สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ค.ศ. 1965
สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ค.ศ. 1965 | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน | |||||||||
![]() ![]() (บน) ทหารอินเดียถ่ายภาพกับรถถังปากีสถานที่ถูกทำลาย (ล่าง) ทหารปากีสถานขับขี่รถถังอินเดียที่ยึดมาได้ | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
![]() |
![]() | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
Lal Bahadur Shastri J. N. Chaudhuri Arjan Singh Joginder Dhillon Harbaksh Singh Har Kishan Sibal Z. C. Bakshi |
Ayub Khan Musa Khan Nur Khan A. H. Malik Yahya Khan Abrar Hussain A.A.R. Khan | ||||||||
กำลัง | |||||||||
ทหารราบ 700,000 (ทั้งหมดของทัพบก)[1] |
ทหารราบ 260,000 (ทั้งหมดของทัพบก)[1] | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
ตัวเลขจากผู้เป็นกลาง |
ตัวเลขจากผู้เป็นกลาง |
สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ค.ศ. 1965 หรือ สงครามกัศมีร์ครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างปากีสถานและอินเดีย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1965 ถึงเดือนกันยายน 1965 ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นหลังจากปากีสถานทำปฏิบัติการยิบรอลตาร์ ส่งกองกำลังแทรกซึมเข้าไปในรัฐชัมมูและกัศมีร์เพื่อเร่งให้เกิดการก่อกบฏต่อต้านการปกครองของอินเดีย สงครามที่กินเวลานาน 17 วันส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน และยังเป็นการต่อสู้ด้วยยานเกราะครั้งใหญ่ที่สุด รวมถึงการต่อสู้ด้วยรถถังที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย
ภูมิหลัง
[แก้]ความขัดแย้งระหว่างมุสลิมและฮินดูในอนุทวีปอินเดียภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ส่งผลให้เกิดสงครามอินเดีย-ปากีสถาน ค.ศ. 1947 ซึ่งแม้มีการหยุดยิงตามข้อเสนอของสหประชาชาติ อินเดียครอบครองกัศมีร์ฝั่งตะวันออก ขณะที่ปากีสถานถือครองกัศมีร์ฝั่งตะวันตก โดยมีเส้นควบคุมเป็นเขตแบ่งดินแดนที่ไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ตลอดทศวรรษ 1950 ถึงต้นทศวรรษ 1960 ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานยังคงตึงเครียด โดยเฉพาะในชัมมูและกัศมีร์ที่ทั้งสองฝ่ายยังอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งหมดของภาคดังกล่าว ปากีสถานมองว่าอินเดียปฏิเสธไม่ยอมให้มีการลงประชามติในกัศมีร์ตามที่องค์การสหประชาชาติเคยเสนอ และกล่าวหาว่าอินเดียพยายามผนวกกัศมีร์ตามอำเภอใจ ในขณะเดียวกัน อินเดียก็ยืนกรานว่ากัศมีร์ได้เข้าร่วมกับอินเดียโดยถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 1947
การที่อินเดียพ่ายแพ้อย่างขาดลอยในการสงครามจีน-อินเดียเมื่อปี 1962 โดยเฉพาะในดินแดนลาดักและอรุณาจัลประเทศ บั่นทอนขวัญของกองทัพและรัฐบาลอินเดียอย่างรุนแรง และทำให้หลายฝ่ายในปากีสถานเชื่อว่าอินเดียอ่อนแอลง และไม่สามารถรับมือกับสงครามสองด้านได้หากถูกโจมตีในกัศมีร์ นี่จึงเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ประธานาธิบดีปากีสถานตัดสินใจริเริ่มที่จะทำปฏิบัติการบางอย่างในกัศมีร์
ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นในปี 1965 เมื่อเกิดการปะทะกันที่ชายแดนด้านตะวันตกของรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย แม้จะมีการไกล่เกลี่ยและยุติลงได้โดยผ่านความร่วมมือของอังกฤษ แต่ปากีสถานยิ่งมองว่ากองทัพอินเดียอ่อนแอ และเริ่มปฏิบัติการลับในชื่อ “ปฏิบัติการยิบรอลตาร์” เพื่อแทรกซึมกองกำลังพิเศษเข้าไปในกัศมีร์ฝั่งอินเดียและจุดชนวนการกบฏ แต่แผนการก็ล้มเหลวเพราะชาวกัศมีร์ไม่ได้ลุกฮืออย่างที่คาดหวัง
ในปี 1965 สถานการณ์ทางสังคมในกัศมีร์ค่อนข้างนิ่ง แม้ชาวกัศมีร์จำนวนมากแม้ไม่ชอบอินเดีย แต่ก็ไม่เชื่อมั่นปากีสถาน พวกเขากังวลว่าหากกัศมีร์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน อาจต้องเผชิญกับระบอบเผด็จการรวมศูนย์
การรบ
