สตานิสลาฟ มัคเซค
สตานิสลาฟ มัคเซค | |
---|---|
![]() | |
ชื่อเล่น | บาคา |
เกิด | 31 มีนาคม ค.ศ. 1892 ชชีเรตส์ ใกล้เมือง ลวิว, ออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบัน ชชีเรตส์, เขตลวูฟ ประเทศยูเครน) |
เสียชีวิต | 11 ธันวาคม ค.ศ. 1994 เอดินบะระ, สก๊อตแลนด์, สหราชอาณาจักร[1] | (102 ปี)
รับใช้ | โปแลนด์ |
ประจำการ | 1914–1947 |
ชั้นยศ | พลโท |
บังคับบัญชา | กองพลยานเกราะที่ 1 กองพลทหารม้ายานเกราะที่ 10 กองพันทหารม้าที่ 10 |
การยุทธ์ | |
งานอื่น | บาร์เทนเดอร์ |
ลายมือชื่อ | ![]() |
พลโท สตานิสลาฟ มัคเซค (โปแลนด์: Stanisław Maczek; 31 มีนาคม ค.ศ. 1892 – 11 ธันวาคม ค.ศ. 1994) [2] เป็นผู้บัญชาการกองพลรถถังชาวโปแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งกองพลของเขามีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยฝรั่งเศสของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยปิดฟาเลส์พ็อกเก็ตส่งผลให้กองพลแวร์มัคท์และชุทซ์ชตัฟเฟิลของเยอรมันถูกทำลายไป 14 กองพล มัคเซคซึ่งเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, สงครามโปแลนด์–ยูเครน และสงครามโปแลนด์–โซเวียต เป็นผู้บัญชาการกองยานเกราะหลักเพียงกองเดียวของโปแลนด์ในยุทธการเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 และต่อมาเป็นผู้บัญชาการกองยานเกราะของโปแลนด์ในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1940
ความเป็นมาของเขา
[แก้]มัคเชค เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1892 ใน ชชีเรตส์ ชานเมืองลวูฟ (ปัจจุบันคือเมืองในยูเครน: ชชีเรตส์) [3]ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในแคว้นกาลิเซีย ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี บิดาของเขาเป็นทนายความที่ต่อมาได้ย้ายไปเปิดสำนักงานในเมืองโดรโฮบิคซ์ ครอบครัวของเขาสืบเชื้อสายมาจากโครเอเชีย[4] โดยสืบเชื้อสายจาก มาเตอุสซ์ มัคเซค และเขาเป็นญาติห่าง ๆ ของนักการเมืองโครเอเชีย วลาดโก มาเซค
การศึกษา
[แก้]หลังจากเรียนจบที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นใน โดรโฮบิคซ์ ปี 1910 เขาเข้าเรียนที่คณะปรัชญา[5]ของมหาวิทยาลัย ลวิว ซึ่งเขาได้ศึกษาภาษาศาสตร์โปแลนด์ (กล่าวคือ ภาษาและวรรณคดี) เขายังได้เรียนรู้กับนักภาษาศาสตร์ชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง วิลเฮล์ม บรูชนัลสกี้ และ โจเซฟ คัลเลนบัค เขายังเข้าร่วมการบรรยายโดย คาซิมิร์ ทวาร์ดอฟสกี้ ในระหว่างการศึกษา เขาได้เข้าร่วมกับองค์กรสเตรเซเล็ตส์[6] (Strzelec) ซึ่งเป็นองค์กรต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี และเขาได้รับการฝึกยุทธวิธีขั้นพื้นฐาน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น มัคเซคก็หยุดเรียนโดยหวังว่าจะเข้าร่วมกับกองทหารโปแลนด์ของ โจเซฟ พิลซุดสกี้ แต่ด้วยที่เขาเป็นพลเมืองของออสเตรีย-ฮังการีเขาจึงต้องจำใจเข้าร่วมกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีแทน
สงครามโลกครั้งที่ 1
[แก้]หลังจากที่ฝึกการทหารเบื้องต้นแล้ว มัคเซค ก็ถูกส่งไปประจำการในแนวรบอิตาลี[7]ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตอนแรกเขาดำรงตำแหน่งนายทหารชั้นประทวน ใน กรมทหารไทรอน ของกองทัพออสเตรีย-ฮังการี จากนั้นเขาได้รับการเลื่อนยศเป็น ร้อยโทในปี 1916 และต่อมาเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็น เป็นร้อยเอก ในปี 1918
