สถานะ (สสาร)
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
สถานะของสสาร อังกฤษ(อังกฤษ: state of matter) เป็นกลุ่มของสภาพระบบทางกายภาพที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติทางฟิสิกส์ เช่น ความหนาแน่น, โครงสร้างผลึก (crystal structure), ดรรชนีหักเหของแสง (refractive index) และอื่น ๆ สถานะที่คุ้นเคยกันมาก ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว และ แก๊ส หรืออาจนับรวมพลาสมาไปด้วย สถานะของวัตถุอาจจำแนกได้โดยลักษณะคุณสมบัติเช่นของแข็งจะไม่เปลี่ยนรูปร่างได้เหมือนของเหลว ปัจจัยที่ทำให้มีการเปลี่ยนสถานะโดยทั่วไปคือ ความดัน และ อุณหภูมิ ซึ่งมีผลต่อการเรียงตัวของโมเลกุล นอกจากนี้ยังมีสถานะที่พบได้ที่สภาวะรุนแรง (Extreme condition) เช่น ของเหลวผลควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ และ ของเหลวผลควบแน่นเฟอร์มิโอนิคที่เกิดได้ที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ พลาสมาควาร์ก-กลูออนเกิดที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ สสารซ้อนสถานะเช่นในดาวนิวตรอนที่ที่มีความดันสูงมาก ๆ เฟสโครงสร้างผลึกหรือเฟสสภาพแม่เหล็ก นอกจากนี้อาจอยู่ระหว่างสถานะเช่นผลึกเหลว
คำจำกัดความ
[แก้]ถึงแม้ว่าสถานะเป็นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในวิทยาศาสตร์กายภาพ แต่มันก็ไม่ง่ายที่จะให้คำจำกัดความที่ถูกต้องเที่ยงตรง ก่อนที่เราจะให้คำจำกัดความโดยทั่วไป เราลองมาดูตัวอย่างเกี่ยวกับสถานะกันก่อนสักสองตัวอย่าง
- ตัวอย่าง: สถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
น้ำ (H2O) ประกอบด้วยโมเลกุลซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจนสองอะตอมเกาะติดกับออกซิเจนตรงกลางหนึ่งอะตอม ที่อุณหภูมิห้อง โมเลกุลของน้ำจะอยู่ใกล้กันและมีแรงดึงดูดต่อกันอย่างอ่อนๆ โดยไม่เกาะติดกัน ทำให้แต่ละโมเลกุลเคลื่อนไหวสัมพัทธ์กันได้เหมือนเม็ดทรายในนาฬิกาทราย พฤติกรรมของโมเลกุลน้ำที่มองไม่เห็นนี้ปรากฏออกมาให้เราเห็นเป็นคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของน้ำในสถานะของเหลวซึ่งเราคุ้นเคยกันดี เนื่องจากโมเลกุลของน้ำไม่รวมกันอยู่เป็นโครงสร้างที่แข็งตึง รูปร่างของน้ำจึงไม่ตายตัว และปรับสภาพเลื่อนไหลไปตามภาชนะที่บรรจุ และเนื่องจากโมเลกุลของน้ำอยู่ใกล้กันมากอยู่แล้ว น้ำจึงมีความต้านทานต่อการบีบอัด สังเกตได้จากการบีบลูกโป่งที่บรรจุน้ำซึ่งทำไม่ได้ง่ายเหมือนกับการบีบลูกโป่งที่บรรจุอากาศ
สถานะของสสารในวิทยาศาสตร์แบบฉบับ
[แก้]ในที่นี้จะแบ่งเป็นสี่สถานะประกอบด้วย
- ของแข็ง (Solid)
- เป็นสถานะที่มีรูปร่างและปริมาตรคงที่ สามารถคงรูปร่างของตัวเองได้โดยไม่ต้องมีภาชนะ มีอนุภาคชิดกันส่งผลให้อนุภาคเคลื่อนที่น้อยมาก เช่น ไม้ ทองคำ เหรียญ
- อสัณฐานของแข็ง (Amorphous solid) : เป็นของแข็งที่ไม่มีการจัดระเบียบความยาวช่วง (long-range order) ตำแหน่งของอะตอม แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
- อสัณฐานแก้วแข็ง (Amorphous glassy solid)
- อสัณฐานยางแข็ง (Amorphous rubbery solid)
- ผลึก (Crystaline solid) : เป็นของแข็งที่ส่วนประกอบอะตอม โมเลกุล หรือไอออนถูกบรรจุและอัดตัวกันอย่างมีระเบียบและแบบแผนที่ซ้ำๆ กัน
- ของเหลว (Liquid)
- เป็นสถานะที่มีปริมาตรคงที่แต่รูปร่างไม่คงที่ มีลักษณะของ ของไหล ที่ไม่มีการอัดตัวกัน สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามภาชนะได้ แต่ยังคงรักษาปริมาตรให้คงที่อยู่ได้โดยความดันต้องเป็นอิสระ
