ข้ามไปเนื้อหา

สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน
มุมมองทางอากาศของสะพาน
เส้นทางถนนคอสเวย์บูเลอวาร์ด 4 ช่องจราจร
ข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน
ที่ตั้งแมเทรี และแมนเดอวิลล์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา
ชื่ออื่นคอสเวย์
ผู้ดูแลคณะกรรมการคอสเวย์
ข้อมูลจำเพาะ
ประเภทสะพานโครงค้ำระดับต่ำพร้อมสะพานยกช่วงกลาง
ความยาว23.875 ไมล์ (38.442 กิโลเมตร)
เคลียร์ตอนบน15 ฟุต
ประวัติ
วันเปิด30 สิงหาคม ค.ศ. 1956 (มุ่งใต้)
10 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 (มุ่งเหนือ)
สถิติ
การจราจรโดยเฉลี่ย43,000[1]
ค่าผ่าน$6.00 (มุ่งใต้)
ที่ตั้ง
แผนที่
ปลายด้านใต้ของคอสเวย์ที่แมเทรี รัฐลุยเซียนา ใน ค.ศ. 1998

สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน (ฝรั่งเศส: Chaussée du lac Pontchartrain; อังกฤษ: Lake Pontchartrain Causeway) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า คอสเวย์[2] เป็นเส้นทางเชื่อมต่อที่ประกอบด้วยสะพานคู่ขนานสองแห่งที่ข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา สะพานที่ยาวกว่ามีความยาว 23.83 ไมล์ (38.35 กิโลเมตร) ปลายทางทิศใต้ของสะพานอยู่ที่แมเทรี รัฐลุยเซียนา และปลายทางทิศเหนืออยู่ที่แมนเดอวิลล์ รัฐลุยเซียนา ทั้งสองแห่งอยู่ในเขตมหานครนิวออร์ลีนส์

สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนถือครองบันทึกสถิติโลกกินเนสส์สำหรับช่วงสะพานเหนือน้ำต่อเนื่องที่ยาวที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้เคยถูกบันทึกว่าเป็นสะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุดในโลก กระทั่งใน ค.ศ. 2011 หลังการเปิดสะพานข้ามอ่าวเจียวโจวชิงเต่าในประเทศจีน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์สร้างสองประเภทสำหรับสะพานเหนือน้ำขึ้นมาใหม่ ได้แก่ สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนจึงกลายเป็นสะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุด (ต่อเนื่อง) ขณะที่สะพานข้ามอ่าวเจียวโจวกลายเป็นสะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุด (รวม)[3][4]

สะพานรองรับด้วยเสาเข็มคอนกรีต 9,500 ต้น[5] สะพานทั้งสองมีช่วงสะพานยก (bascule) ซึ่งทอดข้ามช่องเดินเรือ 8 ไมล์ (13 กิโลเมตร) ทางใต้ของชายฝั่งด้านเหนือ

ประวัติศาสตร์

[แก้]

แนวคิดเรื่องสะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนย้อนกลับไปในต้นศตวรรษที่ 19 โดยแบร์นาร์ด เดอ มาริญญี ผู้ก่อตั้งเมืองแมนเดอวิลล์ เขาเริ่มบริการเรือข้ามฟากซึ่งยังคงดำเนินการต่อมาจนถึงกลางทศวรรษ 1930 ข้อเสนอหนึ่งเรียกร้องให้มีการสร้างเกาะเทียมซึ่งจะเชื่อมกันด้วยสะพานหลายชุด การจัดหาเงินทุนสำหรับแผนนี้มาจากการขายที่ดินสำหรับบ้านบนเกาะ สะพานปัจจุบันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างใน ค.ศ. 1948 เมื่อเออร์เนสต์ เอ็ม. โลบ จูเนียร์จินตนาการถึงโครงการนี้ ด้วยการวิ่งเต้นและวิสัยทัศน์ของเขา สภานิติบัญญัติรัฐลุยเซียนาจึงก่อตั้งสิ่งที่ปัจจุบันคือคณะกรรมการคอสเวย์ (Causeway Commission) บริษัท Louisiana Bridge Company ถูกตั้งขึ้นเพื่อก่อสร้างสะพาน ซึ่งแต่งตั้งเจมส์ อี. วอลเตอส์ ซีเนียร์เป็นผู้อำนวยการโครงการ[6] เออร์เนสต์ เอ็ม. โลบได้รับความช่วยเหลือจากหลานชายของเขา คือ เออร์เนสต์ เอ็ม. โลบที่ 3 ประธานบริษัท Ernest M. Loëb & Company ในการวางแผนการก่อสร้างสะพาน[7]

