ข้ามไปเนื้อหา

สังคมประสานกลมกลืน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สังคมประสานกลมกลืน
อักษรจีนตัวเต็ม和諧社會
อักษรจีนตัวย่อ和谐社会

สังคมประสานกลมกลืน (เรียกอีกอย่างว่า สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม) เป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์สังคมในประเทศจีนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มขึ้นในสังคมจีนแผ่นดินใหญ่อันเป็นผลมาจากความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไร้การควบคุม ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม ดังนั้นปรัชญาการปกครองจึงเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับความเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวมาเป็นการสร้างสมดุลและความประสานกลมกลืนโดยรวมในสังคม[1] ควบคู่ไปกับสังคมรุ่งเรืองปานกลาง สังคมประสานกลมกลืนถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล

แนวคิดเรื่องสังคมประสานกลมกลืนมีต้นกำเนิดย้อนไปถึงจีนโบราณในยุคของขงจื๊อ ด้วยเหตุนี้ ปรัชญานี้จึงถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิขงจื๊อสมัยใหม่ด้วย[2][3][4] ในสมัยปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้พัฒนามาเป็นส่วนสำคัญของอุดมการณ์ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา อุดมการณ์หลักของหู จิ่นเทา อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แนวคิดดังกล่าวถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดยคณะบริหารหู–เวินในสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 10 ในช่วงกลางทศวรรษ 2000

การส่งเสริม "สังคมประสานกลมกลืน" แสดงให้เห็นว่าปรัชญาการปกครองของหู จิ่นเทาได้เบี่ยงเบนไปจากบรรพบุรุษของเขา เมื่อใกล้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งใน ค.ศ. 2011 หูดูเหมือนจะขยายอุดมการณ์ดังกล่าวไปสู่มิติระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งกล่าวกันว่าจะนำไปสู่ "โลกที่ประสานกลมกลืน" (harmonious world)

ประวัติศาสตร์

[แก้]

แนวคิดเรื่องความกลมกลืนในวัฒนธรรมจีนมาจากดนตรี ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก การอภิปรายเรื่องดนตรีเฟื่องฟูภายใต้อิทธิพลของขงจื๊อและสำนักความคิดที่เขาก่อตั้งขึ้น รู้จักในชื่อลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบดนตรีจีนยุคแรกสุด ฉิน

ดนตรีฉินแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของความกลมกลืนผ่านเทคนิคต่าง ๆ เช่น ระดับแรงกดและความเร็วของจังหวะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหยินและหยาง รวมถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันในสี่ฤดูกาล การประสานเสียงในระดับปานกลางช่วยรักษาระเบียบที่สมบูรณ์แบบและการจัดการองค์ประกอบที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ให้อยู่ในชิ้นงานดนตรีที่พอเหมาะพอดีถือเป็นเสียงที่ดีที่สุด[5] หนึ่งในงานเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของหรู เจีย (หรือที่รู้จักกันในนามคัมภีร์ดนตรี) ได้กล่าวไว้ว่า:[6]

เมื่อผู้ปกครองยุคแรกสร้างหลี่ (พิธีกรรม) และเยฺว่ (ดนตรี) ขึ้นมา จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่เพื่อตอบสนองปาก ท้อง หู และตา หากแต่เพื่อสอนให้ผู้คนรู้จักควบคุมความชอบและความเกลียดชังของตน และนำพวกเขากลับคืนสู่แนวทางที่ถูกต้องในชีวิต