มัคเซค เป็นผู้บัญชาการกองพันโปแลนด์เพียงคนเดียวใน กรมทหารเทือกเขาแอลป์[8]ของออสเตรีย-ฮังการี ประสบการณ์การรบในภูมิประเทศขรุขระนี้ต่อมาถูกนำมาใช้ และได้ผลในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะเมื่อเขานำกองพลยานเกราะโปแลนด์ที่ 1 รบในภูมิภาคเนินเขาและป่าทึบของยุโรปตะวันตก
1918-1920
[แก้]เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 หลังจากได้รับข่าวการสงบศึกมัคเซกก็ยุบกองพันและกลับไปยังโปแลนด์ที่เพิ่งได้รับเอกราช เขาใช้เวลาสามวันต่อมาเขาก็มาถึงครอสโน และเข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์[9]มัคเซคได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับบัญชากองพันครอสโนและเริ่มเคลื่อนพลโจมตีกองกำลังของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก (ZUNR) เพื่อปลดปล่อยบ้านเกิดของเขาเมือง ลวิว ที่ถูกปิดล้อม[10]อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้รับชัยชนะในช่วงแรกที่อุสตรึกิชิรอฟและเฟลซติน แต่เนื่องจากการสนับสนุนไม่เพียงพอ การรุกของโปแลนด์ก็ติดขัด ส่งผลให้สงครามโปแลนด์-ยูเครนกลายเป็นการสู้รบแบบสนามเพลาะตลอดทั้งช่วงฤดูหนาวของปีนั้น
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1919 มัคเซคถูกถอนตัวออกจากหน่วยเดิม และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดตั้งและผู้บัญชาการ หน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว (โปแลนด์: lotna kompania) ภายใต้กองพลทหารราบที่ 4 ของพลตรี อาแลคซันดรอวีตช์ หน่วยพิเศษนี้ก่อตั้งขึ้นตามข้อเสนอของมัคเซค โดยออกแบบเลียนแบบ หน่วยจู่โจม (Sturmbataillone) ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีความคล่องตัวสูงใช้พาหนะลากม้า (เรียกว่า taczanka หรือ podwoda) จากคลังแสงของออสเตรีย โดยมีอาวุธปืนกลหนักครบมือ หน่วยนี้ประกอบด้วยทหารผ่านศึกจากกองพันครอสนอเป็นหลัก ซึ่งนั่นทำให้หน่วยนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโปแลนด์ เนื่องด้วยเหตุผลนั้นหน่วยรบนี้จึงทำหน้าที่เป็น หน่วยดับเพลิง คอยเสริมจุดอ่อนในแนวรบต่าง ๆ และปฏิการอื่น ๆ เช่นการยึดเมืองโดโรโบชี (Drohobycz) ยุทธการที่สตาญิสวัฟอูฟ (Stanisławów) การรบที่บูชาช (Buczacz) การบุกเมืองสตรือ (Stryj) และเมืองหลวงสุดท้ายของสาธารณรัฐยูเครนตะวันตก (ZUNR)
หลังจากสิ้นสุดการสู้รบระหว่างโปแลนด์และยูเครน มัคเซค ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพันตรีอาวุโสตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 1919 จากนั้นเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการของ กองทัพโปแลนด์ที่ 2 ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพล อิวาสเควิซ มาเซค เบื่อกับงานของเจ้าหน้าที่ เชาจึงได้ขอให้ผู้บังคับบัญชามอบหน้าที่ให้เขาควบคุมหน่วยแนวหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำขอของเขาจะได้รับการอนุมัติก็ต่อเมื่อสงครามโปแลนด์-บอลเชวิคปะทุขึ้นเท่านั้น เมื่อกองทัพที่ 2 ประสบความพ่ายแพ้ในการปะทะครั้งแรกกับกองทัพม้าที่ 1 ของ เซมยอน บูดิอนี่ ในเมือง ยาโรสลาฟ มาเซค ได้จัดตั้งกองพันปืนไรเฟิล "หน่วยเคลื่อนที่เร็ว" ขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยทหารใหม่และทหารราบไร้ม้า แม้ว่าจะฝึกฝนไม่เพียงพอ แต่หน่วยนี้ก็ยังถูกย้ายไปที่แนวหน้า และ มาเซค ก็ได้ทำหน้าที่เป็น "นักดับเพลิง" อีกครั้ง โดยหน่วยของเขามักถูกย้ายไปมาอย่างรวดเร็วขึ้นอยู่กับสถานการ หน่วยของเขาทำหน้าที่คุ้มกันการล่าถอยของกองกำลังโปแลนด์ที่เมือง เวลิกิ โมสตี จากนั้นหน่วยของเขาจึงถูกผนวกเข้ากับกองทหารม้าที่ 1 ของนายพล จูเลียส รอมเมล หน่วย นี้เข้าร่วมในการโจมตี วาเรียซ ของโปแลนด์ใกล้กับเมือง ซามอสช์ ซึ่งเป็นการโต้กลับทางยุทธวิธีโดยการโจมตีที่ด้านหลังของกอฃกำลังคอสแซ็ก กำลังทหารของ บูดิออนนืย ก่อนหน้าการรบที่ ยุทธการที่โคมารอฟ หลังจากสิ้นสุดการสู้รบ กองพันของ มาเซค ก็ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการตามชื่อของเขา แม้ว่าจะถูกยุบลงไม่นานหลังจากมีการลงนามในสนธิสัญญาริกา
1921-1938
[แก้]มาเซค ตัดสินใจไม่กลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเมือง ลวิว และยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ ระหว่างปี 1921 ถึง 1923 เขาทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองพันทหารราบในกรมทหารราบที่ 26 ประจำเมือง ลวิว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1923 เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโทและส่งไปยังโรงเรียนการทหารระดับสูงในกรุงวอร์ซอ และเขาสำเร็จการศึกษาในปีถัดมา และเขาทำหน้าที่หัวหน้าแผนก หน่วยข่าวกรองของโปแลนด์ ในเมือง ลวิว จนถึงปี 1927 ต่อมาในปีเดียวกันนี้ เขาย้ายไปที่เมือง กรอดโน ซึ่งเขาได้เป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 76 ในปี 1929 หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้เป็นผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 81 ประจำเมือง กรอดโน โดยดำรงตำแหน่งดังกล่าวจนถึงปี 1934 ในช่วงเวลานั้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1931 เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพันเอก ในปี 1935 เขาถูกย้ายไปที่เมือง เชนสโตโควา ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารราบ (หรือพูดได้ว่าเป็นรองผู้บัญชาการของกองพลทั้งหมด) ในกองพลทหารราบที่ 7
ในเดือนตุลาคม 1938 ประสบการณ์ของ มาเซค ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว ได้รับการยอมรับจากผู้บังคับบัญชาของเขา และเขาได้รับมอบหมายให้บัญชาการกองพลทหารม้าเคลื่อนที่ที่ 10 ของโปแลนด์ ซึ่งเป็นหน่วยกองกำลังเคลื่อนที่เต็มรูปแบบหน่วยแรกในกองทัพโปแลนด์
สงครามโลกครั้งที่ 2
[แก้]เมื่อการบุกครองโปแลนด์เริ่มขึ้นในเดือนกันยายนปี 1939 กองพลทหารม้าที่ 10 ได้เข้าร่วมกับกองทัพคราคูฟ เพื่อปกป้องโปแลนด์น้อยและไซลีเชีย กองพลนี้มีเพียงรถถังเบาและรถถังขนาดเล็ก ปืนใหญ่หนักเพียงแปดกระบอกเท่านั้นที่ติดอาวุธ กองพลได้เข้าสู้ในวันแรกของสงคราม หลังจากยุทธการที่โยร์ดานูฟหน่วยของ มาเซค ได้เผชิญหน้ากับกองพลที่ 18 ของเยอรมัน ทั้งหมดภายใต้การนำของนายพล ออยเกน ไบเออร์ และปกป้องแนวปีกทางใต้ของกองกำลังโปแลนด์ได้สำเร็จตามแนว เบสคิดส์ กองพลทหารม้าที่ 10 ของ มาเซค ได้รับการสนับสนุนจาก กองกำลังป้องกันชายแดนและ กองกำลัง ป้องกันประเทศเพียงไม่กี่กองพัน ต้องเผชิญหน้ากับกองพันยานเกราะสองกองพล (กองพลเบาที่ 4 ภายใต้การนำของ ฟอน ฮูบิกกี และกองพลยานเกราะที่ 2 ภายใต้การนำของ รูดอล์ฟ ไวเอล) รวมถึงกองพลภูเขาที่ 3 ภายใต้การนำของเอ็ดวาร์ด ดีทเทิล