ภาพถ่ายดาวเทียม สะพานแมนเชกสวอมป์สามารถมองเห็นได้ทางด้านซ้าย
มุ่งหน้าไปทางเหนือบนสะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน

สะพานดั้งเดิมเป็นสองช่องจราจร มีความยาว 23.86 ไมล์ (38.40 กิโลเมตร) เปิดใช้งานใน ค.ศ. 1956 ด้วยงบประมาณ 46 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 340 ล้านดอลลาร์ในปี 2023) นี่ไม่รวมถึงแค่สะพานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงถนนเชิงลาดสามสายทางฝั่งเหนือและถนนยาวอีกเส้นทางฝั่งใต้[8]

วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1966 มีผู้เสียชีวิต 6 คนเมื่อเรือบรรทุกสินค้าชนจนสะพานขาดเป็นช่อง และรถโดยสารพุ่งตกลงไปในทะเลสาบ[9]

สะพานคู่ขนานสองช่องจราจร ซึ่งยาวกว่าของเดิม 0.01 ไมล์ (16 เมตร) เปิดใช้งานในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 ด้วยเงินงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 170 ล้านดอลลาร์ในปี 2023)[8]

สะพานนี้เปิดใช้งานโดยเก็บค่าผ่านทางมาโดยตลอด กระทั่ง ค.ศ. 1999 มีการเก็บค่าผ่านทางจากรถที่วิ่งทั้งสองทิศทาง เพื่อลดความแออัดบริเวณฝั่งใต้ จึงยกเลิกการเก็บค่าผ่านทางบนสะพานฝั่งขาขึ้นเหนือ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1999 ค่าผ่านทางมาตรฐานสำหรับรถยนต์เปลี่ยนจาก 1.50 ดอลลาร์สำหรับแต่ละทิศทางเป็น 3 ดอลลาร์ที่เก็บจากฝั่งเหนือสำหรับรถที่วิ่งลงใต้[ต้องการอ้างอิง] ใน ค.ศ. 2017 ค่าผ่านทางถูกปรับขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงความปลอดภัยของสะพาน โดยเปลี่ยนจาก 3.00 ดอลลาร์สำหรับเงินสดและ 2.00 ดอลลาร์สำหรับบัตรผ่านทางเป็น 5.00 ดอลลาร์สำหรับเงินสดและ 3.00 ดอลลาร์สำหรับบัตรผ่านทาง[10]

การเปิดใช้สะพานช่วยส่งเสริมฐานะของชุมชนเล็ก ๆ ทางเหนือให้ดีขึ้นโดยลดระยะเวลาการเดินทางเข้าสู่นิวออร์ลีนส์ได้ถึง 50 นาที ทำให้ฝั่งเหนือกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตมหานครนิวออร์ลีนส์ ก่อนหน้าที่จะมีสะพาน ชาวเมืองเซนต์แทมมานีแพริชจะใช้สะพานไมส์ตรีบนทางหลวงสหรัฐหมายเลข 11 หรือสะพานริโกเลตส์บนทางหลวงสหรัฐหมายเลข 90 ทั้งสองแห่งอยู่ใกล้เมืองสไลเดลล์ รัฐลุยเซียนา หรือทางฝั่งตะวันตกจะใช้ทางหลวงสหรัฐหมายเลข 51 ผ่านเมืองแมนเชก รัฐลุยเซียนา[11]

หลังจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเมื่อ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2005 วิดีโอที่รวบรวมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายของสะพาน ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากพายุไม่ได้สูงเท่าใต้สะพานนี้เมื่อเทียบกับบริเวณใกล้สะพานคู่อินเตอร์สเตต-10 และความเสียหายส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่จุดกลับรถ[12] มีช่วงสะพานทั้งหมด 17 ช่วงที่หายไปบนสะพานนั้นแต่[12] โครงสร้างฐานรากยังคงไม่เสียหาย สะพานนี้ไม่เคยได้รับความเสียหายร้ายแรงจากพายุเฮอร์ริเคนหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นใดเลย เป็นเรื่องที่หาได้ยากในบรรดาสะพานข้ามทะเลสาบ ด้วยความที่สะพานคู่อินเตอร์สเตต-10 ได้รับความเสียหายอย่างหนัก สะพานนี้จึงถูกใช้เป็นเส้นทางหลักสำหรับทีมกู้ภัยที่พักอยู่ในพื้นที่ทางเหนือเพื่อเข้าไปยังนิวออร์ลีนส์ สะพานนี้เปิดให้สัญจรสำหรับรถฉุกเฉินก่อน จากนั้นจึงเปิดให้ประชาชนทั่วไปสัญจรได้โดยระงับการเก็บค่าผ่านทางในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2005 การเก็บค่าผ่านทางกลับมาดำเนินอีกครั้งในช่วงกลางเดือนตุลาคมปีนั้น

สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนฝั่งขาลงใต้
สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน

สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนเป็นหนึ่งในเจ็ดสะพานทางหลวงในรัฐลุยเซียนาที่มีความยาวรวม 5 ไมล์ (8.0 กิโลเมตร) หรือมากกว่านั้น สะพานอื่น ๆ เรียงตามลำดับจากยาวไปสั้นที่สุด ได้แก่ สะพานแมนเชกสวอมป์บน อินเตอร์สเตต 55, สะพานอัตชาฟาลายาเบซินบนอินเตอร์สเตต 10, สะพานทางหลวงรัฐลุยเซียนาหมายเลข 1, สะพานบอนเน็ตคาร์เรสปิลเวย์บนอินเตอร์สเตต 10, สะพานชาคาฮูลาสวอมป์บนทางหลวงสหรัฐหมายเลข 90, สะพานคู่ข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนบนอินเตอร์สเตต 10 และสะพานลาบรันช์เว็ตแลนส์บนอินเตอร์สเตต 310 สะพานไมส์ตรีเกือบถึง แต่สั้นกว่าประมาณ 0.2 ไมล์หรือประมาณ 4.8 ไมล์ (7.7 กิโลเมตร) ลุยเซียนาเป็นที่ตั้งของสะพานนอร์ฟอล์กเซาเทิร์นเลกพอนต์ชาร์เทรน ซึ่งมีความยาว 5.8 ไมล์ (9.3 กิโลเมตร) ทำให้เป็นหนึ่งในสะพานทางรถไฟที่ยาวที่สุดในสหรัฐ

ปลายด้านใต้ของสะพานแมนเชกสวอป์ (อยู่ทางขอบตะวันตกของทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน) คือปลายด้านตะวันตกของสะพานบอนเน็ตคาร์เรสปิลเวย์บนอินเตอร์สเตต 10 (อยู่ทางขอบด้านตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรน) และส่วนปลายด้านเหนือของสะพานลาบรันช์เว็ตแลนส์คือปลายด้านตะวันออกของสะพานบอนเน็ตคาร์เรสปิลเวย์บนอินเตอร์สเตต 10 ดังนั้นสะพานทั้งสามนี้ เมื่อเรียกชื่อแล้ว แท้จริงคือสะพานเดียวกันที่ต่อเนื่องกัน ระยะทางขับรถทั้งหมดบนถนนยกระดับที่ต่อเนื่องกันนั้นยาวกว่า 38 ไมล์ (61 กิโลเมตร)

สะพานนี้ได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่สำคัญทางวิศวกรรมโยธาแห่งชาติโดยสมาคมวิศวกรโยธาอเมริกันใน ค.ศ. 2013[13]

