 31 องศาใต้ถึงเส้นขนานที่ 9 องศาเหนือ ความกว้างเฉลี่ย 200 กิโลเมตร (120 ไมล์)[1] สันเขาแบ่งมหาสมุทรอินเดียเป็นสองฝั่งระหว่างตะวันออกและตะวันตก มหาสมุทรที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสันเขามีชื่อเรียกทางภูมิศาสตร์ว่าแอ่งวาร์ตัน และมีจุดสิ้นสุดที่สุดแนวตะวันตกของแนวรอยแตกไดอาแมนทินา ซึ่งผ่านทางตะวันออกและขอบสุดของทวีปออสเตรเลีย[2]
ข้อมูล
[แก้]สันเขาประกอบด้วยหินบะซอลต์โธเลอิติกเป็นหลักซึ่งเป็นหินบะซอลต์ชนิดหนึ่ง อายุหินของสันเขาอยู่ระหว่าง 43.2 ± 0.5 ล้านปีก่อน ใหม่สุดอยู่ทางตอนใต้และ 81.8 ± 2.6 ล้านปีก่อน เก่าที่สุดอยู่ทางตอนเหนือ[3] จากการวิคราะห์โดยเทคนิคการหาอายุโดยอาร์กอน-อาร์กอน พบว่ามีอายุระหว่าง 77 ล้านปีก่อน ที่ 5 องศาเหนือถึง 43 ล้านปีก่อน ที่ 31 องศาใต้[4] และจากการวิจัยที่ใหม่กว่าพบว่าอยู่ระหว่าง 82 ถึง 37 ล้านปีก่อน[5]: 1178 จากลักษณะอายุหินของเทือกเขาทำให้นักธรณีวิทยาตั้งทฤษฎีว่าจุดร้อนในเนื้อโลกใต้แผ่นอินโด-ออสเตรเลียได้สร้างสันเขาขึ้นและต่อมาแผ่นเปลือกโลกเลื่อนไปทางเหนือตอนช่วงปลายมหายุคมีโซโซอิกและมหายุคซีโนโซอิก ทฤษฎีดังกล่าวมีข้อสนับสนุนโดยการวิเคราะห์ทางเคมีกับที่ราบสูงเคเกอเลนและหินบะซอลต์รูปขั้นบันไดราชมหัล ซึ่งเป็นที่ราบสูงหินบะซอลต์ ที่มาจากการประทุของจุดร้อนเคเกอเลน ซึ่งต่อมาเลือนตัวแนวเฉือนแบ่งออกเป็นสองฝั่งตามการเคลื่อนตัวขึ้นเหนือของอนุทวีปอินเดีย[3] อย่างไรก็ตามพื้นที่สันเขามีลักษณะเป็นจุดร้อนเนื่องจากเป็นแนวแยกตัวระหว่างแผ่นอินเดียกับแผ่นออสเตรเลีย[6]: 411–12 สันเขาเก้าสิบองศาตะวันออกไม่มีเส้นไอโซโทปิคที่ต่างกันอย่างเป็นระเบียบตามแนวสันเขาทำให้ไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ว่ามีธารแมนเทิลเก่าเกิดขึ้นกระจายตามแนวสันเขา[5]: 1177 แต่มีแหล่งแมนเทิลจุดร้อนอย่างน้อยสามแห่งที่ทำให้เกิดชั้นบะซอลต์ของสันเขา[5]: 1177 เป็นผลให้เกิดข้ออธิบายที่ว่ามีจุดร้อนสองแห่งที่ต่างกันทำให้เกิดสันเขา และสันเขาเป็นแนวแยกตัวของแผ่นเปลือกโลกโบราณซึ่งมีการไหลปะทุของชั้นแมนเทิลที่ลึกลงไป[5]: 1177 [7][8]: 131
การสำรวจ
[แก้]สันเขาได้รับการสำรวจหลายครั้งในอดีตเช่นโครงการดีปซีดริลลิงโปรแกรม (DSDP) ในปี 2007 การสำรวจของเรืออาร์วี โรเจอร์ รีเวลล์ เก็บข้อมูลชั้นความลึกของน้ำ สนามแม่เหล็ก และคลื่นแผ่นดินไหว ร่วมกับตัวอย่างขุดลอกโคลนจากเก้าแห่งตามสันเขาในโครงการโครงการอินทิเกรตเต็ดโอเชียนดริลลิงโปรแกรม (IODP) ได้ทำการสำรวจเป็นจุด ๆ เพื่อวิเคราะห์สมมุติฐานจุดร้อนของสันเขา[9]
การกำเนิด
[แก้]เป็นที่เข้าใจกันว่าแผ่นอินเดียและแผ่นออสเตรเลียเคยเป็นแผ่นเปลือกโลกแผ่นเดียวกันมาก่อนจนถึงเมื่อ 32 ล้านปีก่อน อย่างไรก็ตามจากสถิติแผ่นดินไหวขนาดใหญ่บริเวณพื้นที่สันเขาและหลักฐานการแปรทางธรณีในมหาสมุทรอินเดียตอนกลาง ทำให้สรุปได้ว่ามหาสมุทรอินเดียตอนกลางเป็นแนวทวีปขนาดใหญ่ที่มีการแยกตัวของแผ่นอินเดียและแผ่นออสเตรเลีย[1][10]
บรรพชีวินวิทยา
[แก้]ช่วงปลายสมัยพาลีโอซีนเมื่อ 60 ล้านปีก่อน บางส่วนของสันเขาเก้าสิบองศาตะวันออกเคยเป็นเกาะภูเขาไฟที่โผล่พ้นน้ำประมาณ 2–3 ล้านปี มีระยะห่างประมาณ 1,000 กิโลเมตร (600 ไมล์) จากแผ่นดินที่ใกล้ที่สุด จากการสำรวจโดยการขุดเจาะพบละอองเรณูและเศษผิวเคลือบพืช พรรณพืชที่พบมีลักษณะคล้ายกับที่พบในทวีปออสเตรเลียและแอนตาร์กติกามากกว่าอนุทวีปอินเดีย[11]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 Stein, S.; Okal, W. A. (1974). "Seismicity and Tectonics of the Ninetyeast Ridge Area: Evidence for Internal Deformation of the Indian Plate" (PDF). Journal of Geophysical Research. 83 (B5): 2233. Bibcode:1978JGR....83.2233S. doi:10.1029/jb083ib05p02233. สืบค้นเมื่อ 23 May 2015.
