ข้ามไปเนื้อหา

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-
อเล็กซานเดอร์
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ในปี 2556
พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์
ครองราชย์30 เมษายน พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน
(12 ปี 79 วัน)
พิธีขึ้นครองราชย์30 เมษายน พ.ศ. 2556
ก่อนหน้าสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์
รัชทายาทเจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา
นายกรัฐมนตรีมาร์ก รึตเตอ
ดิก สโคฟ
พระราชสมภพ27 เมษายน พ.ศ. 2510 (58 พรรษา)
ยูเทรกต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์
คู่อภิเษกสมเด็จพระราชินีมักซิมา
(สมรส พ.ศ. 2545)
พระราชบุตร
พระนามเต็ม
วิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ ครอส จอร์จ เฟอร์ดินานด์
ราชวงศ์
พระราชบิดาเจ้าชายเคลาส์
พระราชมารดาสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์
ศาสนาโปรเตสแตนต์
ลายพระอภิไธย
การศึกษามหาวิทยาลัยไลเดิน (doctorandus)
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
แผนก/สังกัด
ประจำการพ.ศ. 2528 – 2556
ชั้นยศ

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์[1] (ดัตช์: Willem-Alexander; พระราชสมภพ 27 เมษายน พ.ศ. 2510) หรือพระนามเต็ม วิลเลิม อเล็กซานเดอร์ คลอส จอร์จ เฟอร์ดินานด์ (ดัตช์: Willem-Alexander Claus George Ferdinand) เป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์พระราชสมภพ ณ ยูเทรกต์ ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา (พระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา) เป็นพระโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และเจ้าชายเคลาส์ มีพระอนุชา 2 พระองค์คือ เจ้าชายฟริโซและเจ้าชายคอนสแตนติน อเล็กซิออส พระองค์ได้รับพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งออเรนจ์ในฐานะรัชทายาทหลังจากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 พระองค์เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนประถมและมัธยมของรัฐและศึกษาต่อระดับชั้นเตรียมอุดมศึกษาในวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่งในเวลส์ พระองค์เข้ารับราชการในกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเข้ารับการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไลเดิน พระองค์อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีมักซิมา ในปี 2545 และมีพระธิดา 3 พระองค์คือ เจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา เจ้าหญิงอะเลกซียา และเจ้าหญิงอารียาน พระองค์ขึ้นครองราชย์หลังการสละราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 โดยพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ชายพระองค์แรกของเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่การสวรรคตของพระเจ้าวิลเลิมที่ 3 (พระปัยยิกา) ในปี 2433 โดยก่อนหน้านี้มีพระมหากษัตริย์หญิง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินา (พระทัยยิกา) สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา (พระอัยยิกา) และสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ (พระมารดา) ครองราชย์ต่อเนื่องกัน

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์มีความสนพระทัยเกี่ยวกับกีฬาและประเด็นด้านการจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างประเทศ ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ พระองค์เป็นสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (พ.ศ. 2541 – 2556)[2] ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านทรัพยากรน้ำต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของเนเธอร์แลนด์ (พ.ศ. 2547 – 2556)[3] และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านน้ำและสุขาภิบาลของเลขาธิการสหประชาชาติ (พ.ศ. 2549 – 2556)[4][5]

พระชนม์ชีพช่วงต้น

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ (ซ้าย) เมื่อพระชนมายุ 14 พรรษา และเจ้าชายฟริโซแห่งออเรนจ์-นัสเซา (ขวา) ในปี 2525

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์พระราชสมภพเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2510 ณ Academic Hospital Utrecht (ปัจจุบันคือ University Medical Center Utrecht) ยูเทรกต์ เป็นพระโอรสพระองค์แรกของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และเจ้าชายเคลาส์ ทำให้พระองค์เป็นรัชทายาทลำดับแรกของราชบัลลังก์เนเธอร์แลนด์ในขณะนั้น[6] และเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาและเจ้าชายแบร์นฮาร์ท พระองค์ยังเป็นเจ้าชายพระองค์แรกของราชวงศ์เนเธอแลนด์ที่ประสูตินับตั้งแต่การประสูติของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ เมื่อปี 2394 และเป็นรัชทายาทโดยตรงเพศชายพระองค์แรกนับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์เมื่อปี 2427

