สังคมประสานกลมกลืน
| สังคมประสานกลมกลืน | |||||||||
| อักษรจีนตัวเต็ม | 和諧社會 | ||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| อักษรจีนตัวย่อ | 和谐社会 | ||||||||
| |||||||||
สังคมประสานกลมกลืน (เรียกอีกอย่างว่า สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม) เป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์สังคมในประเทศจีนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มขึ้นในสังคมจีนแผ่นดินใหญ่อันเป็นผลมาจากความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไร้การควบคุม ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม ดังนั้นปรัชญาการปกครองจึงเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับความเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวมาเป็นการสร้างสมดุลและความประสานกลมกลืนโดยรวมในสังคม[1] ควบคู่ไปกับสังคมรุ่งเรืองปานกลาง สังคมประสานกลมกลืนถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
แนวคิดเรื่องสังคมประสานกลมกลืนมีต้นกำเนิดย้อนไปถึงจีนโบราณในยุคของขงจื๊อ ด้วยเหตุนี้ ปรัชญานี้จึงถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิขงจื๊อสมัยใหม่ด้วย[2][3][4] ในสมัยปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้พัฒนามาเป็นส่วนสำคัญของอุดมการณ์ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา อุดมการณ์หลักของหู จิ่นเทา อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แนวคิดดังกล่าวถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดยคณะบริหารหู–เวินในสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 10 ในช่วงกลางทศวรรษ 2000
การส่งเสริม "สังคมประสานกลมกลืน" แสดงให้เห็นว่าปรัชญาการปกครองของหู จิ่นเทาได้เบี่ยงเบนไปจากบรรพบุรุษของเขา เมื่อใกล้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งใน ค.ศ. 2011 หูดูเหมือนจะขยายอุดมการณ์ดังกล่าวไปสู่มิติระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งกล่าวกันว่าจะนำไปสู่ "โลกที่ประสานกลมกลืน" (harmonious world)
ประวัติศาสตร์
[แก้]แนวคิดเรื่องความกลมกลืนในวัฒนธรรมจีนมาจากดนตรี ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก การอภิปรายเรื่องดนตรีเฟื่องฟูภายใต้อิทธิพลของขงจื๊อและสำนักความคิดที่เขาก่อตั้งขึ้น รู้จักในชื่อลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบดนตรีจีนยุคแรกสุด ฉิน
ดนตรีฉินแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของความกลมกลืนผ่านเทคนิคต่าง ๆ เช่น ระดับแรงกดและความเร็วของจังหวะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหยินและหยาง รวมถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันในสี่ฤดูกาล การประสานเสียงในระดับปานกลางช่วยรักษาระเบียบที่สมบูรณ์แบบและการจัดการองค์ประกอบที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ให้อยู่ในชิ้นงานดนตรีที่พอเหมาะพอดีถือเป็นเสียงที่ดีที่สุด[5] หนึ่งในงานเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของหรู เจีย (หรือที่รู้จักกันในนามคัมภีร์ดนตรี) ได้กล่าวไว้ว่า:[6]
เมื่อผู้ปกครองยุคแรกสร้างหลี่ (พิธีกรรม) และเยฺว่ (ดนตรี) ขึ้นมา จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่เพื่อตอบสนองปาก ท้อง หู และตา หากแต่เพื่อสอนให้ผู้คนรู้จักควบคุมความชอบและความเกลียดชังของตน และนำพวกเขากลับคืนสู่แนวทางที่ถูกต้องในชีวิต
ตามแนวคิดของขงจื๊อ ดนตรีมีพลังในการเปลี่ยนแปลงผู้คนให้มีความเจริญยิ่งขึ้นและเป้าหมายของดนตรีคือการสร้างความสมดุลภายในตัวบุคคล ธรรมชาติ และสังคม การนำผู้คน "กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้องในชีวิต" ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงบทบาทนำทางของดนตรีเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงอำนาจของผู้ปกครองด้วย "อารมณ์' ที่ถูกต้องถูกกำหนดโดยประมุขแห่งรัฐ จักรพรรดิ โอรสแห่งสวรรค์"[6]: 12 อำนาจของผู้ปกครองสะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของอารยธรรมจีน รัฐหรือผู้ปกครองมีบทบาทพิเศษในการดูแลประชาชน แต่สิ่งที่ทำให้รัฐบาลจีนแตกต่างจากรัฐบาลอื่น ๆ คือทัศนคติที่เคารพของประชาชน ซึ่งมองว่ารัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อันที่จริงแล้วรัฐบาลผู้ปกครองก็คือ "หัวหน้าครอบครัว ผู้เฒ่า"[7] ดังนั้นชาวจีนจึงมองหารัฐบาลเพื่อเป็นผู้นำทาง เปรียบเสมือนการฟังพ่อซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้วเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงจากสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว นอกจากนี้ "อีกหนึ่งธรรมเนียมที่สนับสนุนการควบคุมดนตรีของรัฐคือการที่ชาวจีนคาดหวัง 'ข้อความ' ที่เป็นคำพูด"[6]: 14 "ข้อความที่เป็นคำพูด" คือความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของผู้คน ในการเข้าถึง "ข้อความที่เป็นคำพูด" นั้นจำเป็นต้องตีความคำพูดและถามตัวเองว่าการตอบสนองที่ต้องการหรือคาดหวังคืออะไร ธรรมเนียมการตีความคำพูดของชาวจีนทำให้รัฐบาลหรือ "พ่อ" ซึ่งได้รับความสนใจและความเคารพมากกว่า สามารถส่งต่อความต้องการของตนผ่านบทเพลงได้ง่ายขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
บริบททางการเมือง
[แก้]แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" (Socialist Harmonious Society) เป็นทิศทางใหม่ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจระหว่างเจียง เจ๋อหมินและหู จิ่นเทา แม้ผิวเผินแล้ว "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" จะดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่มีนักวิชาการหลายคนเชื่อว่าหู จิ่นเทา เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ มีวิสัยทัศน์ที่จะปฏิรูปการเมืองของจีนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น[8] นอกจากนี้ แนวคิดเรื่องการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ยังให้ความสำคัญกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยการเติบโตอย่างยั่งยืนคือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่หมายถึง GDP อยู่ในระดับศักยภาพ (กล่าวคือ ผลผลิตทั้งหมดที่ผลิตขึ้นถูกบริโภคและไม่มีภาวะว่างงานตามวัฏจักร) เป็นเวลาหลายปีต่อจากนี้[ต้องการอ้างอิง]
ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดเรื่องสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมยังเป็นการตอบสนองต่อปัญหาความไม่เสมอภาคทางสังคมและช่องว่างความมั่งคั่ง ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการทันที อาจนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมและแม้กระทั่งความวุ่นวายได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่องว่างความมั่งคั่งกว้างขึ้นคือความอยุติธรรมทางสังคม ซึ่งมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการสมรู้ร่วมคิดนี้ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อที่ดินจากเกษตรกรและนำไปขายในราคาสูงได้ นอกจากนี้ ด้วยการคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เจ้าของเหมืองถ่านหินเอกชนจึงละเลยกฎระเบียบด้านความปลอดภัยเพื่อลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้มีคนงานเหมืองหลายพันคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ[9]
ตั้งแต่การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา ผู้นำจีนมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพ การให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและการเปิดกว้างของเลขาธิการใหญ่หู จิ่นเทาคือรูปแบบหลักที่กล่าวถึงในหนังสือ The J Curve: A New Way to Understand Why Nations Rise and Fall โดยเอียน เบรมเมอร์ ตามทฤษฎีของเบรมเมอร์ รัฐบาลจีนกำลังพยายามอย่างรอบคอบที่จะหลีกเลี่ยงความไร้เสถียรภาพ ด้วยการไม่กระโดดข้ามจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ไปสู่การเปิดกว้างอย่างเต็มที่ในอีกด้านหนึ่ง "ทฤษฎีเส้นโค้งตัว J" สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาการเมืองของประเทศส่วนใหญ่และนำเสนอทางเลือกระหว่างเสถียรภาพกับการเปิดกว้าง แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" นั้นถูกกล่าวถึงว่าครอบคลุมองค์ประกอบทั้งสองส่วนของแบบจำลองนี้ ดังนั้น "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" ของหู จิ่นเทาจึงมีนัยยะสำคัญในการจัดตั้งการปฏิรูปการเมืองควบคู่ไปกับการปกป้องความยุติธรรมและความเสมอภาคทางสังคม[ต้องการอ้างอิง]