- ↑ Stow, D. A. V. (2006) Oceans : an illustrated reference Chicago : University of Chicago Press, ISBN 0-226-77664-6 – page 127 for map of Indian Ocean and ridges.
- 1 2 Weis, D.; และคณะ (1993). "The Influence of Mantle Plumes in Generation of Indian Oceanic Crust". Synthesis of Results from Scientific Drilling in the Indian Ocean. Geophysical Monograph Series. Vol. 70. pp. 57–89. Bibcode:1992GMS....70...57W. doi:10.1029/gm070p0057. ISBN 9781118668030.
- ↑ Frey, F.A.; Pringle, M.; Meleney, P.; Huang, S.; Piotrowski, A. (March 2011). "Diverse mantle sources for Ninetyeast Ridge magmatism: Geochemical constraints from basaltic glasses". Earth and Planetary Science Letters. 303 (3–4): 215–224. Bibcode:2011E&PSL.303..215F. doi:10.1016/j.epsl.2010.12.051.
- 1 2 3 4 Nobre Silva, IG; Weis, D; Scoates, JS; Barling, J (2013). "The Ninetyeast Ridge and its relation to the Kerguelen, Amsterdam and St. Paul hotspots in the Indian Ocean". Journal of Petrology. 54 (6): 1177–1210. doi:10.1093/petrology/egt009.
- ↑ Gaina, C; Müller, RD; Brown, BJ; Ishihara, T (2003). "Microcontinent formation around Australia". ใน Hillis, RR; Müller, RD (บ.ก.). Evolution and Dynamics of the Australian Plate (PDF). Geological Society of Australia Special Publication 22 and Geological Society of America Special Paper 372. pp. 405–516. สืบค้นเมื่อ 2023-11-14.
- ↑ Sreejith, KM; Krishna, KS (28 February 2015). "Magma production rate along the Ninetyeast Ridge and its relationship to Indian plate motion and Kerguelen hot spot activity". Geophysical Research Letters. 42 (4): 1105–12. doi:10.1002/2014GL062993.
- ↑ Bredow, E; Steinberger, B (16 January 2018). "Variable melt production rate of the Kerguelen hotspot due to long‐term plume‐ridge interaction". Geophysical Research Letters. 45 (1): 126–136. doi:10.1002/2017GL075822. hdl:10852/70913.
- ↑ "Seismic Project Information KNOX06RR Ninetyeast Ridge IODP Survey". The University of Texas at Austin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-10. สืบค้นเมื่อ 2016-07-07.
- ↑ Van Orman, J.; Cochran, J. R.; Weissel, J. K.; Jestin, F. (1995). "Distribution of shortening between the Indian and Australian plates in the central Indian Ocean". Earth and Planetary Science Letters. 133 (1–2): 35–46. Bibcode:1995E&PSL.133...35V. CiteSeerX 10.1.1.508.956. doi:10.1016/0012-821x(95)00061-g.
- ↑ Carpenter, Raymond J.; Truswell, Elizabeth M.; Harris, Wayne K. (2010-03-02). "Lauraceae fossils from a volcanic Palaeocene oceanic island, Ninetyeast Ridge, Indian Ocean: ancient long-distance dispersal?: Indian Ocean Lauraceae fossils". Journal of Biogeography (ภาษาอังกฤษ). 37 (7): 1202–1213. doi:10.1111/j.1365-2699.2010.02279.x. S2CID 83060879.