ตั้งแต่พระราชสมภพสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าชายแห่งเนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Prins der Nederlanden) เจ้าชายแห่งออเรนจ์-นัสเซา และ Jonkheer of Amsberg[6] พระองค์รับศีลจุ่มในฐานะสมาชิกของ Dutch Reformed Church[7] เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2510[8]ในโบสถ์ Saint Jacob ที่เดอะเฮก[9] พระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์ของพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายแบร์นฮาร์ทแห่งลิพเพอ-บีสเทอร์เฟ็ลท์ (พระอัยกา) บารอนเนสกอซตา ฟอน เดม บุสส์เช-เฮดเดนฮัวเซน (พระอัยยิกาฝ่ายพระบิดา) Prince Ferdinand von Bismarck อดีตนายกรัฐมนตรี Jelle Zijlstra Jonkvrouw Renée Röell และสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก[8]

พระองค์มีพระอนุชา 2 พระองค์คือ เจ้าชายฟริโซ (พ.ศ. 2511 – 2556) และเจ้าชายคอนสตันติน (ประสูติ พ.ศ. 2512) พระองค์ประทับร่วมกับครอบครัว ณ ปราสาท Drakensteyn ในหมู่บ้าน Lage Vuursche ไม่ไกลจาก Baarn ตั้งแต่พระราชสมภพจนถึงปี 2524 ก่อนจะย้ายไปยังพระราชวัง Huis ten Bosch เดอะเฮก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ในปี 2523 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์พระมารดาของพระองค์ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาพระอัยกาสละราชสมบัติ ส่งผลให้พระองค์ได้รับพระอิสริยยศเจ้าชายแห่งออเรนจ์ในฐานะรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์เนเธอร์แลนด์ ขณะมีพระชนมายุ 13 พรรษา[6]

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนประถมของรัฐ Nieuwe Baarnse Elementary School, Baarn ตั้งแต่ปี 2516 ถึง 2522 ต่อมาทรงศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยม 2 แห่ง ได้แก่ Baarns Lyceum, Baarn ระหว่างปี 2522 ถึง 2524 และ Eerste Vrijzinnig Christelijk Lyceum เดอะเฮก ระหว่างปี 2524 ถึง 2526 หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อที่วิทยาลัยเตรียมอุดมศึกษาเอกชน Atlantic College ประเทศเวลส์ ระหว่างปี 2526 ถึง 2528 ซึ่งพระองค์ได้รับวุฒิบัตร International Baccalaureate ที่นั่น[6][10]

หลังจากเสร็จสิ้นการรับราชการทหารตั้งแต่ปี 2528 ถึง 2530 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงเข้ารับการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไลเดิน ตั้งแต่ปี 2530 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท (doctorandus) ในปี 2536[11][12] พระองค์ได้เขียนวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ "การตอบสนองของเนเธอร์แลนด์ต่อการตัดสินใจของฝรั่งเศสภายใต้ประธานาธิบดีชาร์ล เดอ โกลในการถอนตัวจากโครงสร้างการบังคับบัญชารวมของเนโท"[6]

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงพูดภาษาอังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมัน (ซึ่งเป็นภาษาแม่ของพระบิดา) นอกเหนือจากภาษาดัตช์ซึ่งเป็นภาษาแม่ของพระองค์[13]

ประสบการณ์ทางทหาร

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ในเครื่องแบบนายทหารเรือเมื่อปี 2529

ช่วงเวลาระหว่างหลังจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและก่อนเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528 จนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2530 โดยทรงเข้ารับการฝึกที่วิทยาลัยทหารเรือเนเธอร์แลนด์ และบนเรือฟรีเกต HNLMS Tromp และ HNLMS Abraham Crijnssen ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารฝึกหัด ต่อมาในปี 2531 พระองค์ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติมบนเรือ HNLMS Van Kinsbergen และได้รับพระราชทานยศเป็นร้อยโทชั้นผู้น้อย (wachtofficier)[14]

ในฐานะทหารกองหนุนของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ พระองค์ได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาโทในปี 2538 เป็นนาวาเอกในปี 2540 เป็นพันโทเรือในปี 2544 และเป็นพลเรือตรีในปี 2548 สำหรับกองทัพบกเนเธอร์แลนด์ พระองค์ได้รับพระราชทานยศเป็นพันตรี (กรมทหารรักษาพระองค์ Grenadiers และ Rifles) ในปี 2538 ต่อมาได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโทในปี 2540 เป็นพันเอกในปี 2544 และเป็นนายพลจัตวาในปี 2548 สำหรับกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ พระองค์ทรงดำรงยศเป็นหัวหน้าฝูงบินในปี 2538 และได้รับการเลื่อนยศเป็นพลอากาศจัตวาในปี 2548 ส่วนในกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของเนเธอร์แลนด์ (Royal Marechaussee) พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายพลจัตวาในปีเดียวกัน[10]

ก่อนพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ในปี 2556 พระองค์ทรงได้รับการปลดประจำการอย่างเป็นเกียรติจากกองทัพ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ประกาศว่า ประมุขแห่งรัฐไม่อาจดำรงตำแหน่งนายทหารประจำการได้ เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชากองทัพ อย่างไรก็ตาม ในฐานะกษัตริย์ พระองค์ทรงสามารถฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารพร้อมเครื่องหมายประจำพระองค์ได้ แต่จะไม่ทรงใช้เครื่องหมายยศทางทหารเดิมอีก[15]

พระราชกรณียกิจช่วงต้นและความสนพระทัยด้านสังคม

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซิมาเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และทรงพบกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมิเชลล์ โอบามา และเอกอัครราชทูต Fay Hartog-Levinทำเนียบขาว เมื่อปี 2552

ตั้งแต่ปี 2528 เมื่อทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกคณะองคมนตรีแห่งเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดทางการเมืองของประเทศ โดยมีประมุขแห่งรัฐ (ในขณะนั้นคือสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์) ทรงดำรงตำแหน่งประธาน[16]

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงสนพระทัยในประเด็นด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและการกีฬา โดยทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยน้ำในศตวรรษที่ 21 และองค์อุปถัมภ์ของความร่วมมือด้านน้ำโลก (Global Water Partnership) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยธนาคารโลก องค์การสหประชาชาติ และกระทรวงการพัฒนาของสวีเดน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องน้ำและสุขาภิบาล [17]

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซิมาเสด็จไปยังวิลเลมสตัด เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส เพื่อทรงร่วมพิธีการยุติสถานะของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสในนามของสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชมารดาของพระองค์

พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ จนถึงปี 2541 ซึ่งเป็นปีที่ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ต่อมาเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งสมาชิก และทรงได้รับเหรียญทองโอลิมปิกออร์เดอร์ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 125 ของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล[18] เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2471 ที่จัดขึ้น ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม พระองค์ได้ทรงแสดงการสนับสนุนต่อการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2571[19]

พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการกำกับดูแลของธนาคารกลางแห่งเนเธอร์แลนด์ และเป็นสมาชิกในสภาที่ปรึกษาขององค์กรอีซีพี ซึ่งเป็นเวทีเพื่อสังคมสารสนเทศระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ทั้งยังทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของวันทหารผ่านศึกแห่งชาติ และทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์หรือมีบทบาทในองค์กรอื่น ๆ อีกหลายแห่ง[20]

พระมหากษัตริย์

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงพบกับ มาร์ก รึตเตอ (นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์) อเล็คซันเดอร์ ฟัน แดร์ เบ็ลเลิน (ประธานาธิบดีออสเตรีย) และ Isaac Herzog (ประธานาธิบดีอิสราเอล) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2567

เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ได้มีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติ และในช่วงเช้าของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 (วันควีนส์เดย์) พระองค์ได้ลงพระนามในพระราชโองการสละราชสมบัติ ณ ห้องโมเสส (Moseszaal) ในพระราชวังหลวง กรุงอัมสเตอร์ดัม ต่อมาในช่วงบ่าย สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ได้ทรงรับการประกาศขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการในพิธีเฉลิมฉลอง ณ โบสถ์ Nieuwe Kerk เบื้องหน้ารัฐสภาเนเธอร์แลนด์ซึ่งประชุมร่วมกันทั้งสองสภา

