สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม (อังกฤษ: enlightened absolutism) หรือ อัตตาธิปไตยอันมีกุศลธรรม (benevolent despotism) คือรูปแบบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบบใช้อำนาจเด็ดขาด ที่ซึ่งผู้ปกครองได้รับอิทธิพลจากยุคเรืองปัญญา พระมหากษัตริย์ในระบอบนี้ที่เรียกว่า ประมุขผู้ทรงภูมิธรรม เป็นผู้อุปถัมภ์หลักการของการเรืองปัญญา โดยเฉพาะความสำคัญของหลักเหตุและผล และนำไปใช้ในการปกครองดินแดนของตน พระมหากษัตริย์มีแนวโน้มที่จะมีพระบรมราชานุญาตให้มีหลักขันติธรรมทางศาสนา, เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ข่าวสาร รวมถึงสิทธิ์ของประชาชนทั่วไปในการครอบครองทรัพย์สิน อันเป็นการช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าทางศิลปศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการศึกษาในยุโรปอย่างมาก

ประวัติศาสตร์[แก้]

แนวคิดนี้ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยวิลเฮล์ม โรเชอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ. 2390[1] และยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการมาจนถึงปัจจุบัน[2]

พระประมุขผู้ทรงภูมิธรรมดำรงพระราชอำนาจมิใช่จากเทวสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นพระราชอำนาจที่มาจากพันธสัญญาต่อสังคมอันเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องปกครองอย่างทรงธรรม การพิจารณาถึงพระประมุขว่าทรงภูมิธรรมมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์เชิงกว้างของการรับเอาอิทธิพลจากยุคเรืองปัญญามามากน้อยเพียงใด เช่น สมเด็จพระจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย แม้จะทรงปฏิเสธหลักการของการมีพันธสัญญาต่อสังคมอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ทรงรับเอาแนวคิดมากมายจากยุคเรืองปัญญามา พระนางทรงเป็นผู้อุปภัมถ์คนสำคัญของวงการศิลปะรัสเซียและยังทรงผสมผสานแนวคิดต่างๆ จากนักปรัชญา โดยเฉพาะมงแต็สกีเยอ ดังเช่นในพระราชโองการของพระนางที่ประสงค์จะให้มีการปฏิรูประบบกฎหมายของรัสเซียเป็นต้น

ในทางปฏิบัติแล้ว พระมหากษัตริย์ปกครองด้วยพระประสงค์ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรเพื่อเป็นการสร้างเสริมพระราชอำนาจและพระบารมี ซึ่งนัยของแนวคิดนี้ก็คือการที่พระมหากษัตริย์คำนึงถึงผลพระโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนพระองค์เอง และด้วยแนวคิดนี้เองที่กลายมาเป็นบรรทัดฐานในการครองราชย์ของกษัตริย์ วอลแตร์เป็นนักปรัชญาคนสำคัญจากยุคเรืองปัญญาที่เห็นว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรมเป็นหนทางที่แท้จริงเพียงเดียวที่จะทำให้สังคมเจริญรุ่งเรืองได้[ต้องการอ้างอิง]

อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงกันถึงการปฏิบัติใช้สมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรมที่แท้จริง พวกเขาแยกแยะความภูมิธรรมโดยพระราชจริยวัตรออกจากความภูมิธรรมโดยพระราชกรณียกิจ เช่น พระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซีย ผู้ซึ่งถูกปลูกฝังแนวคิดของการเรืองปัญญามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และก็ทรงยึดมั่นในแนวคิดดังกล่าวตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ แต่ในทางปฏิบัติพระองค์กลับไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดการปฏิรูปขึ้นได้[3] บุคคลอื่น เช่นเซบาสเตียน โฮเซ เด คาวาโล เอ เมโล เสนาบดีใหญ่ฝ่ายกิจการภายในราชอาณาจักร แห่งโปรตุเกส ใช้การเรืองปัญญาไม่แต่เฉพาะเพื่อการปฏิรูปเท่านั้น แต่รวมไปถึงการสร้างเสริมขุมอำนาจ, บ่อนทำลายฝ่ายตรงข้าม, ปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์, การแสวงหาผลประโยชน์จากอาณานิคม และการรวบรวมอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตน

ในรัฐชาติ[แก้]

รัฐบาลของรัฐต่างๆ ในยุโรปตอบสนองต่อยุคเรืองปัญญาแตกต่างกันไป ในฝรั่งเศสที่ซึ่งรัฐบาลได้ทำการต่อต้านการเรืองปัญญา ขณะที่เหล่านักปรัชญาต่างต่อสู้กับการปิดกั้นข่าวสารของรัฐ แต่ในอังกฤษ รัฐบาลวางตัวเมินเฉยต่อการเรืองปัญญา