เป็นเวลาห้าวันที่กองพลของ มาเซค ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและมีประสิทธิภาพ ทำให้การโจมตีแบบ สายฟ้าแลบ ของเยอรมันช้าลงอย่างมาก แม้จะมีจำนวนและเทคนิคที่เหนือกว่า แต่เยอรมันก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวได้เกิน 10 กิโลเมตรต่อวัน ทหารของ มาเซค ใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาได้อย่างเต็มที่ โดยหยุดการโจมตีของเยอรมันได้หลายครั้ง และโจมตีตอบโต้เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แนวหน้าของกองทัพคราคูฟถูกทำลายทางตอนเหนือของกองพล กองทัพของมาเซคก็ถูกดึงออกจากแนวหน้า
กองพลได้ต่อสู้เป็นหน่วยป้องกันโดยป้องกันสะพานและทางข้ามแม่น้ำในโปแลนด์น้อยจนกระทั่งมาถึง ลวูฟ และร่วมเข้าป้องกันเมือง กองพลได้จัดตั้งกองหนุนเคลื่อนที่ระหว่างยุทธการที่ลวูฟทำให้หน่วยโปแลนด์อื่น ๆ สามารถถอนกำลังไปทางหัวสะพานโรมาเนียได้ อย่างไรก็ตาม มาเซค ถูกบังคับให้ข้ามพรมแดน ฮังการี ไปพร้อมกับกองพลของเขา เพื่อไปยังฝรั่งเศส หลังจากที่โซเวียตบุกโจมตีโปแลนด์ หลังจากการตัดสินใจข้ามพรมแดนฮังการี กองพลทหารม้าที่ 10 และหน่วยอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่จำนวนประมาณ 6,000 นาย ถูกกักขังโดยรัฐบาลฮังการีตามกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโปแลนด์และฮังการี รวมถึงความเห็นอกเห็นใจต่อสถานการณ์ของทหารโปแลนด์ รัฐบาลฮังการีจึงอำนวยความสะดวกในการเดินทางลับไปยังฝรั่งเศสผ่านยูโกสลาเวีย ที่นั่นเขาได้รับการบรรจุในกองทัพโปแลนด์ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้รัฐบาลพลัดถิ่น หลังจากที่รัฐบาลโปแลนด์ต้องหลบหนีไปอยู่ในประเทศอื่น เขาได้สร้างกองกำลังของตนขึ้นใหม่ในฝรั่งเศส และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะใหม่
นายพลมัคเซคได้บัญชาการหน่วยยานเกราะโปแลนด์ในฝรั่งเศสในปี 1940 อย่างไรก็ตาม เมื่อเยอรมนีบุกโจมตีฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม 1940 และฝรั่งเศสเกิดการล่มสลายอย่างรวดเร็ว มัคเซคต้องทำลายยานพาหนะและอุปกรณ์ของเขา และรัฐบาลได้อพยพทหารให้ได้มากที่สุดโดยใช้เรือ ซึ่งสามารถส่งทหารไปได้เพียง 24,000 คนไปยังสหราชอาณาจักร และถูกส่งไปยังสกอตแลนด์ เมื่อมาถึงสหราชอาณาจักร นายพลซิคอร์สกี ผู้บัญชาการสูงสุดได้สร้าง กองทัพโปแลนด์ที่ 1 (1-szy Polski Korpus) ซึ่งเป็นหน่วยอิสระ มัคเซค ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการหน่วยยานเกราะใหม่นี้
ตามคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพโปแลนด์ นายพลซิคอร์สกี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1942 กองพันยานเกราะที่ 1 ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในสหราชอาณาจักร นายพลสตานิสลาฟ มัคเซค ได้เป็นผู้บัญชาการ และได้รับการประจำการในสกอตแลนด์เพื่อป้องกันชายฝั่ง กองพลที่สร้างขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1942 ที่ดันส์ในสกอตแลนด์ ได้รับการบัญชาการโดย นายพลสตานิสลาฟ มัคเซค และในช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดมีทหารประมาณ 18,000 นาย หลังจากการฝึกอบรมสองปีที่สนามฝึกแบลร์โกว์รี ในเดือนกุมภาพันธ์ 1942 นายพลมัคเซค ได้จัดตั้งกองพลยานเกราะโปแลนด์ที่ 1