ในฐานะกษัตริย์ พระองค์ทรงพบหารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำทุกสัปดาห์ และทรงสนทนากับรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการอยู่เสมอ พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาทุกฉบับ รวมทั้งทรงเป็นผู้แทนราชอาณาจักรทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา พระองค์ทรงพระราชทานพระราชดำรัสเปิดประชุม ซึ่งเป็นการประกาศแนวนโยบายของรัฐบาลประจำปีรัฐสภา ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กษัตริย์ต้องเป็นผู้แต่งตั้ง ปลด และสาบานตนรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการทุกคน นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะองคมนตรี ซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาล แม้ว่าโดยปฏิบัติในปัจจุบัน กษัตริย์จะไม่ทรงเป็นประธานในการประชุมโดยสม่ำเสมอ[21]

ขณะทรงขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุ 46 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนม์น้อยที่สุดในยุโรปในขณะนั้น ปัจจุบันทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนม์น้อยเป็นอันดับ 3 รองจากสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 10 แห่งเดนมาร์กและสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน ทั้งนี้ พระองค์ยังเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่การสวรรคตของพระเจ้าวิลเลิมที่ 3 ผู้เป็นพระอัยกาทวด ในปี 2433 และทรงเป็นหนึ่งใน 4 พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ในปี 2556 ร่วมกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เชคตะมีม บิน ฮะมัด บิน เคาะลีฟะฮ์ อาล ษานี แห่งกาตาร์ และสมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม

ประสบการณ์และความสนพระทัยด้านการบินและกีฬา

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์พร้อมครอบครัวของพระองค์ ณ โอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2555 โดยพระองค์และครอบครัวกำลังพระราชทานกำลังใจ Ellen van Dijk

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์เป็นนักบินที่ทรงหลงใหลการบิน และพระองค์เคยตรัสว่า "หากมิได้เป็นพระราชวงศ์ พระองค์คงจะเลือกเป็นนักบินสายการบินพาณิชย์ เพื่อที่จะได้ขับเครื่องบินขนาดใหญ่ในเส้นทางระหว่างประเทศ เช่น โบอิง 747"[22] ระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ พระราชมารดา พระองค์ทรงขับเครื่องบินพระที่นั่งของราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ในการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นประจำ[23] กระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงเปิดเผยว่า พระองค์เคยทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วยบนเที่ยวบินของสายการบินเคแอลเอ็มมานานถึง 21 ปี โดยทรงขับเครื่องบิน Fokker 70 ของ KLM Cityhopper เดือนละ 2 ครั้ง แม้หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วก็ตาม ต่อมาเมื่อเคแอลเอ็มทยอยปลดประจำการเครื่องบิน Fokker 70 พระองค์จึงเริ่มทรงขับเครื่องบินโบอิง 737 แทน พระองค์มักไม่เป็นที่จำได้เมื่อทรงสวมเครื่องแบบนักบินของเคแอลเอ็มและหมวกประจำสายการบิน แม้ว่าจะมีผู้โดยสารบางคนจำพระสุรเสียงได้ แม้พระองค์จะไม่เคยเอ่ยนาม และเพียงแต่กล่าวต้อนรับในนามกัปตันและลูกเรือเท่านั้น[22][24] จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 แม้พระองค์จะมีพระชนมายุถึง 58 พรรษา ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุเกษียณโดยไม่บังคับของเคแอลเอ็มแล้ว พระองค์ก็ยังทรงฝึกบินเปลี่ยนจากโบอิง 737 ไปเป็นแอร์บัส เอ321นีโอ อยู่[25][26]

พระองค์ใช้พระนามแฝงว่า “W. A. van Buren” ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชอิสริยยศที่ไม่ค่อยมีผู้รู้จักของราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา พระองค์ทรงเข้าร่วมการแข่ง Frisian Elfstedentocht ในปี 2529 ซึ่งเป็นการแข่งสเกตน้ำแข็งระยะทาง 200 กิโลเมตร (120 ไมล์)[27] และทรงร่วมวิ่งมาราธอนนครนิวยอร์กจนจบการแข่งขันภายใต้พระนามแฝงเดียวกันในปี 2535[28]