ตามแนวคิดของขงจื๊อ ดนตรีมีพลังในการเปลี่ยนแปลงผู้คนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นและเป้าหมายของดนตรีคือการสร้างความสมดุลภายในตัวบุคคล ธรรมชาติ และสังคม การนำผู้คน "กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้องในชีวิต" ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงบทบาทนำทางของดนตรีเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงอำนาจของผู้ปกครองด้วย "อารมณ์' ที่ถูกต้องถูกกำหนดโดยประมุขแห่งรัฐ จักรพรรดิ โอรสแห่งสวรรค์"[6]:12 อำนาจของผู้ปกครองสะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของอารยธรรมจีน รัฐหรือผู้ปกครองมีบทบาทพิเศษในการดูแลประชาชน แต่สิ่งที่ทำให้รัฐบาลจีนแตกต่างจากรัฐบาลอื่น ๆ คือทัศนคติที่เคารพของประชาชน ซึ่งมองว่ารัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อันที่จริงแล้วรัฐบาลผู้ปกครองก็คือ "หัวหน้าครอบครัว ผู้เฒ่า"[7] ดังนั้นชาวจีนจึงมองหารัฐบาลเพื่อเป็นผู้นำทาง เปรียบเสมือนการฟังพ่อซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้วเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงจากสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว นอกจากนี้ "อีกหนึ่งธรรมเนียมที่สนับสนุนการควบคุมดนตรีของรัฐคือการที่ชาวจีนคาดหวัง 'ข้อความ' ที่เป็นคำพูด"[6]:14 "ข้อความที่เป็นคำพูด" คือความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของผู้คน ในการเข้าถึง "ข้อความที่เป็นคำพูด" นั้นจำเป็นต้องตีความคำพูดและถามตัวเองว่าการตอบสนองที่ต้องการหรือคาดหวังคืออะไร ธรรมเนียมการตีความคำพูดของชาวจีนทำให้รัฐบาลหรือ "พ่อ" ซึ่งได้รับความสนใจและความเคารพมากกว่า สามารถส่งต่อความต้องการของตนผ่านบทเพลงได้ง่ายขึ้น[ต้องการอ้างอิง]

บริบททางการเมือง

[แก้]

แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" (Socialist Harmonious Society) เป็นทิศทางใหม่ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจระหว่างเจียง เจ๋อหมินและหู จิ่นเทา แม้ผิวเผินแล้ว "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" จะดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่มีนักวิชาการหลายคนเชื่อว่าหู จิ่นเทา เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ มีวิสัยทัศน์ที่จะปฏิรูปการเมืองของจีนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น[8] นอกจากนี้ แนวคิดเรื่องการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ยังให้ความสำคัญกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยการเติบโตอย่างยั่งยืนคือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่หมายถึง GDP อยู่ในระดับศักยภาพ (กล่าวคือ ผลผลิตทั้งหมดที่ผลิตขึ้นถูกบริโภคและไม่มีภาวะว่างงานตามวัฏจักร) เป็นเวลาหลายปีต่อจากนี้[ต้องการอ้างอิง]

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดเรื่องสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมยังเป็นการตอบสนองต่อปัญหาความไม่เสมอภาคทางสังคมและช่องว่างความมั่งคั่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการทันที อาจนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมและแม้กระทั่งความวุ่นวายได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่องว่างความมั่งคั่งกว้างขึ้นคือความอยุติธรรมทางสังคม ซึ่งมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการสมรู้ร่วมคิดนี้ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อที่ดินจากเกษตรกรและนำไปขายในราคาสูงได้ นอกจากนี้ ด้วยการคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เจ้าของเหมืองถ่านหินเอกชนจึงละเลยกฎระเบียบด้านความปลอดภัยเพื่อลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้มีคนงานเหมืองหลายพันคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ[9]

ตั้งแต่การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา ผู้นำจีนมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพ การให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและการเปิดกว้างของเลขาธิการใหญ่หู จิ่นเทาคือรูปแบบหลักที่กล่าวถึงในหนังสือ The J Curve: A New Way to Understand Why Nations Rise and Fall โดยเอียน เบรมเมอร์ ตามทฤษฎีของเบรมเมอร์ รัฐบาลจีนกำลังพยายามอย่างรอบคอบที่จะหลีกเลี่ยงความไร้เสถียรภาพ ด้วยการไม่กระโดดข้ามจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ไปสู่การเปิดกว้างอย่างเต็มที่ในอีกด้านหนึ่ง "ทฤษฎีเส้นโค้งตัว J" สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาการเมืองของประเทศส่วนใหญ่และนำเสนอทางเลือกระหว่างเสถียรภาพกับการเปิดกว้าง แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" นั้นถูกกล่าวถึงว่าครอบคลุมองค์ประกอบทั้งสองส่วนของแบบจำลองนี้ ดังนั้น "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" ของหู จิ่นเทาจึงมีนัยยะสำคัญในการจัดตั้งการปฏิรูปการเมืองควบคู่ไปกับการปกป้องความยุติธรรมและความเสมอภาคทางสังคม[ต้องการอ้างอิง]