ชัยชนะสุดท้ายที่กองพลได้รับ การยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดี ในเดือนสิงหาคม 1944 ในระหว่างปฏิบัติการโททอลไลซ์และยุทธการที่ช็องบัว กองพลของนายพลสตานิสลาฟ มัคเซค มีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยประเทศฝรั่งเศสของฝ่ายสัมพันธมิตร ฟาเลส์พ็อกเก็ต ทำให้ กองพลแวร์ร์มัคท์และเอสเอส ของเยอรมันจำนวน 14 กองพลถูกทำลาย ภายใต้การนำของเขา กองพลได้มีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นายพล มัคเซค มีชื่อเสียงว่าไม่เคยแพ้ในการรบเลย กองพล ยานเกราะโปแลนด์ที่ 1 เป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนอย่างยิ่งใหญ่ของชาวโปแลนด์ต่อสงครามโลกครั้งที่สอง
การลี้ภัย
[แก้]
หลังสงคราม พลเอกมัคเซคถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ถอดถอนสัญชาติ ทำให้เขาต้องพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษต่อไป เขาออกจากกองทัพเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1948[11] แต่ไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญในฐานะนายพลจากรัฐบาลอังกฤษ เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทัพอังกฤษ[11] ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องทำงานเป็นพนักงานบาร์ในโรงแรมแห่งหนึ่งในเอดินบะระจนถึงช่วงทศวรรษ 1960[12]

แม้จะอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร พลเอกสตานิสลาฟ มัคเซคก็ยังมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับประเทศเนเธอร์แลนด์ นอกจากจะเป็นวีรบุรุษประจำภูมิภาคที่เขาได้ปลดปล่อยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว เขายังได้รับสัญชาติเมืองเบรดาโดยเฉลิมเกียรติ เอกสารในจดหมายเหตุที่เพิ่งถูกเปิดเผยระบุว่า พลเอกชาวโปแลนด์ผู้นี้ได้รับเงินบำนาญรายปีลับจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ตลอดชีวิต ทั้งนี้ นายกเทศมนตรีเมืองเบรดา เคลาดิอุส พรินเซน เป็นผู้เสนอให้มีการช่วยเหลือในปี 1950[13] หลังได้รับแจ้งว่ามัคเซคประสบภาวะทางการเงินอย่างหนัก โดยเขาต้องทำงานใช้แรงงานทั่วไปเพื่อยังชีพ และยังต้องดูแลบุตรสาวที่ป่วยเรื้อรังและต้องการการรักษาอันมีค่าใช้จ่ายสูง[14]
นายกเทศมนตรีเบรดาแจ้งต่อรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ว่าฮีโร่สงครามกำลังขัดสนทางการเงิน และได้ร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือชายผู้ปลดปล่อยเนเธอร์แลนด์[15] รัฐบาลได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและจัดสรรเงินบำนาญในฐานะนายพลให้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกระทรวงการต่างประเทศจากงบประมาณลับ โดยที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเนื่องจากเหตุผลทางการทูต ในช่วงสงครามเย็น หากมีการเปิดเผยว่าเนเธอร์แลนด์ให้เงินแก่อดีตนายพลโปแลนด์ซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลโปแลนด์คอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียต อีกทั้งยังอาจกระทบภาพลักษณ์ของรัฐบาลอังกฤษที่ปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือพลเอกท่านนี้ เมื่อประชาชนชาวดัตช์ทราบในปี 1965 ว่าบุตรสาวของมัคเซคจำเป็นต้องรับการรักษาพยาบาลในสเปน พวกเขาร่วมกันบริจาคเงินจำนวนมากผ่านรายการวิทยุระดับชาติ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้ปลดปล่อยของพวกเขา[14]