การอภิเษกสมรสและพระราชสันตติวงศ์

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซิมา จุมพิตกันที่ระเบียงของพระราชวังอัมสเตอร์ดัมในวันอภิเษกสมรสของทั้ง 2 พระองค์เมื่อปี 2545

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีมักซิมา[29][30][31]โบสถ์นิวเวอร์แคร์ก ในกรุงอัมสเตอร์ดัม การอภิเษกสมรสดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากบทบาทของบิดาของเจ้าสาว คือ Jorge Zorreguieta ที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบอบเผด็จการทหารในประเทศอาร์เจนตินา ทั้ง 2 พระองค์มีพระธิดาร่วมกัน 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ เจ้าหญิงอะเลกซียา และเจ้าหญิงอารียาน

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซีมากับพระราชธิดาทั้ง 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ (ซ้าย) เจ้าหญิงอะเลกซียา (ขวา) เจ้าหญิงอารียาน (กลาง)

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซิมา มีพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์คือ

  1. เจ้าหญิงกาตารีนา-อามาลียา เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ (ประสูติ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2546)
  2. เจ้าหญิงอะเลกซียา (ประสูติ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2548)
  3. เจ้าหญิงอารียาน (ประสูติ 10 เมษายน พ.ศ. 2550)

ความเป็นส่วนพระองค์และความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน

[แก้]

เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวของราชวงศ์กับการเข้าถึงข้อมูลของสื่อมวลชน หน่วยงานประชาสัมพันธ์รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ (อาร์วีดี) ได้ออกหลักปฏิบัติด้านสื่อเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้:[32]

  • สามารถถ่ายภาพสมาชิกของราชวงศ์ขณะปฏิบัติพระกรณียกิจได้เสมอ
  • สำหรับโอกาสอื่น ๆ (เช่น วันหยุดหรือการพักผ่อน) อาร์วีดีจะจัดให้มีช่วงเวลาสำหรับถ่ายภาพ โดยมีเงื่อนไขว่าสื่อมวลชนต้องเว้นระยะและไม่รบกวนครอบครัวในช่วงเวลาที่เหลือของกิจกรรม

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการพักผ่อนช่วงฤดูหนาวที่ประเทศอาร์เจนตินา ได้มีการถ่ายภาพพระองค์และครอบครัวในช่วงเวลาส่วนตัว ซึ่งรวมถึงภาพหนึ่งที่ถ่ายโดย Natacha Pisarenko ช่างภาพของสำนักข่าวแอสโซซิเอเต็ดเพรส แม้ว่าจะได้มีการจัดโอกาสให้ถ่ายภาพอย่างเป็นทางการไปแล้วก่อนหน้านั้นก็ตาม[33] ต่อมาแอสโซซิเอเต็ดเพรสได้ตัดสินใจเผยแพร่ภาพบางส่วน และมีสื่อเนเธอร์แลนด์หลายแห่งนำภาพเหล่านี้ไปเผยแพร่ซ้ำ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และอาร์วีดีจึงได้ร่วมกันยื่นฟ้องแอสโซซิเอเต็ดเพรส เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และการพิจารณาคดีเริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ที่ศาลแขวงในอัมสเตอร์ดัม เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ศาลแขวงมีคำพิพากษาให้พระองค์และอาร์วีดีเป็นฝ่ายชนะ โดยให้เหตุผลว่าพระราชวงศ์มีสิทธิในความเป็นส่วนตัว ภาพถ่ายดังกล่าวไม่ได้มีคุณูปการใดต่อการอภิปรายสาธารณะ และไม่มีคุณค่าเป็นพิเศษต่อสังคม เนื่องจากไม่ได้เป็นภาพขณะปฏิบัติหน้าที่ แอสโซซิเอเต็ดเพรสถูกสั่งห้ามเผยแพร่ภาพต่อไปอีก หากฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับครั้งละ 1,000 ยูโร สูงสุดไม่เกิน 50,000 ยูโร[34]

ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ได้ทรงออกมาขออภัยกรณีการเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัวไปยังประเทศกรีซ ขณะที่เนเธอร์แลนด์อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนจากการระบาดของโรคโควิด-19[35] พระองค์และครอบครัวจึงยุติการเดินทางก่อนกำหนด และในวิดีโอความยาว 2 นาที พระองค์ตรัสว่า “เจ็บปวดที่ได้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”[35] ก่อนหน้านั้นในเดือนสิงหาคม พระองค์และพระราชินีเคยถูกถ่ายภาพร่วมกับเจ้าของร้านอาหารระหว่างการเดินทางไปกรีซเช่นกัน ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในขณะนั้น[35]