การตีความใหม่
[แก้]ในช่วงต้น ค.ศ. 2011 สองปีก่อนที่หู จิ่นเทาจะก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้เดินทางเยือนสหรัฐ หนึ่งในสาระสำคัญของการเยือนครั้งนั้นคือแนวคิดเรื่องสันติภาพและความร่วมมือที่ว่า: "จีนและสหรัฐมีอิทธิพลสำคัญต่อกิจการระหว่างประเทศและมีภาระหน้าที่สำคัญในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพโลกและส่งเสริมการพัฒนาร่วมกัน"[10] นอกจากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองของรัฐแล้ว ประธานาธิบดีหูยังเยี่ยมชมสภาธุรกิจสหรัฐ–จีน, โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของจีนในรัฐโอไฮโอ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาวิทยาลัยวอลเตอร์ เพย์ตันในชิคาโก/สถาบันขงจื๊อแห่งชิคาโกด้วย เมื่อถูกถามถึงความแตกต่างระหว่างสหรัฐและจีนที่วอลเตอร์ เพย์ตัน หู จิ่นเทาตอบว่า "จีนและสหรัฐมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ระบบสังคมและระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน แต่ประชาชนของทั้งสองประเทศล้วนรักสันติและมุ่งมั่นในการพัฒนา ผมหวังว่ามิตรภาพระหว่างสองชาติของเราจะคงอยู่ตลอดไป[11]
ในการเตรียมตัวก่อนจะเกษียณอายุนั้น หู จิ่นเทานำเสนอแนวคิดเรื่องความกลมกลืนให้แก่อเมริกา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสันติภาพ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนด้วย "ซอฟต์พาวเวอร์"[ต้องการอ้างอิง]
นอกเหนือจากการใช้ซอฟต์พาวเวอร์แล้ว ผู้นำจีนยังใช้แนวคิด "เงาของอนาคต" ด้วย: ที่โรงเรียนมัธยม หู จิ่นเทากล่าวกับนักเรียนว่า "เยาวชนคืออนาคตของชาติและความหวังของโลก อนาคตความสัมพันธ์จีน-สหรัฐอยู่ในกำมือของเยาวชนของทั้งสองประเทศ"[11]
สหรัฐมีท่าทีแข็งกร้าวต่อการผงาดขึ้นของจีน[12] ความเหมาะสมของท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้เป็นที่ถกเถียงกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการเมืองในช่วงที่มีการเลือกตั้งของอเมริกา ในระหว่างการเยือนของหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีบารัก โอบามาให้ความมั่นใจกับจีนว่าสหรัฐกำลังกลับมาแสดงบทบาทในฐานะมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกและในมหาสมุทรแปซิฟิก[13] สหรัฐได้เพิ่มการแสดงตนทางทหารและการเมืองในแปซิฟิกอย่างเห็นได้ชัดผ่านการส่งกำลังทหารไปประจำการในออสเตรเลียและการใช้แรงกดดันทางการทูต/การทหารในข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ในช่วงต้น ค.ศ. 2012[ต้องการอ้างอิง]
ข้อวิจารณ์และเสียดสี
[แก้]ในช่วงแรก ประชาชนมีปฏิกิริยาเชิงบวกต่อแนวคิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า "สังคมประสานกลมกลืน" ได้กลายเป็นคำที่ใช้หลีกเลี่ยงการพูดถึง "เสถียรภาพไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม" และมีนักวิจารณ์หลายคนออกมาแสดงความเห็น[ใคร?] รัฐบาลมักใช้แนวคิด "สังคมประสานกลมกลืน" เพื่อเป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้เห็นต่างและการควบคุมข้อมูลอย่างเข้มงวดในประเทศจีน[ต้องการอ้างอิง] นักวิจารณ์สังคมบางคนชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่ว่าในขณะที่พยายามสร้าง "สังคมประสานกลมกลืน" ประเทศกลับมีความยุติธรรมน้อยลง มีความไม่เสมอภาคมากขึ้น และไม่เป็นธรรมมากขึ้น[14] ขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางส่วนของหู จิ่นเทากล่าวว่าการนำแนวคิด "สังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยม" ไปใช้ในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย[15] เฉิง ลี่ นักวิชาการด้านจีนศึกษา กล่าวว่าความล้มเหลวของหู จิ่นเทาในการดำเนินโครงการสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมถือเป็น "ข้อผิดพลาดร้ายแรงที่สุด" ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง[15] นักวิจารณ์ได้อ้างถึงช่องว่างความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น งบประมาณความมั่นคงภายในที่สูงขึ้น และการทุจริตอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมของรัฐว่าเป็นหลักฐานที่แสดงว่าสังคมประสานกลมกลืนแบบสังคมนิยมล้มเหลวในทางปฏิบัติ[15]