การตีความใหม่

[แก้]

ในช่วงต้น ค.ศ. 2011 สองปีก่อนที่หู จิ่นเทาจะก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้เดินทางเยือนสหรัฐ หนึ่งในสาระสำคัญของการเยือนครั้งนั้นคือแนวคิดเรื่องสันติภาพและความร่วมมือที่ว่า: "จีนและสหรัฐมีอิทธิพลสำคัญต่อกิจการระหว่างประเทศและมีภาระหน้าที่สำคัญในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพโลกและส่งเสริมการพัฒนาร่วมกัน"[10] นอกจากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองของรัฐแล้ว ประธานาธิบดีหูยังเยี่ยมชมสภาธุรกิจสหรัฐ–จีน, โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของจีนในรัฐโอไฮโอ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาวิทยาลัยวอลเตอร์ เพย์ตันในชิคาโก/สถาบันขงจื๊อแห่งชิคาโกด้วย เมื่อถูกถามถึงความแตกต่างระหว่างสหรัฐและจีนที่วอลเตอร์ เพย์ตัน หู จิ่นเทาตอบว่า "จีนและสหรัฐมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ระบบสังคมและระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน แต่ประชาชนของทั้งสองประเทศล้วนรักสันติและมุ่งมั่นในการพัฒนา ผมหวังว่ามิตรภาพระหว่างสองชาติของเราจะคงอยู่ตลอดไป[11]

ในการเตรียมตัวก่อนจะเกษียณอายุนั้น หู จิ่นเทานำเสนอแนวคิดเรื่องความกลมกลืนให้แก่อเมริกา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสันติภาพ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนด้วย "ซอฟต์พาวเวอร์"[ต้องการอ้างอิง]

นอกเหนือจากการใช้ซอฟต์พาวเวอร์แล้ว ผู้นำจีนยังใช้แนวคิด "เงาของอนาคต" ด้วย: ที่โรงเรียนมัธยม หู จิ่นเทากล่าวกับนักเรียนว่า "เยาวชนคืออนาคตของชาติและความหวังของโลก อนาคตความสัมพันธ์จีน-สหรัฐอยู่ในกำมือของเยาวชนของทั้งสองประเทศ"[11]

สหรัฐมีท่าทีแข็งกร้าวต่อการผงาดขึ้นของจีน[12] ความเหมาะสมของท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้เป็นที่ถกเถียงกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการเมืองในช่วงที่มีการเลือกตั้งของอเมริกา ในระหว่างการเยือนของหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีบารัก โอบามาให้ความมั่นใจกับจีนว่าสหรัฐกำลังกลับมาแสดงบทบาทในฐานะมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกและในมหาสมุทรแปซิฟิก[13] สหรัฐได้เพิ่มการแสดงตนทางทหารและการเมืองในแปซิฟิกอย่างเห็นได้ชัดผ่านการส่งกำลังทหารไปประจำการในออสเตรเลียและการใช้แรงกดดันทางการทูต/การทหารในข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ในช่วงต้น ค.ศ. 2012[ต้องการอ้างอิง]

ข้อวิจารณ์และเสียดสี

[แก้]

ในช่วงแรก ประชาชนมีปฏิกิริยาเชิงบวกต่อแนวคิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า "สังคมประสานกลมกลืน" ได้กลายเป็นคำที่ใช้หลีกเลี่ยงการพูดถึง "เสถียรภาพไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม" และมีนักวิจารณ์หลายคนออกมาแสดงความเห็น[ใคร?] รัฐบาลมักใช้แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืน" เพื่อเป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้เห็นต่างและการควบคุมข้อมูลอย่างเข้มงวดในประเทศจีน[ต้องการอ้างอิง] นักวิจารณ์สังคมบางคนชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่ว่าในขณะที่พยายามสร้าง "สังคมประสานกลมกลืน" ประเทศกลับมีความยุติธรรมน้อยลง มีความไม่เสมอภาคมากขึ้น และไม่เป็นธรรมมากขึ้น[14] ขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางส่วนของหู จิ่นเทากล่าวว่าการนำแนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" ไปใช้ในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย[15] เฉิง ลี่ นักวิชาการด้านจีนศึกษา กล่าวว่าความล้มเหลวของหู จิ่นเทาในการดำเนินโครงการสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมถือเป็น "ข้อผิดพลาดร้ายแรงที่สุด" ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง[15] นักวิจารณ์ได้อ้างถึงช่องว่างความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น งบประมาณความมั่นคงภายในที่สูงขึ้น และการทุจริตอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมของรัฐว่าเป็นหลักฐานที่แสดงว่าสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมล้มเหลวในทางปฏิบัติ[15]