ที่ประทับและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์

[แก้]

ตั้งแต่ปี 2546 จนถึง 2562 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และครอบครัวของพระองค์ประทับอยู่ที่ Villa Eikenhorst ในที่ดิน De Horsten Wassenaar[36] หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์สละราชสมบัติและกลับมาใช้พระอิสริยยศว่า เจ้าหญิงเบียทริกซ์ พระองค์ก็ย้ายไปประทับที่ปราสาท Drakensteyn ต่อจากนั้น สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และครอบครัวจึงย้ายไปประทับยังพระราชวัง Huis ten Bosch ในเดอะเฮก ที่ได้รับการบูรณะใหม่เมื่อปี 2562[37]

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงมีวิลลาหลังหนึ่งใกล้ Kranidi ประเทศกรีซ[38]

วิลลาใน Machangulo

[แก้]

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีมักซิมาประกาศว่าทรงลงทุนในโครงการพัฒนาแห่งหนึ่งบนคาบสมุทร Machangulo ประเทศโมซัมบิก[39] โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างรีสอร์ตตากอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยประกอบด้วยโรงแรมและบ้านพักหรูหลายหลังสำหรับนักลงทุน โครงการนี้ตั้งใจจะลงทุนอย่างมากในเศรษฐกิจท้องถิ่นของคาบสมุทร (เช่น การสร้างโรงเรียนและคลินิกชุมชน) โดยคำนึงถึงความยั่งยืนที่มีความรับผิดชอบและการจ้างงานคนในพื้นที่[40]

หลังจากที่ได้ติดต่อกับ Armando Guebuza ประธานาธิบดีโมซัมบิก เพื่อยืนยันว่ารัฐบาลโมซัมบิกไม่มีข้อคัดค้าน พระราชวงศ์จึงตัดสินใจลงทุนในวิลลา 2 หลัง[41] อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในรัฐสภาและสื่อมวลชนเกี่ยวกับโครงการและการมีส่วนร่วมของพระองค์[41] นักการเมือง Alexander Pechtold ตั้งคำถามถึงจริยธรรมของการสร้างรีสอร์ตหรูในประเทศยากจนอย่างโมซัมบิก หลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมและรัฐสภา พระราชวงศ์จึงประกาศว่าทรงตัดสินพระทัยจะขายทรัพย์สินใน Machangulo เมื่อบ้านสร้างเสร็จ[42] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 มีการยืนยันว่าวิลลาดังกล่าวได้ถูกขายไปแล้ว[43]

พระราชอิสริยยศ

[แก้]
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์
พระราชลัญจกร
ตราประจำพระองค์
การทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับพระพุทธเจ้าค่ะ/เพคะ
ลำดับโปเจียม1

พระราชอิสริยยศ

[แก้]
  • 27 เมษายน พ.ศ. 2510 – 30 เมษายน พ.ศ. 2523: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์
  • 30 เมษายน พ.ศ. 2523 – 30 เมษายน พ.ศ. 2556: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ เจ้าชายแห่งออเรนจ์
  • 30 เมษายน พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน ฮิสมาเจสตี สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์[44]

สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์เป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์แรกที่เป็นเพศชายนับตั้งแต่พระเจ้าวิลเลิมที่ 3 ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2433 ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์เคยระบุว่า เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ จะทรงใช้พระนามว่า “วิลเลิมที่ 4”[45] แต่มีการประกาศในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ว่าพระนามที่ใช้ในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์จะเป็น “วิลเลิม-อเล็กซานเดอร์”[46]

พระยศทหาร

[แก้]
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ในเครื่องแบบทหารเรือพลเรือจัตวา ในงานอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดนและ Daniel Westling ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ในเครื่องแบบพร้อมเครื่องหมายพระราชลัญจกร

กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์

[แก้]
  • Lieutenant at sea third class - conscripted (Ensign) (สิงหาคม พ.ศ. 2528 – มกราคม พ.ศ. 2530)
  • Lieutenant at sea second class - conscripted (Sub-lieutenant) (watch officer, พ.ศ. 2531)
  • Lieutenant at sea second class, senior grade - reserve (Lieutenant) (พ.ศ. 2531 – 2538)
  • Lieutenant at sea first class - reserve (นาวาตรี) (พ.ศ. 2538 – 2540)
  • Captain-lieutenant at sea - reserve (นาวาโท) (พ.ศ. 2540 – 2544)
  • Captain at Sea - reserve (พ.ศ. 2544 – 2548)
  • พลเรือจัตวา - reserve (พ.ศ. 2548 – 2556)
  • King's insignia (พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน)

กองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์

[แก้]

กองทัพบกเนเธอร์แลนด์

[แก้]

Royal Marechaussee

[แก้]

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พระราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ เก็บถาวร 2014-12-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. ราชกิจจานุเบกษา
  2. "Dutch Crown Prince quits IOC in preparation to become king". Sports Illustrated. 2013-01-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-13. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
  3. "Prins Willem-Alexander neemt afscheid van Adviescommissie Water" [Prince Willem-Alexander says goodbye to the Water Advisory Committee]. de Volkskrant (ภาษาดัตช์). 2013-04-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-06. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
  4. "Who We Are". United Nations Secretary-General's Advisory Board on Water and Sanitation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-19. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
  5. "Willem-Alexander neemt afscheid als 'waterprins'" [Willem-Alexander says goodbye as 'water prince']. Trouw (ภาษาดัตช์). 2013-03-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-17. สืบค้นเมื่อ 2013-04-19.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 "The Prince of Orange" (PDF). Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). May 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-05-09. สืบค้นเมื่อ 2009-07-19.
  7. "Doop Willem-Alexander" [Baptism of Willem-Alexander]. Nederlandse Omroep Stichting (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-31. สืบค้นเมื่อ 2009-12-13.
  8. 8.0 8.1 "40 meest gestelde vragen" [40 most frequently asked questions]. Dutch Royal House (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-04. สืบค้นเมื่อ 2009-12-13.
  9. "Doopplechtigheid Prins Willem-Alexander in Sint Jacobskerk" [Baptism ceremony of Prince Willem-Alexander in St. Jacob Church: 3 parts]. Radio Netherlands Worldwide (ภาษาดัตช์). 2009-04-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-27. สืบค้นเมื่อ 2009-12-13.
  10. 10.0 10.1 "Z.M. koning Willem-Alexander, koning der Nederlanden, prins van Oranje-Nassau" [H.M. King Willem-Alexander, King of the Netherlands, Prince of Orange-Nassau]. Parlement (ภาษาดัตช์). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-06. สืบค้นเมื่อ 2013-04-05.
  11. Hoff, Ruud. "Leiden, 2 juli 1993" [Leiden, 2 July 1993]. ANP Historisch Archief Community. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-12. สืบค้นเมื่อ 2017-06-15.
  12. "Dutch royals in Leiden". Leiden University. 26 April 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-17. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  13. "Prins Willem-Alexander blundert tijdens staatsbezoek Mexico" [Prince Willem-Alexander blunders during state visit to Mexico]. 925. 2009-11-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-10. สืบค้นเมื่อ 2013-05-03.
  14. "Military career". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 4 May 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-11-24. สืบค้นเมื่อ 2009-12-17.
  15. "King will retain close relationship with armed forces". Ministry of Defence (Press release) (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-04-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-17. สืบค้นเมื่อ 2013-03-03.
  16. "The Dutch Council of State". Raad van State (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-14. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  17. "About UNSGAB". United Nations Secretary-General's Advisory Board on Water and Sanitation (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-30. สืบค้นเมื่อ 2013-01-28.
  18. "Dutch King given Olympic gold order". ESPN (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-09-08. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-27. สืบค้นเมื่อ 2022-04-27.