การกลายเป็นไอ (อังกฤษ: vaporization) ของธาตุหรือสารประกอบ คือการเปลี่ยนสถานะของสาร จากสถานะของแข็งหรือของเหลวไปสู่สถานะก๊าซ ในรูปแบบที่ต่างกัน ก็จะมีวิธีเรียกที่ต่างกัน โดยสามารถจำแนกได้เป็น 3 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
- การระเหย (อังกฤษ: Evaporation) คือ กระบวนการที่ของเหลว เปลี่ยนสภาพโดยธรรมชาติกลายเป็นเป็นก๊าซ โดยไม่จำเป็นต้องมีอุณหภูมิถึงจุดเดือด หรือในสภาวะที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดในความดันหนึ่ง ซึ่งต่างกันกับการเดือดจนกลายเป็นไอ อัตราการละเหยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ โดยส่วนมากการระเหยมักเกิดบริเวณผิวหน้าของของเหลว เราสามารถรับรู้ถึงการระเหยได้ โดยดูจากน้ำที่ค่อยๆ ลดหายไปทีละน้อย เมื่อมันกลายตัวเป็นไอน้ำ ยกตัวอย่างเช่น การระเหยของน้ำในสระ
- การเดือด คือการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปสู่แก๊สอย่างรวดเร็ว ในสภาวะที่อุณหภุมิของเหลวนั้นเทียบเท่าหรือมากกว่าจุดเดือด โดยสิ่งที่แตกต่างจากการระเหยคือ การเดือดจะเกิดขึ้นทุกส่วนของของเหลว ยกตัวอย่างเช่น การต้มน้ำจนเดือดกลายเป็นไอน้ำ
- การระเหิด (อังกฤษ: sublimation หรือ primary drying) คือการเปลี่ยนสถานะของของแข็งไปเป็นไอหรือก๊าซ ที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดหลอมเหลว โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว ถ้ามีพื้นที่ของแข็งมีมากจะระเหิดได้ง่ายยกตัวอย่างเช่น การระเหิดของลูกเหม็น
- แก๊ส (Gas)
- เป็นสถานะที่มีรูปร่างและปริมาตรไม่คงที่ เป็นของไหลที่สามารถบีบอัดได้ (compressible fluid) สามารถเพิ่มปริมาณการบรรจุเข้าไปในภาชนะได้อีก เมื่อสารถูกเปลี่ยนจากของแข็งหรือของเหลวเป็นแก๊สจะเรียกว่าไอ แก๊สเป็นสสารที่มีที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าของแข็งและของเหลว นอกจากนี้หากแก๊สถูกนำมาผสมกันตั้งแต่2ชนิดเป็นต้นไป จะถือว่าเป็นสารเดียวหรือสารละลาย เพราะแก๊สมีการแพร่ที่เร็วมาก
- พลาสมา (Plasma)
- เป็นก๊าซที่ อิเล็กตรอน สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากอะตอมของมันได้และแพร่กระจายประจุไฟฟ้าเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าได้
การเปลี่ยนแปลงสถานะ
[แก้]การเปลี่ยนแปลงสถานะ คือการที่สสารใดๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่นจากของแข็งเป็นของเหลว เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงสถานะในแต่ละรูปแบบ มีชื่อเรียกต่างกันตามลักษณะการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- การรวมกันใหม่ (Recombination)
- การแตกตัวเป็นไอออน (Ionization)
- การกลายเป็นไอ (Vaporization)
- การควบแน่น (Condensation)
- การเยือกแข็ง (Freezing)
- การหลอมเหลว (Melting)
- การจับตัวแข็ง (Deposition)
- การระเหิด (Sublimation)
- การระเหย หรือการกลายเป็นไอ
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นก๊าซ โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆได้รับพลังงานหรือความร้อน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนสถานะเป็น ไอน้ำ
- การระเหิด
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็นก๊าซ โดยไม่ผ่านสถานะการเป็นของเหลว ได้แก่ น้ำแข็งแห้ง เปลี่ยนสถานะเป็น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
- การควบแข็ง
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาระ จากก๊าซ กลายเป็นของแข็ง โดยไม่ผ่านสถานะการเป็นของเหลว ใช้ความเย็นในการก่อตัว
- การควบแน่น
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากก๊าซ กลายเป็นของเหลว โดยมักเกิดเมื่อก๊าซนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ ไอน้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำ
- การแข็งตัว
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำแข็ง โดยของแข็งนั้น สามารถเปลี่ยนสถานะกลับเป็นของเหลวได้ โดยการได้รับพลังงานหรือความร้อน
- การเยือกแข็ง
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวนั้นๆ สูญเสียความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำแข็ง เป็นต้น
- การหลอมเหลว หรือการละลาย
- คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็นของเหลว โดยมักเกิดเมื่อของแข็งนั้นๆ ได้รับความร้อนหรือพลังงาน ได้แก่ น้ำแข็ง เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้ำ
สถานะของสสารในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
[แก้]สถานะเพิ่มเติมจากแบบดั้งเดิม
[แก้]โพลิมอร์ฟฟิซึม (Crystal polymorphism)
- เนื่องจากคำว่า เฟส (phase) และสถานะ (state) สามารถใช้แทนกันได้ในบางสาขา โพลิมอร์ฟฟิซึมซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนเฟสของสารประกอบที่สูตรเคมีเหมือนกันที่สถานะเดียวกันสามารถนับเป็นเฟสหนึ่งได้เช่นเดียวกับอัญรูป
แก้ว (Glassy state)
- แก้วเป็นของแข็งชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างผลึกไม่เป็นระเบียบ ตัวอย่างการเปลี่ยนเฟสเป็นแก้วคือทรายหรือซิลิกาซึ่งมีโครงสร้างผลึกที่เป็นระเบียบในกระบวนการทำแก้ว ซิลิกาถูกเปลี่ยนเป็นของเหลวและเมื่อเย็นตัวลงได้กลายเป็นแก้ว กระบวนการเปลี่ยนเฟสเป็นแก้วอีกตัวอย่างคือหินออบซิเดียนที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวา
ผลึกเหลว (Liquid crystal)
- เป็นสถานะที่อยู่ระหว่างของเหลวกับของแข็ง เนื่องจากมีการไหลของโมเลกุลแบบของเหลว ในขณะเดียวกันก็มีมีการเรียงตัวเป็นระเบียบแบบผลึก
สถานะที่พลังงานต่ำ
[แก้]- สภาพนำยวดยิ่ง (Superconductivity)
- โลหะรวมถึงเซรามิคบางชนิดเมื่ออยู่ภายใต้อุณหภูมิหรือความดันบางค่า มีคุณสมบัติเพิ่มจากเดิมคือไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเลย รวมถึงไม่ยอมให้สนามแม่เหล็กผ่านเลยหรือผ่านได้น้อยมากขึ้นอยู่กับชนิดวัสดุ
- ซุเปอร์ฟลูอิด หรือ ของไหลยวดยิ่ง (Superfluid)
- เป็นสถานะที่ของเหลวไหลโดยไม่มีความหนืด หรือสามารถเคลื่อนที่ (ไหล) ได้โดยไม่สูญเสียพลังงานให้แก่ภายนอก
- ของเหลวผลควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ (Bose-Einstein condensate)
- เป็นสถานะที่เกิดจากอนุภาคประเภทโบซอนมีพลังงานลดลงจนไปอยู่ที่สถานะพื้นทั้งระบบ เนื่องจากโบซอนมากกว่า 2 อนุภาคสามารถอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ โบซอนในสถานะพื้นทั้งระบบประพฤติตัวเสมือนมีอนุภาคเดียวในระบบ
- ของเหลวผลควบแน่นเฟอร์มิโอนิค (Fermionic condensate)
- คล้ายกับ ของเหลวผลควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ แต่เกิดจาก เฟอร์มิออน ประกอบกันกลายเป็นโบซอนประกอบ ตัวอย่างเช่น คู่คูเปอร์
สถานะในฟิสิกส์พลังงานสูง
[แก้]- สสารซ้อนสถานะ (Degenerate matter)
- เกิดจากเฟอร์มิแก๊สที่รวมอนุภาคประเภทเฟอร์มิออนซึ่งไม่สามารถอยู่ในสถานะเดียวกันได้ตามหลักการกีดกันของเพาลี แต่ในสภาพพิเศษที่เฟอร์มิแก๊สจำนวนมากถูกขัังไว้และมีการจำกัดปริมาตร เฟอร์มิแก๊สพยายามลงไปที่สถานะที่ต่ำกว่านี้แต่ทำไม่ได้เพราะชั้นพลังงานถูกครอบครองไปแล้วจึงเกิดการซ้อนสถานะขึ้น โดยอนุภาคที่ซ้อนสถานะกันอยู่ต่างจากสถานะแก๊สของวิทยาศาสตร์ดั้งเดิมคือสสารซ้อนสถานะไม่ขยายตัวเนื่องจากความร้อน รวมถึงมีขนาดเล็กลงเมื่อมวลของสถานะซ้อนเพิ่มขึ้น
- สสารสมมาตรเข้ม (Strongly symmetric matter)