ปูแม่น้ำ

[แก้]

ศัพท์ "ปูแม่น้ำ" (จีน: 河蟹; พินอิน: héxiè) ได้ถูกนำมาใช้เป็นแสลงอินเทอร์เน็ตในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่ออ้างถึงการตรวจพิจารณาอินเทอร์เน็ต คำว่าปูแม่น้ำมีเสียงพ้องกับคำว่า "กลมกลืน" ในภาษาจีนกลาง นอกจากนี้ คำว่ากลมกลืนเองก็ยังสามารถเป็นคำกริยาเชิงสัญลักษณ์แทนคำว่า "ตรวจพิจารณา" ได้ ส่วนใหญ่มักหมายถึงโพสต์ในฟอรัมที่ถูกลบไปเนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือการตรวจพิจารณาเรื่องราวที่รายงานประเด็นอ่อนไหวในสื่อ สิ่งที่ถูกตรวจพิจารณาในลักษณะนี้มักถูกเรียกว่า "ถูกทำให้กลมกลืน" (被和谐了)[16]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "China's Party Leadership Declares New Priority: 'Harmonious Society'". The Washington Post. October 12, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 9, 2018. สืบค้นเมื่อ 2011-01-20.
  2. Guo And Guo (15 August 2008). China in Search of a Harmonious Society. Lexington Books. ISBN 978-0-7391-3042-1.
  3. Bell, Daniel A. (September 14, 2006). "China's leaders rediscover Confucianism - Editorials & Commentary - International Herald Tribune". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2018. สืบค้นเมื่อ February 22, 2017.
  4. RošKer, Jana S. (2013-11-29). "The Concept of Harmony in Contemporary P. R. China and in Modern Confucianism". Asian Studies. 1 (2): 3–20. doi:10.4312/as.2013.1.2.3-20. ISSN 2350-4226.
  5. Ko, Yi-Fang. 2006. "Confucianism in Qin Music." Chinese Music 29(2):32–39.
  6. 1 2 3 Arnold, Perris. 1983. "Music as Propaganda: Art at the Command of Doctrine in the People's Republic of China." Ethnomusicology 27(1):1–28.
  7. Jacques, Martin. 2010. "Understanding the Rise of China" (video). London: TED.
  8. Geis, John and Blaine Holt. 2009. "'Harmonious Society' Rise of the New China." Strategic Studies Quarterly 3(4):75–94.
  9. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ 20061011atimes
  10. Johnson, Ian. January 18, 2011. "China's Leader Has Message of Harmony, but Limited Agenda. เก็บถาวร เมษายน 24, 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." The New York Times.
  11. 1 2 "President Hu Jintao Paid a Visit to the Confucius Institute in Chicago News." เก็บถาวร สิงหาคม 1, 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Hanban.org. January 27, 2011.
  12. Coco, Orazio (6 Apr 2020). "Contemporary China and the "Harmonious" World Order in the Age of Globalization". The Chinese Journal of Global Governance. 6 (1): 1–19. doi:10.1163/23525207-12340044.
  13. Fallows, James. “A Final State Dinner Note.” เก็บถาวร มีนาคม 23, 2024 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Atlantic, January 20, 2011.
  14. Hu, Xingdou. "胡星斗:建议取消"和谐社会"的提法". New Century News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2012. สืบค้นเมื่อ 2011-08-11.
  15. 1 2 3 Li, Cheng; Eve Cary (December 20, 2011). "The Last Year of Hu's Leadership: Hu's to Blame?". Jamestown Foundation: China Brief. 11 (23). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2013. สืบค้นเมื่อ January 2, 2012.
  16. "Why China censors banned Winnie the Pooh". BBC. July 17, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2023. สืบค้นเมื่อ 2024-05-11.

แม่แบบ:Hu Jintaoแม่แบบ:Communism