ในปี 1972 องค์กรสมาคมคาทอลิกโปแลนด์ในเนเธอร์แลนด์ (Poolse Katholieke Vereniging in Nederland) ได้ยื่นคำร้องต่อรัฐสภาเนเธอร์แลนด์ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยบำนาญที่สูญเสียไปเนื่องจากผลพวงของสงคราม[16] อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมเนเธอร์แลนด์ปฏิเสธคำร้อง โดยอ้างถึงกฎหมายบำนาญทหารทั่วไป (Algemene Militaire Pensioenwet) ปี 1966 ซึ่งกำหนดให้บุคคลที่ไม่ใช่ชาวดัตช์ต้องมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพเนเธอร์แลนด์ในช่วงสงครามจึงจะมีสิทธิได้รับบำนาญสงคราม[14][17]
ในปี 1989 รัฐบาลคอมมิวนิสต์โปแลนด์ชุดสุดท้ายภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีไมค์ซีสลาฟ รากอฟสกี ได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการต่อพลเอกมัคเซค และในปี 1994 เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดของประเทศโปแลนด์คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อินทรีขาว[18]
พลเอกสตานิสลาฟ มัคเซคถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1994 ด้วยวัย102 ปี[19] ตามความปรารถนาสุดท้าย เขาถูกฝังเคียงข้างทหารของเขาที่สุสานทหารโปแลนด์ในเมืองเบรดา ประเทศเนเธอร์แลนด์[19] ใกล้กับสุสานแห่งนั้น อนุสรณ์สถานมัคเซค เบรดา ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี 2020 ในแต่ละปีระหว่างงานเฉลิมฉลองวันปลดปล่อย เมืองเบรดาจะมีชาวโปแลนด์จำนวนมากมาเยือน และเมืองจะจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงทหารโปแลนด์ผู้พลีชีพ
สิ่งของและของที่ระลึกจำนวนมากของมัคเซคและกองพลยานเกราะที่ 1 แห่งโปแลนด์ ถูกจัดแสดงอยู่ที่สถาบันโปแลนด์และพิพิธภัณฑ์ซิกอร์สกีในกรุงลอนดอน
ในปี 2018 รูปปั้นบรอนซ์ของพลเอกมัคเซคได้ถูกเปิดตัวที่ลานหน้าศาลาว่าการเมืองเอดินบะระ ทางเดินที่ตัดผ่านบรันส์ฟิลด์ลิงก์สซึ่งนำไปสู่บ้านเก่าของเขาในถนนอาร์เดน ย่านมาร์ชมอนต์ ได้รับการตั้งชื่อว่า “ทางเดินพลเอกมัคเซค” (General Maczek Walk) [20][21]
เครื่องอิสริยาภรณ์และรางวัลเกียรติยศ
[แก้]เครื่องราชอิสริยาภรณ์อินทรีขาว (โปแลนด์, 1994)
เหรียญกล้าหาญ (โปแลนด์)
เหรียญคุณูปการ ชั้นเหรียญทอง พร้อมดาบ (โปแลนด์)
เหรียญสงคราม พร้อมใบปาล์ม (เบลเยียม)
ชั้นผู้บัญชาการแห่งเลฌียงดอเนอร์ (ฝรั่งเศส)
เหรียญสงคราม ค.ศ. 1939–1945 พร้อมใบปาล์ม (ฝรั่งเศส)
ชั้นผู้บัญชาการแห่งเครื่องอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา (เนเธอร์แลนด์)
เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวแห่งโรมาเนีย ชั้นที่ 4 (โรมาเนีย)
ชั้น Companion แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาบน้ำ (สหราชอาณาจักร)
เหรียญกล้าหาญเพื่อการบริการดีเด่น (Distinguished Service Order) (สหราชอาณาจักร)
แกลเลอรี
[แก้]-
ตราสัญลักษณ์ของกองพลเกราะที่ 1 แห่งโปแลนด์, สถาบันโปแลนด์และพิพิธภัณฑ์ซิโกร์สกี, ลอนดอน
-
อนุสรณ์กองพลเกราะที่ 1 แห่งโปแลนด์, นอร์ม็องดี, ฝรั่งเศส
-
อนุสรณ์กองพลเกราะที่ 1 แห่งโปแลนด์, ทีลต์, เบลเยียม
-
ถนนที่ตั้งชื่อตามนายพลมัคเซค, Aalter-Brug, เบลเยียม