- ประมาณว่า 10-36 วินาที หลังจากปรากฏการณ์ บิกแบง พลังงานหนาแน่นสูงของจักรวาลซึ่งสูงจนกระทั่งว่า แรงธรรมชาติ 4 ชนิดคือ แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม, แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, และ แรงโน้มถ่วง, ถูกรวมกันเป็นแรงเดียวแล้วจักรวาลก็ขยายออก อุณหภูมิและความหนาแน่นลดต่ำลงและแรงอย่างแก่แยกสะลายออกซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า การแตกสมมาตร (symmetry breaking)
- สสารสมมาตรอ่อน (Weakly symmetric matter)
- ประมาณว่า 10-12 วินาที หลังจากปรากฏการณ์ บิกแบง แรงแก่ อ่อน และแรงแม่เหล็กไฟฟ้ารวมตัวกัน
- ควาร์ก-กลูออน พลาสม่า (Quark-gluon plasma)
- สถานะที่ ควาร์ก (quarks) เป็นอิสระและสามารถเคลื่อนที่อย่างไร้ขีดจำกัด (มากกว่าที่จะเกาะกับอนุภาค) ในทะเลของ กลูออน (gluons) (อนุภาคย่อยของอะตอมที่เคลื่อนย้าย แรงเข้ม ที่ติดด้วยกันกับควาร์ก) อาจเป็นข้อสรุปได้ใน ตัวเร่งอนุภาค
- สสารประหลาด (Strange matter)
- (aka Quark matter) อาจมีในดาวนิวตรอน ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
สถานะอื่นๆที่ยังไม่ยืนยัน
[แก้]- ของแข็งยิ่งยวด (Supersolid)
- คล้ายกับของไหลยิ่งยวด ของแข็งยิ่งยวดสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไมมีแรงเสียดทานแต่ยังคงรักษารูปทรงเดิมของมันได้อยู่
การจำแนกสาร
[แก้]จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่
1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- สถานะที่เป็นของแข็ง ( Solid ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม ( KMnO4 ) , ทองแดง ( Cu )
- สถานะที่เป็นของเหลว ( Liquid ) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็ง และ มีสมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท ( Hg ) ฯลฯ
- สถานะที่เป็นแก๊ส ( Gas ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ ห่างกันมากที่สุด และ มีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม , อากาศ
2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่างของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
- สารเนื้อเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี
- สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ
3. การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- สารที่ละลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง ( NaCl ) , ด่างทับทิม ( KMnO4 ) ฯลฯ
- สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรีน ( Cl2 ) , แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) ฯลฯ
- สารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น กำมะถัน ( S8 ) , เหล็ก ( Fe ) ฯลฯ
4. การนำไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- สารที่นำไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง ( Cu ) , น้ำเกลือ ฯลฯ
- สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น หินปูน ( CaCO3 ) , แก๊สออกซิเจน ( O2 )
แต่โดยส่วนใหญ่นักเคมี จะแบ่งสารตามลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์ ดังนี้
สารบริสุทธิ์ ( Pure Substance ) คือ สารเนื้อเดียวที่มีจุดเดือด และ จุดหลอมเหลวคงที่
ธาตุ ( Element ) คือ สารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวกัน เช่น คาร์บอน ( C ) , กำมะถัน ( S8 )
สารประกอบ ( Compound Substance ) เกิดจากธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน โดยมีอัตราส่วนในการร่วมกันคงที่แน่นอนได้แก่ กรดน้ำส้ม ( CH3COOH ) , กรดไฮโดรคลอริก ( HCl ) ฯลฯ
ของผสม ( Mixture ) หมายถึง สารที่เกิดจากการนำสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกันโดยไม่จำกัดส่วนผสม และ ในการผสมกัน