  19. "Preparing for the role of monarch". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 January 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-31. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  20. "Preparing for the role of monarch". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 January 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-31. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  21. "Position and role as head of state". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 January 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-02-03. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  22. 22.0 22.1 "Dutch King Willem-Alexander reveals secret flights as first officer". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-05-17. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-17. สืบค้นเมื่อ 2017-05-17.
  23. "FAQ – Dutch royalty". Radio Netherlands Worldwide (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-27. สืบค้นเมื่อ 2013-01-28.
  24. Sephton, Connor (2017-05-17). "Dutch king reveals double life as an airline pilot for KLM". Sky News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-18. สืบค้นเมื่อ 2017-05-17.
  25. "Koning Willem-Alexander wordt bijgeschoold als piloot". AD. 2025-04-28. สืบค้นเมื่อ 8 June 2025.
  26. Woerkom, Klaas-Jan van (25 April 2025). "Koning Willem-Alexander laat zich omscholen naar Airbus A321neo". Luchtvaartnieuws (ภาษาดัตช์). สืบค้นเมื่อ 8 June 2025.
  27. Teunissen, Bas (2012-10-04). "FAQ: eleven facts about the Eleven Cities Race". Radio Netherlands Worldwide (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-17. สืบค้นเมื่อ 2013-01-28.
  28. Brooks, James (2013-04-19). "Dutch abdication: Ten things you never knew about the royal family of the Netherlands". The Daily Telegraph. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-02. สืบค้นเมื่อ 2013-05-04.
  29. "Queen Máxima". Holland.com. 6 June 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2023. สืบค้นเมื่อ 25 August 2023. Máxima Zorreguieta was born in Argentina on 17 May 1971.
  30. "Queen Máxima — Youth". Het Koninklijk Huis. 15 January 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2023. สืบค้นเมื่อ 25 August 2023. Queen Máxima was born in Buenos Aires, Argentina, on 17 May 1971 as Máxima Zorreguieta.
  31. "Máxima Zorreguieta". Paleis Het Loo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2023. สืบค้นเมื่อ 25 August 2023.
  32. "Media Code". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2005-06-21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-27. สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
  33. "Royals sue Associated Press over holiday photos". NRC (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2005-08-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-09. สืบค้นเมื่อ 2010-06-11.
  34. "Willem-Alexander wint rechtszaak tegen AP" [Willem-Alexander wins lawsuit against AP] (ภาษาดัตช์). 2009-08-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-08.
  35. 35.0 35.1 35.2 "Covid: Dutch king expresses regret over Greek holiday scandal". BBC News. 21 October 2020. สืบค้นเมื่อ 15 March 2024.
  36. "Villa Eikenhorst | De Horsten Royal Estates". Royal House of the Netherlands. สืบค้นเมื่อ 2022-06-09.
  37. "Drakensteyn Castle". Dutch Royal House (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-17. สืบค้นเมื่อ 2022-04-27.
  38. "Dutch prince buys villa next to James Bond actor". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 16 April 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-17. สืบค้นเมื่อ 2013-07-24.
  39. "Willem-Alexander wil huis voor kust Mozambique" [Willem-Alexander wants a house off the coast of Mozambique]. Trouw (ภาษาดัตช์). 2008-07-10. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-23. สืบค้นเมื่อ 2015-01-23.
  40. Waterfield, Bruno (2009-10-10). Written at Brussels. "Dutch Crown Prince Willem-Alexander accused over Mozambique villa". The Daily Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-01. สืบค้นเมื่อ 2010-06-13.
  41. 41.0 41.1 "Prins had contact met president Mozambique". Algemeen Dagblad (ภาษาดัตช์). 2009-11-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-23. สืบค้นเมื่อ 2022-04-27.
  42. "Crown prince bows to public pressure over Mozambique villa". NRC (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2009-11-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-02. สืบค้นเมื่อ 2010-06-11.
  43. "Prins verkoopt villa in Mozambique". Nederlandse Omroep Stichting (ภาษาดัตช์). 2012-01-18. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-23. สืบค้นเมื่อ 2015-01-23.
  44. "Aanspreektitels - Titels, aanspreektitels en beschermheerschappen - Het Koninklijk Huis". 14 January 2015.
  45. "Interview met Willem-Alexander" (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-07. สืบค้นเมื่อ 2006-05-06.
  46. "Prince of Orange to become King Willem-Alexander" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-07. สืบค้นเมื่อ 2017-06-15.
  47. "Royal insignia struck | News item | Defensie.nl". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2016.
ก่อนหน้า สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ ถัดไป
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์
พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์
(30 เมษายน พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน)
ยังอยู่ในราชสมบัติ