ปูแม่น้ำ
[แก้]ศัพท์ "ปูแม่น้ำ" (จีน: 河蟹; พินอิน: héxiè) ได้ถูกนำมาใช้เป็นแสลงอินเทอร์เน็ตในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่ออ้างถึงการตรวจพิจารณาอินเทอร์เน็ต คำว่าปูแม่น้ำมีเสียงพ้องกับคำว่า "กลมกลืน" ในภาษาจีนกลาง นอกจากนี้ คำว่ากลมกลืนเองก็ยังสามารถเป็นคำกริยาเชิงสัญลักษณ์แทนคำว่า "ตรวจพิจารณา" ได้ ส่วนใหญ่มักหมายถึงโพสต์ในฟอรัมที่ถูกลบไปเนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือการตรวจพิจารณาเรื่องราวที่รายงานประเด็นอ่อนไหวในสื่อ สิ่งที่ถูกตรวจพิจารณาในลักษณะนี้มักถูกเรียกว่า "ถูกทำให้กลมกลืน" (被和谐了)[16]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "China's Party Leadership Declares New Priority: 'Harmonious Society'". The Washington Post. October 12, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 9, 2018. สืบค้นเมื่อ 2011-01-20.
- ↑ Guo And Guo (15 August 2008). China in Search of a Harmonious Society. Lexington Books. ISBN 978-0-7391-3042-1.
- ↑ Bell, Daniel A. (September 14, 2006). "China's leaders rediscover Confucianism - Editorials & Commentary - International Herald Tribune". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2018. สืบค้นเมื่อ February 22, 2017.
- ↑ RošKer, Jana S. (2013-11-29). "The Concept of Harmony in Contemporary P. R. China and in Modern Confucianism". Asian Studies. 1 (2): 3–20. doi:10.4312/as.2013.1.2.3-20. ISSN 2350-4226.
- ↑ Ko, Yi-Fang. 2006. "Confucianism in Qin Music." Chinese Music 29(2):32–39.
- 1 2 3 Arnold, Perris. 1983. "Music as Propaganda: Art at the Command of Doctrine in the People's Republic of China." Ethnomusicology 27(1):1–28.
- ↑ Jacques, Martin. 2010. "Understanding the Rise of China" (video). London: TED.
- ↑ Geis, John and Blaine Holt. 2009. "'Harmonious Society' Rise of the New China." Strategic Studies Quarterly 3(4):75–94.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ20061011atimes - ↑ Johnson, Ian. January 18, 2011. "China's Leader Has Message of Harmony, but Limited Agenda. เก็บถาวร เมษายน 24, 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." The New York Times.
- 1 2 "President Hu Jintao Paid a Visit to the Confucius Institute in Chicago News." เก็บถาวร สิงหาคม 1, 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Hanban.org. January 27, 2011.
- ↑ Coco, Orazio (6 Apr 2020). "Contemporary China and the "Harmonious" World Order in the Age of Globalization". The Chinese Journal of Global Governance. 6 (1): 1–19. doi:10.1163/23525207-12340044.
- ↑ Fallows, James. “A Final State Dinner Note.” เก็บถาวร มีนาคม 23, 2024 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Atlantic, January 20, 2011.
- ↑ Hu, Xingdou. "胡星斗:建议取消"和谐社会"的提法". New Century News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2012. สืบค้นเมื่อ 2011-08-11.
- 1 2 3 Li, Cheng; Eve Cary (December 20, 2011). "The Last Year of Hu's Leadership: Hu's to Blame?". Jamestown Foundation: China Brief. 11 (23). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2013. สืบค้นเมื่อ January 2, 2012.
- ↑ "Why China censors banned Winnie the Pooh". BBC. July 17, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2023. สืบค้นเมื่อ 2024-05-11.