นั้นไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นระหว่างสารองค์ประกอบที่นำมาผสมกัน ซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่
1. สารละลาย ( Solution Substance ) เป็นสารเนื้อเดียวที่มีสัดส่วนในการรวมกันของธาตุ หรือ สารประกอบไม่คงที่ไม่สามารถเขียนสูตรได้อย่างแน่นอน และ มีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่า 10-7 เซนติเมตร ซึ่งมี 3 สถานะ เช่น อากาศ , น้ำอัดลม , นาก , และ โลหะผสม ทุกชนิด ฯลฯ ซึ่งสารละลายจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ตัวทำละลาย ( Solvent ) และ ตัวถูกละลาย ( Solute ) จะมีข้อสังเกต ดังนี้
- สารใดที่มีปริมาณมากจะเป็นตัวทำละลาย และ สารใดมีปริมาณน้อยจะเป็นตัวถูกละลาย เช่น
แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ มีเอทานอล 70 % และ น้ำ ( H2O ) 30 % หมายความว่า น้ำจะเป็นตัวถูกละลาย และ เอทานอลเป็นสารละลาย เพราะแอลกอฮอล์มีปริมาณตามเปอร์เซนต์ที่มากกว่าน้ำ
- สารใดที่มีสถานะเช่นเดียวกับสารละลายเป็นตัวทำละลาย เช่น
น้ำเชื่อม ซึ่งน้ำเชื่อมจัดอยู่ในสภาพที่เป็นของเหลว ( Liquid ) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า น้ำเป็นตัวทำละลาย และ น้ำตาลทราย ( C12H22O11 ) เป็นตัวถูกละลาย
2. สารแขวนลอย ( Suspension Substance ) คือ สารที่เกิดจากอนุภาคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากกว่า 10-4 เซนติเมตร ซึ่งจะลอยกระจายอยู่ในตัวกลางโดยอนุภาคที่มีอยู่ในของผสมนั้นมีขนาดใหญ่ จึงสามารถมองเห็นอนุภาคในของผสมได้อย่างชัดเจน เมื่อตั้งทิ้งไว้ อนุภาคจะตกตะกอนลงมา ซึ่งสารแขวนลอยนั้นจะไม่สามารถผ่านได้ทั้งกระดาษกรอง และ กระดาษเซลโลเฟน เช่น โคลน , น้ำอบไทย
3. คอลลอยด์ ( Colliod ) จะประกอบด้วยอนุภาคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 10-4 และ 10-7 เซนติเมตร ซึ่งจะไม่มีการตกตะกอน สามารถกระเจิงแสงได้ ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า " ปรากฏการณ์ทินดอลล์ " และ ภายในอนุภาคก็มีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนียน ( Brownian Movement ) กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนที่ที่ไม่แน่นอน ในแนวเส้นตรง ซึ่งจะสามารถส่องดูได้จากเครื่องที่เรียกว่า " อัลตราไมโครสโคป " ( Ultramicroscope ) ซึ่งคอลลอยด์จะสามารถผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไม่สามารถผ่านกระดาษเซลโลเฟนได้ เช่น กาว , นมสด
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- 2005-06-22, MIT News: MIT physicists create new form of matter Citat: "... They have become the first to create a new type of matter, a gas of atoms that shows high-temperature superfluidity."
- 2003-10-10, Science Daily: Metallic Phase For Bosons Implies New State Of Matter
- 2004-01-15, ScienceDaily: Probable Discovery Of A New, Supersolid, Phase Of Matter Citat: "...We apparently have observed, for the first time, a solid material with the characteristics of a superfluid...but because all its particles are in the identical quantum state, it remains a solid even though its component particles are continually flowing..."
- 2004-01-29, ScienceDaily: NIST/University Of Colorado Scientists Create New Form Of Matter: A Fermionic Condensate
- French physicists find a solution that reversibly solidifies with a rise in temperature - α-cyclodextrine, water, and 4-methylpyridine