-
พิพิธภัณฑ์นายพลมัคเซค, เบรดา, เนเธอร์แลนด์
-
อนุสรณ์นายพลมัคเซคโดย Karin Hardonk, จัตุรัสนายพลมัคเซค, สตัดส์กานาล, เนเธอร์แลนด์
-
รูปปั้นครึ่งตัวของนายพลมัคเซค, ครากูฟ, โปแลนด์
-
อนุสรณ์นายพลมัคเซค, กดัญสก์, โปแลนด์
-
อนุสรณ์นายพลมัคเซค, วอร์ซอ, โปแลนด์
-
แผ่นป้ายรำลึกนายพลมัคเซค, วอร์ซอ, โปแลนด์
-
อนุสรณ์กองพลเกราะที่ 1 แห่งโปแลนด์, วอร์ซอ, โปแลนด์
-
ข้อความของมัคเซคด้านหลังอนุสรณ์: "ทหารโปแลนด์ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของทุกชาติ แต่พลีชีพเพื่อโปแลนด์เท่านั้น"
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
[แก้]มัคเซคในฐานะผู้นำกองพลทหารม้าเครื่องยนต์ที่ 10 ปรากฏในฐานะบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในนวนิยาย A Witness to Gallantry: An American Spy in Poland 1939
ในนวนิยาย The Death of the Fronsac โดย นีล แอชเชอร์สัน (Neal Ascherson) มีตัวละครนายทหารชาวโปแลนด์ชื่อ เมารีซี ชชุคกี (Maurycy Szczucki) ซึ่งรับใช้ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลมัคเซคในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงคราม ชชุคกีกลับมายังเมืองเอดินบะระ และพบว่านายพลผู้เคยยิ่งใหญ่กลายเป็นบาร์เทนเดอร์ในโรงแรม Learmonth ซึ่งยังคงมีสหายเก่ามาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง โดย "พวกเขาจะทำความเคารพก่อนสั่งวิสกี้"[22]
มัคเซคยังถูกกล่าวถึงในเรื่องสั้น In Sandy Bell's ของ อเล็กซานเดอร์ แมคคอลล์ สมิธ (Alexander McCall Smith) โดยเจ้าของบ้านเช่าของตัวละครเอกเล่าว่านายพลเคยทำงานในบาร์แห่งหนึ่งในเอดินบะระ "เขาไม่ถือตัวเลย ทหารของเขายังทำความเคารพเมื่อสั่งเครื่องดื่ม"[23]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ IPN, Edukacja. "Stanisław Maczek". Edukacja IPN (ภาษาโปแลนด์). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-25. สืบค้นเมื่อ 2025-05-30.
- ↑ "Najskuteczniejszy polski dowódca w II wojnie światowej. Generał Stanisław Maczek (1892–1994) - Stanisław Maczek Przystanek Historia". przystanekhistoria.pl (ภาษาโปแลนด์). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-10. สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ "Historyk: Stanisław Maczek był żołnierzem, który nie przegrał żadnej bitwy". dzieje.pl (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ "Polska Zbrojna". polska-zbrojna.pl. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-11-03. สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ "Stanisław Maczek (1892–1994)". CiekawostkiHistoryczne.pl (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ admin (2021-07-06). "Biografia Stanisław Maczek - postacie II wojny światowej". II WOJNA ŚWIATOWA - najlepszy portal poświęcony historii (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ "#CzyWieszŻe - Gen. Stanisław Maczek | Muzeum II Wojny Światowej". muzeum1939.pl (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ "130 lat temu urodził się Stanisław Maczek". dzieje.pl (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-29.