ความขัดแย้งเรื่องบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 

[แก้]

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนได้รับการจัดอันดับโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นสะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุดในโลก ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 สะพานอ่าวเจียวโจวในประเทศจีนได้รับการบันทึกโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็น 'สะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุด'[4] ในเวลานั้นมีความขัดแย้งบางอย่างในสหรัฐเนื่องจากผู้สนับสนุนอดีตเจ้าของสถิติคือสะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนไม่เห็นด้วยกับบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ที่ไม่เรียกสะพานนี้ว่ายาวที่สุด[14] ผู้สนับสนุนอ้างสิทธิ์นี้โดยยึดตามคำจำกัดความของตนเอง นั่นคือความยาวของสะพานที่อยู่เหนือน้ำจริงและสรุปว่าสะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนมีความยาว 23.79 ไมล์ (38.28 กิโลเมตร)[14] และด้วยเหตุนี้จึงเป็นสะพานที่ยาวที่สุด สะพานอ่าวเจียวโจวข้ามน้ำเพียง 16.1 ไมล์ (25.9 กิโลเมตร) อย่างไรก็ตาม บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ โดยใช้เกณฑ์การวัดที่รวมโครงสร้างรวม เช่น สะพานบกที่ปลายทั้งสองข้างและอุโมงค์ใต้ทะเล ระบุว่าสะพานอ่าวเจียวโจวมีความยาว 26.5 ไมล์ (42.6 กิโลเมตร)[4] หลังความขัดแย้งนี้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 บันทึกสถิติโลกกินเนสส์สร้างสองประเภทสำหรับสะพานเหนือน้ำ ได้แก่ ความยาวต่อเนื่องและรวมเหนือน้ำ สะพานข้ามทะเลสาบพอนต์ชาร์เทรนจึงกลายเป็นสะพานเหนือน้ำที่ยาวที่สุด (ต่อเนื่อง)[3] ขณะที่สะพานอ่าวเจียวโจวกลายเป็นสะพานเหนทอน้ำที่ยาวที่สุด (รวม)[4]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Christine Harvey, New Orleans Times-Picayune. "Causeway lighting project cost double expectations". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-15. สืบค้นเมื่อ 2007-02-22.
  2. "The Causeway website". สืบค้นเมื่อ March 21, 2013.
  3. 1 2 "Longest bridge over water (continuous)". Guinness World Records (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2019-02-01.
  4. 1 2 3 4 "Longest bridge over water (aggregate length)". Guinness World Records (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2019-02-01.
  5. "PILE RESTORATION OF THE LAKE PONTCHARTRAIN CAUSEWAY" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-11-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  6. "The History of the Lake Pontchartrain Causeway" (PDF). louisianacivilengineeringconference.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2012-01-14.
  7. Loeb, Ernest. "Life and Times of Ernest M Loeb III".
  8. 1 2 "Safety Improvements | Causeway Bridge". Causeway Bridge (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-20. สืบค้นเมื่อ 2017-05-19.
  9. "6 Die in Lake Pontchartrain as Bus Plunges Off Bridge Hit by Barges". New York Times. 17 June 1964. p. 1.
  10. "Toll Tags | Causeway Bridge Tolls & Fees". Causeway Bridge (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2017-05-19.
  11. "The History of the Lake Pontchartrain Causeway" (PDF). louisianacivilengineeringconference.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2012-01-14.
  12. 1 2 Reginald DesRoches, PhD, บ.ก. (2007). Hurricane Katrina: Performance of Transportation Systems. Reston, VA: ASCE, TCLEE. ISBN 978-0-7844-0879-7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-03.
  13. Rhoden, Robert (9 November 2013). "Lake Pontchartrain Causeway named National Historic Civil Engineering Landmark". The Times-Picayune. สืบค้นเมื่อ 30 January 2021.
  14. 1 2 Bob Warren (June 30, 2011). "Causeway refuses to relinquish 'world's longest bridge' title to China". The Times-Picayune. สืบค้นเมื่อ 1 July 2011.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

แผนที่เส้นทาง:

แม่แบบ:Bridge footer