ข้ามไปเนื้อหา

สนาม (ฟิสิกส์)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ในทางวิทยาศาสตร์ สนาม (อังกฤษ: field) คือปริมาณทางกายภาพซึ่งสามารถแทนได้ด้วยสเกลาร์ เวกเตอร์ หรือเทนเซอร์ ที่มีค่าสำหรับแต่ละจุดในปริภูมิ-เวลา[1][2][3] ตัวอย่างของสนามสเกลาร์คือ แผนที่อากาศ โดยที่อุณหภูมิพื้นผิวจะถูกอธิบายโดยการกำหนดตัวเลขให้กับแต่ละจุดบนแผนที่ ส่วนแผนที่ลมพื้นผิว[4] ซึ่งกำหนดลูกศรให้กับแต่ละจุดบนแผนที่เพื่ออธิบายความเร็วและทิศทางลม ณ จุดนั้น เป็นตัวอย่างของสนามเวกเตอร์ หรือก็คือสนามเทนเซอร์อันดับ 1 นั่นเอง ทฤษฎีสนาม ซึ่งเป็นการอธิบายทางคณิตศาสตร์ว่าค่าของสนามเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอวกาศและเวลานั้น มีอยู่แพร่หลายในวิชาฟิสิกส์ ตัวอย่างเช่น สนามไฟฟ้า เป็นสนามเทนเซอร์อันดับ 1 อีกตัวหนึ่ง ในขณะที่พลศาสตร์ไฟฟ้าสามารถกำหนดได้ในรูปของสนามเวกเตอร์สองตัวที่ทำปฏิกิริยากัน ณ แต่ละจุดในปริภูมิ-เวลา หรือเป็นสนามเทนเซอร์อันดับ 2 เพียงตัวเดียวก็ได้[5][6][7]

ภายใต้กรอบความคิดสมัยใหม่ของทฤษฎีสนามควอนตัม แม้จะไม่ได้อ้างถึงอนุภาคทดสอบใด ๆ เลย สนามก็ยังคงครอบครองปริภูมิ บรรจุพลังงาน และการมีอยู่ของมันก็เป็นการตัดความเป็นไปได้ที่จะมี "สุญญากาศที่แท้จริง"[8] แบบดั้งเดิมออกไป สิ่งนี้นำไปสู่การที่นักฟิสิกส์พิจารณาให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบทางกายภาพ ทำให้แนวคิดเรื่องสนามเป็นกระบวนทัศน์หลักที่ค้ำจุนโครงสร้างของฟิสิกส์สมัยใหม่ ริชาร์ด ไฟน์แมน กล่าวไว้ว่า "ข้อเท็จจริงที่ว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถมีโมเมนตัมและพลังงานได้ ทำให้มันเป็นของจริงมาก และ [...] อนุภาคสร้างสนาม และสนามกระทำต่ออนุภาคอื่น และสนามก็มีคุณสมบัติที่คุ้นเคย เช่น การมีพลังงานและโมเมนตัม เช่นเดียวกับที่อนุภาคมีได้"[9] ในทางปฏิบัติ ความเข้มของสนามส่วนใหญ่จะลดลงตามระยะทาง และในที่สุดก็จะตรวจจับไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ความเข้มของสนามดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องหลายตัว เช่น สนามโน้มถ่วงในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตัน หรือสนามไฟฟ้าสถิตในพลศาสตร์ไฟฟ้าดั้งเดิม จะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทางจากแหล่งกำเนิด (เป็นไปตามกฎของเกาส์)

สนามสามารถจำแนกได้เป็นสนามสเกลาร์ สนามเวกเตอร์ สนามสปิเนอร์ หรือสนามเทนเซอร์ตามลำดับ ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณทางกายภาพที่ถูกแทนค่านั้นเป็นสเกลาร์ เวกเตอร์ สปิเนอร์ หรือเทนเซอร์ สนามจะมีลักษณะเทนเซอร์ที่สอดคล้องกันไม่ว่าจะถูกกำหนดไว้ที่ใดก็ตาม นั่นคือ สนามไม่สามารถเป็นสนามสเกลาร์ในที่แห่งหนึ่งและเป็นสนามเวกเตอร์ในอีกที่หนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น สนามโน้มถ่วงแบบนิวตัน เป็นสนามเวกเตอร์ การระบุค่าของมัน ณ จุดใดจุดหนึ่งในปริภูมิ-เวลาต้องใช้ตัวเลขสามตัว ซึ่งก็คือส่วนประกอบของเวกเตอร์สนามโน้มถ่วง ณ จุดนั้น นอกจากนี้ ภายในแต่ละประเภท (สเกลาร์, เวกเตอร์, เทนเซอร์) สนามยังสามารถเป็นได้ทั้งสนามดั้งเดิมหรือสนามควอนตัม โดยขึ้นอยู่กับว่ามันถูกกำหนดคุณลักษณะด้วยตัวเลขหรือด้วยตัวดำเนินการควอนตัมตามลำดับ ในทฤษฎีควอนตัมนี้ การแทนค่าที่เทียบเท่ากับสนามก็คืออนุภาคสนาม เช่น โบซอน[10]

อ้างอิง

[แก้]
  1. John Gribbin (1998). Q is for Quantum: Particle Physics from A to Z. London: Weidenfeld & Nicolson. p. 138. ISBN 0-297-81752-3.
  2. Richard Feynman (1970). The Feynman Lectures on Physics Vol II. Addison Wesley Longman. ISBN 978-0-201-02115-8. A 'field' is any physical quantity which takes on different values at different points in space.
  3. Ernan McMullin (2002). "The Origins of the Field Concept in Physics" (PDF). Phys. Perspect. 4 (1): 13–39. Bibcode:2002PhP.....4...13M. doi:10.1007/s00016-002-8357-5. S2CID 27691986.
  4. SE, Windyty. "Windy as forecasted". Windy.com/ (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-06-25.
  5. Lecture 1 | Quantum Entanglements, Part 1 (Stanford), Leonard Susskind, Stanford, Video, 2006-09-25.
  6. Richard P. Feynman (1970). The Feynman Lectures on Physics Vol I. Addison Wesley Longman.
  7. Richard P. Feynman (1970). The Feynman Lectures on Physics Vol II. Addison Wesley Longman.
  8. John Archibald Wheeler (1998). Geons, Black Holes, and Quantum Foam: A Life in Physics. London: Norton. p. 163. ISBN 9780393046427.
  9. Richard P. Feynman (1970). The Feynman Lectures on Physics Vol I. Addison Wesley Longman.
  10. Steven Weinberg (November 7, 2013). "Physics: What We Do and Don't Know". New York Review of Books. 60 (17).