อย่างไรก็ตาม รัฐในยุโรปที่มีผู้ปกครองทรงอำนาจหรือที่เรียกโดยนักประวัติศาสตร์ว่า ประมุขผู้ทรงภูมิธรรม (อังกฤษ: Enlightened despots) พระประมุขเหล่านี้ต่างต้อนรับแนวคิดของยุคเรืองปัญญาเป็นอย่างดีในราชสำนัก และยังช่วยวางแผนการและกฎหมายเพื่อที่จะปฏิรูประบอบการปกครองของประเทศ รวมไปถึงการสร้างขุมอำนาจและความมั่นคงให้แก่รัฐของตน[4] พระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซีย ผู้ครองราชย์ช่วงปี พ.ศ. 2283 - พ.ศ. 2329 ทรงสนพระทัยในแนวคิดของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก วอลแตร์ผู้ซึ่งถูกจองจำและทารุณโดยรัฐบาลฝรั่งเศสปรารถนาอย่างมากที่จะตอบรับคำเชิญของพระเจ้าฟรีดริชมหาราช โดยเขาถูกเชิญให้ไปพำนักยังพระราชวังในปรัสเซีย พระเจ้าฟรีดริชตรัสว่า "พันธกิจหลักของข้าพเจ้าคือการต่อสู้กับความโง่เขลาและความอยุติธรรม ... เพื่อบอกแจ้งแก่จิต, ปลูกฝังศีลธรรม, และทำให้ผู้คนมีความสุขมากที่สุดเท่าที่มันจะเหมาะสมกับธรรมชาติของมนุษย์และมากเท่าที่ข้าพเจ้าประสงค์จะให้มี"[5], สมเด็จพระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน ผู้ครองราชย์ช่วงปี พ.ศ. 2302 - พ.ศ. 2331 ทรงพยายามที่จะกอบกู้จักรวรรดิของพระองค์จากความเสื่อมโทรมด้วยการปฏิรูปซึ่งมีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วอาณาจักร ช่วยลดทอนอำนาจของศาสนจักรและเหล่าเจ้าขุนมูลนาย, สนับสนุนวิทยาศาสตร์และการวิจัยในมหาวิทยาลัย, ส่งเสริมการค้าและการพาณิชย์, พัฒนาการเกษตรกรรมและหลีกเลี่ยงการก่อสงคราม ทำให้สเปนรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ได้หลังจากการสวรรคตของพระองค์[6], สมเด็จพระจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย ผู้ครองราชย์ช่วงปี พ.ศ. 2305 - พ.ศ. 2339 ก็ทรงหลงใหลในแนวคิดยุคเรืองปัญญา, จักรพรรดิโยเซฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงหลงใหลในแนวคิดนี้จนมากเกินควร ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงประกาศการปฏิรูปออกมานับครั้งไม่ถ้วน หากแต่การปฏิรูปทั้งหมดเหล่านั้นล้วนแต่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยแก่ประเทศ จนกลายมาเป็นเรืองขบขันของประชาชนในความล้มเหลวดังกล่าว[7] นอกจากนี้แนวคิดของการเรืองปัญญายังมีอิทธิพลอย่างมากทั้งในโปรตุเกสและเดนมาร์ก

พระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวข้อง[แก้]

จากซ้ายไปขวา: จักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย[8], พระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน[9], พระเจ้ากุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดน[10], พระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซีย[11],
พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 6 แห่งเดนมาร์ก[12]
จากซ้ายไปขวา: จักรพรรดิโยเซฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์[13], จักรพรรดิลีโอโพลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์[14], พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส[15],
มาเรียแคโรไลนาแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเนเปิลส์[16], จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส[ต้องการอ้างอิง]

อ้างอิง[แก้]

  1. A. Lentin (ed.), Enlightened Absolutism (1760-1790), Avero, 1985, p. ix.
  2. Charles Ingrao, "The Problem of 'Enlightened Absolutism and the German States," Journal of Modern History Vol. 58, Supplement: Politics and Society in the Holy Roman Empire, 1500-1806 (Dec., 1986), pp. S161-S180 in JSTOR
  3. H.M. Scott, ed., Enlightened Absolutism: Reform and Reformers in Later Eighteenth-Century Europe, (University of Michigan Press, 1990)
  4. Stephen J. Lee, Aspects of European history, 1494-1789 (1990) pp. 258-66
  5. Giles MacDonogh, Frederick the Great: A Life in Deed and Letters (2001) p 341
  6. Nicholas Henderson, "Charles III of Spain: An Enlightened Despot," History Today, Nov 1968, Vol. 18 Issue 10, p673–682 and Issue 11, pp 760–768
  7. Nicholas Henderson, "Joseph II", History Today (March 1991) 41:21–27
  8. McKay, "A History of Western Society", Houghton Mifflin Company, 2006, p.616-619
  9. H.M. Scott, 1990, p. 1.
  10. H. Arnold Barton, Scandinavia in the Revolutionary Era 1760-1815, University of Minnesota Press, 1986, p.142ff. ISBN 0-8166-1392-3.
  11. H.M. Scott, 1990, p. 265ff
  12. H. Arnold Barton, Scandinavia in the Revolutionary Era 1760-1815, University of Minnesota Press, 1986, p.142ff. ISBN 0-8166-1392-3.
  13. H.M. Scott, 1990, p. 1.
  14. H.M. Scott, 1990, p. 1.
  15. H.M. Scott, 1990, p. 1.
  16. Bearne, Catherine Mary (1907). A Sister of Marie Antoinette: The Life-Story of Maria Carolina, Queen of Naples. T. Fisher Unwin: London, p 142.