[แก้]ภายหลังปฏิบัติการยิบรอลตาร์ในสิงหาคม 1965 ประสบความล้มเหลว อินเดียเปิดฉากรุกข้ามเส้นควบคุมในวันที่ 1 กันยายน เพื่อยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ในกัศมีร์ เช่น เมืองอัคโนร์ และจุดยุทธศาสตร์บริเวณหุบเขาชัมมู จากนั้น 6 กันยายน อินเดียเปิดแนวรบใหม่ในปัญจาบ รุกเข้าสู่ดินแดนของปากีสถานโดยตรง
การรบส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกัศมีร์ ปัญจาบ และรอบเมืองลาฮอร์ อินเดียพยายามตีเมืองลาฮอร์แต่ถูกสกัดไว้ได้ ในขณะเดียวกัน ปากีสถานโต้กลับด้วยกองกำลังรถถังจำนวนมากในยุทธการที่ชวินดา ซึ่งกลายเป็นหนึ่งใน การรบด้วยรถถังที่ใหญ่ที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็จบลงด้วยการชะงักงัน ทั้งสองฝ่ายสูญเสียอย่างหนักทั้ง อากาศยาน รถถัง และกำลังพล อินเดียได้เปรียบทางยุทธศาสตร์บางจุด เช่น การควบคุมพื้นที่สูงในกัศมีร์ แต่ไม่สามารถยึดเมืองหลักของปากีสถาน ขณะที่ปากีสถานแม้สามารถต้านการรุกได้บางแนว แต่ล้มเหลวในการปลุกระดมชาวกัศมีร์ตามเป้าหมายเดิม
สงครามดำเนินไปเป็นเวลา 17 วัน ก่อนจะหยุดยิงตามการเจรจาของสหประชาชาติ ต่อมา สหภาพโซเวียตเป็นคนกลางในการจัดการประชุมที่ทาชเคนต์ ประเทศอุซเบกิสถาน ในเดือนมกราคม 1966
บทบาทของสหรัฐและโซเวียต
[แก้]ในช่วงก่อนสงคราม สหรัฐเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของปากีสถานโดยให้ความช่วยเหลือทางทหารผ่านโครงการของ NATO และ SEATO หวังใช้ปากีสถานเป็นพันธมิตรต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อสงครามปะทุในปี 1965 สหรัฐเลือกวางตัวเป็นกลางด้วยการประกาศระงับการส่งออกอาวุธให้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อปากีสถานที่ต้องพึ่งพาอาวุธสหรัฐเป็นหลัก การตัดสินใจของสหรัฐในครั้งนี้ทำให้ปากีสถานไม่พอใจอย่างรุนแรง และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ปากีสถานเริ่ม หันไปหาจีนและประเทศอื่นที่ไม่ขึ้นกับตะวันตก
อินเดียไม่ได้เป็นพันธมิตรในสนธิสัญญาใดกับสหภาพโซเวียต แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับมอสโกแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ โซเวียตขายอาวุธให้อินเดีย เช่น เครื่องบินรบ MiG และรถถังตระกูล T อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยหลังสงคราม โดยโซเวียตเป็นผู้จัดการประชุมความตกลงทาชเคนต์ ระหว่างผู้นำอินเดียและปากีสถานในเดือนมกราคม 1966
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Rakshak, Bharat. "Page 15" (PDF). Official History. The Times of India. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 9 June 2011. สืบค้นเมื่อ 14 July 2011.
- ↑ 2.0 2.1 T. V. Paul 1994, p. 107.
- ↑ 3.0 3.1 Singh, Harbaksh (1991). War Despatches. New Delhi: Lancer International. p. 124. ISBN 978-81-7062-117-1.
- ↑ 4.0 4.1 Tucker-Jones, Anthony (2021-06-30). Tank Battles of the Cold War, 1948–1991 (ภาษาอังกฤษ). Pen and Sword Military. ISBN 978-1-5267-7802-4.
- ↑ Thomas M. Leonard (2006). Encyclopedia of the developing world. Taylor & Francis. pp. 806–. ISBN 978-0-415-97663-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2023. สืบค้นเมื่อ 14 April 2011.
- ↑ Clodfelter, Micheal (2017-04-24). Warfare and Armed Conflicts: A Statistical Encyclopedia of Casualty and Other Figures, 1492-2015, 4th ed (ภาษาอังกฤษ). McFarland. ISBN 978-1-4766-2585-0.
One aviation observer claims that the Indian figures for aircraft lost were the re-verse of actual losses. He claims India had 75 of its warplanes shot down in 3,937 sorties, while Pakistan lost only 19, in 2,364 sorties.
- ↑ Tucker, Spencer (2004). Tanks: An Illustrated History of Their Impact. ABC-CLIO. PAGE 172[usurped]. ISBN 978-1-57607-995-9. ARCHIVED from the original on 5 February 2023. Retrieved 15 November 2015.