สงกรานต์ในประเทศไทย
สำหรับ สงกรานต์ ความหมายอื่น ดูที่: สงกรานต์ (แก้ความกำกวม)
สงกรานต์ตามคตินิยมโบราณ นิยมสรงน้ำพระและผู้อาวุโสอันเป็นการแสดงความเคารพและความกตัญญู เพื่อความเป็นสิริมงคล | |
การถือปฏิบัติ | ดูในบทความ |
เริ่ม | ไม่ทราบ |
วันที่ | 13 เมษายน - 15 เมษายนของทุกปี |
สงกรานต์ (เขมร: សង្រ្កាន្ត; พม่า: သင်္ကြန်; ลาว: ປີໃໝ່ລາວ, ບຸນຫົດນໍ້າ; จีน: 泼水节) เป็นประเพณีของประเทศไทย กัมพูชา ลาว พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไทแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย[1] สันนิษฐานว่า สงกรานต์ได้รับอิทธิพลมาจากเทศกาลโฮลี (होली) ในอินเดีย แต่เทศกาลโฮลีจะใช้การสาดสีแทน เริ่มในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 4 คือ ในเดือนมีนาคม[2]
สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึง "การเคลื่อนย้าย" ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี คือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สงกรานต์สืบทอดมาแต่โบราณคู่กับตรุษ จึงเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เดิมวันที่จัดเทศกาลกำหนดโดยการคำนวณทางดาราศาสตร์ แต่ปัจจุบันระบุแน่นอนว่า 13 ถึง 15 เมษายน วันขึ้นปีใหม่ไทยเป็นวันเริ่มปีปฏิทินของไทยจนถึง พ.ศ. 2431 จากนั้นวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่จนถึง พ.ศ. 2483[3]
พิธีสงกรานต์เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมวงกว้าง ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ สังคมไทยสมัยใหม่เกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีการประชาสัมพันธ์ในเชิงท่องเที่ยวว่าเป็น Water Festival[4] ซึ่งตัดส่วนที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมไป
การคำนวณ
ปัจจุบันปฏิทินไทยกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" (ภาษาเขมร แปลว่า "อยู่ ") และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก"
การคำนวณวันเถลิงศกนั้น ตามคัมภีร์สุริยยาตร์[5] จะต้องมีการหาหรคุณเถลิงศก และค่าอื่น ๆ สำหรับคำนวณตำแหน่งดาวในปีนั้น ๆ เรียกว่าอัตตาเถลิงศก ทุก ๆ ปี ค่าหรคุณเถลิงศกที่คำนวณได้จะเป็นตัวเลขนับ 1 ที่วันเถลิงศก จ.ศ. 0 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 1181 ตามปฏิทินเกรกอเรียน มาจนถึงปีที่ต้องการ สำหรับกระบวนการหาหรคุณเถลิงศก มีดังต่อไปนี้
- ตั้งเกณฑ์ 292207 ลง เอาจุลศักราชปีนั้นคูณ ได้เท่าใด เอา 373 บวก แล้วเอา 800 หาร ลัพธ์ (ส่วนที่เป็นคำตอบจำนวนเต็ม) เอา 1 บวก เป็นหรคุณเถลิงศก
- เอา 800 ตั้ง เอาเศษจากข้อก่อนมาลบ ได้ กัมมัชพลเถลิงศก
จากขั้นตอนข้างต้น อธิบายได้ว่า ในหนึ่งปีสุริยคติมีเวลาทั้งหมดคิดเป็น 292207 กัมมัช (กัมมัชคือหน่วยย่อยของเวลาในคัมภีร์สุริยยาตร์ โดยที่ 1 กัมมัช = 108 วินาที และ 800 กัมมัช = 1 วัน) ดังนั้นเวลาเป็นกัมมัชนับจากจุดเถลิงศก จ.ศ. 0 มาหาจุดเถลิงศกปีที่ต้องการ ก็หาได้โดยเอา 292207 คูณกับจุลศักราชที่ต้องการทราบ แต่เนื่องจากวันเถลิงศก จ.ศ. 0 เวลาเถลิงศกตรงกับ 11:11:24 นาฬิกา หรือคิดเป็น 373 กัมมัช นับแต่เวลา 0 นาฬิกา จึงเอา 373 บวกเข้ากับผลคูณที่หาไว้แล้ว ผลทั้งหมดที่ได้นี้มีหน่วยเป็นกัมมัช เมื่อจะแปลงเป็นวัน ก็เอา 800 หาร
จากผลที่ได้ ถ้าหารแบบสมัยใหม่โดยติดทศนิยม จะได้ว่าส่วนที่เป็นจำนวนเต็ม นับ 0 ที่วันแรกของ จ.ศ. 0 ส่วนที่เป็นทศนิยม เป็นเศษส่วนของวันนับจาก 0 นาฬิกาของวันเถลิงศกไปหาเวลาเถลิงศก แต่ในสมัยโบราณการคำนวณด้วยทศนิยมเป็นการยากลำบาก ดังนั้น ถ้าหารแบบติดเศษ แล้วเอาส่วนที่เป็นจำนวนเต็มบวก 1 ก็จะได้หรคุณเถลิงศก ส่วนที่เป็นเศษนั้นบอกถึงเวลานับแต่ 0 นาฬิกาไปหาเวลาเถลิงศกในหน่วยกัมมัช หากเอาไปหักลบออกจาก 800 ก็จะได้กัมมัชพลเถลิงศก หรือเวลาเป็นกัมมัชที่เหลือจนสิ้นวันเถลิงศก
การแปลงหรคุณเถลิงศกออกเป็นวันที่ในปฏิทิน อาศัยความรู้ที่ว่า ตามปฏิทินก่อนเกรโกเรียน (proleptic Gregorian calendar) วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 1181 เวลา 00:00 น. มีค่าหรคุณจูเลียน (Julian day number) เป็น 1954167.5 จึงสามารถบวกหรคุณตามแบบสุริยยาตร์เข้ากับเกณฑ์ข้างต้นก่อนแปลงให้เป็นวันที่ต่อไป ดังนั้น หรคุณจูเลียนของวันเถลิงศกจึงหาได้ตามสูตร
JD วันเถลิงศก = [(292207* (พ.ศ.-1181) + 373)/800] + 1954167.5
สำหรับวันมหาสงกรานต์นั้น ปกติให้ใช้วิธีการคำนวณตำแหน่งที่สังเกตได้จริงของดวงอาทิตย์ว่าเข้าสู่ราศีเมษ ณ วันเวลาใด แต่วิธีการข้างต้นเสียเวลามากและต้องทำตารางขนาดใหญ่ ไม่สะดวกนัก การแก้ปัญหาทำได้โดยการประมาณ โดยถอยหรคุณเถลิงศกไป 2 วัน 3 ชั่วโมง 57 นาที 36 วินาที (2.165 วัน หรือ 1732 กัมมัช) ดังนั้น สูตรหาหรคุณจูเลียนของวันมหาสงกรานต์ (โดยประมาณ) เป็นดังนี้
JD วันมหาสงกรานต์ = [(292207* (พ.ศ.-1181) - 1359)/800] + 1954167.5
ตัวอย่างการคำนวณ
จากขั้นตอนโดยสรุปข้างบน และความรู้ที่ว่าหรคุณจูเลียนแปลงเป็นวันที่ได้ (และในทางกลับกันวันที่ก็แปลงเป็นหรคุณจูเลียนได้) สามารถแสดงวิธีการคำนวณวันมหาสงกรานต์และวันเถลิงศกของปีถัดไปได้ ดังนี้
วันมหาสงกรานต์ | ||
---|---|---|
ขั้นตอนที่ | คำอธิบาย | การคำนวณ |
1. | หาหรคุณตามสูตร | JD = [(292207 × (2568-1181) - 1359)/800] + 1954167.5= 2460779.6875 พิจารณาเศษทศนิยม 0.688 ได้ว่าเวลาอยู่ระหว่างเที่ยงคืนถึงรุ่งสาง (0.5 - 0.75) เป็นวันสุริยคติใหม่แต่เป็นวันจันทรคติเดิม วันในสัปดาห์ทางสุริยคติคิดได้ตามสูตร เศษ[JD + 1,7] ได้ผลเป็น 1 คือวันจันทร์ แต่ยังคงเป็นวันอาทิตย์ตามแบบจันทรคติ เศษเวลาที่ได้ต้องลบออกเสีย 0.5 แล้วแยกออกเป็นเวลา หรคุณส่วนที่เป็นจำนวนเต็มต้องเลื่อนไป 1 ก่อนคิดเป็นวันที่ในขั้นต่อไป จากเศษเวลาที่ได้คิดเวลาได้ดังนี้
JD = 2460780 |
2. | หาวันที่จากหรคุณจูเลียนที่ได้ | |
f = JD + 1401 + ปัดลง((ปัดลง((4 × JD + 274277)/146097)×3)/4) -38 f = 2460780 + 1401 + ปัดลง((ปัดลง((4*2460780 + 274277)/146097)*3)/4) -38 = 3388 | ||
e = 4 × f + 3 e = 4 × 3388 + 3 = 9848779 | ||
g = ปัดลง(เศษ(e, 1461)/4) g = ปัดลง(เศษ(9848779, 1461)/4) = 44 | ||
h = 5 × g + 2 h = 5 × 44 + 2 = 222 | ||
D = ปัดลง((เศษ(h, 153))/5) + 1 D = ปัดลง((เศษ(222, 153))/5) + 1 = 14 | ||
M = เศษ(ปัดลง(h/153) + 2, 12) + 1 M = เศษ(ปัดลง(222/153) + 2, 12) + 1 = 4 | ||
Y = ปัดลง(e/1461) - 4716 + ปัดลง((12 + 2 - M)/12) Y = ปัดลง(9848779/1461) - 4716 + ปัดลง((12 + 2 - 4)/12) = 2025 | ||
3. | สรุปผลการคำนวณ | D = 14, M = 4, Y = 2025 สรุปว่า วันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันจันทร์ ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 04:30:00 น. |
วันเถลิงศก | ||
---|---|---|
ขั้นตอนที่ | คำอธิบาย | การคำนวณ |
1. | หาหรคุณตามสูตร | JD = [(292207 × (2568-1181) + 373)/800] + 1954167.5= 2460781.8525 พิจารณาเศษทศนิยม 0.853 ได้ว่าเวลาอยู่ระหว่างรุ่งสางถึงเที่ยง (0.75 - 0.99) เป็นวันใหม่ทั้งสุริยคติและจันทรคติ วันในสัปดาห์คิดได้ตามสูตร เศษ[JD + 1,7] ได้ผลเป็น 3 คือวันอังคาร เศษเวลาที่ได้ต้องลบออกเสีย 0.5 แล้วแยกออกเป็นเวลา หรคุณส่วนที่เป็นจำนวนเต็มต้องเลื่อนไป 1 ก่อนคิดเป็นวันที่ในขั้นต่อไป จากเศษเวลาที่ได้คิดเวลาได้ดังนี้
JD = 2460782 |
2. | หาวันที่จากหรคุณจูเลียนที่ได้ | |
f = JD + 1401 + ปัดลง((ปัดลง((4 × JD + 274277)/146097)×3)/4) -38 f = 2460782 + 1401 + ปัดลง((ปัดลง((4 × 2460782 + 274277)/146097)*3)/4) -38 = 13555 | ||
e = 4 × f + 3 e = 4 × 13555 + 3 = 9848787 | ||
g = ปัดลง(เศษ(e, 1461)/4) g = ปัดลง(เศษ(9848787, 1461)/4) = 46 | ||
h = 5 × g + 2 h = 5 × 46 + 2 = 232 | ||
D = ปัดลง((เศษ(h, 153))/5) + 1 D = ปัดลง((เศษ(232, 153))/5) + 1 = 16 | ||
M = เศษ(ปัดลง(h/153) + 2, 12) + 1 M = เศษ(ปัดลง(232/153) + 2, 12) + 1 = 4 | ||
Y = ปัดลง(e/1461) - 4716 + ปัดลง((12 + 2 - M)/12) Y = ปัดลง(9848787/1461) - 4716 + ปัดลง((12 + 2 - 4)/12) = 2025 | ||
3. | สรุปผลการคำนวณ | D = 16, M = 4, Y = 2025 สรุปว่า วันเถลิงศก ตรงกับวันพุธ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 08:27:36 น. |
ขั้นตอนที่แสดงอาจดูซับซ้อนหากคำนวณด้วยมือ แต่หากเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือใช้สเปรดชีตช่วย ก็จะคำนวณได้โดยไม่ยากเย็นนัก
ตารางวันมหาสงกรานต์และเถลิงศก
จากขั้นตอนการคำนวณข้างบน ทำให้สามารถทำตารางสรุปวันเวลาของวันมหาสงกรานต์และวันเถลิงศกได้ ตารางต่อไปนี้เป็นวันมหาสงกรานต์และวันเถลิงศกของปีนี้ ปีก่อนหน้าห้าปี และปีถัดไปอีกห้าปี สังเกตว่าบางปีจะมีเทศกาลสงกรานต์ตามที่คำนวณได้อยู่ทั้งหมดสี่วัน
พ.ศ. | จ.ศ. | วัน | ที่ | เดือน | เวลา | นามนางสงกรานต์ | ท่านางสงกรานต์ | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
นาฬิกา | นาที | วินาที | |||||||
2562 | 1381 | อาทิตย์ | 14 | เมษายน | 15 | 14 | 24 | ทุงษเทวี | เสด็จนั่ง |
2563 | 1382 | จันทร์ | 13 | เมษายน | 21 | 27 | 00 | โคราคเทวี | เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร |
2564 | 1383 | พุธ | 14 | เมษายน | 03 | 39 | 36 | รากษสเทวี | เสด็จไสยาสน์หลับเนตร |
2565 | 1384 | พฤหัสบดี | 14 | เมษายน | 09 | 52 | 12 | กิริณีเทวี | เสด็จยืน |
2566 | 1385 | ศุกร์ | 14 | เมษายน | 16 | 04 | 48 | กิมิทาเทวี | เสด็จนั่ง |
2567 | 1386 | เสาร์ | 13 | เมษายน | 22 | 17 | 24 | มโหธรเทวี | เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร |
2568 | 1387 | จันทร์ | 14 | เมษายน | 04 | 30 | 00 | ทุงษเทวี | เสด็จไสยาสน์หลับเนตร |
2569 | 1388 | อังคาร | 14 | เมษายน | 10 | 42 | 36 | รากษสเทวี | เสด็จยืน |
2570 | 1389 | พุธ | 14 | เมษายน | 16 | 55 | 12 | มณฑาเทวี | เสด็จนั่ง |
2571 | 1390 | พฤหัสบดี | 13 | เมษายน | 23 | 07 | 48 | กิริณีเทวี | เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร |
2572 | 1391 | เสาร์ | 14 | เมษายน | 05 | 20 | 24 | กิมิทาเทวี | เสด็จไสยาสน์หลับเนตร |
พ.ศ. | จ.ศ. | วัน | ที่ | เดือน | เวลา | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|
นาฬิกา | นาที | วินาที | |||||
2562 | 1381 | อังคาร | 16 | เมษายน | 19 | 12 | 00 |
2563 | 1382 | พฤหัสบดี | 16 | เมษายน | 01 | 24 | 36 |
2564 | 1383 | ศุกร์ | 16 | เมษายน | 07 | 37 | 12 |
2565 | 1384 | เสาร์ | 16 | เมษายน | 13 | 49 | 48 |
2566 | 1385 | อาทิตย์ | 16 | เมษายน | 20 | 02 | 24 |
2567 | 1386 | อังคาร | 16 | เมษายน | 02 | 15 | 00 |
2568 | 1387 | พุธ | 16 | เมษายน | 08 | 27 | 36 |
2569 | 1388 | พฤหัสบดี | 16 | เมษายน | 14 | 40 | 12 |
2570 | 1389 | ศุกร์ | 16 | เมษายน | 20 | 52 | 48 |
2571 | 1390 | อาทิตย์ | 16 | เมษายน | 03 | 05 | 24 |
2572 | 1391 | จันทร์ | 16 | เมษายน | 09 | 18 | 00 |
อนึ่ง วันในสัปดาห์ที่แสดงในตาราง จะยึดการเปลี่ยนวันแบบสุริยคติเป็นหลัก คือเปลี่ยนวันที่เวลา 0 นาฬิกา เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบ แต่การกำหนดว่านางสงกรานต์องค์ใดจะเสด็จ (ดูรายละเอียดที่หัวข้อ ตำนานนางสงกรานต์) ต้องยึดการเปลี่ยนวันตามแบบจันทรคติ คือเปลี่ยนที่เวลารุ่งสาง (6 นาฬิกา) เสมอ
ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. 2556 วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันที่ 14 เมษายน เวลา 01:58:48 น. ตามสุริยคติถือว่าเข้าวันใหม่คือวันอาทิตย์แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่ถึงรุ่งสาง ทางจันทรคติจึงถือว่ายังเป็นวันเสาร์อยู่ เพราะฉะนั้น นางสงกรานต์จึงเป็นนางมโหธรเทวี ไม่ใช่นางทุงษะเทวีแต่อย่างใด
ตำนานนางสงกรานต์
ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[7] กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
วัน | รูป | พระนาม | ดอกไม้ | อาภรณ์ | ภักษาหาร | หัตถ์ขวา | หัตถ์ซ้าย | พาหนะ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
วันอาทิตย์ | นางทุงษเทวี | ดอกทับทิม | แก้วปัทมราช | อุทุมพร (ผลมะเดื่อ) |
จักร | สังข์ | ครุฑ | |
วันจันทร์ | นางโคราคเทวี | ดอกปีบ | มุกดาหาร | เตล้ง (น้ำมัน) |
พระขรรค์ | ไม้เท้า | พยัคฆ์ (เสือ) | |
วันอังคาร | นางรากษสเทวี | ดอกบัวหลวง | แก้วโมรา | โลหิต (เลือด) |
ตรีศูล | ธนู | วราหะ (หมู) | |
วันพุธ | นางมัณฑาเทวี | ดอกจำปา | ไพฑูรย์ | นมเนย | เหล็กแหลม | ไม้เท้า | คัสพะ (ลา) | |
วันพฤหัสบดี | นางกิริณีเทวี | ดอกมณฑา | มรกต | ถั่วงา | ขอ | ปืน | คชสาร (ช้าง) | |
วันศุกร์ | นางกิมิทาเทวี | ดอกจงกลนี | บุษราคัม | กล้วยน้ำ | พระขรรภ์ | พิณ | มหิงสา (ควาย) | |
วันเสาร์ | นางมโหทรเทวี | ดอกสามหาว (ผักตบชวา) |
นิลรัตน์ | เนื้อทราย | จักร | ตรีศูล | มยุรา ยูง |
สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า
- วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
- วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
- วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
- วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
- วันพฤหัส ชื่อ นางกัญญาเทพ
- วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
- วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี
อนึ่งท่าทางของนางสงกรานต์จะกำหนดตามเวลาที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ หรือเวลามหาสงกรานต์ตามที่คำนวณได้ ซึ่งเกณฑ์ในการกำหนดท่าทางของนางสงกรานต์เป็นดังนี้[8]
- ถ้าเวลามหาสงกรานต์เป็นเวลารุ่งสางถึงเที่ยง (6:00 น. - 11:59 น.) นางสงกรานต์ยืนมา
- ถ้าเป็นเวลาเที่ยงถึงเย็น (12:00 น. - 17:59 น.) นางสงกรานต์นั่งมา
- ถ้าเป็นเวลาค่ำถึงเที่ยงคืน (18:00 น. - 23:59 น.) นางสงกรานต์นอนลืมตามา
- ถ้าเป็นเวลาเที่ยงคืนถึงเช้ามืด (00:00 น. - 05:59 น.) นางสงกรานต์นอนหลับตามา
ข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวนี้จะมีระบุในประกาศสงกรานต์เสมอ
กิจกรรมในวันสงกรานต์
- การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และ อุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย
- การรดน้ำ เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา
- การสรงน้ำพระจะรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านและที่วัด และบางที่จัด สรงน้ำพระสงฆ์ ด้วย
- บังสุกุลอัฐิ กระดูกญาติผู้ใหญ่ที่ตายแล้ว มักก่อเป็นเจดีย์ แล้วนิมนต์พระไปบังสุกุล
- การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้
- การดำหัว จุดประสงค์คล้ายกับการรดน้ำทางภาคกลาง พบเห็นได้ทางภาคเหนือ การดำหัวทำเพื่อแสดงเราเคารพนับถือต่อพระ, ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีอาภรณ์ มะพร้าว กล้วย ส้มป่อยเทียนและดอกไม้
- การก่อเจดีย์ทราย เป็นการนำทรายมาก่อเป็นรูปร่างคล้ายเจดีย์ และประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ
- การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่
- การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด แต่ก็มีบางที่ เชื่อว่าตลอดปี การนำทรายที่ติดเท้าออกวัด เป็นบาป จึงขนทรายเข้าวัดเพื่อไม่ให้เป็นบาป
สงกรานต์ในแต่ละท้องที่
สงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดในสายตาชาวโลกคือสงกรานต์ในประเทศไทย จึงทำให้เทศกาลสงกรานต์ของไทยติดอันดับเทศกาลที่มีสีสันที่สุด 1 ใน 5 ของเอเชีย[9]
ส่วนในต่างประเทศ ชาวไต หรือชาวไท ในสิบสองปันนา โดยเฉพาะเมืองจิ่งหง หรือเมืองเชียงรุ่ง จะจัดงานสาดน้ำสงกรานต์ ในวันที่ 13-15 เมษายน[10] เรียกว่างานเทศกาลพัวสุ่ยเจี๋ย[11]
รูปแบบทั่วไป
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
- สงกรานต์ภาคเหนือ (สงกรานต์ล้านนา) หรือ "ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง" อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ "วันสังขารล่อง" (13 เม.ย.) ที่มีการทำความสะอาดบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล "วันเนา" หรือ "วันเน่า" (14 เม.ย.) วันที่ห้ามใครด่าทอว่าร้ายเพราะจะทำให้โชคร้ายไปตลอดทั้งปี "วันพญาวัน" หรือ "วันเถลิงศก" (15 เม.ย.) วันนี้ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าทำบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม ก่อนจะไปรดน้ำดำหัวขอขมาญาติผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย "วันปากปี" (16 เม.ย.) ชาวบ้านจะพากันไปรดน้ำเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆเพื่อขอขมาคารวะ "วันปากเดือน" (17 เม.ย.) เป็นวันที่ชาวบ้านส่งเคราะห์ต่างๆ ออกไปจากตัวเพื่อปิดฉากประเพณีสงกรานต์ล้านนา และ "วันปากวัน" (18 เม.ย.)
- สงกรานต์ภาคอีสาน นิยมจัดกันอย่างเรียบง่าย แต่ว่ามากไปด้วยความอบอุ่น โดยคนอีสานจะเรียกประเพณีสงกรานต์ว่า "บุญเดือนห้า" หรือ"ตรุษสงกรานต์" บางพื้นที่จะเรียกว่า “เนา” และจะถือฤกษ์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาบ่าย 3 โมง เป็นเวลาเริ่มงานโดยพระสงฆ์จะตีกลองโฮมเปิดศักราช จากนั้นญาติโยมจะจัดเตรียมน้ำอบหาบไปรวมกันที่ศาลาวัดเพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป แล้วต่อด้วยการรดน้ำดำหัว ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติผู้ใหญ่ เพื่อขอขมาลาโทษจากนั้นก็จะเป็นการเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน
- สงกรานต์ภาคใต้ ตามความเชื่อของประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมที่ภาคใต้แล้ว สงกรานต์เป็นช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนเทวดาผู้รักษาดวงชะตาบ้านเมือง พวกเขาจึงถือเอาวันแรกของสงกรานต์ (13 เม.ย.) เป็น "วันส่งเจ้าเมืองเก่า" โดยจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์สิ่งไม่ดีออกไป ส่วน "วันว่าง" (14 เม.ย.) ชาวนครจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด และสรงน้ำพระพุทธรูป และวันสุดท้ายเป็น "วันรับเจ้าเมืองใหม่" (15 เม.ย.) จะทำพิธีต้อนรับเทวดาองค์ใหม่ด้วยการแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามส่งท้ายสงกรานต์ประเพณีสงกรานต์
- สงกรานต์ภาคกลาง เริ่มขึ้นในวันที่ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เป็น "วันกลาง" หรือ "วันเนา" และวันที่ 15 เมษายน เป็นวันวันเถลิงศก ทั้ง 3 วันประชาชนจะประกอบพิธีทางศาสนา มีการทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระ การขนทรายเข้าวัดก่อพระเจดีย์ทราย
อ้างอิง
- ↑ "วาระประเทศไทย ในที่นี่ไทยพีบีเอส". ไทยพีบีเอส. 11 April 2014. สืบค้นเมื่อ 12 April 2014.
- ↑ "เทศกาลโฮลีสาดสีของอินเดีย". ไทยพีบีเอส. 22 March 2014. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
- ↑ "สนเทศน่ารู้ : วันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม". หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง. 24 December 2008. สืบค้นเมื่อ 14 April 2014.
- ↑ Waging water wars in a friendly way จากบางกอกโพสต์
- ↑ เอื้อน มนเทียรทอง. พระคัมภีร์สุริยยาตรศิวาคม. กรุงเทพฯ: สำนักโหร "หอคำ", ม.ป.ป.
- ↑ อ้างอิงสูตรคำนวณวันเถลิงศกและเรื่องคัมภีร์สุริยยาตร์จาก สิงห์โต สุริยาอารักษ์. เรื่องฤกษ์และการให้ฤกษ์ ดวงพิชัยสงคราม. กรุงเทพฯ:เกษมบรรณกิจ, ม.ป.ป. และ วิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร), หลวง. คัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: บริษัท อินเตอร์พริ้นท์ (ประเทศไทย), 2540
- ↑ อุระคินทร์ วิริยะบูรณะ และคณะ, พรหมชาติ ฉบับหลวง, กรุงเทพฯ:สำนักงาน ลูก ส. ธรรมภักดี, ม.ป.ป., หน้า 512-513
- ↑ สิงห์โต สุริยาอารักษ์. เรื่องฤกษ์และการให้ฤกษ์ ดวงพิชัยสงคราม. กรุงเทพฯ:เกษมบรรณกิจ, ม.ป.ป. (ดูหัวข้อ ตำนานสงกรานต์)
- ↑ http://www.thairath.co.th/content/oversea/162639
- ↑ ประชาชนชนชาติไตของสิบสองปันนาของมณฑลหยูนหนานฉลองเทศกาลสาดน้ำ
- ↑ เขตสิบสองปันนาจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ของชนชาติไต