สก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์
สก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์ | |
---|---|
งานเปิดตัวอัลบั้ม "Gray"ของ สล็อตแมชชีน | |
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | ไวท์ฮอร์ส, ยูคอน สก็อตต์ แอนดรูว์ มอฟฟ์แฟตต์ | 30 มีนาคม ค.ศ. 1983
อาชีพ | นักร้อง, นักแต่งเพลง ,โปรดิวเซอร์ |
สก็อตต์ แอนดรูว์ มอฟฟ์แฟตต์ (อังกฤษ: Scott Andrew Moffatt)เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1983 ในปี 1995 เมื่อสก็อตต์มีอายุได้12ปี เขาและน้องชายฝาแฝดอีกสามคนได้เป็นเจ้าของผลงานเพลงชุดแรกในนามของ The Moffatts (เดอะ มอฟฟ์แฟตส์) วงดนตรีสี่พี่น้องมีผลงานทั้งสิ้นห้าชุดด้วยกันในระยะเวลาห้าปีถัดมา ก่อนที่ The Moffatts จะประกาศยุติการทำงานอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปี 2001
ปัจจุบันสก็อตต์กำลังสนุกกับงานเพลงในมุมมองที่แตกต่างออกไปฐานะศิลปินเดี่ยวและโปรดิวเซอร์ของศิลปินมีชื่อมากมายทั้งไทยและเทศอาทิเช่น สล็อตแมชชีน แบรนด์นิวซันเซท เก็ทสุโนว่า เดย์ไลท์ Hay Nik iz Zand และ Roads
ประวัติ
[แก้]ชีวิตวัยเด็กและครอบครัว
[แก้]สก็อตต์ และน้องชายฝาแฝดทั้งสามคน คลินตัน (คลินตัน โทมัส จอห์น มอฟฟ์แฟตต์ ) โรเบิร์ต (โรเบิร์ต แฟรงคลิน ปีเตอร์ มอฟฟ์แฟตต์ ) และ เดวิด (เดวิด ไมเคิล วิลเลียม มอฟฟ์แฟตต์ ) เติบโตขึ้นมาในครอบครัวนักดนตรีของแฟรงค์ และ ดาร์ลาน่า มอฟฟ์แฟตต์ ทำให้พวกเขาซึมซับความรักในเสียงดนตรีตั้งแต่ยังเล็กท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของรัฐบริติชโคลัมเบียทางตอนใต้ของประเทศแคนาดา
แรกเริ่มเดิมทีประสบการณ์ทางดนตรีอย่างแรกของพี่น้องทั้งสี่คือการบันทึกเสียงเพลงคันทรี่ชื่อเพลง Grandpa ของ วิโนน่า จัดจ์ (พี่สาวของดาราฮอลลีวู้ด แอชลีย์ จัดจ์) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับคุณปู่ จากนั้นเส้นทางสู่การเป็นศิลปินของพี่น้องตระกูลมอฟฟ์แฟตต์เริ่มต้นขึ้นเมื่อสก็อตต์และแฝดสามอายุได้เพียง 5-6 ปี โดยพวกเขาได้มีโอกาสขึ้นแสดงบนเวทีครั้งแรกร่วมกับ แฟรงค์ และ ดาร์ลาน่า ในปี 1990
อีก2ปีให้หลังเด็กน้อยทั้งสี่ก็ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการขึ้นแสดงสดในงานแสดงดนตรีคันทรี่ท้องถิ่นหลายๆงาน จนกระทั่งได้รับการเสนอชื่อถึงห้ารายการจาก British Columbia Country Music Association ในปีเดียวกันนั้นเองทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาที่เมืองแบรนสัน รัฐมิซูรี่ เพื่อเข้าสู่วงการเพลงคันทรี่อย่างจริงจัง
ต่อมาในปี 1994 พี่น้องมอฟฟ์แฟตต์ได้เซ็นสัญญากับ เมอร์คิวรี่ เรคคอร์ด และกลายเป็นศิลปินคันทรี่ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญาอยู่ในเครือต้นสังกัดใหญ่อย่าง โพลีแกรม
ปี 1995-2001:เดอะ มอฟฟ์แฟตส์
[แก้]อัลบั้มชุดแรกของเดอะ มอฟฟ์แฟตส์มีชื่อว่า It’s the wonderful World ออกวางจำหน่ายในปี1995 ตามมาด้วยอัลบั้ม The Moffatts ในปีเดียวกัน ในเวลานั้นชื่อเสียงของ เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ เริ่มขยายออกไปในวงกว้าง ถึงแม้ว่าทั้งสองอัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จนักในมุมมองของนักวิจารณ์ แต่พวกเขาจำหน่ายอัลบั้มแรกได้ 250,000 ชุด ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต1,000ครั้ง และปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของอเมริกาอีก 200 รายการ
ต่อมาชีวิตของเด็กๆทั้งสี่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อพ่อและแม่ของพวกเขาตัดสินใจหย่าขาดจากกันในปี1996 แฟรงค์ผู้เป็นพ่อได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกๆแต่เพียงผู้เดียวและได้แต่งงานใหม่กับ ชีล่า มอฟฟ์แฟตต์ พร้อมกับย้ายไปอยู่ที่ เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี
ปี1998 สี่พี่น้องผันตัวเองจากดนตรีคันทรี่มาเป็นแนวป็อปร็อคและกลับเข้าสู่ถนนสายดนตรีด้วยอัลบั้ม Chapter 1: A New beginning ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในทวีปยุโรปอย่างโปรตุเกสและเยอรมนีด้วยยอดขายกว่า 2,000,000 ชุด
ทว่าชื่อของวงสี่พี่น้องกลับไม่เป็นที่รู้จักในตลาดหลักของวงการเพลงอย่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถึงแม้ว่าจะมีการดึงตัวโปรดิวเซอร์ฝีมือดีอย่าง เกลน บัลลาร์ด (เคยร่วมงานกับ อลานิส มอริเซส, ไมเคิล แจ๊คสัน, และ วงแอโรว์สมิธ) เข้ามาร่วมสร้างสรรค์เพลงใหม่อีกสี่เพลงคือ Until you loved me, Misery, Written All over My Heart,และ Raining in my mind เพื่อบรรจุลงไปในอัลบั้มพิเศษคือ Chapter 1: A New beginning U.S. Version ที่ออกจำหน่ายในปี1999เพื่อเอาใจแฟนๆแถบดังกล่าวก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานมอฟฟ์แฟตต์ทั้งสี่กลับเข้าห้องอัดอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ บ๊อบ ร๊อค โปรดิวเซอร์ชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังวงดนตรีระดับโลกอย่างวง เมทัลลิกา และตัดสินใจทำอัลบั้มจะที่ทำให้แฟนเพลงของมอฟฟ์แฟตส์ มองวงในฐานะศิลปินจริงๆ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอกและเพลงแบบเด็กๆอีกต่อไป การตัดสินใจที่ว่านี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากทีเดียว ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ถึงกับออกปากเตือนเด็กๆให้เตรียมใจว่าอัลบั้มชุดนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เคย แต่สิ่งที่สำคัญและน่าภูมิใจมากที่สุดคือพวกเขาได้ทำอัลบั้มที่สะท้อนถึงความเป็น เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ ที่แท้จริงออกมาสู่สายตาผู้คนทั่วโลกต่างหาก
อัลบั้มชุดที่ห้านี้มีชื่อว่า Submodalities โดยคลินตันแฝดคนโตได้หยิบคำนี้จากหนังสือเรื่อง Using Your Head for a Change มาเสนอเป็นชื่ออัลบั้มซึ่งสมาชิกทั้งสี่ก็เห็นตรงกันว่าเป็นคำที่เหมาะสมเพราะ "Submodalities" มีความหมายว่าการแปลงโฉม หรือการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสี่หนุ่มและแนวเพลงของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ปลายปี 2000 Submodalities ออกจำหน่ายพร้อมกับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงที่แตกออกเป็นหลายกระแส หลายคนยินดีที่จะเติบโตไปพร้อมๆกับวงและพร้อมที่จะเปิดรับเดอะ มอฟฟ์แฟตส์ในมุมมองใหม่ บางคนพอใจมากกว่าที่จะกลับไปฟังผลงานชุดแรก และอีกไม่น้อยที่ตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่
อย่างไรก็ตามดนตรีในอัลบั้มชุดนี้ที่แตกต่างออกไปด้วยอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขา และส่วนผสมที่กลมกลืนของความชื่นชอบทางดนตรีที่ไม่เหมือนกันรวมถึงพัฒนาการทางด้านดนตรีที่เริ่มแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดส่งก็ผลให้ ซิงเกิ้ลแรก Bang Bang Boom ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ในชาร์ทเพลงแคนาดาและประสบความสำเร็จในอีกหลายประเทศทั่วเอเชีย
ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ดีหลังจากตารางทัวร์รอบโลกที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยจบลง แต่ในเดือนสิงหาคม ปี2001 แฟนเพลงของพวกเขาก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจว่าจะไม่มี เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ อีกต่อไป สี่พี่น้องได้ประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการ[1] มีข่าวลือออกมาหลายกระแสถึงการแยกวงครั้งนี้ บ้างกล่าวว่าสก็อตต์เป็นผู้ออกมาให้เหตุผลว่าพวกเขาเหนื่อยอ่อนกับภารกิจอันหนักหน่วงที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลบภาพบอยแบนด์ออกจากสายตาใครหลายๆคน บางกระแสอ้างว่าเป็นสาเหตุจากรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างแฟรงค์กับเดวิดน้องชายคนสุดท้องที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นรักร่วมเพศ แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ชัดเจนเมื่อตัวสก็อตต์เองได้ออกมาเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่าการที่ เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ ตัดสินใจหยุดทำงาน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นที่ใครๆพูดกัน แต่เป็นเพียงเพราะเดวิดต้องการจะย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียกับแม่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พวกเขาทั้งสี่จึงมีความเห็นตรงออกมาตรงกันว่าน่าจะ หยุด ทุกอย่างไว้แต่เพียงเท่านี้
ปี 2002-2004:เดอะ บอสตัน โพสต์
[แก้]หนึ่งปีถัดมาหลังจากเดอะมอฟฟ์แฟตส์ประกาศแยกวง สก็อตต์กลับมาในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของ เดอะ บอสตัน โพสต์ วงดนตรีอินดี้แนวPunk Rock ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสี่คนคือ สก็อตต์ (กีต้าร์ เบส คีย์บอร์ด และ ร้องนำ),ชอว์น เอเวอร์เร็ต (กลอง),นีล กัลป์ตาร์(เบส),และ จอน แกนท์(กีต้าร์)
เดอะ บอสตัน โพสต์ปล่อยผลงานชิ้นแรกที่มีชื่อว่า It's 99PM ออกมาในช่วงเดือนมกราคม ปี2003 โดยจำกัดการจำหน่ายซีดีภายในงานคอนเสิร์ตของพวกเขาเท่านั้น อีกทั้งสก็อตต์ยังทำให้แฟนเพลงทั่วโลกที่รู้จักเขาในนามของเดอะมอฟฟ์แฟตส์แปลกใจด้วยสไตล์การร้องเพลงที่เปลี่ยนไปพร้อมกับแนวดนตรีที่ดุดันและภาพลักษณ์ที่เขา พอใจ ที่จะเป็น แต่ว่าประเด็นดังกล่าวกลับไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเจริญเติบโตของวงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกระแสตอบรับที่สื่อมีต่อ เดอะ บอสตัน โพสต์ทำให้พวกเขาได้รับเชิญให้ไปปรากฏตัวในงานสำคัญทางดนตรีมากมาย อาทิเช่น Canadian national music television และ Much Music นอกจากนั้นแล้วหลายเพลงจากอัลบั้ม It's 99PM ยังได้รับรางวัลบันทึกเสียงยอดเยี่ยมจากสถาบันศิลปะ Banff Centre อีกด้วย
หลังจากการทัวร์คอนเสิร์ตสองครั้งในรอบสองปี และปล่อยผลงานออกมาได้เพียงชิ้นเดียว สมาชิกทั้งสี่ก็ตัดสินใจที่จะหยุดเรื่องของ เดอะ บอสตัน โพสต์ ไว้เพียงเท่านั้นและประกาศแยกวงด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจนนัก ข่าวลือบางกระแสอ้างว่าเหตุผลที่แท้จริงของการแยกวงครั้งนี้มาจากการที่สื่อทั้งหลายต่างเลือกที่จะเทความสนใจให้ เดอะ บอสตัน โพสต์ เพราะสก็อตต์ผู้เป็นนักร้องนำมากกว่าที่จะให้ความสนใจกับพวกเขาทั้งสี่ในฐานะวงดนตรีอย่างแท้จริง
ปี 2005:ความพยายามอีกครั้ง
[แก้]หนึ่งปีหลังจากนั้น สก็อตต์กับน้องชายแฝดเหมือน คลินตันและบ็อบ ร่วมกันตั้งวงดนตรีนิรนามขึ้นมาหนึ่งวงโดยสมาชิกทั้งสาม จงใจ ที่จะไม่เปิดตัววงสู่สาธารณชนเพื่อรักษาน้ำใจเดวิดผู้เป็นน้องชายคนสุดท้อง และพวกเขาทำผลงานออกมาหนึ่งชิ้นคือเพลงที่มีชื่อว่า "You don't know what I know" ซึ่งได้ ชอว์น เอเวอร์เร็ต เพื่อนของสก็อตต์และอดีตสมาชิกของเดอะ บอสตัน โพสต์มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ แต่เมื่อเพลงดังกล่าวได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสี่ประเภท Pop/Rock Stereo จากการแข่งขัน Audio Engineering Society (AES)ในซานฟรานซิสโกจากฝีมือการโปรดิวซ์ของชอว์น[2] การมีอยู่ของวงก็เล็ดรอดออกไปเข้าหูใครหลายๆคน ส่งผลให้ความพยายามของทางวงที่ต้องการจะหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆก็ตามที่จะเกี่ยวโยงต่อความเป็น เดอะ มอฟฟ์แฟตส์ ต้องล้มเหลวลง เพราะการที่ไม่มีชื่อวงอย่างชัดเจนนั้นเองที่เป็นเหตุให้ผู้คนต่างก็เข้าใจกันไปว่านี่คือการกลับมาของ เดอะ มอฟฟ์แฟตส์
หลังจากนั้นข่าวคราวของวงก็เงียบหายไปนานอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆของสามพี่น้องออกมาอีกเลยจนกระทั่งโปรเจกต์ดังกล่าวถูกล้มเลิกไปในที่สุด
แต่ทว่าพี่น้องทั้งสามก็ไม่ได้หันหลังให้กับวงการเพลงแต่อย่างใด เพราะในช่วงปลายปี2005หลังจาก คลินตันและบ็อบ เข้าร่วมโครงการ Starz 2006 ซึ่งเป็นงานการกุศลสำหรับเหยื่อสึนามิในประเทศไทย พวกเขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายโซนี่ บีเอ็มจี ประเทศไทย และออกอัลบั้ม The Meaning of Happy ในนามของวง Same Same ในเวลาต่อมา และในเวลาเดียวกันนั้นเองแฟนๆของสก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์ทั่วโลกก็ต้องกลับมาตื่นตัวกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อสก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์ ประกาศผ่านทางหน้าเว็บบล็อกส่วนตัวของเขาถึงการตัดสินใจที่จะมี อัลบั้มเดี่ยว เป็นของตัวเอง
ปี 2006:สก็อตต์บนถนนสายใหม่
[แก้]สก็อตต์เดินหน้าทำโครงการอัลบั้มเดี่ยวของเขาทันทีหลังจากนั้น เขากลับไปที่บ้านในแอลเอและลงมือผลิตผลงานทุกขั้นด้วยตัวเองทั้งหมด อีกทั้งสก็อตต์ยังได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญให้แฟนเพลงทุกคนมีส่วนร่วมกับงานเพลงชุดนี้ด้วยการส่งเครื่องดนตรีหรือทำนองเพลงที่น่าสนใจมายังที่อยู่ที่ให้ไว้ในหน้ามายสเปซ โดยให้สัญญาว่าจะกล่าวขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านบนปกซีดีเมื่ออัลบั้มออกวางตลาดแล้ว
เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนกระทั่งในเดือนเมษายน ปี2006 การรอคอยของแฟนๆก็สิ้นสุดลงเมื่อ The Allegory of the Cityอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในชีวิตของสก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์เสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้สั่งซื้ออย่างเป็นทางการผ่านทางหน้ามายสเปซมิวสิกในช่วงปลายเดือนมิถุนายน อีกทั้งสก็อตต์ยังได้ทำการอัปโหลดเพลงเด่นๆจากอัลบั้มสามเพลงคือ The City's Teeth,Perilously here,และ These Walls ลงบนหน้ามายสเปซมิวสิกเพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือแฟนๆได้ลองฟังเพื่อเป็นตัวอย่างประกอบการตัดสินใจ
จากคำบอกเล่าของสก็อตต์ เพลงทุกเพลงใน The Allegory of the City ถูกถ่ายทอดออกมาในแนวเพลงอะคูสติคผสมโฟล์คร็อคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งผลงานชุดนี้ยังเปรียบเสมือนบทกวีที่เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวต่างๆที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขารวมทั้งประสบการณ์ที่ตัวเขาเองมีโอกาสได้สัมผัสตลอดระยะเวลาที่เขาพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์ของเขาในย่านแอลเอ นอกจากนี้แล้ว อัลบั้มนี้ยังเป็นผลงานที่แสดงความเป็น ตัวตน ของสก็อตต์ มอฟฟ์แฟตต์มากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมาอีกด้วย
ในปีเดียวกันนี้เองสก็อตต์ยังทำเซอร์ไพรส์แฟนๆทั่วโลกด้วยการตัดสินใจเดินทางไปทำงานที่ประเทศไทยกับบริษัท โซนี่ บีเอ็มจี มิวสิก เอนเตอร์เทนเม้นท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์โดยประเดิมการทำงานโปรดิวซ์เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกร่วมกับวง สล็อตแมชชีน[3] ในอัลบั้ม Mutation
การร่วมงานกันระหว่างสก็อตต์และสล็อตแมชชีนในอัลบั้มดังกล่าวนี้เองทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักและได้รับรางวัลมากมาย อาทิเช่น รางวัล Seed Awards สาขา เพลงยอดเยี่ยมสุดซี้ดประจำปี2006 จากเพลงผ่าน , รางวัล สีสัน อวอร์ด สาขา ศิลปินร็อคยอดเยี่ยมประจำปี 2006 ,และ รางวัล Music Express Award 2006 สาขา เพลงไทยยอดเยี่ยม จากเพลง ผ่าน และ อัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี จากอัลบั้ม Mutation
สก็อตต์ใช้เวลาทำงานที่ประเทศไทยอยู่เกือบหนึ่งปี ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่เขาร่วมเป็นแขกรับเชิญในMutation Nightคอนเสิร์ตครั้งแรกของสล็อตแมชชีนในเดือนธันวาคม ปี2006 โดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือข่าวคราวใดๆออกมาให้ได้ยินมากนักหลังจากนั้น
ปี 2007-ปัจจุบัน:สก็อตต์ในบทบาทโปรดิวเซอร์
[แก้]สก็อตต์หายไปทำอะไรหลายๆอย่างระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่เมืองไทยตลอดปี2007 เขาใช้เวลาอยู่กับแม่และน้องชายฝาแฝดที่บ้านในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี กลับไปเที่ยวที่ประเทศแคนาดา อีกทั้งเขายังมีโอกาสได้ทำงานเพลงที่เขารักร่วมกับน้องชายทั้งสองคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตามในเดือนมกราคมปี2008 สก็อตต์กลับมาทำงานโปรดิวซ์ให้กับ สล็อตแมชชีน เป็นครั้งที่สองในอัลบั้มที่สาม Gray หลังจากที่อัลบั้ม Mutation ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปี2006ที่ผ่านมา และในปีเดียวกันนี้เองเขายังได้ร่วมงานกับวงร็อคมากฝีมืออย่าง แบรนด์นิวซันเซท[4] ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์หลังจากที่ แบรนด์นิวซันเซท ได้แสดงฝีมือทำทุกอย่างเองในสองอัลบั้มก่อนหน้านี้ของพวกเขา
อัลบั้มชุดใหม่ของแบรนด์นิวซันเซทได้รับผลตอบรับที่ดีทั้งจากแฟนๆ และสื่อมวลชน ในเวลาเดียวกันนี้เองสก็อตต์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะโปรดิวเซอร์ที่มีความสามารถ ไม่ใช่แค่อดีตสมาชิกของวงเดอะมอฟฟ์แฟตต์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ความสามารถของเขายิ่งเป็นที่พิสูจน์ให้เห็นเมื่อสก็อตต์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงจากงานโปรดิวซ์ของเขาในอัลบั้มล่าสุดของแบรนด์นิวซันเซท และได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากงานประกาศรางวัล Thai Headbanger Award 2008[5] ซึ่งเป็นงานมอบรางวัลที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งในวงการเพลงเมทัลและใต้ดินของไทยในเดือนธันวาคม ปี2008 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันสก็อตต์ยังคงทำงานอยู่ที่ประเทศไทยในฐานะโปรดิวเซอร์ของวง เก็ทสุโนว่าและ เดย์ไลท์ ศิลปินในค่ายสนามหลวงเรคคอร์ดในเครือบริษัทโซนี บีเอ็มจี รวมทั้งทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ให้กับวงดนตรีสัญชาติแคนาเ้ดี้ยนอีกสองวงด้วยกัน นั่นคือ Hay Nik iz Zand และ Roads นอกจากนี้เขายังวางแผนที่จะทำอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองออกมาในปี2010ที่จะถึงนี้ แต่สำหรับตอนนี้แล้วสก็อตต์ยืนยันว่าเขาจะขอสนุกอยู่กับงานโปรดิวเซอร์ที่เป็นพรสวรรค์อีกประการหนึ่งของเขาต่อไป
ผลงาน
[แก้]ปี 1995
[แก้]- It’s the wonderful World, The Moffatts
- The Moffatts, The Moffatts
ปี 1998
[แก้]- Chapter 1: A New beginning, The Moffatts
ปี 1999
[แก้]- Chapter 1: A New beginning U.S. Version, The Moffatts
- Chapter 1: A New beginning U.K. Version, The Moffatts
ปี 2000
[แก้]- Submodalities, The Moffatts
ปี 2003
[แก้]- It’s 99 PM, The Boston Post
ปี 2006
[แก้]- The Allegory of the City, อัลบั้มเดี่ยว
อ้างอิง
[แก้]- ↑ http://jam.canoe.ca/Music/Artists/M/Moffatts/2001/10/19/747830.html
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-27. สืบค้นเมื่อ 2008-11-29.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2008-11-08.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-08.
- ↑ http://www.warnermusic.co.th/community/index.php?showtopic=2944[ลิงก์เสีย]