- ↑ bijcie-sie-twardo-ale-po-rycersku-gen-stanislaw-maczek-byl-legenda-za-zycia ""Bijcie się twardo, ale po rycersku". Gen. Stanisław Maczek był legendą za życia". Polskie Radio 24 (ภาษาโปแลนด์). สืบค้นเมื่อ 2025-05-30.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่า|url=
(help) - ↑ www.pap.pl https://www.pap.pl/aktualnosci/news,1137854,130-lat-temu-urodzil-sie-gen-stanislaw-maczek-wyzwoliciel-europy.html. สืบค้นเมื่อ 2025-05-30.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ 11.0 11.1 The Poles in Britain 1940–2000 (บรรณาธิการ: Peter Stachura), บทที่ 6 (โดย Evan McGilvray), หน้า 64; ISBN 0-7146-8444-9
- ↑ The Poles in Britain 1940–2000, ibid., หน้า 54.
- ↑ จดหมายเหตุแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ NL-HaNA, Buitenlandse Zaken / Code-Archief 65–74, 2.05.313, inv.nr. 25330, จดหมายนายกเทศมนตรีพรินเซนถึงเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ในสหราชอาณาจักร, 6 มีนาคม 1950
- ↑ 14.0 14.1 14.2 "The Polish veterans after World War II". 6 January 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2016. สืบค้นเมื่อ 10 January 2016.
- ↑ จดหมายเหตุแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ NL-HaNA, Buitenlandse Zaken / Code-Archief 65–74, 2.05.313, inv.nr. 25330, บันทึกภายในของ A.P. Hoevelaak เกี่ยวกับ “การจัดรายการวิทยุเพื่อช่วยบุตรสาวของพลเอกมัคเซค”
- ↑ จดหมายเหตุแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ NL-HaNA, Defensie / Militair Personeel, 2.13.5372, inv.nr. 165. คำร้องของสมาคมคาทอลิกโปแลนด์ถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเนเธอร์แลนด์, 23 มิถุนายน 1972
- ↑ จดหมายเหตุแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ NL-HaNA, Defensie / Militair Personeel, 2.13.5372, inv.nr. 165. คำตอบของกระทรวงกลาโหมต่อคำร้องของสมาคมคาทอลิกโปแลนด์, 15 กันยายน 1972
- ↑ Binder, David (14 December 1994). "Stanislaw Maczek, 102, General Who Led Poles in World War II". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 24 May 2010.
- ↑ 19.0 19.1 The Poles in Britain 1940–2000, ibid., หน้า 67.
- ↑ "Statue plan for Polish WW2 general who worked in Capital". Edinburgh Evening news. 12 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-08. สืบค้นเมื่อ 2025-06-08.
- ↑ Brown, Graham (24 October 2018). "VIDEO: Statue of war hero General Maczek installed thanks to late Angus peer's memorial campaign". The Courier. สืบค้นเมื่อ 2019-07-18.
- ↑ Ascherson, Neal (2017). The Death of the Fronsac. Head of Zeus. ISBN 9781786694393.
- ↑ Jassat, Nadine Aisha; Hamilton, Anne; McCall Smith, Alexander; Rankin, Ian; Sheridan, Sara (2022). The People's City. Edinburgh: Polygon. ISBN 9781846976018.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- OpusMedia.fr เก็บถาวร 14 มีนาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Captain Kazimierz Duda – 1st Polish Armoured Division – C.K.M.
- Montormel.evl.pl เก็บถาวร 2008-06-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, History of 1st Polish Armoured Division
- Montormel.evl.pl เก็บถาวร 2007-11-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 1st Polish Armoured Division in the battle of Falaise
- New research on Maczeks post-war situation เก็บถาวร 7 สิงหาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน